ปัจจัตตังซัมเมอร์ ^O^ มหาสติ มหาสติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย โกมีนัม, 25 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    หมายความว่ายังไงล่ะลุงขันธ์ ???
     
  2. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    เห็นกระทู้ ของคุณ Sriaraya5 ลอยไปลอยมาตั้งนาน กดๆๆดูเห็นลุงขันธ์แค่สองทีนะ ทำไมถึงไม่ไปหลายๆทีเหมือนกะทู้อื่น
     
  3. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    โดยอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน (หลวงตามหาบัว)
    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2509

    นี่คือเวลาเริ่มพิจารณาเข้าสู่จุดรวมของกิเลสวัฏฏ์ ซึ่งได้แก่อวิชชา ขณะที่พิจารณาก็ยังไม่ทราบว่าตัวเองพิจารณาอวิชชา เป็นแต่เพียงคิดว่า นี้มันอะไรนา เป็นข้อข้องใจสงสัยอยู่ตรงนี้ แล้วก็หยั่งจิตลงไปที่นั่น ทำความสนใจในจุดนั้น พิจารณาว่ามันเป็นยังไงไปยังไงมายังไง แต่ก็ไปถูกจุด ทั้งนี้เพราะเราไม่รู้ชื่อมันว่าอะไรเป็นอวิชชา อวิชชาที่แท้จริงกับชื่อมันผิดกันมาก เห็นแต่กระแสของมันกระจายไปทั่วโลก นั้นมันเป็นเพียงกิ่งก้าน เหมือนเราไปหาจับโจรผู้ร้าย ไปจับก็จะได้แต่สมุนของมันเท่านั้น จับคนไหนก็เป็นสมุนของมันๆไม่ทราบว่านายมันอยู่ที่ไหน มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยเห็นหัวหน้ามัน

    จับมากต่อมาก จับเข้าไปๆตีตะล่อมเข้าไปๆที่เรียกว่าล้อมโจร คือเจ้าหน้าที่มีจำนวนมากและก็มีกำลังมาก ต่างคนต่างอาศัยกันรวมกันเข้าก็มีกำลังมาก ล้อมรอบจุดโจรอาศัยอยู่จับคนนี้ มัดคนนั้นเข้าไปๆเมื่อถูกถาม ตามธรรมดาโจรมันจะไม่บอกว่าใครเป็นนายของมัน ถ้าใครเป็นโจรก็มัดมันเข้าไปจนหมดจนไม่ให้มีเหลือซักคนในวงล้อมนั้น คนสุดท้ายนั้นน่ะเป็นนายของโจร คนสุดท้ายมันจะอยู่ในที่สำคัญ คือสมุนของโจรจะต้องล้อมรอบขอบชิดรักษาไว้อย่างดีทีเดียว ไม่ให้พบหัวหน้าของมันอย่างง่ายดาย ถูกจับเข้าไปเป็นลำดับๆจนถึงอุโมงค์ที่หัวหน้าโจรหลบซ่อนก็ฆ่าหมดไม่มีเหลือในที่นั้นแล้วมันก็ทราบชัดกันล่ะที่นี่ ว่า หัวหน้าโจรตัวฉลาดได้ถูกฆ่าให้สูญพันธุ์ไปเสียแล้ว อันนี้เป็นแต่เพียงรูปเปรียบ คือจิตที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งใด มันก็เป็นแขนงของความหลง ไม่ว่าจะหลงทางดีทางชั่ว มันเป็นเรื่องของอวิชชาและกิ่งก้านของอวิชชาทั้งนั้น แต่ตัวอวิชชาจริงๆมันไม่มีเพราะฉะนั้น อุบายวิธีพิจารณาต่างๆถ้าจะเทียบอุปมาก็เหมือนอย่างเราวิดน้ำเพื่อจะเอาปลา ถ้าน้ำมีมาก ปลาจะมีอยู่จำนวนมากน้อยเพียงไรก็ไม่ทราบ วิดน้ำออกจนน้ำแห้งไปเป็นลำดับๆปลาก็รวมตัวเข้าไปๆ ตัวไหนอยู่ที่ไหนก็วิ่งลงในน้ำๆ น้ำก็ถูกวิดออกเรื่อยๆ ปลาก็รวมตัวเข้าไปตัวไหนวิ่งไปไหนก็มองเห็น เพราะน้ำแห้งลงไปเรื่อยๆ ผลสุดท้ายเมื่อน้ำแห้งแล้ว ปลาก็ไม่มีที่หลบซ่อนก็จับตัวปลาได้

