หัวใจพระพุทธศาสนาว่าด้วยการชำระล้างจิตให้บริสุทธิ์หมดจด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 7 มีนาคม 2012.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ในวันขึ้นดิถีมาฆะฤกษ์ ได้เวียนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่ง ซึ่งคงหนีไม่พ้นที่จะต้องกล่าวถึงโอวาทปาติโมกข์ หรือที่เราเรียกกันจนคุ้นปากคุ้นใจว่า "หัวใจพระพุทธศาสนา"

    พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอน และย่นย่อพระธรรมคำสั่งสอน รวมลงเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและนำไปปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริง เป็นธรรมที่ลึกซึ้งและเข้าถึงได้โดยยาก ผู้ที่เป็นบัณฑิตจึงจะรู้เห็นได้ ไม่ใช่เพื่อให้คิดแบบง่ายๆ สบายๆ ลัดสั้นอันเป็นธรรมที่เกิดจากสัญญาเท่านั้น

    แสดงว่าโอวาทปาติโมกข์นี้ ไม่มีลัดสั้น ต้องเริ่มดำเนินไปตามองค์ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ดีแล้ว และสามารถขับเคลื่อนให้ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ หลุดไปจนถึงฝั่ง พ้นจากห้วงแห่งทุกข์ได้ จึงได้มีการรับรองความสำคัญในธรรมนี้ ว่าคือหัวใจพระพุทธศาสนา ที่ทรงย่นย่อพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ทั้งหมดลงเหลือเพียง ๑.ละความชั่ว ๒.สร้างความดี ๓.ชำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย

    เมื่อนำพระโอวาทของพระบรมศาสดามาพิจารณาโดยรอบคอบแล้ว สามารถกล่าวได้ว่า เป็นเรื่องของการปฏิบัติทางจิตล้วนๆ เนื่องจากกาย วาจาที่แสดงออกมาให้ปรากฏนั้น ล้วนออกจากจิตใจของตนที่เข้ามาอาศัยใช้สอยในกาย วาจา ใจนี้อยู่ เพราะจิตใจของตนนี่เองที่เป็นผู้รับรู้ธรรมารมณ์ต่างๆที่เป็นแขกจรเข้ามา และถูกเก็บสะสมหมักดองอยู่ที่จิตของตน จนเป็นอุปนิสัยถาวร กลายเป็นกิเลส กรรม วิบากตามมา

    จึงมีการบันทึกวาระกรรมต่างๆลงที่จิตของตน ตามที่ตนได้เคยกระทำไว้ และส่งผลนำพาให้จิตของตนต้องเวียนว่ายเข้าไปในภพน้อยใหญ่อันยาวนานนับไม่ถ้วน พร้อมสร้างอุปนิสัยใจคอจนเป็นกิเลส กรรม วิบากของตนขึ้นมา เพราะได้เคยสะสมธรรมารมณ์เหล่านั้นไว้ เมื่อถึงวาระอันควรก็จะถูกแสดงออกมาโดยทางกาย วาจา ใจ

    เมื่อกระทบอารมณ์ทั้งหลาย ที่น่ารักใคร่ชื่นชอบ เป็นสุข หรือน่ารังเกียจ ชิงชัง เศร้าโศก เป็นทุกข์ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่จิตของตนและก็ดับไปจากจิตของตน และตนเองย่อมเป็นผู้รับรู้ได้ในทันทีหรือระลึกถึงได้ในภายหลัง ถึงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆเหล่านั้นก็ตาม ล้วนเป็นอารมณ์ที่ถูกจิตรู้และเก็บสะสมเป็นธรรมารมณ์ไว้ที่จิต

    จิตจึงมีการบันทึกวาระกรรม หรือที่เรียกว่ากฏแห่งกรรมเหล่านั้นที่ได้ถูกบันทึกไว้ ดั่งพุทธภาษิตที่ทรงกล่าวไว้ว่า "บุคคลที่กระทำกรรมเช่นใด ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น บุคคลที่กระทำกรรมดีย่อมได้รับผลแห่งกรรมดี บุคคลกระทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลแห่งกรรมชั่วนั้น" บุคคลในที่นี่หมายเอาที่จิตของบุคคลผู้นั้นที่กระทำกรรมต่างๆเอาไว้ จึงได้ถูกบันทึกกรรมลงที่จิตของบุคคลนั้น เป็นกฏแห่งกรรมที่ถูกต้องชดใช้ตรงไปตรงมา

    ไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีความเชื่อความเข้าใจกันแบบผิดๆ เป็นการเชื่อแบบเชื่อตามๆกันมาโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบและอาศัยหลักของเหตุผลเข้ามาพิจารณาเลย ความเชื่อที่ว่าคือ จิตมีการถ่ายทอดกรรมให้กันและกันได้ จากจิตดวงหนึ่งที่กระทำกรรมไว้ ไม่ต้องรับผลแห่งกรรมนั้น แต่กลับไปถ่ายทอดให้จิตอีกดวงหนึ่งรับกรรมแทนไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ และทำให้เรื่องกฏแห่งกรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้วเสียหายไปด้วย

    และเรื่องที่จิตมีการถ่ายทอดกรรมให้กันและกันนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกด้วยเช่นกัน เพราะขาดหลักของเหตุผล แม้อรรถกถาจารย์เองท่านก็ได้รจนาเอาไว้ชัดเจนว่า ในขณะจิตหนึ่งที่มีขึ้นนั้น จะมีพร้อมกันที่เดียวสองดวงนั้นเป็นไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การถ่ายทอดกรรมกฏแห่งกรรมของจิต ก็ไม่อาจเป็นไปได้เช่นกัน ฉันใดฉันนั้น

    ตามหลักเหตุผล เมื่อจิตดวงเก่าที่กระทำกรรมไว้ยังไม่ได้ดับไป จิตดวงใหม่ที่จะมารับกรรมแทนนั้น ก็ไม่อาจเกิดขึ้นมาได้เช่นกัน แล้วจะเอาช่วงเวลาตรงไหนเหมาะๆมาถ่ายทอดกรรมที่กระทำไว้ให้กันและกันได้หละ ถึงได้มีความเชื่ออย่างนั้นขึ้นมาได้ว่า จิตถ่ายทอดกรรมให้กันและกันได้ โดยแกล้งไม่ยอมรับในเหตุผลที่ถูกต้องก็เถอะ ก็ยังขาดเหตุผลอยู่ดี เพราะจิตของบุคคลที่กระทำกรรมต่างๆไว้ ย่อมต้องได้รับผลแห่งกรรมที่ตนเองกระทำกรรมนั้นอยู่ดี นี่จึงเป็นกฏแห่งกรรมที่เที่ยงตรง

    ถ้ามีการถ่ายทอดกรรมต่างๆให้กันและกันได้จริง เรื่องกฏแห่งกรรมก็เสียหายหมด โลกนี้คงวุ่นวายน่าดูที่เดียวเชียว เพราะผู้กระทำกรรมต่างๆไม่ต้องรับผลกรรมนั้น แต่กลับถ่ายทอดกรรมต่างๆไปให้จิตดวงใหม่เป็นผู้รับกรรมนั้นไปแทน โดยที่จิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นมานั้นไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยเลย การสอนแบบนี้ ใครเค้าจะเชื่อถือได้ลงหละ

    มีพระพุทธพจน์รับรองเรื่องกฏแห่งกรรมไว้ชัดเจน เพราะวาระแห่งกรรมมีการบันทึกไว้ที่จิตของตน เหมือนรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไป รอยเกวียนที่เกิดขึ้น ย่อมต้องตามรอยเท้าโคที่ลากนั้นไป จึงเป็นกฏแห่งกรรมที่ถูกต้องดังนี้ "ถ้าบุคคลมีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะทุจริต ๓ อย่างนั้น เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคผู้ลากเกวียนไปอยู่ ฉะนั้น"

    คงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า กฏแห่งกรรมที่ถูกบันทึกไว้ที่จิตของตนนั้น ผู้ปฏิบัติสามารถชำระล้างสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ที่จิตให้บริสุทธิ์หมดจด จากกิเลส กรรม วิบาก ที่เป็นมลทินที่ถูกบันทึกไว้ได้

