รบกวนสอบถามท่านผู้รู้ด้วยครับ

dark_emperor · 28 กุมภาพันธ์ 2012

ก่อนอื่นผมต้องขอบอกก่อนว่าผมเป็นคนไม่นับถือศาสนาใดๆเลยแต่ก็ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ไม่ประพฤติเสียหายทำงานจิตอาสาด้วย ก็มีหลายคนที่รับได้และไม่ได้แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะมันเป็นความคิดส่วนตัวผมเอง แต่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้(เดือนพฤษภาคม ปี 55)ผมจะต้องทำสิ่งที่ถูกต้องสำหรับตัวผมและครอบครัวคือการบวชครับ แต่ผมยังมีข้อข้องใจในหลายจุดที่ผมต้องการทราบครับ
1.การโกนผมโกนคิ้ว ในความเข้าใจของผมคือธรรมชาติสร้างเส้นผมและคิ้วเพื่อช่วยในการปกป้องสิ่งที่จะทำอันตรายต่อร่างกายและช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกายแต่ศาสนาพุทธให้โกนออก เพื่ออะไรครับ? เป็นการฝืนธรรมชาติหรือเปล่า?
2.ผมเข้าใจว่าธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ต้องสืบพันธุ์และดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ไว้แต่ศาสนาพุทธห้ามแม้กระทั่งการถูกเนื้อต้องตัวกัน เพื่ออะไรครับ? เป็นการฝืนธรรมชาติหรือเปล่า?
3.ร่างกายของมนุษย์นั้นผมเข้าใจว่าร่างกายมนุษย์นั้นต้องการอาหารสามเวลาในแต่ละวันคือ เช้า-เที่ยง-เย็น แต่ศาสนาพุทธห้ามทานตอนเย็น เพื่ออะไรครับ? เป็นการฝืนธรรมชาติหรือเปล่า?
สิ่งที่ผมยังไม่เข้าใจก็มีเพียงเท่านี้ครับ รบกวนท่านผู้รู้ช่วยไขข้อข้องใจของผมด้วยครับ เพราะผมต้องการที่จะทราบจริงๆและต้องการที่จะทำให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีครับ

ปุณบพิธ · 28 กุมภาพันธ์ 2012

1. ผม คิ้ว ขน ต่างๆ เป็นกุศโลบายสองอย่าง ข้อแรก ให้ท่านพิจารณาให่ดี การเกิด ของ ผม ขน คิ้ว เกิดอย่างไร ตั้งอยู่อย่างไร และดับสูญไปอย่างไร ชีวิตของเรา ทุกสิ่งรอบตัวเรา คนที่เรารัก แตกต่างกันหรือไม่? มีสิ่งใดที่เกิดขึ้น และตั้งอยู่ตลอดกาล มีได้หรือไม่?
ข้อสอง เป็นการละวาง จากรูปเสีย มีผมอยู่ ก็ต้องดูแล มองไปก็ต้องปรุงแต่ง ละสิ่งปรุงแต่งไปเสียอีกหนึ่งอย่าง..
2. พุทธศาสนาไม่ห้ามครับ ทำไมท่านถึงเข้าใจว่าพุทธศาสนาห้าม? พุทธศาสนาห้ามเฉพาะนักบวช เพราะเป็นสิ่งปิดกั้นการเข้าถึงธรรม ซึ่งอันนี้ผมยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง นักปฏิบัติ จะรู้สึกได้ จับต้องได้ เห็นได้จริง ว่ามันเป็นการขัดขวาง ครับ
3. ร่างกายของมนุษย์นั้น ไม่ได้มีอะไรกำหนดมาหรอกครับ ว่าต้องการอาหารสามมื้อ ผู้ที่ฝึกดีแล้ว วันละมื้อ ก็อยู่ได้ โดยไม่เสียสุขภาพ การกำหนดไม่มีมื้อเย็น นั้นช่วยเรื่องการปฏิบัติธรรมต่างๆ ได้ครับ เพราะการทานอาหาร มันก็ยุ่งยาก มากหลายเรื่อง