    ขึ้นชื่อว่ารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสกับอาการของจิตที่คละเคล้ากัน มันก็เหมือนกับน้ำซึ่งเป็นที่อาศัยของปลา การพิจารณาสิ่งเหล่านี้ก็ไม่หมายจะเอาสิ่งเหล่านี้ แต่จะฆ่ากิเลสต่างหากเหมือนกับคนวิดน้ำไม่หมายจะเอาน้ำ แต่หมายจะเอาปลาต่างหาก การพิจารณาก็ไม่หมายจะเอาสิ่งเหล่านี้ แต่ให้รู้สิ่งเหล่านี้เป็นลำดับๆ พอรู้ไปถึงไหนจิตก็หายกังวล รู้ทั้งสิ่งที่ไปเกี่ยวข้อง รู้ทั้งตัวเองผู้ไปเกี่ยวข้องว่าเป็นผู้ผิด เป็นความเห็นผิดของตัว จึงไปหลงรักหลงชังในสิ่งเหล่านั้นทีนี้วงแห่งการพิจารณาก็แคบเข้ามาๆ เหมือนกับน้ำแห้งลงไปๆ จะพิจารณาในธาตุในขันธ์อะไรมันก็เหมือนกับสิ่งทั่วไปภายนอก มันไม่มีอะไรแปลกกัน ถ้าเป็นด้านวัตถุ พูดถึงเรื่องธาตุก็เป็นธาตุอันเดียวกัน มันมีแปลกอยู่ที่อาการของจิตแสดงตัวออก แต่เราไม่รู้ก็ไปหมาย อันนี้มันก็ยังเป็นกิ่งก้านของอวิชชาอยู่ แต่มันจะซึมซาบเข้าไปหาส่วนใหญ่ พิจารณาเห็นสิ่งที่มาเกี่ยวข้องชัดเท่าไร ก็ยิ่งเห็นตัวออกไปเกี่ยวข้องชัดขึ้นทุกที เหมือนกับน้ำแห้งลงไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นตัวปลาชัดขึ้นทุกทีๆ

    การพิจารณาเห็นสภาพทั้งหลายทั้งภายนอกกาย ทั้งภายในกาย ทั้งในเจตสิกธรรมของตัวชัดขึ้นเท่าไร มันก็เห็นจุดที่อยู่ที่อาศัยของตัวการสำคัญชัดขึ้นๆ เมื่อพิจารณาตะล่อมเข้าไปความรู้ของจิตมันก็แคบเข้าไป ความกังวลของใจก็น้อยเข้าไป กระแสของใจที่ส่งออกไปก็แคบพอกระเพื่อมตัวออกไปเกี่ยวกับสิ่งใดก็พิจารณาเกี่ยวกับสิ่งนั้นด้วย พิจารณาความกระเพื่อมของจิตที่ออกไปแสดงตัวด้วย ก็เห็นทั้งสองเงื่อน รู้เหตุรู้ผลกันทั้งสองด้าน คือด้านที่ไปเกี่ยวข้องสิ่งที่ถูกเกี่ยวข้องหนึ่ง ผู้ไปเกี่ยวข้องหนึ่ง ปัญญาก็ขยับตัวเข้าไปเป็นลำดับๆ

    เมื่อเข้าไปถึงตัวอวิชชาจริงๆ โดยมากนักปฏิบัติถ้าไม่มีครูอาจารย์คอยแนะไว้ก่อนแล้ว จะต้องไปถือเอาตัวนั้นแลว่าเป็นตัวจริง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้พิจารณาเห็นชัดภายในใจแล้วว่าได้รู้เท่าและปล่อยวางไปหมดไม่มีสิ่งใดเหลือ แต่ผู้ที่รู้สิ่งทั้งหลายนั้นคืออะไรนั่น ทีนี้ก็ไปสงวนอันนั้นไว้ นี่แลที่ว่าอวิชชารวมตัวแล้ว แต่กลับมาเป็นตัวขึ้นโดยไม่รู้สึก จิตก็มาหลงอยู่นั้นที่ว่าอวิชชาก็คือหลงตัวเองนี่แหละ ส่วนที่หลงสิ่งภายนอกนั้นยังเป็นกิ่งก้าน ไม่ใช่เป็นเรื่องของอวิชชาอันแท้จริง

    การมาหลงอันนี้แล มาหลงผู้ที่รู้สิ่งทั้งหลายนี้แล ผู้นี้เป็นอะไรเลยลืมวิพากษ์พิจารณาเสียเพราะจิตเมื่อมีวงแคบเข้ามาแล้วจะต้องรวมจุดตัวเอง จุดของจิตที่ปรากฏตัวอยู่เวลานั้นจะเป็นจิตที่ผ่องใส มีความยิ้มแย้มแจ่มใส มีความองอาจกล้าหาญ ความสุขก็รู้สึกว่าจะรวมตัวอยู่ที่นั่นหมด สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมันเป็นผลของอะไร ถ้าจะพูดว่าเป็นผลก็ยอมรับเป็นผล จะพูดว่าเป็นผลของปฏิปทาเครื่องดำเนินก็ถูกถ้าหากเราไม่หลงอันนี้นะ ถ้ายังหลงอยู่มันก็ยังเป็นสมุทัยนี่ละจุดใหญ่ของสมุทัย

    แต่ถ้านักปฏิบัติผู้มีความสนใจพิจารณาในสิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอแล้วไม่มองข้ามไปยังไงก็ทนไม่ได้ ต้องสนใจเข้าพิจารณาจุดนั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเราก็เคยพิจารณาและเคยรู้เรื่องมาแล้วใจก็ไม่สัมผัส จะแยกจิตออกไปพิจารณาอะไรมันก็ไม่สัมผัส เพราะพอตัวในสิ่งนั้นๆแล้วอาการที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจากนั้น จิตที่ปรุงขึ้นมามันก็ปรุงขึ้นจากนั้น สุขที่ปรากฏขึ้นก็ปรากฏอยู่ที่นั่น ความสุขที่ปรากฏขึ้นมามันก็มีอาการเปลี่ยนแปลงให้เห็นซึ่งเป็นเหตุให้พิจารณาอีกเพราะในขั้นนี้เป็นขั้นที่ใช้ความสังเกตมาก เมื่อสังเกตความสุขมันก็ไม่แน่นอน เพราะความสุขที่ผลิตจากอวิชชามันเป็นสมมุติ บางทีก็มีอาการเฉาๆบ้างเล็กๆน้อยๆ พอให้ทราบว่ามันแสดงอาการไม่สม่ำเสมอ มันค่อยเปลี่ยนตัวเองอยู่อย่างนั้นตามขั้นแห่งธรรมที่ละเอียด นี่เป็นจุดที่จะนอนใจตายใจและยอมเชื่อสำหรับผู้ที่ปฏิบัติด้วยความเข้มแข็ง ด้วยความสนใจอย่างยิ่งแต่จะมานอนใจในจุดนี้ ติดในจุดนี้ หากไม่มีผู้อธิบายให้ทราบไว้ล่วงหน้าก่อน

    ถึงจะนอนใจก็ทนที่จะทราบไม่ได้เหมือนกันถ้าใช้ความสนใจ เพราะมีเท่านั้นเป็นสิ่งที่ดูดดื่มของใจ เป็นเหตุให้ดูดดื่ม เป็นเหตุให้พอใจในสิ่งที่ปรากฏนั้น เท่าที่เคยพิจารณามาเป็นอย่างนั้นจนไม่ทราบว่าอะไรเป็นอวิชชา ก็เลยเข้าใจว่าอันนี้แหละที่จะเป็นนิพพาน อันสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ตลอดเวลานี้แล คำว่าตลอดเวลาในที่นี้หมายถึงตลอดเวลาของผู้มีความเพียร มีการชำระซักฟอกกันอยู่เสมอ ไม่นอนใจติดอยู่กับสิ่งนั้นถ่ายเดียว ความสงวนก็มาก อะไรจะมาแตะต้องไม่ได้ระมัดระวังอย่างเต็มที่ พออะไรมาสัมผัสก็รีบแก้กันทันที

    แต่สิ่งที่รักสงวนนั้นตนหาได้ทราบไม่ว่าคืออะไร ทั้งที่ความรักความสงวนนั้นมันก็เป็นภาระของจิตอยู่โดยดี แต่ในเวลานั้นมันไม่ทราบ จนกว่าสมควรแก่กาลที่ควรรู้แล้ว จึงเกิดความสนใจที่จะพิจารณาในจุดนี้ นี่มันคืออะไรนา ทุกสิ่งทุกอย่างเราก็เคยพิจารณามา แต่สิ่งนี้มันคืออะไรนาที่นี่จิตก็จ่อเข้าไปตรงนั้น ปัญญาก็สอดส่องเข้าไป นี้มันคืออะไรแน่นะ อันนี้มันเป็นความจริงแล้วหรือยังไม่จริง อันนี้เป็นวิชชาหรือเป็นอวิชชา มันยังเป็นข้อกังขาสงสัยอยู่นั้นแหละ

    แต่อาศัยการพิจารณาทบทวนด้วยปัญญาอยู่ไม่หยุด เพราะเป็นสิ่งไม่เคยรู้ไม่เคยประสบมาก่อนว่าทำไมมันจึงรัก ทำไมมันจึงสงวน ถ้าหากว่าเป็นของจริงแล้วทำไมจะต้องรักสงวนกัน ทำไมจะต้องรักษากัน ความรักษานี่มันก็เป็นภาระ ถ้าอย่างนั้นอันนี้มันก็ต้องเป็นภัยอันหนึ่งสำหรับผู้สงวนรักษา หรือเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าไว้ใจทั้งๆที่ก็ไม่ทราบนะว่านั่นคืออะไร จะเป็นอวิชชาจริงหรือไม่เพราะเราไม่เคยเห็นนี่ว่าวิชชาที่แท้จริงกับอวิชชามันต่างกันอย่างไร วิมุตติกับสมมุติมันต่างกันอย่างไร ปัญญาก็เริ่มสนใจพิจารณาละที่นี่

    อวิชชานี้เองที่ปกปิดจิตแท้ธรรมแท้เรื่อยมา จึงไม่เห็นความอัศจรรย์ในหลักธรรมชาติของจิตอันแท้จริง ผู้ปฏิบัติดำเนินมาถึงขั้นหลุมพรางตาจึงหลงยึดว่าเป็นของอัศจรรย์ไปเสีย จึงมารักสงวนหึงหวงไว้ มาเข้าใจว่าเป็นเราเป็นของเรา จิตเราสว่างไสว จิตเรามีความองอาจกล้าหาญ จิตเราเป็นสุข จิตเรานี้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ธรรมชาติอันนี้ไม่รู้ตัวเอง ท่านเรียกว่าอวิชชาแท้ พอกลับมารู้อันนี้ๆก็สลายไป พออันนี้สลายไปแล้วก็เหมือนกับเปิดฝาหม้อขึ้นมานั่นเอง มีอะไรอยู่ในนั้นก็เห็นหมดอวิชชานี้เท่านั้นปิดไว้

    การปฏิบัติในศาสนานี้ถ้าปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์จริงๆ มันก็มีเคล็ดลับอยู่สองคือ ระหว่างอุปาทานของกายกับจิต กายกับจิตเป็นอุปาทานต่อกัน จะแยกจากกันนี้เป็นเคล็ดลับอันหนึ่งกับมาเคล็ดลับที่สองอันเป็นจุดสุดท้ายแห่งความสามารถของกระผมที่เป็นขึ้นมา นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่น่าสงสัย

    กระผมเคยไปบำเพ็ญอยู่ที่วัดดอย ปัญหาเรื่องอวิชชานี้มันทำให้งงอยู่นานเหมือนกัน คือขณะนั้นจิตมันสว่างจนตัวเองเกิดความอัศจรรย์ในความสว่างไสว ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเป็นเหตุให้อัศจรรย์นั้นรู้สึกมารวมตัวอยู่ในจิตนั้นหมด จนเกิดความอัศจรรย์ในตัวเองว่า แหม จิตของเราทำไมถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้นะ มองดูกายทั้งกายไม่เห็น มันเป็นอากาศธาตุเสียหมด ว่างไปหมด จิตมีความสว่างไสวอย่างเต็มที่

    แต่เดชะนะ พอเวลาเกิดความอัศจรรย์ตัวเองขึ้นมา ถึงกับอุทานในใจในเวลานั้น ด้วยความหลงไม่รู้สึกตัว ถ้าพูดถึงธรรมะส่วนละเอียดมันเป็นความหลงอันหนึ่ง มันอัศจรรย์ตัวเอง ทำไมจิตของเราถึงได้เป็นขนาดนี้ พอว่าอย่างนั้นก็มีธรรมะบันดาลขึ้นมา อันนี้ก็ไม่คาดไม่ฝันเหมือนกันผุดขึ้นมาเหมือนมีคนพูดอยู่ภายในจิตนี้ แต่ไม่ใช่คนพูด ผุดขึ้นมาเป็นบทๆว่า ” ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ ” ว่าอย่างนั้น

    ธรรมชาตินั้นมันเป็นจุดจริงๆจุดของความรู้ จุดของความสว่างนั้นมันมีจุดจริงๆดังอุบายผุดขึ้นมาบอก ทีนี้เราก็ไม่ได้คำนึงว่าอะไรมันเป็นจุด เลยงงไปเสียอีก แทนที่จะได้อุบายจากคำเตือนที่ผุดขึ้นนั้น เลยเอาปัญหานั้นมาขบคิด จนกว่าได้มาพิจารณาถึงตอนนี้ ตอนที่ว่าจุดนี้ ปัญหาอันนี้จึงยุติลงไป ถึงได้ย้อนกลับคืนไป รู้เรื่องที่ว่าถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพได้อย่างชัดเจน ถึงได้ความ อ๋อ คำว่าจุดว่าต่อมหมายถึงอันนี้เอง แต่ก่อนไม่เข้าใจ มันเป็นจุดจริงๆจะอัศจรรย์แค่ไหนมันก็เป็นจุดของความอัศจรรย์ มันเป็นจุดให้รู้อยู่ พออันนั้นสลายลงไปแล้วมันไม่มีจุด เพราะจุดมันเป็นสมมติทั้งนั้น จะละเอียดแค่ไหนมันก็เป็นสมมติ

    ถึงได้เทศน์สอนหมู่เพื่อนเสมอว่า เมื่อเข้าไปถึงจุดนั้นแล้วอย่าไปสงวนอะไรทั้งนั้น ให้พิจารณาลงไป แม้ที่สุดจิตจะฉิบหายลงไปด้วยการพิจารณาจริงๆ ก็ขอให้ฉิบหายไป อะไรจะรับรู้ว่าบริสุทธิ์ก็ให้รับรู้ไป หรือจะฉิบหายไปหมดไม่มีอะไร จะรับรู้ว่าบริสุทธิ์ก็ขอให้รู้กัน อย่าได้สงวนอะไรไว้เลย ก็เพื่อกันไว้ว่ากลัวจะมาสงวนอันนี้เอง ถ้าหากไม่เตือนถึงขนาดนั้นแล้วอย่างไรก็ต้องติดขอให้รู้เท่านั้น อะไรๆจะดับไปก็ดับไปเถิด แม้ที่สุดจิตดวงนี้จะดับไปด้วยอำนาจของการพิจารณาก็ขอให้ดับไป ไม่ต้องสงวนเอาไว้ เวลาพิจารณาต้องลงถึงขนาดนั้น

    แต่จะหนีความจริงไปไม่พ้น สิ่งใดที่เกิดสิ่งนั้นก็ต้องดับ สิ่งใดที่จริงเป็นหลักธรรมชาติของตัวเองแล้ว ก็จะไม่ดับ คือจิตที่บริสุทธิ์นั้นจะไม่ดับ ทุกสิ่งทุกอย่างดับไป ผู้ที่รู้ว่าดับนั้นไม่ดับอันนั้นดับไป อันนี้ดับไป ผู้ที่รู้ว่าสิ่งนั้นดับไปนั้นไม่ดับ จะว่าเอาไว้ก็ได้ ไม่เอาไว้ก็ได้ มันก็รู้อยู่อย่างนั้น ถ้าเราสงวนนี่ก็เท่ากับเราสงวนอวิชชาไว้นั่นเอง เพราะอวิชชามันละเอียด มันอยู่กับจิตถ้าสงวนจิตก็เท่ากับสงวนอวิชชา เอ้า ถ้าจิตจะฉิบหายไปด้วยกันก็ขอให้ฉิบหายไป อุปมาเหมือนกับฟันก็ฟันลงไปเลย ไม่ให้มีอะไรเหลือ ให้มันม้วนเสื่อลงไปด้วยกันหมด ขนาดนั้นพอดี
    www.dhammada.net

    ฮ่าาา...มีนัมไปหาเจอแล้ว มหัศจรรย์ ที่รอยต่อ มรณะ อวิชชา กับสังขาร
     
  4. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    อยากให้พี่เอกวีร์ไปค้นดู PM ของมีนัมอีกจังแฮะ อะไรๆก็ว่ากันไป
    แอ๊ก.ง..............ง ๆๆๆ แค๊กๆ ^O^"!!
     
  5. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    เอาเป็นว่าต่อไปถ้าใครส่งภูมิความรู้อะไรมา มีนัมขอถือว่า ความรู้ที่ให้มาแล้วก็ถือเป็นของมีนัมแล้ว มีนัมจาเอาไปแบ่งใครดูก้อได้ ใช่มั๊ยล่าาา ^_^
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    เห็นว่าเขามีกุศลจิต ก็ปล่อยเขาไป จะผิดจะถูกก็ให้เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง

    ส่วนพวกที่เราเข้าไปก็มีอยู่ 2 ประเภทคือ พวกที่พอจะรับรู้ธรรมได้ กับ พวกที่ชอบทำลายธรรมโดยไม่รู้ตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2012
  7. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขอบคุณนะ พอได้เข้ามาอ่าน เรารู้สึกโดนใจตรงจุดที่หลวงตาอธิบายตรงนี้มาก

    กราบ ๆ ๆ พ่อแม่ครูบาอาจารย์

    ขอบคุณมาก ๆ สู้ ๆ
     
  8. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    สู้ๆ.............

    พอดีเกิดศุภนิมิตที่หัวใจของวิญญาณพอดีเลย
    วิญญาณเลยฝากสังขารไปบอกอวิชชาว่า

    จะให้ชั้นลืมนายไปง่ายๆแบบนั้นชั้นคงทำไม่ได้ แต่ยังไง ชั้นก็ต้องทำให้ได้ ขอบคุณนะ ^_^
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    PM ไรอ่ะ!?

    เรื่อง ขันธ์ฮ่า เหรอ ?????

    อย่า งง เลยน๊อ งง ให้รู้ว่า งง มีประโยชน์กว่า

    ขันธ์ฮ่ามันก็เป็น เช่นนั้นเอง
     
  10. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    อวิชชาต้องเห็นไล่เข้าไปจริงๆนั้นละ ทีแรกจิตรู้จักรูปนามว่าเป็นสมมุติจนจิตมันปล่อย ก็คิดว่าสบายแล้ว..เจอแล้วอวิชชาเหตุให้ปรุงแต่งเสพรูปนาม
    ที่ไหนได้ นานวันไปก็เริ่มเห็นว่าจิตมันก็ยังเสพรูปนามอยู่เลยถึงจะน้อยลง แต่มันก็ยังเสพ เลิกไม่ได้ ก็เลยชักจะเห็นว่าจิตนี้ละตัวโง่ตัวจริง ที่ว่าโง่ก็เพราะมั่นใจว่าจิตมันรู้จักรูปนามรู้ปจักสมมุติแล้วจริงๆ แต่มันก็ยังเสพ ก็เลยชักจะเห็นว่ามันโง่

    ตอนนี้ก็เลยทำอย่างเดิมๆพิจารณาอย่างเดิมที่ทำให้จิตมันรู้จักรูปนามจนปล่อย แล้วก็ดูความโง่ของมันไปด้วย นี้ละที่บอกว่าเพิ่งจะเริ่มดูจิตเห็น ก็เพราะรู้จักจนไล่ต้อนเข้ามาอย่างงี้....พูดยาก:'(
     
  11. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    เนี่ยๆๆๆก่อนจะถึงวิญญาณ ต้องฝากบอกหลายต่อนะ พี่นามฝากวิญญาณไปบอกลุงสังขาร แล้วลุงสังขารจึงไปควานหาอวิชชาตะโกนบอกไกลๆที่ไหนไม่รู้อีกทีนะเนี่ย
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    พระพุทธองค์กล่าวว่า ศุภนิมิตใด เกิดขึ้นแล้ว ยังให้เกิด "การสำคัญ"

    เมื่อเกิดเป็น การสำคัญ ก็ไม่เป็นไปเพื่อการ เบื่อหน่าย เมื่อไมเป็นไป
    เพื่อการเบื่อหน่าย ก็ไม่เป็นไปเพื่อการรู้ ศุภนิมิตนั้น ให้ละทิ้งเสีย !!


    *******************

    * โก น้ำ มาหลงคารมอะไรกับจิตตีนนท์รูปหล่อ

    มี มาทำสัญญาอะไรกับ สำคัญตัวดี

    นัม ดอกไม้ กับเขียวแก้ว ก็มาเป็นเพื่อนกันด้วยเหตุใด

    ใช่เลย คงเหมือนที่มีสิ่งหนึ่งมูลใจ

    ให้เรามาเป็นขนมไทย
     
  13. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    อุ๊บบ.........!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มีนาคม 2012
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ชะอุ๋ย ก็ชะอุ๋ย เนาะ

    ของบางอย่าง ไม่ต้องพูดก็ได้ ปล่อยให้เป็นเรื่องของ ศรัทธาที่จะเกิดบ้าง

    หัดเผื่อแผ่เขาบ้าง เนาะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2012
  15. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ตามลิ้งค์ข้างบน

    ถึงได้เทศน์สอนหมู่เพื่อนเสมอว่า เมื่อเข้าไปถึงจุดนั้นแล้วอย่าไปสงวนอะไรทั้งนั้น ให้พิจารณาลงไป แม้ที่สุดจิตจะฉิบหายลงไปด้วยการพิจารณาจริงๆ ก็ขอให้ฉิบหายไป อะไรจะรับรู้ว่าบริสุทธิ์ก็ให้รับรู้ไป หรือจะฉิบหายไปหมดไม่มีอะไร จะรับรู้ว่าบริสุทธิ์ก็ขอให้รู้กัน อย่าได้สงวนอะไรไว้เลย ก็เพื่อกันไว้ว่ากลัวจะมาสงวนอันนี้เอง ถ้าหากไม่เตือนถึงขนาดนั้นแล้วอย่างไรก็ต้องติดขอให้รู้เท่านั้น อะไรๆจะดับไปก็ดับไปเถิด แม้ที่สุดจิตดวงนี้จะดับไปด้วยอำนาจของการพิจารณาก็ขอให้ดับไป ไม่ต้องสงวนเอาไว้ เวลาพิจารณาต้องลงถึงขนาดนั้น
     
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ เรื่อง ผู้ประกอบด้วยอวิชชา คือผู้ไม่มีความรู้สี่อย่าง พระวจนะ" พระองค์ผู้เจริญ พระองค์กล่าวว่า อวิชชา อวิชชา ดังนี้ ก็อวิชชา นั้นเป็นอย่างไร? และด้วยเหตุเท่าไร บุคคลชื่อว่าถึงแล้วซึ่ง อวิชชา.......................แน่ะ ภิกษุ ความไม่รู้อันใด เป็นความไม่รู้ในทุกข์ เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์ และเป็นความไม่รู้ในทางดับไม่เหลือของทุกข์ นี้เราเรียกว่า อวิชชา....และบุคคลชื่อว่าถึงแล้วซึ่งอวิชชา ก็เพราะเหตุไม่รู้ความจริงมีประมาณเท่านี้แล........................"พระองค์ผู้เจริญ พระองค์กล่าวว่า วิชชา วิชชา ดังนี้ ก็ วิชชา นั้นเป็นอย่างไร และด้วยเหตุเท่าไร บุคคลชื่อว่าถึงแล้วซึ่ง วิชชา.........................แน่ะ ภิกษุ ความรู้อันใด เป็นความรู้ในทุกข์ เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นความรู้ในการดับไม่เหลือของทุกข์ และเป็นความรู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือ ของทุกข์ นี้เราเรียกว่า วิชชา และ บุคคลชื่อว่าถึงแล้วซึ่งวิชชา ก็เพราะเหตุรู้ความจริงมีประมาณเท่านี้แล.......................ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำความเพียร เพื่อให้รู้ตามจริงว่า นี้เป็นทุกข์ นี้เป็นเตุให้เกิดทุกข์ นี้เป็นความดับทุกข์ นี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกขื ดังนี้เถิด-----มหาวาร.สํ.19/538-539/1694-1695.:cool:
     
  17. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    ผมเข้าใจอย่างนี้มานานแล้ว
    ที่ว่าจะต้องรู้เข้าไปเป็นลำดับ ถ้าแจ้งรูปก็แจ้งนาม แจ้งทั้งสอง ก็แจ้งขันธ์5
    ถ้าไม่แจ้งรูปแล้วมาบอกว่าแจ้งนามได้นี้ไม่เชื่อ แต่ไม่อยากค้านใครเพราะขี้เกียจถกเถียง เคยค้านแล้วเบื่อแล้ว
    ไม่พูดดีกว่า ไม่ได้กลัวผิดนะ แต่กลัวไม่ตรงใจคนอื่นมากกว่า ทางใครทางมันไปละกัน:'(
     
  18. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +1,459
    รูป นาม ทั้งสอง มันก็ขันธ์ 5 นี่ครับ
    ถ้าไม่แจ้งใน รูป นาม มันก็ไม่แจ้งในขันธ์ 5 อยู่แล้ว
    เพราะรูปนาม มันก็ ขันธ์ 5 ไม่ใช่เหรอครับ
    หรือว่าผมเข้าใจผิด
     
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    คนมันโง่ ไงพี่เตช พี่ชาติเกิดอยากโชวโง่ขึ้นมา

    มันอยากจะเถียง เรื่องรู้รูป เพื่ออ้างว่า ต้องทำสมถะก่อน

    แต่ไอ้เฮีย มึงเพ่งรูปเท่าไหร่ เพ่งให้ตายเท่าไหร่ ก็ไม่มีวัน แจ้งรูป ได้หลอก

    ไอ้พวกแจ้งรูป พูดว่า แจ้งรูปนี่ ค่อนไปทาง โง่แสนกัปป์ เพราะว่า

    เพ่งรูปแล้วได้อะไร ไม่ได้ความรู้อะไรเลยนะ ไม่แจ้งรูปอะไรเลย
    แต่จะเป็น อาสัญญีสัตตา ค้าง รูป ที่ทำนั่นแหละ ก้งโค้งอยู่แบบนั้น
    ในท่านั้นไปเลย

    พอคลายจากการ สำคัญว่านี่คือการแจ้งรูป ก็ วูบ ลงนรก ไปเลยนะ

    ปัญหา มันจึงไม่ได้อยู่ที่ "รูป"

    ใครเขาไปแก้ปัญหาที่ "รูป"

    ของทุกอย่างมันเกิดจาก "รูป" หรือไง ไปฟังอะไรโง่ๆมาจากไหน หรือ คิดเอาเอง
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ตีให้ถูกตัว ตัวทุกข์ คือ ตัวโง่ ไม่ใช่ขันธ5
    ดูรูป นาม ให้เป็น เพื่อ เจริญมหาสติได้ ระลึกในรูป นาม ที่เกิดได้เป็น
    เวลาเจริญวิปัสสนา ให้ดูตัวโง่ให้เจอ ตีที่ตัวโง่ แล้วทุกข์จะดับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...