หลวงปู่แหวนอาพาธหนัก

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 3 มีนาคม 2012.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    หลวงปู่แหวนได้ป่วยหนัก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านได้อาราธนาให้หลวงปู่แหวนไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ ตึกสุจิณโณ ในหลวงท่านได้รับเอาหลวงปู่ไว้เป็นคนไข้ของพระองค์เอง มีวันหนึ่งพระลูกหลานของหลวงพ่อหนู ได้โทรไปหาหลวงพ่อหนูที่โรงพยาบาลว่า รูปเหมือนของหลวงปู่นั้นหมดแล้ว ยังเหลือแต่ที่ไม่ได้ปลุกเสก เมื่อหลวงพ่อหนูได้ยินดังนั้นแล้ว จัดการที่จะเอาหลวงปู่แหวนกลับมาวัด เพื่อที่จะปลุกเสกรูปเหมือน ในเรื่องนี้แลทำให้ผู้เขียนนี้กับหลวงพ่อหนูได้ทะเลาะเกิดความไม่พอใจในกันและกันขึ้นมา หลวงพ่อหนูก็จะเอาหลวงปู่กลับวัดให้ได้ คุณหมอทั้งหลายก็กลัวหลวงพ่อหนู เพราะว่าหนูมันดุ หรือมันชั่วนั่นเอง ตัวของผู้เขียนเองก็ได้คิดขึ้นมาในจิตในใจของตัวเองว่า มันจะเป็นอย่างไรก็ให้มันเป็นตามเรื่องของมันเถอะ จึงได้ให้ข้อคิดข้ออ่านแก่พวกหมอนั้นว่า หลวงปู่นั้นยังป่วยหนักอยู่ ยังไปไม่ได้ เลือดน้อยเลือดจางอยู่ พวกคุณหมอทั้งหลายไปขอก็ไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น ตัวเราเองก็ได้แนะนำให้ไปหาผู้ว่าไชยามาขอช่วยแต่หลวงพ่อหนูไม่ยอมฟัง เราเองก็แนะนำให้โทรไปหาพระเจ้าอยู่หัวนั้นมาช่วยขอ คุณหมอก็ได้โทรเข้าไปที่ราชสำนัก ทางราชเลขาสำนักราชวังก็ได้โทรมาขอกับหลวงพ่อหนูอีก แต่หลวงพ่อหนูก็ยังไม่ยินยอม จะเอาหลวงปู่กลับวัดดอยแม่ปั๋งให้ได้ ทางสำนักราชวังเขาได้คุยกับหลวงพ่อหนูว่า ผมจะหาหมายเลขโทรศัพท์ในหลวงให้ แล้วแต่หลวงพ่อหนูจะพูดกับในหลวงเอง ในเวลากำลังหาหมายเลขโทรศัพท์อยู่นั้นหลวงพ่อหนูก็ได้วิทยุไปที่โรงพยาบาลพร้าว ให้เอารถตู้โรงพยาบาลพร้าว มารับหลวงปู่กลับวัดดอย ตัวเราเองก็ได้วิทยุไปสับทางโรงพยาบาลพร้าว ว่าไม่ให้โรงพยาบาลพร้าวเอารถมารับหลวงปู่ เพราะหลวงปู่นั้นยังมีอาการหนักอยู่ ผลที่สุดก็จวนค่ำ ทางราชวังก็ยังไม่แจ้งหมายเลขของในหลวงมา หลวงพ่อหนูก็ได้โกรธให้เราอย่างแรง ถึงกับออกปากมาว่า “ในหลวงอะไร ก็ในหลวงตุ๊วีนั่นแหละ” แล้วหลวงพ่อหนูก็ได้กลับวัดดอยแม่ปั๋งคนเดียว ประมาณสองทุ่ม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้โทรมาพูดคุยกับหลวงพ่อหนูที่วัดดอยแม่ปั๋ง หลวงพ่อหนูจึงได้โกรธจัดให้กับเรา แล้วท่านจึงได้เอาผ้าไตรผ้าไหมที่ญาติโยมมาถวายนั้น เป็นรางวัลค่าจ้างให้พระลูกหลานนั้นปองเอาชีวิตเราให้ได้ เราเองก็ได้รับรู้เรื่องราวอันนี้กับหมู่เพื่อนที่รักกันอยู่ มาบอกเล่าให้ฟังว่าท่านอาจารย์จงระมัดระวังตัวให้ดีนะ หลวงพ่อหนูได้เอาค่าจ้างรางวัลให้พระองค์นั้น ปลงชีวิตท่านอาจารย์ เหตุอันนี้เกิดขึ้นจากความโลภ ความโกรธและความหลง เป็นใหญ่ ไม่คิดถึงธรรมวินัยเป็นหลัก ถึงแม้ตัวเองจะขาดจากความเป็นพระภิกษุก็จำยอม ทั้งอายุพรรษาก็ 40 กว่าแล้ว ก็ยังไม่คิดถึงเลย ตัวเราเองก็ได้ตั้งปณิธานตัวเองอยู่ว่า ถ้าเขาได้ทำกับเราลงไปแล้ว ความประจาดประจาน ความโหดร้ายของเขา ก็จะทำให้ชาวโลกเขารู้เองหรอก เมื่อหลังจากวันนั้นแล้ว หมอก็ได้เอาหลวงปู่ออกจากห้องอาพาธ แล้วขึ้นไปอยู่ชั้นที่ 14 ตึกสุจิณโณ ในคืนวันที่ 28 มิถุนายน 2528 นั้น เวลาตี 2 หลวงปู่เกือบสิ้นลมเสียแล้ว ทางเวรชายพยาบาลเขาบอกเล่าให้ฟังตอนเช้าตรู่ เพราะตัวของข้าพเจ้าเองก็ได้อยู่เวรมาตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน ตอนเช้าก็ได้เข้ารับเวรอีก ตั้งแต่วันนั้นมา หลวงปู่แหวนก็มีอาการหนักมากไม่ยอมกระดิกตัวเลย