สงสัยข้อใดเพิ่มเติม ถามได้ครับ

changnoy · 28 กุมภาพันธ์ 2012

อ่านแล้วท่านมีพื้นฐานที่ดี ส่วนข้อสงสัยให้ท่านไปหาเอาเองในการบวชแล้วจะได้คำตอบชัด ผมขออย่างเดียวให้ท่านตั้งใจในช่วงระยะเวลาที่มีค่า(เปรียบกับอะไรก็ไม่ได้)เช่นนี้ ทำให้แตกฉาน ทำให้แจ้ง ใช้ปัญญา อนุโมธนาบุญครับ

jintanakarn · 28 กุมภาพันธ์ 2012

การมีข้อสงสัยมากมายไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา การเรียนรู้ด้วยตัวเองย่อมคลายจากสิ่งยึดเหนี่ยว การนับถือหรือไม่นับถือศาสนาใดๆเลยก็เป็นเรื่องของความเชื่อและความไม่เชื่อ ของแต่ล่ะคน กฏระเบียบที่ตั้งขึ้นมาล้วนมีเหตุผล ถ้าไม่นับถือศาสนาใดๆแล้วจะมาบวชทำไมให้เสียเวลา การที่คนเราจะบวชไม่ว่าในศาสนาใดล้วนมีความเชื่อความศรัทธา ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะบวชไปเพื่ออะไร ในแต่ล่ะศาสนาก็มีกฏข้อบังคับของแต่ล่ะศาสนาเพื่อใช้ในการปฏิบัติเพื่อความสงบสุขและเป็นหนึ่งเดียว กฏข้อบังคับของศาสนาพุทธก็มีอย่างที่เห็น เมื่อยอมรับข้อบังคับได้พอปฏิบัติไปก็จะรู้ได้เอง เอาความตั้งใจที่คิดจะบวชนี้สร้างศรัทธาให้เกิดแล้วทุกอย่างก็จะมีคำตอบเอง ถ้าไม่มีศรัทธาแล้วบวชไปก็มีแต่ข้อสงสัยไม่มีวันจบสิ้น อย่างคำถามง่ายๆที่ท่านกำลังถามอยู่นี่ไง

LungKO · 29 กุมภาพันธ์ 2012

1.การโคนคิ้วท่านไม่ได้บังคับว่าต้องโกณ (โกณ แปลว่าตัด ) แต่ที่ต้องโกณก็เพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรม ประเพณีของชาวไทย ถือว่าเป็นพระไทยต้องโกณคิ้ว ครับ
2.ที่ท่านไม่ให้ถูกต้องกายหญิง ด้วยความกำหนัด ก็เพื่อไม่ให้ติดใจในสัมผัสส์ที่ใจ หรือจิตหลงไหลหนักเข้าไปกว่าเดิม เพราะท่านถือว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แนวทางของพระอริยะ นั่นเป็นกิจของชาวบ้าน เป็นเรื่องต่ำทรามเพราะกิเลสบังคับให้ทำ เราต้องเหนือกิเลสแม้จะยากเพียงใดก็ต้องทำให้ได้ ส่วนจะได้เพียงใดก็ให้พยายามก่อน ไม่ใช่ยอมแพ้กิเลสไปเสียทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง เป็นบ่อเกิดแห่งความหยาบของกิเลสที่เราจะตัดในกาลข้างหน้า ถ้าเราไม่เริ่มชำระล้างเดี๋ยวนี้ ต่อไปยิ่งจะล้างยาก เพราะไม่มีรูปใด เสียงใด กลิ่นใด รสใด สัมผัสส์ใด จะสามารถยึดครองใจ หรือครอบงำจิตของชายได้เหมือนรูป เป็นต้นของหญิง และก็ไม่มีอย่างอื่นที่จะยึดครองจิตของหญิงได้เท่ารูปเป็นต้นของชาย พระองค์จึงทรงให้สำรวมในเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ ฯ ส่วนท่านใดมีความจำเป็นว่าจะต้องถูกต้องกายหญิง หรือชาย ก็มีข้อยกเว้นไว้อยู่ เช่น เมื่อป่วย อาพาธ ต้องรับการรักษาพยาบาล เขาไม่มีจิตกำหนัดทางเพศ
ก็สามารถจำต้องได้ และถึงแม้กระนั้นก็ไม่ควรเพราะนั่นเป็นวัตถุอนามาส เพราะสติเรายังไม่เพียงพอ เพราะอาจทำให้เกิดความยินดีกำหนัดภายหลังได้ ท่านจึงห้ามตามกาละเทศะ ฯ
3.เรื่องทานอาหารตอนเย็นหรือในเวลาวิกาล คือล่วงเลยเวลาที่กำหนด ฯ นอกจากจะทำให้เกิดความพวักพะวงของเราเองแล้ว ยังเป็นภาระในการอุปถัมภ์ของชาวบ้านด้วย เช่น เวลาเย็น เป็นเวลาของครอบครัวชาวบ้าน ไหนจะแบ่งเวลา ไหนจะแบ่งอาหาร คงไม่สะดวกสำหรับชาวบ้านที่จะทำอุปถัมภ์อย่างนั้น ฯ และที่สำคัญ การงดอาหารยามเย็นนั้น จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น ไม่เพิ่มโรค ไม่อึดอัด ไม่สะดวกในการปฏิบัติธรรม เพราะอาหารจะทำให้ง่วง เป็นต้น
ศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เล่มที่ 13 และเล่ม อื่น ๆ ทั้ง 45 เล่ม ตามเว็บ ที่ลิ้งค์ไว้แล้วนี้นะครับ ฯ