    ถ้าเป็นการเชื่อแบบผิดๆว่า จิตของตนสามารถถ่ายทอดกรรมให้กันและกันได้หละ? เราจะชำระจิตล้างมลทินที่ถูกบันทึกไว้ออกจากจิตของตนได้อย่างไร? เมื่อจิตดวงใหม่เกิดขึ้น ดวงเก่าดับไป โดยไม่มีระหว่างขั้นรวดเร็วมากอย่างที่เชื่อตามๆกันกันแล้ว(รู้ด้วยนะว่าไม่มีระหว่างขั้นและรวดเร็วมาก ....ใครที่รู้?)

    แล้วผู้ที่ปฏิบัติตามพระพุทธโอวาท จะละชั่ว ทำดี ชำระล้างจิตดวงไหนกันดีหละ เพื่อให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายได้ เมื่อเป็นเยี่ยงนี้แล้วโอวาทปาติโมกข์ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ ก็ต้องเสียหายตามไปด้วยเช่นกัน

    เราควรมาช่วยกันรักษาคำสั่งสอนในโอวาทปาติโมกข์ โดยการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่รวมเรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นทางเดินของจิตไปสู่ความเป็นอริยบุคคลนั่นเอง

    ในหมวดสมาธิ ซึ่งมีองค์ประกอบแห่งสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จิตจึงรวมลงเป็นสมาธิ แค่สัมมาวายามะองค์เดียว ก็เทียบได้กับโอวาทปาติโมกข์ในข้อ ๑ และข้อ ๒ แล้ว องค์แห่งสัมมาวายามะมีกล่าวไว้ในพระมหาสติปัฏฐานสูตรดังนี้

    "สัมมาวายามะ เป็นไฉน
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เกิดฉันทะพยายามปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้
    เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น
    เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว
    เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น
    เพื่อความตั้งอยู่ไม่เลือนหาย เจริญยิ่ง ไพบูลย์ มีขึ้น เต็มเปี่ยมแห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว
    อันนี้เรียกว่า สัมมาวายามะ ฯ"


    พระพุทธพจน์ตรัสไว้ชัดเจนเช่นเคย ข้อ ๑ ละอกุศลธรรมอันลามก ข้อ ๒ ยังกุศลธรรมให้เจริญยิ่ง ไพบูลย์ มีขึ้น เต็มเปี่ยม ส่วนข้อ ๓ นั้น ต้องมีสัมมาสติระลึกรู้อยู่ที่สติปัฏฐาน รวมองค์ฌานอีก ๔ ในสัมมาสมาธิ ย่อมก่อให้เกิดวิปัสสนาปัญญาขึ้นมาได้ เพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ละอุปกิเลสทั้งหลายได้ ดังมีพระพุทธพจน์ทรงกล่าวไว้ดังนี้

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี"

    เจริญในธรรมทุกท่าน
    ธรรมภูต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2012
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาสาธุครับ พี่ธรรมภูต ผู้ที่เข้าใจในความเบื่อหน่ายด้วยใจจริงแล้ว

    ย่อมไม่เกิดอีก เพราะไม่เห็นประโยชน์ในการมีชีวิต จึงไม่มีตัวตน

    แต่หากยังเกิดอยู่ ตัวตนย่อมมี การเกิดจะมีขึ้นได้ก็ด้วยการปรุงแต่ง

    สาธุครับ
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    เห้อ...... นรกใกล้เข้ามาทุกที ทุกวันพระใหญ่ ธรรมภูติจะต้อง ออกมารณรงค์

    คว่ำ "พระอภิธรรมปิฏก" ให้สลายหายไปจาก พระพุทธศาสนา เรื่อยไป

    ธรรมภูติ กบฏศาสนา
     
  4. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    จิตนั้นมีดวงเดียว แต่ที่เห็นว่ามีหลายดวงนั้น เป็นอาการของการรับรู้ของจิต

    ผู้ที่ปฎิบัติธรรมนั่งกรรมฐาน ย่อมเห็นได้ด้วยตนเอง หาไม่แล้วต่อให้อธิบายมากสักเพียงใด

    ผู้นั้นย่อมไม่มีทางเข้าใจได้ ควรที่จะศึกษา และ ทดลองกระทำครับ

    สาธุครับ
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    นี่ นี่ ธรรมภูติ กบฏศาสนา ว่างๆ ก็ มาสมาทาน ข้อธรรม ที่คุณ โอ๊ตติดเด็ก เขา
    อุตสาห์ยกมาเผยแผ่บ้างนะ

    sample sample !



    <TABLE id=post5756559 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>24-02-2012, 09:04 AM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#36 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->oatthidet<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5756559", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2010
    ข้อความ: 1,671
    พลังการให้คะแนน: 207 [​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_5756559 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->"อิสระจากความสุข-ทุกข์"ความทุ<WBR>กข์...ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมของชีวิ<WBR>ตและศาสนาพุทธก็เป็นศาสนาเดียว<WBR>ที่สอนให้เรากล้าเผชิญหน้ากับมั<WBR>น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราวิ่ง<WBR>หนีทุกข์ ไม่ได้สอนให้เราวิ่งหาความสุข แต่สอนให้เข้าไปทำความรู้จักกับ<WBR>มัน เพื่อที่จะได้เป็นอิสระจากมัน"

    ลพ.ปราโมทย์<!-- google_ad_section_end -->


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ธรรมะ ดีดี จาก โอ๊ตติดรูปเด็ก


    <TABLE id=post5808270 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>เมื่อวานนี้, 09:06 AM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#114 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->oatthidet<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5808270", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2010
    ข้อความ: 1,671
    พลังการให้คะแนน: 207 [​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_5808270 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->เป็นโอกาสดีของพวกเราแล้ว ที่เจอศาสนาพุทธ
    เราฝ่าด่านมาหลายด่านแล้วนะ
    กว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์
    มาเจอพระพุทธศาสนา
    รีบภาวนาซะนะ โอกาสมาถึงแล้ว
    ...
    ต้องทนนะ อย่าถอยนะ ถอยแล้วถอยยาวนะ
    เราต้องเข้มแข็ง ต้องพึ่งตัวเองให้ได้

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช<!-- google_ad_section_end -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    <TABLE id=post5797308 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>03-03-2012, 09:16 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#101 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->oatthidet<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5797308", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2010
    ข้อความ: 1,671
    พลังการให้คะแนน: 207 [​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_5797308 class=alt1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT language=JavaScript src="http://a.admaxserver.com/servlet/ajrotator/818517/0/vj?z=admaxasia2&dim=280733&pid=f9495e6b-a541-414e-932e-d0ad5d5e6065&asid=b2a78f01-1304-47c3-8524-8df944047e53"></SCRIPT><NOSCRIPT></NOSCRIPT>
    สภาวะรู้ ไม่เหมือนกับ สภาวะคิด ในขณะที่คิด นั้น เรา รู้เรื่อง ที่ กำลังคิด เป็นอย่างดี แต่เรา ลืมตัวเอง คล้ายกับ เวลาที่เผลอ นั่นเอง การ รู้ เป็น การเฝ้าสังเกต ปรากฏการณ์ ต่าง ๆ ตามที่ มันเป็นจริง ใน ขณะที่ การคิด เป็น การคาด ว่า ความจริง มัน น่าจะเป็น อย่างไร

    พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    เอก นิวรณ์ เล่าปังเอ๋ย กล้าๆหน่อย

    อย่าให้นรกหลอกไปกิน พิสูจน์กันให้เห็นจะๆว่า


    ใครกันแน่ที่กำลังคิดร้าย กบฏต่อพระพุทธศาสนา


    อย่าแสดงคคห.ในลักษณะพูดเอาแต่ได้เพียงฝ่่ายเดียว


    ชี้แจงสิ ที่ว่าเป็นกบฏ ตรงไหน? อย่างไร?


    ใช่หรือไม่ใช่ตรงไหน? ชี้ชัดๆ อย่าเอาแต่เมามันด้วยปากเลย


    เกิดเป็นคนทั้งที มีดีได้แค่นี้ ไม่รู้สึกว่าเสียชาติเกิดไปหน่อยหรือ?


    ดีแต่กล่าวหาว่าร้ายไปทีๆ ด้วยความสะใจเท่านั้นหรือ?


    เพราะยิ่งเป็นวันสำคัญ ยิ่งต้องเคลียร์ด้วยใจที่อาจหาญ


    อย่าทำตัวเป็นจอมเสี้ยมอยู่เลย โปรดชี้แจงชัดๆจะดีกว่า


    ไปแปลกใจเลยจริงๆ ที่เอก นิวรณืเล่าปัง น้องรักไม่กลัวบาปกรรม


    เพราะชอบถ่ายทอดกรรมที่กระทำไว้ให้คนอื่นรับไปแทนเอง55+


    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมขอตอบแทนได้ไหมครับ ข้อความนี้ชี้ให้เห็น ว่าความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

    หากยังมีชีวิตอยู่ ย่อมมีความทุกข์เป็นธรรมดา ศาสนาพุทธจึงสอนวิธีที่เอาชนะทุกข์

    ได้อย่างถาวรครับ คือ การพ้นทุกข์ หรือ ไม่กลับมาเกิดอีก จึงจะเป็นที่สุดแห่งทุกข์ครับ

    จิตเพียงดวงเดียวที่สามารถฝึกให้เกิดการหลุดพ้นได้ เพราะจิตเป็นผู้รู้

    เมื่อผู้รู้ เข้าใจธรรมทั้งหมด ธรรมทั้งหมดหมายถึง การทำงานของจิต

    จิตย่อมเบื่อหน่าย ย่อมไม่เห็นประโยชน์ของการมีชีวิต จิตจึงยอมรับความตาย

    ด้วยใจจริง ไม่เกิดความอาลัยอาวรณ์ใดใดอีก

    สาธุครับ
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    คิดก็รู้ตัวได้ โยนิโสมนสิการ เป็นตัวปัญญาที่สำคัญ
    ที่คิดนั้น คิดไปแต่รู้ลงปัจจุบันธรรม ไม่ได้เรียกว่าเผลอเลย
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    เอ้า ก็กล่าวไปแล้วว่า คุณ จ้อง ล้ม หรือ คว่ำ หรือ เอาเท้าเข้าคุ้ยลบ อภิธรรมปิฏก ไง

    เรื่อง

    จิตเกิดดับ มีหลายดวง มีการส่งต่อ วาระที่เรียกว่า "ตลัมภนกิจ" นี่ คุณกล่าวหา
    เข้ามาในจุดนี้ตรงๆว่า ทำลายเรื่อง กฏแห่งกรรม การสืบทอดกรรม จริงๆ ตามตำรา
    เขาก็พูดว่า มันส่งออดกรรมไปให้อีกดวงหนึ่ง เขาไม่ได้ปฏิเสธว่ามันหายไปไหนสัก
    หน่อย มีเท่าไหร่ถ่ายทอดไปเท่านั้น หากยังไม่ได้ซักฟอก

    แต่คุณ กบฏศาสนาธรรมภูติ ตีความ ชักเรื่องให้เห็นไปว่า เขาปฏิเสธกฏแห่งกรรม อาการ
    แบบนี้ผมเรียกว่า ลบอภิธรรมปิฏกด้วยเท้า

    ส่วนเรื่องลัดสั้น ทางอภิธรรมปิฏกเขามี แม่บทมาติกกา กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพ
    พยากตาธรรมา คือ จะทำกุศล หรือ อกุศล หรือ แม้แต่เฉยๆ หาก มาเรียน อภิธรรมปิฏก
    ที่ขยายไปจาก มาติกาให้เข้าใจ ก็จะ ลัดสั้นเข้ามาที่สติปัฏฐาน4 ได้เลย เพราะ ไม่ว่า
    จะทำอะไรอยู่ ก็ผลิกเป็น ธรรมได้หมด ดั่งคำว่า กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพ
    พยากตาธรรมา

    แต่ กบฏศาสนาธรรมภูติ ก็ยกอีกว่า ลัดสั้นไม่มี ก็เท่ากับกล่าวว่า แม่บทมาติกา
    "กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพพยากตาธรรมา" ไม่มี นี่ก็คือ อาการลบพระ
    อภิธรรมปิฏกด้วยเท้า เป็นตัวอย่างที่สอง
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    ยอมใจเธอเลยจริงๆน้องรัก

    ให้โอกาศชี้แจงความถูกต้อง แต่กลับไม่ทำ

    เลือกที่จะทำในเรื่องที่ตนเองสะใจเท่านั้น

    ศาสนาพุทธเป็นของสูง ไหนเคยอวดว่าจะรักษาไว้

    ถ้าบุคคลใด มีใจยินดีดึงคำสอนของพระพุทธองให้ค์ลงมาต่ำ

    ก็พึงสังวรตนเองไว้บางก็ดีนะ อย่ารักษาพระพุทธศาสนาเพียงแต่ปากเท่านั้น

    การสนทนาธรรมตามกาลอันควรนั้น เป็นมงคลอันสูงสุดในชีวิต(ทำมันซะ)

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  13. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    593
    ค่าพลัง:
    +289
    ตามหลักเหตุผล เมื่อจิตดวงเก่าที่กระทำกรรมไว้ยังไม่ได้ดับไป จิตดวงใหม่ที่จะมารับกรรมแทนนั้น ก็ไม่อาจเกิดขึ้นมาได้เช่นกัน แล้วจะเอาช่วงเวลาตรงไหนเหมาะๆมาถ่ายทอดกรรมที่กระทำไว้ให้กันและกันได้หละ ถึงได้มีความเชื่ออย่างนั้นขึ้นมาได้ว่า จิตถ่ายทอดกรรมให้กันและกันได้ โดยแกล้งไม่ยอมรับในเหตุผลที่ถูกต้องก็เถอะ ก็ยังขาดเหตุผลอยู่ดี เพราะจิตของบุคคลที่กระทำกรรมต่างๆไว้ ย่อมต้องได้รับผลแห่งกรรมที่ตนเองกระทำกรรมนั้นอยู่ดี นี่จึงเป็นกฏแห่งกรรมที่เที่ยงตรง

    ถ้ามีการถ่ายทอดกรรมต่างๆให้กันและกันได้จริง เรื่องกฏแห่งกรรมก็เสียหายหมด โลกนี้คงวุ่นวายน่าดูที่เดียวเชียว เพราะผู้กระทำกรรมต่างๆไม่ต้องรับผลกรรมนั้น แต่กลับถ่ายทอดกรรมต่างๆไปให้จิตดวงใหม่เป็นผู้รับกรรมนั้นไปแทน โดยที่จิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นมานั้นไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยเลย การสอนแบบนี้ ใครเค้าจะเชื่อถือได้ลงหละ

    ตามความเห็นผมนะคับ
    ผมว่าจิตที่พูดถึงกับจิตที่คนอื่นๆเข้าใจมันเป็นคนละจิตกัน มันลักษณะเหมือนตายแล้วเกิดเลย แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าตายแล้วเกิดเมื่อมีกรรมเก่าของจิตเดิมเมื่อเกิดใหม่ก็ต้องเอากรรมนั้นนำไปด้วย แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นของใหม่นี่นะคับ เป็นจิตดวงเดิม การเกิดดับในภาพรวมคือการเริ่มต้นและสิ้นสุด ส่วนการเกิดดับในรายละเอียดคือการพิจารณาความล่วงไปของจิตความไม่เที่ยงที่เกิดขึ้นของจิต สิ่งหนึ่งเกิดสิ่งหนึ่งก็ดับไป และเป็นอาการทั่วไปที่ควรจะรับรู้ไม่ใช่เหรอคับจนกว่า จิตจะยอมรับว่าก็มันมีและมีเป็นเรื่องธรรมดา มันจึงถอดถอนไป คนนอกเวลามองจะมองว่าไม่มีแต่จริงๆ จิตเราเข้าใจอยู่ดีว่า มีมันมี มันมีอยู่แต่จิตไม่ได้ปฏิเสธหรือน้อมรับเอามาเป็น วิถีทาง จึงไม่เหมือนกับการเรียนรู้แบบอภิธรรมว่าจิตเกิดดับ ที่รู้ว่าเกิดดับเพราะมีทั้งการน้อมรับและปฏิเสธ เพียงแต่ว่าจะอยู่ตรงไหนของมันเท่านั้น ผมมองว่าอย่างนั้น จากข้อความข้างบนก็เข้าใจดีคับ อาจจะเข้าใจไม่ตรงกันว่า ก็จิตที่พิจารณานั้นมันก็จิตดวงเดิมๆนั่นแหละ ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติก็เป็นดวงเดิม แต่รูปร่างสัณฐานและอาการต่างๆก็อาจเปลี่ยนไป เพียงแต่บางครั้งอาจพบว่า ของใหม่ใสกิ๊กอันเดิมทิ้งไปอันใหม่มาแทน แต่จริงๆมันไม่ใช่อย่างนั้น มันเหมือนการสืบเนื่องมากกว่า บางทีนึกว่าของใหม่ต่างหากนะบางที
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    ต้องขออนุโมทนากับความตั้งใจในการสนทนาธรรมจริงๆ