    สิ้นร่มโพธิ์แก้ว...แตกกระจัดกระจาย


    จนถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2528 ในตอนเช้า เราเองก็ได้ให้หมู่คณะได้ไปฉันข้าวเสียก่อน แล้วเราจึงได้ไปเรียกหลวงปู่ขึ้นมาดูว่าท่านจะรู้สึกตัวได้ไหม เมื่อเราเรียกท่านแล้ว ท่านก็ได้ลืมตาขึ้นมาดูเรา เราเองก็ได้พูดกับหลวงปู่ว่า “หลวงปู่.....หลวงปู่เอย..หลวงปู่ไม่ต้องเป็นห่วงพระลูกพระหลานดอกนะ พระลูกพระหลานหาเลี้ยงตัวเองอยู่ ที่หลวงปู่ได้มาปฏิบัติธรรมนี้ก็เพื่อความพ้นจากทุกข์ สิ่งใดที่หลวงปู่ได้รู้แล้วได้เห็นแล้วซึ่งความสุขของหลวงปู่นั้น แล้วแต่หลวงปู่จะเห็นสมควรก็สุดแท้แล้วแต่หลวงปู่ เพราะโรคที่หลวงปู่เป็นอยู่นี้ พระลูกพระหลานก็ไม่สามารถที่จะเอาออกให้ได้ดอกนะ เพราะว่าร่างกายของหลวงปู่นี้ไม่ยอมรับเอายา เอาอาหารเสียแล้ว” เมื่อหลวงปู่ท่านได้รู้แล้วอย่างนี้ ท่านก็ได้เงือกหัวให้เรา (ผงกหัวให้เรา...เป็นการรับรู้) แล้วก็สงบนิ่งไป
    จนถึงเวลา 21.53 น. วันที่ 2 กรกฎาคม 2528 นั่นเอง
    การมรณภาพของหลวงปู่แหวน ก็ได้ทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราและพระบรมราชินีนาถ เหมือนกับว่าดินฟ้าถล่มไปทั้งเมืองไทย ในหลวงก็ได้พระราชทานโกศหลวงและรดน้ำอาบศพที่สถานพระราชทานปริญญาบัตรแก่ศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นก็ได้มีบุคคลทุกทิศานุทิศ ได้ไปเคารพศพของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ได้นำศพของหลวงปู่แหวนมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดดอยแม่ปั๋งตามเดิม สิริอายุหลวงปู่แหวนได้ 99 ปี ในหลวงท่านขออายุหลวงปู่ให้ได้ 120 ปี แต่หลวงปู่ก็พูดกับในหลวงว่า เอาเพียง 99 ปีก็พอเถอะ มันลำบากผู้อยู่ แล้วก็ได้ 99 ปี ตามทีว่าไว้จริง อันนี้คือพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาแท้จริง ขอให้พวกเราทุกๆคน จงนำเอาเป็นตัวอย่างของหลวงปู่แหวนนี้ ไว้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป ศาสนา ของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปในข้างหน้า

    ในพรรษาปีนั้น เราเองก็ได้สังเกตการณ์ดูเขาอยู่ตลอด ทีนี้อ้ายบาปไม่แพ้บุญ ในเดือนพฤศจิกายนฝนก็ได้ตกลงมาอย่างแรง หลวงพ่อหนูก็ได้ขึ้นไปที่กุฏิสามฤดู เอาใบไม้ออกจากรางริน ก็ไม่มีใครรู้ รู้แต่ลูกหลานหลวงพ่อหนูที่อยู่ชั้นล่างนั้น เพราะว่ากุญแจล็อค จนกว่าหลวงพ่อหนูฟื้นขึ้นมาคนเดียวในตอนเช้า พากันตื่นนอนแล้ว พระเณรทุกๆองคากันไปบิณฑบาต เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้วจึงได้รู้ว่าหลวงพ่อหนูได้ตกจากบันไดกุฏิของท่าน เมื่อเราฉันเสร็จก็ได้ไปดูท่าน ที่ไหนได้ ดูหน้าตาดำคล้ำไปหมด เราเองก็ได้บอกให้ลูกหลานเขาให้รีบนำส่งโรงพยาบาลเสียคงจะไม่ไหวแล้วแน่ ลูกหลานคนใดก็ไม่มีใครหัวกับนับซาเลย ( ไม่สนใจ หรือ ไม่ใส่ใจ ) เขามีแต่จะปล่อยให้ตายไปเลยกระมัง เราเองก็ได้มาสำนึกดูตัวเราเองว่า เราเป็นลูกหลานบัณฑิตนักปราชญ์ เราไม่ควรจะโกรธจะเกลียดต่อเขาเลย เราลองดูว่า บุคคลนี้จะรู้จักบุญคุณของเราไหม ถ้าเขารู้ก็เรียกว่ากรรมของเราเอง พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ว่า “คนพาล ถึงแม้ว่าเราจะยกทรัพย์ให้เขาทั้งแผ่นดิน เขาก็ไม่รู้จักบุญคุณของผู้ให้ แต่ผู้เป็นบัณฑิตแล้ว ผู้ให้ของเพียงนิดเดียว ก็รู้จักบุญคุณของผู้ให้”
    มีบุคคลคนหนึ่ง มาถามปัญหากับเราเองว่า บุคคลที่เขาทำกรรมชั่วอยู่นั้น ทำไมเขาจึงไม่ได้รับกรรมชั่ว บุคคลที่ทำกรรมดีก็ไม่เห็นได้กรรมดีตอบรับ เราเองก็ตอบรับกับเขาไปว่า ให้คุณไปลักขโมยเขาดูซิ หรือว่าไปฆ่าเขาดูซิ ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ตามจับคุณๆ เองก็ต้องอยาไม่เป็นสุขนับตั้งแต่คุณได้ลงมือทำไปแล้ว บุคคลนั้นก็ปิดปากเงียบ นี่แหละคือคนพาล ถึงแม้ผลกรรมชั่วมันก็ให้ผลอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าผลกรรมมันให้ผล เห็นกรรมชั่วเหมือนกับว่าน้ำอ้อยน้ำตาล เขาจึงทำกันอยู่

    ที่มาhttp://watpalun.igetweb.com/index.php?mo=59&action=page&id=345626
     
  2. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,578
    เคยได้ยินคนใกล้วัดดอยแม่ปั๋งบอกนานแล้วเหมือนกันว่าอาจารย์หนู เอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีชาวบ้านชอบเลย ตอนนี้เขาก็จากไปแล้ว เป็นเรื่องกรรมใครกรรมมันเถอะๆๆ
     
  3. chakapong

    chakapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    497
    ค่าพลัง:
    +1,305
    กล่าวถึงบุคคลที่สาม โดยที่ท่านไม่มีโอกาสได้แก้ต่างใดใด เป็นการสมควรไม่
    การปรามาสบุคคลอื่นที่เราไม่ทราบภูมิธรรมที่แท้จริง ถ้าท่านเป็นอริยะ จะบาปได้
     
  4. tuta868248

    tuta868248 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +1,116
    กราบนมัสการแทบเท้าหลวงปู่ด้วยความเคารพอย่างสูงหลวงปู่มีความเมตตาต่อลูกมาก อฐิฐานจิตขออะไรจากหลวงปู่ ถึงแม้หลวงปู่จะดับขรรค์นิพพานก็ให้ได้สมปรารถนา ลูกขออาราธนาบารมีหลวงปู่ปกเกล้าปกกระหม่อมลูกด้วยเถิดเจ้าคะ
     