 http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/

ทั้งหมดนั้น เพื่อเอาชนะจิตของตัวเอง ด้วยความอดทน ให้พ้นอำนาจของรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสส์ และอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อไม่ให้จิตถูกกิเลสรังแก ให้ได้รับความเจ็บปวดซ้ำเติม ด้วยวิธีการเหล่านี้ คือการสละสิ่งหยาบ ๆ เหล่านี้ออกไปตามกำลังสติไปก่อนแล้ว ค่อย ๆ ชำระล้างไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่หยาบ ปานกลาง ละเอียด จนกว่าจะไม่มีสิ่งรบกวนจิตเลย ซึ่งเป็นเป้าหมาย ของพระพุทธศาสนา ฯ เหมือนกับการล้างหมอที่เปื้อนเขม่าควันดำ ๆ นั้นแล้วก็ล้างไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้หม้อที่ขาวสะอาดตามที่ต้องการ ฯ ครับผม

โอ้ เหนื่อยแล้ว รอให้ท่านอื่นๆ ช่วยต่อไป นะครับ ฯ

จะทำความดี ต้องทำให้ถูกที่ ถูกเวลา สถานที่ บุคคล สังคม เหตุ ผล ตนเอง และสิ่งที่เราต้องการพอประมาณ ก็จะได้ผลดีท้ังตนเอง และผู้อื่น ครับผม
แม้แต่พระพุทธองค์ผู้ซึ่งเป็นพระพุธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ยังมองหาที่นับถือ เมื่อพระองค์มองไม่เห็นใครจะเป็นที่พึ่งได้ พระองค์จึงเอาพระธรรม เป็นที่พึ่ง นะครับ ฯ เราเป็นใคร อย่าประมาทขนาดนั้นเลย ฯ เราเป็นคนนะครับ เราไม่ใช่อย่างอื่น (สัตว์) ต้องมีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจนะครับ จะนับถือใครก็แล้วแต่ตามทัศนะคติของเรา ที่เราชอบ หรือเลื่อมใส ฯ

แต่ผมขอแนะนำให้นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาเดียวที่พาให้เราพ้นทุกข์ได้จริง ๆ ฯ