    ไม่ใช่เหมือนพวกที่คิดกบฏต่อตนเองและต่อพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว

    เรามาว่ากันที่เนื้อธรรมล้วนๆ ที่น้องเก่งพูดมานั้น

    ถ้าทุกคนที่เข้ามาอ่านและเข้าใจได้ตามนั้นเรื่องคงไม่เกิด

    แต่ก็มีพวกชอบเสี้ยมที่ทำอะไรด้วยความสะใจเท่านั้น ไม่ยอมเข้าใจความจริงในข้อนี้

    เราต้องยอมรับหลักเหตุผลตามความเป็นที่เกิดขึ้น จึงเรียกบุคคลนั้นว่าบัณฑิต

    การที่จิตเกิดขึ้นที่อารมณ์หนึ่ง แล้วดับไปจากอารมณ์นั้น

    แล้วไปเกิดขึ้นในอีกอารมณ์ใหม่ และดับไปอีกจากอารมณ์อันนั้น

    แบบนี้เราควรเรียกว่า "อารมณ์ใช่มั้ยที่เกิดดับ" ไม่ใช่จิตเกิดดับ

    จิตรู้อยู่ตลอดเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ใช่หรือไม่?

    ที่เกิดดับจริงๆ ควรเป็นอาการของจิตที่ยึดถือเอาอารมณ์เหล่าเกิดขึ้นและดับไปใช่หรือไม่?

    เพราะทุกวันนี้เด็กปัญหาทั้งหลาย มักกล่าวโทษพ่อแม่ว่าถ่ายทอดกรรมมาให้ตนจึงได้เป็นเช่นนี้

    แต่กลับไม่มองมาที่ตนเองว่า เพราะกรรมที่ตนเองได้เคยกระทำไว้ ส่งผลให้มาเกิดกับพ่อแม่เช่นนี้ใช่หรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  15. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    น้องรัก งานนี้พี่ว่า "พี่กับน้องเอกวีร์ เล่าปัง นิวรณ์คนเดียวกัน

    ต้องเคลียร์กันอย่างจริงจังเสียแล้วล่ะว่า ใครทีึ่คิดกบฏต่อศาสนา่กันแน่

    ตกลงใครที่จ้องล้มหรือ คว่ำ หรือ เอาเท้าเข้าคุ้ยลบ อภิธรรมปิฏก กันแน่น้องรัก

    อรรถกถาจารย์บางท่านที่ขยายเนื้อความจากพระสูตรออกมาไม่ตรงกัน

    ก็แสดงว่าอรรถกถจารย์ท่านนั้นเป็นกบฏต่อศาสนาสิ น้องรักกล่าวหาท่านชัดๆ บาปนะ

    ถ้าในคนๆหนึ่งมีจิตหลายดวงอย่างที่น้องรักพูด น้องรักก็กำลังทำลายกฏแห่งกรรมลง

    มีพระพุทธพจน์ตรงไหนที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า กรรมที่ตนกระทำไปนั้นถ่ายทอดกันได้

    ถ้าอยากจะอวดรู้โชว์ภูมิให้สาวๆแล้วละก้อ ช่วยเอาหลักฐานมายืนยันจะดีกว่านะ

    ถ้ากรรมเป็นสิ่งถ่ายทอดได้จริงอย่างที่น้องรักพูดมั่วๆเพื่อเอาชนะพระพุทธพจน์เท่านั้น

    แบบนี้ น้องรัก ยังจะเชื่อพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้ดีแล้วอยู่อีกหรือ กบฏได้ใจจริงๆคนอะไร

    จะมั่วไปถึงไหน แล้วจะซักฟอกอะไร? มีอะไรเหลือให้ซักฟอกอีกหละ

    ก็ถ่ายทอดให้ดวงอื่นไปแล้วอะ คนอะไรกบฏได้ใจจริงๆ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ู^
    ^
    แล้วใครกันแน่ที่กำลังลบพระพุทธพจน์และพระพุทธภาษิตด้วยสหบาทา

    กลับไปอ่านให้กระจ่างเสียก่อน อย่าเอาแค่สะใจ บทความอ้างอิงมาจากคำสั่งสอนของใคร

    อย่าเอาน้ำลายเหม็นๆมาลบล้างคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เลย เวรมีจริงถ่ายทอดกันไม่ได้นะ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ู^
    ^
    คนอะไรมั่วได้ใจจริงๆ พูดเองชัดๆว่า เป็นการขยายมาติกานั้นๆ ไหนล่ะลัดสั้น

    ถ้าคิดจะมั่วอะไรหัดเกรงใจคนอ่านบางนะน้องรัก ไม่มีให้หลอกเอาง่ายๆ

    การสวดอภิธรรมนั้น เป็นการสวดมาติกา คือขยายหัวข้อธรรมนั้นออกไปให้เข้าใจ

    ที่ลัดสั้นไม่มี มีแต่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้นเป็นทางอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ทั้งหลาย

    ตรงไหนที่ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าลัดสั้นหละ ทางนี้ทางเดียวแต่ไม่ได้ลัดสั้นเลยใช่หรือไม่?

    จำไว้น้องรัก มุมมองที่จะมองให้กลายเป็นกบฏหรือไม่นั้น

    ขึ้นอยู่กับพระพุทธพจน์ที่นำมาอ้างอิง และหลักเหตุผลตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

    แม้แต่ท่านอรรถกถาจารย์เอง ที่แยกกลุ่มกันรับไปรจนาพระบาลีจากพระสูตร

    ยังขัดแย้งและมีการกล่าวหากันและกันเลย แค่เรื่อง"หายใจเข้าก่อนหรือหายใจออกก่อน"ยังเป็นเรื่องเลย

    ฉนั้นถ้าคิดจะสนทนาด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆแล้วละก้อ "มาว่ากันที่เนื้อธรรมล้วนๆ"สิ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  19. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    พี่นิวรณ์จะบอกว่าการดูรู้ไม่ยินดียินร้าย=อัพยากตาธรรมมานี่หล่ะทางลัดสั้นเพราะไม่ก่อสุขให้ติดสุข ไม่ก่อทุกข์ให้เร่าร้อน ก่อภพชาติทั้งฝั่งสุขฝั่งทุกข์ เมื่อไม่ติดทั้ง2ฝั่งจึงเบื่อหน่ายคลายกำหนัดได้เร็วแบบนี้ครับ
     
  20. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    ตรงนี้เหมือนลุงภูติ พูดให้งงเนอะ ไม่ตรงกับหลวงพ่อพุธ เพราะการเกิดจะเกิดอารมณ์มันต้องมีแรงกระทบ แต่ให้เอาสติตั้งรับ ลุงภูต พูดเหมือนจิตแต่ละดวงขังอารมณ์ไว้อย่างนั้น อะไรเด่น จิตก็จะเด้งออกมา มันดูขัดนิด ไม่มีอะไรนะคะ พูดแค่นี้แระค่ะ ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...