  5. @korn

    @korn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +164
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
    ทางก้าวเดินเพื่อความเลิศเลอ
    ก่อนจังหัน
    พระเท่าไรวันนี้ (๒๙ ครับผม) พระที่ไม่มาฉันนี้มีเยอะนะ อยู่ในวัดนี้เป็นประจำ ไม่มาฉันวันละหลายๆ องค์ เท่าที่เห็นนี่มาฉัน พวกที่ไม่ฉันไม่ออกมาๆ เยอะ ส่วนมากการอดอาหารนี่ช่วยด้านจิตตภาวนาได้ดี เพราะฉะนั้นเราจึงท้องเสียได้เพราะอดไม่ถอยๆ สติดีๆ ติดแนบๆ อดเท่าไรยิ่งหมุนติ้ว นั่นละนานเข้าๆ ท้องเสีย จนกระทั่ง ๑๖ พรรษาลงเวทีแล้วหยุดละ อาหารก็ไม่อด มันก็ยังเสียเรื่อย จนกระทั่งจะช่วยชาติมันจะไปแล้วละ เริ่มเข้าพรรษามันจะไป ท้องมันเสียมามากต่อมาก
    หมอเขาบอกว่าเป็นมะเร็งในลำไส้ ไม่มีหวัง แต่ยาหมอเติ้งเอาขึ้นได้นะ ตั้งฮั่วไถ่มายืนยันว่ายาขนานนี้ดี เขาไปรักษาที่ไหนๆ ก็ไม่ได้เรื่องๆ หมอให้ยาเพียงเป็นมารยาท เขาหมดหวังแล้ว พอดีได้ยาหมอคนนี้ใส่เข้าไปหายเลย อยากให้หลวงตาฉันเป็นครั้งสุดท้าย จะหยุดอะไรก็ขอให้ฉันขนานนี้ก่อนแล้วค่อยหยุดค่อยปล่อย แล้วเอามาฉันดีดผึงจริงๆ นะ นั่นละเราถึงได้ยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งป่านนี้ นี่ก็เพราะการอดอาหาร เพราะฉะนั้นจึงได้เตือนพระ
    คืออดอาหารนี้มันดีทางด้านภาวนา สติดี อดไปหลายวันเท่าไรติดแนบไม่มีเผลอ ถ้าสติไม่เผลอกิเลสไม่เกิด กิเลสจะหมอบอยู่ข้างล่าง สติครอบๆ แต่นี้คนก็ตายเป็นจะว่าไง อดไปหลายวันๆ ธาตุขันธ์ก็เสีย เพราะเขาทำงานตามหน้าที่ของเขา เมื่อไม่มีอะไรเข้าไปย่อยมันก็เป็นไปทุกอย่างนั่นแหละ เลยท้องเสียๆ จึงได้เตือนพระเราอย่าให้เลยเถิดเราบอก คือเราผ่านมาแล้ว ก็เอาอันนั้นละมาสอนหมู่เพื่อน เราจะว่าเลยเถิดหรือไม่เลยเถิดมันก็เป็นกิจเป็นการงานอันสำคัญด้วยความตั้งใจของเรา เกี่ยวกับเรื่องการอดอาหาร
    คืออดเท่าไรมันยิ่งดีๆ นั่นละลืม ธาตุขันธ์จะไปไม่ได้แต่จิตนี้เหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า ต่างกันอย่างนั้นนะ ก็เรามาหาธรรม อาหารฉันเมื่อไรมันก็มีกำลังขึ้นมาทันที ส่วนจิตต้องได้พยุงๆ ธาตุขันธ์ได้กำลังทันที เวลาลงมาจากภูเขาจะไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเขาไม่ถึงนะ กำหนดวันกะว่าวันพรุ่งนี้จะไปฉันจะพอถึง แม้เช่นนั้นไปถึงกลางป่าไปไม่รอด พักเสียก่อนแล้วค่อยไป มันอ่อนมาก ทีนี้พอฉันเสร็จแล้วเหมือนม้าแข่ง ดีดผึงเลย กำลังทางร่างกายมาได้ง่าย แต่กำลังทางด้านจิตใจยาก จึงต้องได้พยุงทางด้านจิตใจมาก
    ใครจะอยากอด ไม่มีใครอยากอดอยากเป็นทุกข์ แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะทางก้าวเดินเพื่อความเลิศเลออยู่ที่นั่น ก้าวไปๆ เดินไปอย่างนั้น การอดอาหารดีทางสติ การหลับนอนไม่มีง่วง ถ้าอดอาหารผ่านสองวันไปแล้วจะไม่ง่วงเลย นอนหลับงีบเดียวตื่นแล้วไม่ง่วง ตามธรรมดาเราฉันจังหันอยู่นี้มันมีง่วงนะ ธาตุขันธ์คนธรรมดาคนหนุ่มคนอะไรนี้ยิ่งง่วงง่าย พออดอาหารไม่ง่วง นอนน้อยนิดเดียว ความเพียรดี จึงต้องได้อดได้ทนการภาวนา
    ทุกอย่างที่นำมาสอนหมู่เพื่อนจึงแน่ใจว่าสอนไม่ผิด เพราะเราผ่านมาหมดแล้ว บวกลบคูณหารในตัวเองผลได้ผลเสียเรียบร้อยแล้วออกมาสอนหมู่เพื่อน ไม่ผิด เพราะเราผ่านมาหมดแล้ว ทุกข์มากผู้ที่ฝึกฝนอบรมที่จะทำให้จิตได้ผ่านพ้นจากกิเลสตัวสำคัญๆ นี้ตัวอุปสรรคมาก ดึงดูดลงทางต่ำไม่มีอะไรเกินกิเลส ดึงลงๆ ธรรมะฉุดขึ้นๆ ถ้าไม่มีกำลังใจจริงๆ สู้มันไม่ได้ มันก็ลากไปจนได้แหละ ไปที่ไหนไปไม่รอดๆ คือกิเลสลากเอาๆ ไปไม่ถอยนั่นละธรรม ลากไปไม่ถอย ผ่านได้ๆ
    ทุกข์ยาก ท่านผู้ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ท่านก็บอกไว้ว่า อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ หรือขิปปาภิญญา ทันธาภิญญา ผู้ที่จะบรรลุธรรมได้เร็ว การปฏิบัติสะดวกทั้งรู้ได้เร็วก็มี การปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็วก็มี ทั้งปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้าก็มี รู้ธรรมรู้ได้ต่างกัน ทีนี้นิสัยวาสนาของเราเป็นยังไงก็ต้องปฏิบัติอย่างนั้น เราแค่ไหนควรจะฝึกทรมานตนขนาดไหนก็ต้องทำตามนั้น จะให้ทำเหมือนท่านผู้ที่เป็นขิปปาภิญญาหรืออุคฆฏิตัญญูไม่ได้ พอได้ฟังปั๊บบรรลุปึ๋งเลย ไอ้เรายังนอนไม่ตื่นมันต่างกันนะ
    การฝึกฝนอบรมธรรมฝึกฝนอบรมเถอะไม่มีคำว่าเสีย โลกที่เห็นแต่กิเลสเท่านั้นเป็นทองคำทั้งแท่งเป็นของเลิศเลอ มันจะดิ้นตายไปกับทองคำทั้งแท่งที่เต็มไปด้วยฟืนด้วยไฟ อยู่กับทองคำทั้งแท่งที่กิเลสเสกสรรขึ้นมานั้น โลกนี้ที่ไหนมีความสงบร่มเย็นสบายมีไหม เอามาอวดธรรมของพระพุทธเจ้าดูซิน่ะ ไม่มี ถ้าใครมีธรรมแล้วจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ความทุกข์จนข้นแค้นความมั่งมีเป็นภายนอกต่างหาก ขอให้มีธรรมในใจ ถ้ามีธรรมในใจมากน้อยจะมีความอบอุ่นตลอด ไม่ได้คำนึงถึงว่าความมีความจนนะ พอใจกับธรรมเข้าสัมผัสกันแล้วจะอยู่นี้ประจำตลอดเวลา ส่วนสมบัติเงินทองข้าวของยศถาบรรดาศักดิ์อยู่ข้างนอก ระลึกถึงเขาถึงจะทราบว่าเรามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ระลึกถึงยศถึงลาภเราถึงจะพอเข้าใจได้ แต่ธรรมที่อยู่กับใจนี้ไม่ระลึกก็เป็นกันอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีคำว่าความมีความจน ถ้าธรรมได้เข้าสู่ใจแล้วสงบเย็นไปตามๆ กันหมด
    ธรรมเป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ นะ พระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ มาสั่งสอนโลก อย่าพากันนอนใจ เวลานี้โลกเรานี้ถูกกิเลสกล่อมเอาเสียจนธรรมไม่มีความหมายนะเวลานี้ จะเข้าวัดเข้าวาฟังธรรมจำศีลนี้หัวเราะเยาะเย้ยกัน เวลานี้ยังไม่เป็น ยังออกไปได้ตามสบายๆ หนักเข้าไปกว่านี้ ผู้ที่จะไปวัดไปวาต้องไปแบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่งั้นพวกส้วมพวกถานมันจะหัวเราะเยาะเย้ย นี่เขาจะไปวัดนะ เขาจะไปสวรรค์นิพพานกันหมด ดีละไม่มีใครมาแย่ง เราสนุกหาปูหาปลาตามบึงตามบ่อได้สบายๆ ไม่มีใครมาแย่ง มันไปอย่างนั้นแล้วนะ ครั้นเวลาตายไม่เห็นมันไปหาบึงไหน มีแต่บึงใหญ่นรกอเวจี อย่างนั้นละกิเลสมันหนา
    พากันจำเอานะที่พูดเหล่านี้ เวลานี้กิเลสมันหนามาก ชาวพุทธเรานี้ละหนามากที่สุดเลย เราก็อยู่ในท่ามกลางแห่งชาวพุทธ สอนพี่น้องทั้งหลายเพื่อให้ได้สติสตัง เพื่อแก้ไขดัดแปลงตนให้เป็นคนดีมีความสุขประจำตน จึงต้องสอนอย่างนี้ ให้พากันจำเอา นี่ตะเกียกตะกายมาพอแล้วกว่าจะได้มาสอนโลก พระพุทธเจ้าสลบสามหนฟังซิน่ะ จึงได้ตรัสรู้ธรรม เราไม่เคยสลบแต่เฉียด เฉียดมาตลอด การปฏิบัติธรรมเอาจนกระทั่งฟ้าดินถล่ม ตั้งแต่นั้นมาไม่มีกิเลสตัวใดที่เป็นข้าศึกมาผ่านหัวใจ โล่งตลอด เรียกว่าว่าง สุญฺญโต โลกํ โลกสูญโลกว่าง ว่างจากกิเลสนั่นแหละ
    กิเลสนั่นละมันเป็นก้างขวางคอ พอกิเลสขาดสะบั้นออกไปจากใจแล้ว ก้างขวางคอขาดไปตามๆ กันไม่มีอะไรเหลือ นั่นละบรมสุข เราจะไปหาโลกไหนๆ ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ท้องฟ้ามหาสมุทรแต่ละสิ่งละอย่างเป็นของเขาๆ ความสุขความทุกข์แท้อยู่กับเรา ให้พยายามแก้ไขดัดแปลงจิตใจของตนที่กำลังแบกทุกข์อยู่เวลานี้ ให้ได้อาศัยความสุขความเจริญจากการบำเพ็ญอรรถธรรมบ้าง
    อย่าอยู่เฉยๆ นะ มันมืดเข้าทุกวันๆ นะชาวพุทธเรา เดี๋ยวนี้เห็นศาสนาเยาะเย้ยกันแล้ว มันหนาขนาดนั้นละกิเลส ส้วมถานหัวเราะเยาะเย้ยทองคำทั้งแท่งเคยมีหรือ แต่มันมีแล้วจากหัวใจของสัตว์ เห็นศาสนา เห็นวัดเห็นวาสถานที่อบรมศีลธรรมให้เป็นความดิบความดีตลอดถึงขั้นดีเลิศ มันเห็นเป็นของเล่น ของครึของล้าสมัยไปแล้ว ส่วนนรกอเวจีมีความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา มันถือเป็นทองคำทั้งแท่งๆ ต่างคนต่างบืนแล้วเดี๋ยวนี้ นี่ละกิเลสตัณหากำลังลากจมูกคน
    มันจมูกมีไหมเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่กิเลสลากไปหมด จมูกขาดไปหมดแล้วหรือ มันเป็นยังไงไม่ได้มองดูตัวบ้างเลย เราสงสารนะเราจวนจะตายแล้ว แต่ก่อนก็ไม่คิดมากเท่าไร เวลานี้จวนตัวเข้าไปเท่าไรยิ่งคิดเกี่ยวข้องกับโลก ส่วนจะมาคิดกับเราหมด ไม่มี เราหายสงสัย จะเป็นห่วงเป็นใยอะไรเป็นสมมุติทั้งมวล ขาดสะบั้นลงไปจากใจ วิมุตติธรรมท่านไม่ห่วงอะไร เป็นหลักธรรมชาติที่เลิศเลอตลอดเวลา ที่เรียกว่านิพพานเที่ยง ดูหัวใจของท่านผู้บริสุทธิ์ ไม่ต้องไปหานิพพานที่ไหนมาเที่ยงหรือไม่เที่ยง ดูหัวใจนี้รู้เอง
    ให้ปฏิบัตินะ ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยหลอกลวงโลก แต่กิเลสมันหลอกลวงมาแต่โคตรแต่แซ่ พ่อแม่ของมัน ลูกหลานเหลนของมัน หลอกลวงมาตลอด เราก็ถูกต้มถูกตุ๋นมาไม่เคยเข็ดหลาบอิ่มพอ เป็นยังไง โง่ขนาดนั้นนะลูกชาวพุทธ แล้วลูกศิษย์หลวงตาบัวยิ่งโง่ไปอีกมากกว่านั้นเหรอ พากันพิจารณาซิ ให้ตื่นเนื้อตื่นตัวนะ เวลานี้ยังไม่ตายสอนตัวเองได้ ฟิตตัวเองได้ ตายแล้ว กุสลา ธมฺมา ไม่มีความหมายนะ อย่ามานิมนต์เราไป กุสลา ธมฺมา นะ เดี๋ยวนี้กำลังกุสลา สอนคนให้ฉลาด จำเอานะ เอาละพอ ให้พร
    หลังจังหัน
    ทองคำที่เราได้แล้วเวลานี้เท่าไร (ทั้งหมด ๑๑ ตัน ๔๓๓ กิโล ๓๓ บาท ๗๗ สตางค์) นั่นเห็นไหม เราพอใจที่ได้ช่วยชาติคราวนี้ เราช่วยด้วยความเมตตาจริงๆ ไม่มีอะไรจะเก็บจะตกเรี่ยเสียหายไปไหนเลย เราควบคุมหมดเลย บริสุทธิ์ ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด บริสุทธิ์เหมือนกันหมดเลย เห็นไหมล่ะธรรมพานำ ธรรมนำโลกเป็นอย่างนั้น ถ้าโลกแต่โลกจมๆ จมตลอด ธรรมนำโลกฟื้นๆ ท่านทั้งหลายฟังเอา เราตัวเท่าหนูนำพี่น้องชาวไทยเรา สตางค์หนึ่งเราไม่เคยแตะ ฟังซิน่ะ บริสุทธิ์ไหมล่ะ
    คือธรรมนี้พอทุกอย่างในหัวใจเต็มไปหมด ไม่มีอะไรจะมาเพิ่มเข้าอีกได้เลย นั่นละพอ จากนั้นก็ความเมตตากระจายออกไปๆ แต่ก่อนมาเคยมีที่ไหนทองคำได้เข้าคลังหลวงถึง ๑๑ ตันกับ ๔๐๐ กว่ากิโล คราวนี้ก็คราวที่พี่น้องชาวไทยเราช่วยชาติก็แสดงผลให้ปรากฏขึ้นมา ประกาศความรักชาติของตนให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งทีเดียว เอามาเพื่อส่วนรวมๆ สำหรับดอลลาร์ได้เข้าเพียง ๑๐ ล้าน ๒ แสนกว่า คือเงินไทยเรามันร่อยหรอ พอเราหยุดการเทศน์ช่วยชาติแล้วเงินก็ไม่มา มาก็มาตามธรรมดาของมัน แต่ผู้ที่ขอความช่วยเหลือหนาแน่นตลอด เราจึงต้องเอาดอลลาร์มาช่วยเงินไทย เพียงเงินไทยไม่พอ ดอลลาร์เข้าบรรเทาทุกข์กันไปบ้าง เอาดอลลาร์เข้ามาช่วย
    เวลานี้ดอลลาร์กับเงินไทยช่วยไปด้วยกัน ไม่มีหวังที่จะเข้าคลังหลวง แต่ทองคำเราร้อยทั้งร้อยเข้าตลอดไม่รั่วไหลไปไหนเลย แต่ดอลลาร์ออกแล้วเดี๋ยวนี้ ออกมาทางเงินไทยออกช่วยโลกเรา ไปที่ไหนมีแต่คนขอ ไปที่ไหนขอยั้วเยี้ยๆ ตามสายทาง ไปส่งสิ่งของที่นั่นที่นี่ ไปเราก็ไปให้แล้วยังมาขอเราอีก ฟังซิน่ะ โฮ้ ยังไงกัน ตามด่านก็เหมือนกัน ด่านน้ำหนาวสองด่านนี่เราก็ช่วย ด่านแรกช่วยมากที่สุดหลายล้านนะ ไม่ใช่น้อยๆ หลายล้าน ปลูกบ้านให้เขาหลังหนึ่ง จากนั้นก็ขุดบาดาลให้ จ้างเขามาขุดบาดาลให้ เอาไฟฟ้าแรงสูงจากนู้นเข้ามานี้เลย จากสายใหญ่นู่นเข้ามานี่เป็นกิโลๆ ลงมาที่นี่ แล้วขุดบ่อบาดาลให้ ทำห้องส้วมให้ ๖ ห้อง ทำสถานที่ตรวจผ่านด่านให้อีก หลายล้านนี่ก็ดี
    ไปคราวนี้ขออีก แน่ะ มันยังไงพวกนี้ขอไม่หยุดไม่ถอย นี่กำลังให้ท่านชิตพิจารณาอยู่ เงินเราเป็นคนจ่าย ให้ท่านดำเนินการสั่งอะไรต่ออะไร สมควรอะไรให้ทางนู้นบอกมาเราก็จ่ายไปตามนั้นแหละ นี่ก็ด่าน โฮ้ ช่วยมากจริงๆ คิดดูซิเงินพี่น้องทั้งหลายบริจาคมาไม่มีเหลือละ อย่างนี้แหละฟังเอา ออกอย่างนี้แหละออกช่วยโลก คือเราบอกแล้วว่าเราไม่เอา เราแบตลอด ไม่เอาเลย มีเท่าไรออกหมดเราไม่เอา ธรรมนี่เป็นคำสัตย์คำจริง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมร้อยสันพันคม ตรงไปตรงมาแน่ว ว่าไม่เอาไม่เอา เป็นอย่างนั้นแหละ มีเท่าไรออกหมดเราไม่เอา
    เราช่วยโลกในวาระสุดท้ายนี่ช่วยเสียให้เต็มเหนี่ยว พูดให้เต็มยันเราเคยพูดมาหลายหนแล้ว แล้วชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราด้วย บอกชัดๆ เลย เราจะไม่กลับมาเกิดอีกตลอด เรียกว่านิพพานเที่ยงไปเลย เวลานี้ช่วยโลกช่วยให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเสีย มันจ้าอยู่ในหัวใจนี้แล้ว ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน นิพพานเที่ยงจ้าตลอดเวลา นั่นละใจดวงนั้นเป็นธรรมธาตุ ครองขันธ์อยู่ก็สักแต่ว่าขันธ์ ส่วนธรรมธาตุเป็นธรรมธาตุ พอขันธ์หมดสภาพปุ๊บเท่านี้ก็เป็นธรรมธาตุตัวเองล้วนๆ ไปเลย
    เราพูดได้เปิดหัวอกทุกอย่างกับพี่น้องชาวไทย ด้วยความสัตย์ความจริง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมร้อยสันพันคม ภาษาธรรมไม่มี ตรงไปตรงมา ใครจะว่าโอ้ว่าอวดว่าอะไรก็เป็นปากของเขา ปากของเราเป็นปากอรรถปากธรรมไม่ใช่ปากโกหกโลเล อันนั้นปากอมขี้ ไม่พอใจก็ตำหนิติเตียน พอใจก็ชม เหมือนมูตรเหมือนคูถก็ชมถ้าพอใจ สำหรับธรรมไม่ชม พูดอย่างตรงไปตรงมา นี่ธรรมออกจากหัวใจเรารู้ของเราทุกอย่าง พูดออกไปจากความรู้ของตัวเองจะผิดไปไหน ไม่ผิด
    ช่วยโลกคราวนี้ก็เรียกว่าช่วยด้วยความอบอุ่นใจเต็มที่ ไม่มีสงสัยว่าจะมัวหมองที่ตรงไหน บรรดาสมบัติทั้งหลายที่มาช่วยโลกคราวนี้เข้าหมดเลย ทองคำก็เหมือนกัน เงินสด ดอลลาร์ ออกด้วยความบริสุทธิ์เหมือนกันหมดเลย นั่นละธรรมนำโลก ท่านทั้งหลายฟังเอา ไม่มีด่างพร้อย สง่างามตลอด เราเองผู้ทำนี้ก็สง่าอยู่ในนี้แล้ว ออกจากความสง่านี้กระจายออกไปก็สง่าตามๆ กันไปหมด ถ้าอันนี้มัวหมองอันนี้มืดตื้อ ออกไปไหนก็มืดตื้อเป็นฟืนเป็นไฟเผาไปหมด ถ้าอันนี้ไม่มีแล้วไปไหนก็จ้าอยู่อย่างนั้น
    นั่นละใจ เมื่อชำระซักฟอกได้แล้วเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรจะเลิศเลอยิ่งกว่าใจ ครอบโลกธาตุ พอกิเลสตัวปิดบังตัวหุ้มห่อให้มืดมิดปิดตาว่า บาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี แตกกระจายออกไปหมดแล้วจ้าไปหมด อะไรมีอยู่ยังไงยอมรับตามความเป็นจริงนั้นๆ ดังพระพุทธเจ้าว่า บาปบุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี ท่านเห็นด้วยความกระจ่างแจ้ง โลกวิทู กิเลสมันว่ามันว่าด้วยความตาบอดของมัน เชื่อมันได้ยังไง แล้วก็ไปจมด้วยความเชื่อของมันนั่นละพวกเรา
    เพลียตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งป่านนี้ วันนี้อ่อนมากนะธาตุขันธ์ไม่เอาไหน อ่อน มองดูอะไรๆ มันถอยหมดเลย จะว่าเป็นไข้ก็ไม่เห็นมี แต่หากเป็นอยู่ในธาตุขันธ์ มองดูอาหารนี่ขยะๆ ไม่อยากเอา วันนี้อ่อนหมดร่างกายอ่อน ยังจะไปอยู่นะ นอนในรถ นอนภาวนาไป หลับไปภาวนาไป รถไปทางไหนไม่สนใจ ปรกติเป็นอย่างนั้น พอรถออกแล้วเราก็นอน นอนภาวนาไปหลับไปสบาย เป็นอะไรไม่ทราบวันนี้อ่อน จะว่าเป็นไข้ก็ไม่เห็นมี มันหากเป็นของมัน มองดูอะไรนี้ถอยกรูดๆ เลย ไม่รับอะไรวันนี้
    ลองดูน่ะเป็นไง เข้าท่าไหม บุหรี่หลวงปู่แหวนเท่านี้ ท่านสูบบุหรี่น่ารัก คนสิ้นกิเลสแสดงกิริยาอะไรออกมานี้น่ารักหมด หลวงปู่แหวนน่ารัก ได้ใส่กันแล้วนะนั่น เตรียมพร้อมหลายหนแล้ว ไปทีไรรถจอดอยู่ไม่ทราบกี่คัน ไอ้หนูบักห่านั่นมันหวง ถ้าเราไปมันเปิดหนีเลยมันกลัว พวกนั้นก็ไหลเข้ามาๆ ถ้าเราไปได้เฝ้าท่านหมดนั่นแหละ บักหนูบักห่ากินหัวมันมันไปใสไม่รู้ พอเห็นเราไปมันเปิดหนีเลย มันบ่มาใกล้มันกลัว ไม่กลัวไม่ได้หน้าผากแตกเลยกับเรา ใครจะมาทะลึ่งไม่ได้กับเรา เท่ากับเสือใหญ่ตัวหนึ่ง เข้าใจไหม เวลาขึ้นเป็นเสือเป็นจริงๆ นะผางเลยเทียว เสือธรรมไม่ใช่เสือแบบโลกๆ
    ไปหาท่านคุยกันอย่างหนักทีเดียว ท่านก็ไม่เคยมีแหละ เหมือนน้ำที่สะอาดสุดยอดอยู่ในถัง ไม่มีใครแตะต้องได้เลย ใครมาคนนั้นก็เหรียญ คนนี้ก็เหรียญ กูสู้อะไรว่าไป เหรียญชื่อว่าอะไร (เราสู้ครับ) เออ เราสู้ มีแต่ไปเอาอย่างนั้นละ บักหนูบักห่ามันหาเงิน ผู้เฒ่าไม่สนใจแหละ นั่นละที่ได้เอากันอย่างเต็มเหนี่ยวกับหลวงปู่แหวน เพราะเตรียมใส่กันอยู่แล้ว ไปทีไรไม่ได้คุยธรรมะ ท่านก็คงเตรียมจะรับเราแหละ ท่านพอทราบได้บ้างเรื่องของเรา แต่เราทราบเรื่องของท่านเต็มหัวใจ
    ไปทีไรคนรุมๆ เลยไม่ได้คุย ไปวันนั้น พอเห็นเราไปเขาหวังจะได้เข้าเฝ้าท่าน รถไม่ทราบว่ากี่คัน รถใหญ่รถบัส ลงมาเราก็บอก เอาละฟังนะ หลวงตาจะเข้าไปหาท่านเสียก่อน เข้าไปหาท่าน คุยกับท่านพอสมควรแล้วจะออกมา แล้วจะให้สัญญาณ วันนี้จะได้เข้าเฝ้าท่านหมดนั่นแหละเราว่างั้น ไม่สงสัยแหละวันนี้จะได้เข้าเฝ้า แต่ระยะนี้ให้รอสักพักหนึ่ง ให้เราเข้าไปหาท่านเสียก่อน เขาพอใจ เข้าใจแล้วนะ เข้าใจ แตกฮือกลับหมดเลย เราก็เข้า เขาก็รอจังหวะ พอเห็นเราออกมาเราให้สัญญาณ โอ๋ย พรึบเลย
    เข้าไปใส่กับหลวงปู่แหวนนะนั่น น้ำที่อยู่ในถังของท่านเป็นน้ำที่สะอาดที่สุดไม่มีใครไปแตะเลย วันนั้นพระขี้ดื้อพังถังใหญ่เลย ซัดกันเลย อู๊ย ผู้เฒ่าตัวแดงหมด คือพลังของธรรม ขึ้นทีแรกก็เข้าปั๊บจุดนี้เลย คือการถามนี่ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ ผู้ตอบถ้าไม่รู้ตอบไม่ได้ เป็นภาคปฏิบัติล้วนๆ ไม่มีในคัมภีร์ เข้าจุดพับท่านก็ใส่ผางมาเลยเราไม่ลืม พอออกปั๊บท่านก็ผางมาเลยทันที ๑๐ นาทีเราตั้งนาฬิกาไว้ เราก็หายสงสัยแล้วที่ท่านตอบมา ครั้งที่สองนี้ปั๊บเข้าไปอันใหญ่เลย รวงรังใหญ่เลยครั้งที่สอง พอครั้งที่สองท่านก็เปรี้ยงเลย ซัดเอาเสีย ๔๕ นาที ไหลเลยนะไม่มีหยุด ตัวแดง รวมเป็น ๕๕ นาทีสองพัก โฮ้ ท่านพอใจมาก ก็ธรรมของท่านประเภทนี้ไม่เคยได้พูดกับใคร เปิดให้ใครฟังเลย ก็มีเราเป็นพระขี้ดื้อไปพังถังเลยเทียว แตกกระจายซัดกัน โอ๊ย ท่านดีใจมาก ตัวแดง เสียงลั่นเลยเทียว
    นั่นละความจริงของธรรมรู้ที่ใจ ไปหาในคัมภีร์หาเท่าไรก็ไม่เจอ แต่หาภาคปฏิบัติเจอ ผู้ที่ถามถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ ผู้ที่ตอบไม่รู้ตอบไม่ได้ นั่นเป็นภาคปฏิบัติ เราก็ถามสองจุดที่เป็นจุดสำคัญๆ ท่านก็ผางออกมาตรงเป๋งเลย โฮ้ วันนั้นรู้สึกว่าท่านกระปรี้กระเปร่ามาก ตัวแดง กำลังธรรมของท่าน พูดธรรมอย่างเปิดเผยวันนั้น เปรี้ยงๆ เลย พวกนั้นเขาไม่ได้เข้ามา มีแต่เรากับท่านกับพระองค์หนึ่งที่อุปัฏฐากท่าน มีสามองค์ เหมือนพระทะเลาะกันในกุฏิ เสียงท่านลั่นเลยนะในกุฏิ จากนั้นก็กราบเรียนท่านว่าญาติโยมเขารออยู่ ขอนิมนต์ครูอาจารย์ไปโปรดเมตตาเขา เขาเต็มอยู่นั้น เออ ท่านว่างั้น ก็ออกมาพร้อมกันเลย
    พอเห็นท่านออกมาเราก็โบกมือ อู๋ย รุมเลย มาท่านก็เทศน์ให้ฟัง บักหนูบักเปรตนั่นมันคอยเอาแต่เงิน โอ๊ย บักห่ามันหยาบมาก เราดูไม่ได้นะ ดูพระที่หยาบโลนมากมันเลยพระ หยาบมากที่สุด เขามาถวายปัจจัยท่าน ไปสั่งกอบๆ ต่อหน้าต่อตาท่าน ท่านก็เฉย เราดูมันดูไม่ได้ว่างั้นเถอะพระประเภทนี้ เพราะฉะนั้นมันถึงกลัวเรา ไม่กลัวไม่ได้ฟาดหัวแตกเลยเรา นั่นละได้คุยธรรมะกับท่านเต็มเหนี่ยวก็คือวันนั้นละ เอาอย่างเต็มเหนี่ยวเลย ถามจุดสำคัญๆ ท่านก็ผางออกมาๆ เลย จากนั้นมาก็ไม่ได้ถามอีก หมดปัญหา
    นั่นละธรรมะภาคปฏิบัติ ขอให้เป็นในใจเถอะมันจะเปิดใส่กันทีเดียว เปิดจ้าใส่กันเลย ทางโน้นก็เปิดทางนี้ก็เปิดใส่กันพุ่งไปเลย ธรรมะภาคปฏิบัติ เราจะไปหาในคัมภีร์ไม่มี มีในภาคปฏิบัติ ธรรมพระพุทธเจ้าที่ออกมาในคัมภีร์นี้เป็นผิวเผินๆ เป็นเปลือกเป็นกระพี้ หลักใหญ่อยู่ที่พระทัยท่าน อันนั้นออกไม่ได้ ทีนี้ผู้ปฏิบัติธรรมมีแต่อันนั้นออกรับกัน ตามคัมภีร์เป็นเผินๆ ไปแล้ว นั่นละธรรมะภาคปฏิบัติก็รู้ก็เห็นอย่างนั้น ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้เรื่องได้ราว เหยียบย่ำไปมาเหมือนเราเหยียบแร่ธาตุต่างๆ ที่มีค่ามีราคาอยู่ในแผ่นดิน เหยียบไปเหยียบมา แร่ธาตุที่มีราค่ำราคาไม่เห็นไม่สนใจ ธรรมทั้งแท่งก็เหมือนกับแร่ธาตุต่างๆ ฝ่าเท้าของสัตว์ก็คือกิเลสมันเหยียบย่ำไปมา
    วันที่ ๓๑ ก็จะได้ไปเวียงจันทน์ กำหนดกฎเกณฑ์รถไว้แล้วยัง ไม่งั้นจะไปไม่ได้ มันจะแน่นหมดเลย เราต้องคัดไว้ๆ เรียบร้อย รถไหนที่ควรจะเข้า หรือจะเอารถใหญ่รับเข้าไป รถเล็กจอดอยู่ข้างนอกด่านเรา เอารถใหญ่เข้า (เขาเอาเบอร์ติดรถทุกคัน คนไม่มีเบอร์เข้าไม่ได้ครับ) ทั้งฝั่งโน้นฝั่งนี้เข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว รถเราเข้าด้วยความมีกฎมีเกณฑ์ เพราะวันนั้นรถจะไปมากอยู่ สิ่งของที่เราจะเอาไปวันนั้นก็ไม่น้อย อย่างน้อยสิบคันรถ รถสิบล้ออย่างน้อยสิบคัน ไปสงเคราะห์ประเทศลาวที่ยากจนมาก โรงพยาบาลค่อยกระเตื้องขึ้นบ้าง เราได้ช่วยเต็มกำลัง เฉพาะอย่างยิ่งตานี่ให้ ๓๐ ล้านทันทีเลย ให้พอให้ครบ อะไรที่ยังขาดต่อเติมอีกตานะ แต่หลักใหญ่ให้ไปแล้ว ๓๐ ล้านว่าพอ ให้พิจารณาปลีกย่อยเสียก่อนเขาว่างั้น เราก็รอฟังปลีกย่อย ขาดอะไรๆ เราให้อีก ส่วนใหญ่ให้ไปแล้ว ๓๐ ล้านสำหรับตา ทีนี้เครื่องไม้เครื่องมือในโรงพยาบาลจะต้องให้อีก
    ฟังว่าเตียง ๒๐ เตียงนี่เราก็จะให้พร้อมเลย (แล้วเครื่องมือทั้งหมด ๘ รายการที่เขาขอมาหลวงตาอนุมัติแล้ว ๕,๕๕๐,๐๐๐ บาท) เอาละเป็นไรไป เราเคยจ่ายมากกว่านั้นมาพอแล้วแหละ จะมาว่าอะไรเพียง ๕ ล้าน ถ้าว่าจะเอามันเอาจริงๆ หมัดหนึ่งไม่พอ เอาสองหมัดใส่เลย ให้มันถึงใจ ดังที่เคยเล่านิทานให้ฟัง มันเอาไม้ไผ่ไปแหย่หำเด็ก หางไม้ไผ่มันแหลมซีเด็กเลยตาย ทีนี้เขาก็จะเอาโทษต่อผู้ใหญ่ ทำเด็กตายแบบไหนก็ให้ทำกับไอ้นี่แบบนั้น มันก็ยอมรับหมด เอ้า ถ้างั้นกอไผ่อยู่ที่ไหนเอามาให้หมด ไม้ไผ่มัดๆ เป็นกำ เอา มานอนแล้วเปิดหำออก เขาก็เอาไม้ไผ่ที่มัดเป็นกำนี้จับยัดใส่เลย มันก็ไม่เป็นอะไร อันนั้นมันอันเดียวผันเข้าไปจนหำแตก อันนี้มันจะแตกอะไรจับยัดใส่เลย ตกลงมันก็ไปได้ พ้นโทษเลย เอาละพอ ให้พร

    Luangta.Com -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2012
  6. Jasmin99999

    Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    971
    ค่าพลัง:
    +3,331
    เป็นคำเทศนาที่เราควรจดจำและน้อมนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจริงๆ



    เป็นคำเทศนาที่เราชาวพุทธควรจะจดจำทุกถ้อยคำและน้อมนำไปใช้ไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดั่งที่หลวงตามหาบัวอุตส่าห์พร่ำสอนเราท่านทั้งหลายจนถึงวาระสุดท้ายของท่านที่สังขารไม่เอื้อำนวยแล้วจริงๆ กระทั่งท่านจากไปสู่แดนนิพพานแบบไม่หวลกลับเป็นตลอดอนันตกาล
     
  7. artbuddhabless

    artbuddhabless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +161
    สำหรับหลวงตามหาบัว ผมเคยมีโอกาสฟังท่านเทศน์ผ่านรายการโทรทัศน์หรือวิทยุไม่แน่ใจ (นานมากๆ) แค่ครั้งแรกก็รู้สึกถึงความห้าวหาญ แข็งแกร่ง เด็ดขาด และเต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมะจริงๆครับ ขอโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้นี้และผู้ให้ความรู้แก่ผู้ที่ได้เข้ามาอ่านบทความทุกท่านด้วยครับผม
     
  8. godteerayut

    godteerayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +139
    ผมขอแสดงความเห็นหน่อยนะครับ ตัวผมนั้นเกิดไม่ทันหลวงปู่แหวนครับ แต่หลวงปู่คุ้มครองผมและครอบครัวคนที่ผมรัก มาตลอดครับ สิ่งที่คุณนำมาให้อ่านนั้นนับว่าได้ให้ข้อมูลผมในอีกทางนึงครับ แต่ผมเองก็ไม่ได้เห็นเองกับตาตัวเองว่าหลวงปู่หนูท่านดีหรือไม่ดีอย่างไรใช่ไหมครับ สิ่งที่ผมเห็นมาไม่นานนี้คือพระธาตุของหลวงปู่หนูนะครับ คือผมคิดอย่างนี้นะครับ หากท่านไม่ดีจริงทำไมกระดูกท่านถึงแปรเป็นพระธาตุหละครับ และหากท่านไม่ดีหลวงปู่แหวนจะยอมให้ท่านดูแลหรือ และที่สำคัญหากไม่มีหลวงปู่หนู เราจะได้พบหลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง และมีวัตถุมงคลให้ลูกหลาน เราสักการะบูชาเหรอครับ ผมเพียงแต่คิดว่าเหรียญมีสองด้านเราไม่ควรมองอะไรเพียงด้านเดียวนะครับ เราลองไตร่ตรองหาเหตุผล ดูนะครับ


    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัยหลวงปู่หนู

    หลวงปู่หนู สุจิตฺโต ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๗ ในครอบครัวชาวนา มีฐานะยากจน โยมบิดาชื่อ เพชร โยมมารดาชื่อ หมุน นามสกุล สีใส มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดยโสธร (สมัยนั้นเป็นอำเภออยู่ในจังหวัด อุบลราชธานี)
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif] หลวงปุ่มีน้องสาว ๑ คน ท่านกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็กๆ จึงอยู่กับคุณย่า ต่อมาคุณย่า เสียชีวิตอีก จึงอาศัยอยู่กับคุณป้า เป็นผู้เลี้ยงดูต่อมา เมื่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ จึงออกมาช่วยคุณป้าทำนา จนอายุ ๑๖-๑๗ ปี คุณป้าก็ถึงแก่กรรมอีก พอดีมีญาติมารับน้องสาวไปอยู่ด้วย ท่านจึงเข้าวัดบวชเณรเพื่อ ศึกษาพระธรรมต่อไป

    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

    เนื่องด้วยมีฐานะยากจน หลวงปู่จึงต้องรับจ้างขุดดินอยู่ 1 เดือน เพื่อหาเงินมาซื้อจีวร และเครื่องบวชด้วยตนเอง แล้วจึงไปฝาก ตัวขอบวชเณรกับสมภารวัดในหมู่บ้าน ได้ฝึกหัดท่องสวดมนต์ และศึกษา ด้านถาถาอาคมบ้าง พอสมควร ในช่วงเวลานั้นเอง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้มาปักกลดอยู่ในป่าช้าร้างไม่ไกลจากวัด ท่านจึงได้ไปฟังหลวงปู่มั่นแสดงธรรม และในครั้งนั้นเองหลวงปู่หนูจึงเกิดความเชื่อมั่นในธรรม ตั้งใจที่จะบวชไม่สึกตลอดชั่วชีวิต
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]พออายุครบบวช ท่านจึงได้อุปสมบทที่วัดเดิม สังกัดในคณะ มหานิกาย ท่านได้ ศึกษาพระธรรม วินัยหัดท่องบ่นสวดมนต์เรียนคาถาอาคมต่างๆ รวม ทั้งฝึกนั่งสมาธิด้วยตนเอง ตามแบบอย่างที่ได้รับการชี้แนะมาจาก หลวงปู่มั่น[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖ หลวงปู่หนู ก็ได้ญัตติเป็นพระสังกัดคณะธรรมยุต ณ พระอุโบสถ วัดสร่างโศก (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นวัด ศรีธรรมาราม สังกัดคณะธรรมยุต) โดยมีพระครูจิตตวิโสธนาจารย์ (ทองพูล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิศาลศีลคุณ(โฮม) เป็นทั้งกระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ หลังจากฝึกสมาธิวิปัสสนา จนมั่นใจพอสมควรแล้ว หลวงปู่หนู ได้ ตัดสินใจออกธุดงค์ ซึ่งท่านได้ตัดสินใจเดินธุดงค์ไปจังหวัดต่างๆในภาคอิสาน ไปศึกษากับพระอาจารย์องค์ต่างๆ เช่น พระอาจารย์คำ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่มั่น ภูริทัตตฺโต หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นต้นหลังจากนั้น [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]ท่านจึงตัดสินใจเดินทางไปยังภาคเหนือ ท่านเดินทางถึงเชียงใหม่ในขณะที่มีอายุ 29 ปี และพำนักอยู่ที่เชียงใหม่เป็นต้นมา โดยไปพำนักกับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ต่อมามีชาวบ้านไปขอนิมนต์พระจากหลวงปู่สิม ท่านจึงจัดให้หลวงปู่หนูไปอยู่ฉลองศรัทธาชาวบ้าน ที่บ้านป่าเปอะ อำเภอสารภี ท่านจึงได้ไปอยู่ที่นั่น 2 พรรษา ขณะที่ปฏิบัติสมาธิภาวนาอยู่ ท่านได้นิมิต เห็นบริเวณดอยแม่ปั๋งว่าเป็นถิ่นเดิมของท่าน ท่านจึงได้อำลาศรัทธาชาวบ้านป่าเปอะ ออกธุดงค์ ค้นหาสถานที่ในนิมิต จนถึงดอยแม่ปั๋ง แล้วก็ปักหลักอยู่ที่นั่นตลอดมา[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]หลวงปู่หนู ได้นิมนต์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ จากวัดป่าบ้านปง ขึ้นมาพำนักบนวัดดอยแม่ปั๋ง เนื่องจากหลวงปู่แหวนอาพาธ สุขภาพทรุดโทรม เมื่อหลวงปู่แหวนรับนิมนต์แล้ว หลวงปู่หนูจึงได้คอยอุปัฏฐากดูแลหลวงปู่แหวน จนกระทั่งหลวงปู่แหวนมรณภาพ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]หลวงปู่หนู สุจิตโต มรณภาพเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2548 โดยกำหนดจัดงานพระราชทานเพลิงศพ ในระหว่างวันที่ 7-9 พฤษภาคม 2548 ณ เมรุชั่วคราว วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพิธีพระราชทานเพลิงศพกำหนดในเวลา 16.00 น. ของวันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2548

    หากไม่มีหลวงปู่หนูปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของวัดดอยแม่ปั๋งจะเป็นไปได้เหรอครับว่าจะไม่มีเซียน ต่างๆ เข้าไปรบกวนหลวงปู่แหวน ดังเช่นเราเห็นอยู่ในยุคปัจจุบัน

    [/FONT]หลวงปู่สิมท่านเคยกล่าวไว้ว่าหลวงปู่หนูข้างในใสเน้อ (แปลว่าหลวงปู่หนูข้างในใสนะ)

    สิ่งที่ผมนำมาให้อ่านนี้ก็เป็นเพียงข้อมูลอีกด้านนึงนะครับ ผิดถูกอย่างไรก็ขออภัยด้วยนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42 KB
      เปิดดู:
      294
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2012
  9. anuwattano

    anuwattano สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    อย่าเชื่อในสิ่งที่ตนไม่ได้สัมผัสเอง

    ทุกสิ่งอย่างหลวงปู่แหวนท่านได้เลือกแล้ว ถ้าไม่มีหลวงปู่หนูอาจจะไม่มีหลวงปู่แหวนในวันนี้ก็เป็นได้ จงอย่ากล่าวหาหรือให้ร้ายบุคคลโดยที่ตนไม่รู้ มันเป็นบาปนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...