 [FONT=&quot]นี่เป็นข้อมูลที่นำมาให้ศึกษา เพื่อเป็นแนวทาง นะครับ
[/FONT]
[FONT=&quot]พระพุทธเจ้าทรงเคารพอะไร[/FONT]
[FONT=&quot]พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค[/FONT]
[FONT=&quot]คารวสูตรที่ ๒[/FONT]
[[FONT=&quot]๕๕๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-[/FONT]
[FONT=&quot]สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธแถบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เขตอุรุเวลาประเทศ ฯ[/FONT]
[FONT=&quot]ครั้งนั้น ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดแก่พระผู้มีพระภาคผู้เสด็จเข้าที่ลับ ทรงพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ไม่มีที่เคารพ ไม่มีที่ยำเกรง ย่อมอยู่เป็นทุกข์ เราจะพึงสักการะ เคารพ อาศัยสมณะหรือพราหมณ์ใครผู้ใดอยู่หนอ ฯ[/FONT]
[[FONT=&quot]๕๖๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้มีพระดำริว่า เราควรสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งศีลขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์[/FONT][FONT=&quot] แต่ว่าเรายังไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่ถึงพร้อมด้วยศีลยิ่งกว่าตนในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ ซึ่งเราควรสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่ เราควรสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งสมาธิที่ยังไม่บริบูรณ์ แต่ว่าเรายังไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่ถึงพร้อมด้วยสมาธิยิ่งกว่าตน ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ซึ่งเราควรสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่ เราควรสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ แต่ว่า เรายังไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่ถึงพร้อมด้วยปัญญายิ่งกว่าตนในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ซึ่งเราควรสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่ เราควรสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งวิมุตติขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ แต่ว่าเรายังไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่น ที่ถึงพร้อมด้วยวิมุตติยิ่งกว่าตน ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ซึ่งเราควรสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่ เราควรสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ แต่ว่า เรายังไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ ยิ่งกว่าตน ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ซึ่งเราควรสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่อย่ากระนั้นเลย เราควรสักการะเคารพธรรมที่เราตรัสรู้นั้นแหละ แล้วอาศัยอยู่ ฯ[/FONT]
[[FONT=&quot]๕๖๑] ลำดับนั้น สหัมบดีพรหม ทราบความปริวิตกแห่งพระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยใจแล้ว ก็อันตรธานไปในพรหมโลก มาปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค เหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดออกซึ่งแขนที่คู้อยู่หรือพึงคู้เข้าซึ่งแขนที่เหยียดอยู่ ฉะนั้น ฯ[/FONT]
[FONT=&quot]ครั้นแล้ว สหัมบดีพรหมกระทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเรื่องนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต เรื่องนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดได้มีมาแล้วตลอดกาลอันล่วงแล้ว แม้พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ก็ทรงสักการะเคารพธรรมนั่นเองแล้วอาศัยอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดจักมีตลอดกาลไกลอันยังไม่มาถึงแม้พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ก็จักทรงสักการะเคารพธรรมนั่นเองแล้วอาศัยอยู่ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ขอจงทรงสักการะเคารพธรรมนั่นแหละ แล้วอาศัยอยู่ ฯ[/FONT]
[[FONT=&quot]๕๖๒] สหัมบดีพรหม ได้กราบทูลดังนี้แล้ว ครั้นแล้วได้กล่าวนิคม คาถาอีกว่า[/FONT]
[FONT=&quot]พระสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใดที่ล่วงไปแล้วก็ดี พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใดที่ยังไม่มีมาก็ดี และพระสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดในบัดนี้ผู้ยังความโศกของชนเป็นอันมากให้เสื่อมหายก็ดีพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทุกพระองค์ ทรงเคารพพระสัทธรรมอยู่แล้ว ยังอยู่ และจักอยู่ต่อไป ข้อนี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ กุลบุตรผู้รักตนหวังความเป็นผู้ใหญ่ เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงเคารพพระสัทธรรม ฯ[/FONT]

[FONT=&quot]เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ บรรทัดที่ ๔๔๘๓ - ๔๕๓๔. หน้าที่ ๑๙๔ - ๑๙๖.[/FONT]
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka...34&pagebreak=0
[FONT=&quot]ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- [/FONT]http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=559
[FONT=&quot]สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ [/FONT]http://www.84000.org/tipitaka/read/?[FONT=&quot]สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่[/FONT]_[FONT=&quot]๑๕[/FONT]
http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_15
([FONT=&quot]ขออธิบายความว่า[/FONT]
[FONT=&quot]พระเจ้า หรือเทพเจ้าทั้งหลายที่มีอยู่ ทุกระดับชั้น ยังมีกิเลสอยู่[/FONT]
[FONT=&quot]พระพุทธเจ้าหมดกิเลสแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญาอันยิ่งเป็นต้น (ชั้นสูง) ของพระองค์บริบูรณ์ทุกอย่างแล้ว[/FONT]
[FONT=&quot]จึงไม่อาจให้การเคารพสักการะแก่ท่านเหล่านั้นได้[/FONT] [FONT=&quot]จึงเคารพพระสัทธรรมเท่านั้น ฯ)[/FONT]
[FONT=&quot]คารวสูตรที่ ๒ ส. สํ. (๕๖๐)[/FONT]
[FONT=&quot]ตบ. ๑๕ : ๒๐๓-๒๐๕ ตท. ๑๕ : ๑๙๔-๑๙๕[/FONT] [FONT=&quot]ตอ. [/FONT]K.S. I : [FONT=&quot]๑๗๕[/FONT]

ด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (Loving-kindness) หรือด้วยพรหมวิหารธรรม นะครับ

guaregod · 28 กุมภาพันธ์ 2012

1. ทำไมถึงโกนคิ้ว อันนี้เกิดจากการเมืองครับ เพราะพระพม่าไม่โกนคิ้ว ดังนั้นสมัยโบราณตอนทำสงครามกับพม่า พระไทยจึงต้องโกนคิ้วออกเพราะต้องการแยกระหว่างพระไทยกับพระพม่า สังเกตุดูครับ พระไทยประเทศเดียวเท่านั้นที่โกนคิ้ว จึงไม่เกี่ยวข้องกับพระธรรมเลย ถ้าอยากบวชแบบไม่โกนคิ้วก็บวชวัดพม่าครับ ในไทยมีเยอะเลย
2. เพราะอยากมีความสุขสงบตามอัตภาพไงครับ เพราะถ้ามีกิเลส ก็มีความอยากที่ไม่สิ้นสุด อยากได้สาวคนนั้น อยากจะเอาสาวคนนี้ แล้วมาเกิดความเศร้าความทุกข์ ที่ไม่ได้กับสาวที่หมายปองไว้ แถมยังสร้างความทุกข์ให้กับคนอื่นๆอีก ในการฟันแล้วทิ้ง
3. ในการที่เป็นพระแล้วกิจกรรมอะไรต่างๆก็ลดลงไม่ได้ทำเยอะแบบปกติ ถ้ากินเยอะไปก็ขับถ่ายไม่ออก แล้วตอนเช้าธงชาติก็ดันขึ้นอีก ต้องรอกว่าธงจะลงจากเสา

LungKO · 28 กุมภาพันธ์ 2012

guaregod said: ↑

สังเกตดูครับ พระไทยประเทศเดียวเท่านั้นที่โกนคิ้ว จึงไม่เกี่ยวข้องกับพระธรรมเลย ถ้าอยากบวชแบบไม่โกนคิ้วก็บวชวัดพม่าครับ ในไทยมีเยอะเลย
Click to expand...

เท่าที่ผมเห็นในอเมริกา นะครับ
พระลาว พระเขมร ก็โกณคิ้วเหมือนพระไทย นะครับ

changnoy · 28 กุมภาพันธ์ 2012

คนไทยไปเผยแพร่ไปตั้งวัดก็เอาวัฒนธรรมประเพณีของเราติดไปด้วย

rnuir · 28 กุมภาพันธ์ 2012

ผมว่าคุณควรบวชครับ เพราะว่าตัวคุณเองโดยพื้นฐานแล้วเป็นคนเห็นธรรมชาติตามจริง มุมมองความคิดคุณเป็นสากล ศาสนาพุทธมีคำอธิบายเรื่องธรรมชาติอยู่ แต่ผมว่าคุณหน่ะพอรู้แล้ว เพียงแต่คุณยังขาดความมั่นใจในสิ่งที่คุณรู้สึก แล้วไม่รู้ว่ามุมมองที่คุณเป็นอยู่ขณะนี้เป็นแนวทางแก่นของพุทธ คุณจะไม่ยึดติดสิ่งที่ไม่ใช่แก่นของพุทธ คุณจะแยกแยะได้ไม่ยาก

แก่นของพุทธคือ มองทุกอย่างตามความเป็นจริง แต่รายละเอียดคุณต้องไปศึกษาในศาสนาต่อไป

เป็นกำลังใจให้ครับ

paetrix · 28 กุมภาพันธ์ 2012

dark_emperor said: ↑

ก่อนอื่นผมต้องขอบอกก่อนว่าผมเป็นคนไม่นับถือศาสนาใดๆเลยแต่ก็ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ไม่ประพฤติเสียหายทำงานจิตอาสาด้วย ก็มีหลายคนที่รับได้และไม่ได้แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะมันเป็นความคิดส่วนตัวผมเอง แต่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้(เดือนพฤษภาคม ปี 55)ผมจะต้องทำสิ่งที่ถูกต้องสำหรับตัวผมและครอบครัวคือการบวชครับ แต่ผมยังมีข้อข้องใจในหลายจุดที่ผมต้องการทราบครับ
1.การโกนผมโกนคิ้ว ในความเข้าใจของผมคือธรรมชาติสร้างเส้นผมและคิ้วเพื่อช่วยในการปกป้องสิ่งที่จะทำอันตรายต่อร่างกายและช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกายแต่ศาสนาพุทธให้โกนออก เพื่ออะไรครับ? เป็นการฝืนธรรมชาติหรือเปล่า?
2.ผมเข้าใจว่าธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ต้องสืบพันธุ์และดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ไว้แต่ศาสนาพุทธห้ามแม้กระทั่งการถูกเนื้อต้องตัวกัน เพื่ออะไรครับ? เป็นการฝืนธรรมชาติหรือเปล่า?
3.ร่างกายของมนุษย์นั้นผมเข้าใจว่าร่างกายมนุษย์นั้นต้องการอาหารสามเวลาในแต่ละวันคือ เช้า-เที่ยง-เย็น แต่ศาสนาพุทธห้ามทานตอนเย็น เพื่ออะไรครับ? เป็นการฝืนธรรมชาติหรือเปล่า?
สิ่งที่ผมยังไม่เข้าใจก็มีเพียงเท่านี้ครับ รบกวนท่านผู้รู้ช่วยไขข้อข้องใจของผมด้วยครับ เพราะผมต้องการที่จะทราบจริงๆและต้องการที่จะทำให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีครับ
Click to expand...

.............เรื่องระเบียบวินัย(เปลือก) นี้คงไม่ต้องพูดถึง เพราะ จขกท คงเข้าใจดีอยู่แล้ว...เพราะการพูดกันได้ด้วยภาษาสุภาพ(ไทย อังกฤษ จีน) นี่ก็เป็นเปลือกอย่างหนึ่ง...วัฒนธรรมต่างต่างการไหว้พ่อ แม่ การสู่ขอลูกสาวเขา(ไม่ฉุดคร่าอนาจาร)..คงเป็นสิ่งที่ จขกท เข้าใจอยู่แล้ว...คงไม่ต้องถามตอบแบบกำปั้นทุบดิน....ทีนี้ หมา แมว วัว ควาย ก็เป็นธรรมชาติ..........พระพุทธศาสนา สอนเรื่อง อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค....การบวชเรียนนั้นเพื่อเรียนรู้สิ่งเหล่านี้.....เหมือนที่พระท่านว่า เพราะ โลกนี้ มันมี ชาติ ชรา มรณะ.....ทุกข์โทมนัสอุปายาส......เข้าไปตั้งใจเรียนรู้ในโอกาสครั้งนี้ให้เต็มที่นะครับ ส่วนเรื่องระเบียบวินัยก็เหมือนที่ผมยกมาตอนต้น...ลองคิดดูว่าถ้าเราไม่เช็ดถูบ้าน เวลากินข้าวก็เทลงบนพื้นกิน เราจะใหวใหมครับ....ทีนี้ ความสะอาด สว่างสงบ แห่งที่สัปปายะที่ปฎิบัติที่เหมาะสม สถานะที่เหมาะสม นั่นคือ ความเหมาะแห่งการเป็นผู้เข้าไปเรียนทางธรรม ในพระพุทธศาสนาเรา....ขออนุโมทนาด้วยครับ

telwada · 28 กุมภาพันธ์ 2012

คุณไม่นับถือศาสนา แต่คุณก้ได้รับอิทธิพลของศาสนา จากคนรอบข้าง จากสังคม จากสิ่งแวดล้อม
พุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สอนให้มนุษย์ รู้จักอยู่อย่างสมถะ ไม่แบ่งแยกชนชั้น เสมอภาค ไม่รบกวนผู้อื่นจนเกินไป ไม่ติดในรสอาหาร ไม่เก็บสะสมเครื่องอุปโภค บริโภคใดใด เกินกว่าความจำเป็นในชีวิตประจำวัน และ ภิกษุคือ ผู้ขอ เวลาหมด ตอบเท่านี้ก่อนนะขอรับ

dark_emperor · 6 มีนาคม 2012

ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะครับ ตอนนี้ผมก็กำลังศึกษาหาข้อมูลเพื่อเตรียมตัวอยู่ครับ หากมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมผมก็ยินดีน้อมรับ

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

รบกวนสอบถามท่านผู้รู้ด้วยครับ

dark_emperor สมาชิกใหม่

ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

changnoy สมาชิกใหม่

jintanakarn เป็นที่รู้จักกันดี

LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

changnoy สมาชิกใหม่

rnuir เป็นที่รู้จักกันดี

paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

telwada เป็นที่รู้จักกันดี

dark_emperor สมาชิกใหม่

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

รบกวนสอบถามท่านผู้รู้ด้วยครับ

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา