หัวใจพระพุทธศาสนาว่าด้วยการชำระล้างจิตให้บริสุทธิ์หมดจด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 7 มีนาคม 2012.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    มีพระสูตรฝากหลานรักลองอ่านดูว่า "ยถาภูตาญาณทัสสนะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

    V
    V
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิปปฏิสารมีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีศีล
    ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เมื่ออวิปปฏิสารมีอยู่ ปราโมทย์ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
    ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยอวิปปฏิสาร ฯลฯ
    เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่ ยถาภูตญาณทัสสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
    ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ

    เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะมีอยู่ นิพพิทาวิราคะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
    ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ ด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ
    เมื่อนิพพิทาวิราคะมีอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
    ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
    จบสูตรที่ ๓
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    หลบภัยหลานรัก

    ภวตัณหาและวิภวตัณหานั้น เป็นเรื่องใหญ่พอสมควร

    น่าจะเทียบลงได้กับ รูปราคะ และอรูปราคะ ในธรรมสังโยชน์เบื้องสูง

    ส่วนกิเลสที่สั่งสมหมักดองอยู่ที่จิตเพราะมีอวิชชาครอบงำนั้น

    ส่วนคำว่าใหญ่นั้นน่าจะเป็นลักษณ์นามที่ใช้กับวัตถุหรือเรื่องราวต่างๆ

    สำหรับจิตแล้วลักษณะนามน่าจะเป็นมีมากน้อย เบาบางหรือแน่หนา

    จิตคนเรานั้นมีคนละดวงแน่นอน ส่วนจิตสังขารที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปนั้น จะมีเป็นร้อยดวง(ชนิด)ก็ได้

    ต้องถามว่า ที่ฝึกสติปัฏฐานนั้น เราฝึกฝนสติกันที่ไหน ถ้าไม่ใช่ที่จิตของตน?

    ดีที่รู้จักใช้สติบ่อยๆ จะให้ดีควรหาฐานที่ตั้งของสติให้กับตนเองที่ถนัดที่สุดในกายนี้

    จะเกิดประโยชน์ต่อตนเองในการใช้สติ ทีเรียกว่า"สัมมาสติ"นั่นเอง

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ...............ที่ยกพระสูตรนี้มา ให้คุณอา ดู ว่า อะไรเป็นอรรถะ สาระ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้พร้อม เพื่อความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด และ เพื่อ นิพพาน..........นะครับ.......สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร?...นั่นคือ อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค..:cool:
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    น้องรักถ้าคิดจะตอบมั่วๆเพื่อเอาตัวรอด ก็เอาหลักฐานมายืนยันด้วย

    เคยพูดไว้ที่ไหนตรงไหนว่า"จิตเที่ยง"

    พระพุทธองค์ไม่เคยทรงตรัสไว้ แล้วใครหน้าไหนจึงกล้านัก

    ๑เรื่องความแก่ชราคร่ำคร่า เจ็บป๋วยล้วนเป็นเรื่องร่างกายล้วน ที่ต้องเป็นไปตามกาลเวลาใช่หรือไม่?

    ส่วนจะทุกข์หรือสุขอยู่กับมันนั้น เป็นเรื่องความยึดถือของจิตเองบล้วนๆใช่หรือไม่?

    ๒.จะมั่วไปถึงไหน ความหนุมที่ไหนเป็นแต่เรื่องกุศล บางคนเป็นหนุมหน่อยริเที่ยวผู้หญิงซะแล้ว แบบนี้เป็นเรื่องกุศลหรือ?

    ถ้าความชราเป็นทุกข์ไปเสียแล้ว ตายแน่เลย ออทำไมคนเราถึงได้ไม่ยอมแก่ทุกข์เพราะคิดนั่นเองใช่หรือไม่?

    ความแก่ ความชราไม่ใช่ทุกข์แน่นอน เป็นเรื่องของร่างกายที่ต้องเป็นไปอย่างนั้นตามกาลเวลาของมันห้ามกันไม่ได้

    เมื่อความชราเป็นทุกข์ซะแล้ว พระอรหันต์ที่ท่านพ้นจากทุกข์ได้ จะทำยังไงทำไมท่านยังต้องแก่ขราอยู่อีกหละ?

    อยากจะมั่วอะไรก็พยายามอย่าเข้าใกล้การเป็นการกบฏต่อพระพุทธพจน์เลยนะ

    สุข ทุกข์ มันเรื่องของจิตล้วนๆ ยึดถือก็ทุกข์ ไม่ยึดถือก็ไม่ทุกข์(สุข)ใช่หรือไม่?

    ๓. อ้าวเล่นเป็นเด็กขายขนมไปได้ ก็เมื่อเป็นธรรมภูตคนหน้าเดิมแล้ว จะไม่ให้เป็นจิตเดิมของธรรมภูตหรือไง?

    ส่วนการเปลี่ยนแปลงของจิตที่เกิดขึ้นนั้น ห้ามกันไม่ได้ เมื่ออดีตธรรมภูตอาจเป็นที่เคยเลวเสียจนหมายังมองเมิน

    เพราะอะไร? เพราะไม่เคยเลย ที่จสนใจะสร้างสติให้เกิดขึ้นที่จิตของตน

    เพื่อมายับยังบรรลุเบาบางอกุศลธรรมลงเลย เพราะทำตามจิตใจที่มีความทะยานอยากของตนเอง

    ส่วนปัจจุบันก็ไอ้คนหน้าเดิมที่ดูแล้วแก่ลงไป ส่วนจิตใจดวงเดิมนั้น ได้รับการฝึกฝนอบรมให้รู้จักฐานที่ตั้งของสติ

    เป็นธรรมดามากๆเลย ที่จิตเดิมดวงนั้น ได้รับการเปลี่นแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย หมามันยังเหาต้อนรับบ้าง55+

    ถ้าจิตเป็นคนละดวงเสียแล้ว และยังเกิดๆดับๆอย่ตลอดเวลาเสียอีก

    ธรรมภูตจะรู้มั้ยนี่อะ ว่าจิตดวงไหนที่เคยทำให้หมามันยังมองเมินไม่มองหน้า

    เฮ้อ!!! พดเองเออเองก็ได้เนาะน้องรัก ถ้าใครๆคุมจิตของกูเองไม่ได้เสียแล้ว

    คุกจะมีไว้ทำอะไร? คงไม่ใช่มีไว้ขังสุนัขที่ไหนหรอกใช่หรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  5. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    ปกติก็ไม่ได้สนใจว่าจิตมีกี่ดวงหรอกค่ะ ภวตัณหา กับวิภวตัณหา ใช่ค่ะเป็นเรื่องใหญ่เพราะสองตัวนี้มันพาเราสร้างกรรม สะสมเยอะ ก็ไปเยอะ สุดแต่ว่าจะพาไปไหนลุงบอกว่า จิตมีดวงเดียว จิตมีสภาพรู้ใช่ไหมคะ แล้วทำไม เราถึงจำชาติที่ผ่านๆ มาไม่ได้ ล่ะถ้ามีดวงเดียว เพราะมันจะไม่เปลี่ยน ในแต่ละนาที ถ้าหากเจริญสติจริงๆ เราก็จะเห็นความเกิดดับๆ อยู่ตลอดเวลาไม่ขาดเลย แม้แต่ความนิดคิด ใช่ค่ะ อวิชาที่มันพาวน อวิชาที่เก็บไว้ที่จิต หรือที่ขันธ์คะ
    ลุงถามว่าเราฝึกฝนสติที่ไหน หรือคะ จะบอกว่าที่จิตก็ไม่ใช่นะ เพราะสติมันจะไปประคองจิต เพราะมันเกิดดับเร็วไงคะเลยต้องฝึกสติ ให้มีสมาธิ ซึ่งสมาธิตัวนี้
    เป็นกิริยาของจิต

    อ่า จิตมีหลายร้อยดวงแต่มันคืออารมณ์(จิต) ยังไม่ใช่สิ่งที่รู้ นั้นถือว่ายังไม่ใช่จิตเหตุที่เกิดอารมณไปรู้ เลยเรียกอารมณ์จิต แต่เราไม่รู้ เขาเรียกอาการหลงค่ะ
    อาการหลงเราเรียกว่าจิตไม่ได้ แต่หากเราไปรู้นั้นแระเขาเรียกว่าจิต
    เอาสมาธิไปรู้คือเอากิริยาจิตไปกระทบผัสสะ
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259



    จากข้อความข้างต้น ผมไม่เรียก ธรรมภูติว่า กบฏศาสนาก็ได้ แต่จะเรียกว่า "อาเป๋เห่าว์"
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    อาเป๋เห่าว์ของผม ยังสู้ [​IMG] ไม่ได้เลยนะนี่

    เมื่อวาน ผมหยอด กาย ให้พิจารณาหน่อยเดียว เด็กเขาเลิกเล่นปังตอเลย

    หันมาจับ มีดโกน คมขึ้นตั้งเยอะ

    **************

    งง หะรุวะ งง
     
  8. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,359
    ค่าพลัง:
    +6,493
    ไม่ได้ตำหนิใคร เพราะรู้ว่าจริตแต่ละคน ไม่เหมือนกัน แต่พูดไปตามที่รู้สึก(ก็บอกไว้แต่ต้นแล้วว่า ขอแสดงความคิดเห็นซักนิด) และทุกอย่างที่โพสออกไป ก็ออกไปจากความรู้สึกขณะนั้น(จริงๆ) ส่วนใครจะมองแบบไหน? แล้วแต่จะคิด
    ขอให้เจริญในธรรมจ๊า..
     
  9. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,359
    ค่าพลัง:
    +6,493
    ..จิตใจของเรา เราเท่านั้นที่รู้ดี.. เพราะถือสัจจะนี้ไง จึงดำเนินชีวิตอยู่อย่างปกติ หากไปยึดเอาความคิดคนอื่น(ที่มักคิดลบต่อผู้อื่นไว้ก่อน) ชีวิตนี้คงไร้ซึ่งความสุข...อ้อ.เราเคยรู้จักกันเหรอ?
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    หลบภัยหลานรัก เธอกำลังสับสนระหว่างจิตและอาการของจิต เดี๋ยวว่ากัน

    เอาเรื่องข้ามภพข้ามชาติก่อน จริงๆแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด แต่คนก็อยากรู้เป็นธรรมดา

    ถามว่าที่จิตจะออกจากร่างกายเวลาถึงคราวจะตาย เอาสติกำกับไปด้วยก่อนออกจากร่างหรือเปล่า?

    คนเราร้อยละเกือบๆหรือใกล้ๆร้อย มักไปพร้อมอารมณ์ความรู้นึกคิดที่เกิดขึ้นทันทีในขณะนั้น เรียกว่าขาดสติไป

    ก็แสดงว่าภพชาติที่ไปก็ยังไม่ใช่ภพที่มีโอกาสกลับเป็นมนุษย์ในทันทีใช่หรือไม่?

    กว่าจะเวียนมาบรรจบจนได้เกิดเป็นมนุษย์ก็นามจนลืม ยิ่งตอนตายไม่พกพาเอาสติกำกับไปด้วยยิ่งไปกันใหญ่

    โดยมากที่ตายแล้วจดจำภพชาติตนเองได้นั้น มักตายแล้วเกิดใหม่เป็นมนุษย์ในทันทีเลย โอกาสที่จระลึกก็มีมากขึ้น

    หลานรักเคยยินได้ฟังมาหรือไม่ว่า คนที่ปฏิบัติภาวนามาดีและมีบารมีเก่ามามากด้วย มักจะระลึกชาติได้ใช่หรือไม่?

    หลานรักถามว่า ถ้าไม่มีจิตที่เป็นผู้รู้ คอยระลึกรู้แล้ว สติเพียงอย่างเดียวจะระลึกขึ้นมาเองได้หรือ?

    การประคองจิตนั้น ใครเป็นผู้ประคองหละ? ถ้าไม่ใช่จิต ส่วนสติเป็นหน้าที่ของจิต "ระลึก" ที่รู้คือจิต

    และใช่จิตที่มีสติระลึกรู้หรือเปล่า ที่คอยประคองตนเองไม่ให้ออกไปนอกทางใช่หรือไม่?

    อวิชชายอมต้องครอบงำจิตของผู้นั้น ส่วนขันธ์นั้นเป็นอาการของจิตที่ถูกอวิชชาครอบงำ

    จึงแสดงอาการของจิตออกมาให้เห็น เช่น แจ้งในอารมณ์ที่รับรู้ในทันที(คุ้นชิน) ก็เกิดเวทนาตามมา

    นำไปปรุงแต่งต่อ เกิดรักใครชอบชัง เก็บเป็นสัญญาเอาไว้อีก หรือเรียกว่าธรรมารมณ์ไว้ในใจ

    พร้อมที่จะถูกนำกลับมาใช้ในทันทีที่กระทบอารมณ์ คือธรรมารมณ์ที่ถูกเก็บไว้ใช่หรือไม่?

    จิตคือธาตุรู้ ต่างจากอาการของจิต ที่ไปรับรู้อารมณ์แล้วยึดถือว่าเป็นของๆตน เมื่อยึดถือก็แสดงอาการออกมาให้ปรากฏ

    ส่วนสตินั้น เป็นมรรคคือทางเดินของจิต ที่จิตต้องดำเนินไปตามนั้นจนเป็นปกติ จัดเป็นหน้าที่ของจิต

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    เอกวีร์ เล่าปัง นิวรณ์น้องรัก

    อยากเรียกธรรมภูตว่าอะไรก็ตามพระทัยของน้องก็แล้วกัน

    ส่วนใครที่เห็นแล้วเคืองตา ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ

    จะเรียอะไรนั้นไม่สำคัญ ขอให้ตอบตามประเด็นที่ถามก็พอแล้ว

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    เฮ้อ!!! ปลงได้จริงหรือเปล่า?

    ถ้าปลงได้จริง เมื่อเห็นคนอื่นท้วงติงมา

    ก็ต้องพิจารณาตนเองให้มากเขาไว้

    นี่เล่นศีลปะมวยไทย ศอกกลับ เขาลอยทันทีเลย

    แถมรู้ดีอีกด้วยนะว่า เที่ยวยึดคคห.คนอื่น และไร้ความสุข

    นี่ขนาดปลงแล้วยังถามว่า "อ้อ.เราเคยรู้จักกันเหรอ?"

    จำเป็นด้วยหรือที่ต้องรู้จักกัน จึงสนทนากันได้ในบอร์ดสาธารณะได้55+

    เมื่อเราไม่รู้จักกัน คงต้องถามให้ได้สำนึกว่า

    แล้วเข้ามาแสดงคคห.ในกระทู้ของผู้เขียนทำไม?

    เห็นหรือยังล่ะลุงที่คิดว่าตนเองปลงได้แล้ว

    อย่ายึดติดอะไรนักเลย ปล่อยได้ก็ปล่อยไปบาง ที่เรียกว่าปลงได้ไง

    โดยความเป็นจริงแล้วไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ในการมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  13. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,359
    ค่าพลัง:
    +6,493
    ก็เพิ่งรู้ว่าวันนี้แหล่ะว่า ต้องรู้จักจขกท.จึงจะเข้ามาแสดงความเห็นได้ ที่ถามว่าเรารู้จักกันเหรอ? หมายถึงว่า ทำไมท่านจึงมีความคิดอคติต่อผู้อื่น ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน เท่านั้นเอง เพราะคำพูดของท่านมันบ่งบอกแบบนั้น และตอนเข้ามาก็ไม่ได้ดูว่าใครเป็นจขกท. เพราะไม่สนใจขนาดนั้น ต่อไปถ้าเห็นชื่อท่าน คงไม่กล้าเข้ามา และที่เข้ามาโพสแบบนี้ ไม่ใช่ว่าปลง และวางไม่ได้ เพียงแต่อยากชี้แจงเท่านั้นเอง หรือตัวท่านปล่อยวาง และไม่ยึดติดแล้ว งั้นเหรอ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ คงไม่เจอคำพูดในลักษณะแบบนี้ หาว่าคนอื่นศอกกลับ ดูตัวเองบ้างเปล่า? ว่าคนอื่น ว่าได้ว่าดี พอเขามาพูดบ้าง กลับหาว่า ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น นี่แหละ"คน" พอแค่นี้ ท่านจะว่า จะพูดอะไร เชิญตามสบาย จะไม่เข้ามาโต้ตอบอีก เบื่ออ..(ว่าคนอื่นได้ พอคนอื่นพูดบ้าง หาว่าศอกกลับ เฮ้ฮอออ)
     
  14. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,359
    ค่าพลัง:
    +6,493
    ขออนุญาตอีกซักนิด..(เพิ่งนึกได้ จากลายเซ็นของท่าน) อยากทราบว่า"ดูจิตแบบธรรมภูต" ดูอย่างไร?..ช่วยขยายให้ทราบหน่อย ถือว่าเป็นธรรมทานก็แล้วกัน.. โมทนาล่วงหน้า..สาธุ
     
  15. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    ลุงธรรมภูติ ตรงนั้น ปัญญาหนูยังไม่เห็นเลยค่ะ หนูตามดูตามรู้อารมณ์จิต และเห็นเป็นแบบนั้นให้หนูแน่ชัดอีกสักนิด ก่อน


    ฝาก
    ลุงปลงคะ ลุงภูติ จริงๆ เป็นคนใจดีมาก แต่ว่าสำนวนการพูดเป็นแบบนั้นเฉยๆ ค่ะ
     
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ...............ที่คุณอาว่ามาทั้งหมดนี้ คล้ายคล้าย จิตคนโดนอวิชชาครอบงำ และ ขันธิ์เป็นอาการที่จิตโดนอวิชชาครอบงำ เหมือนที่คุณ อา ว่ามาเลย ครับ...:cool:จะไปอธิบาย เปลือก ทำไมละครับ
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อนุโมทนา ที่เห็นทุกข์ เห็นรูปนามเป็นภัย
    กับเห็นความคิดมันสั่งทำชั่ว แต่เราระงับไว้ได้ อกุศลกรรมจะไม่เกิดจากเรา จากนั้นเราก็จ้าเลย :cool:

    อ่านแล้ว อร่อย แฮ่ม!!! ^.^
     
  18. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ใครอยากเป็นพระโสดาบันเชิญอ่าน...

    1.สักกายะทิฏฐิ ละด้วยการไม่เห็นว่ารูปร่างกายเป็นเรา ไม่ใช่ของเรา มันเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันตายเป็นของธรรมดา เราก็คือเรา รูปร่า่งกายไม่ใช่เราเป็นอนัตตา คือความไม่ใช่ตัวตน พิจรณาแยกธาตุขันธุ์ออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อวัยวะต่างๆมันประกอบกันเข้าเป็นรูปร่างกาย ไม่มีตัวตนที่แท้จริง นี่แหละคืออนัตตา ตัวอย่างการพิจรณาประกอบกัน ดูที่รถ เราจะเห็นว่ารถคันหนึ่งๆก็มีส่วนประกอบหลายชิ้น เราพิจรณาแยกออกมาก็มีพวงมาลัย กันชน ล้อ ท่อไอเสีย หลังคา เบาะที่นั่ง เป็นต้น เมื่อพิจรณาดูหรือแยกชิ้นส่วนออกจนหมดเราจะไม่พบตัวรถ มันไม่ใช่รถ มันเป็นแต่เพียงองค์ประกอบต่างๆที่ประกอบกันเข้าเป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่งที่เราเรียกว่ารถก็เท่านั้นเอง เมื่อพิจรณาดูลงที่กาย ตั้งแต่หัวจรดเท้า มันก็มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ปอด หัวใจ ลำใส้น้อย ลำใส้ใหญ่ ใส้ติ่ง หัวเข่า กระดูก กระโหลกศีรษะ ตา หู อาหารเก่า อาหารใหม่ อุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น นี่คือที่เรียกว่าอนัตตา คือความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา มันเกิดแต่เหตุ แล้วจึงมีสภาวะธรรมดำเนินมาอย่างที่เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ เป็นต้น เราจึงละสักกายะทิฏฐิด้วยเหตุนี้ว่า รูปร่างกายไม่ใช่เรา เราคือจิต จิตเป็นสภาพรู้ และจิตก็เป็นได้ทั้งอัตตา(เช่นตอนที่เรามีสติ) หรือเป็นได้ทั้งอนัตตา(เช่นตอนที่เรากำลังฟุ้งซ่านหรือปรุงเรื่องโลกีย์กาม เป็นต้น) 2.วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย กล่าวได้ 2 นัยคือ 2.1เป็นความลังเลสงสัยในเรื่องราวหรือธรรมต่างๆ ถ้าเราฝึกตนมาดี เช่น ทาน ศีล ภาวนา เราก็จะคิดอะไรไปตามเหตุผลที่มันควรจะเป็น บางทีถูกผิดยังไม่รู้ แต่จิตใจเราเป็นสมาธิแล้วเราตรึกตรองเรื่องอะไรบางอย่าง การ decision การตัดสินใจมันจะถูกต้องมากกว่าผู้มิจฉาทิฏฐิ สมมติว่าเราปฏิบัติธรรมมานาน เพดานบินสูงพอสมควร และเป็นสัมมาทิฏฐิด้วย(ถ้าเป็นพุทธแล้วไม่เคารพพระพุทธเจ้า ไม่ว่าคุณจะบอกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น อายศาสนาอื่นเขาไหม ผมเคยเป็นคริสต์มาก่อน อันนี้เิปิดเผยให้ฟัง ตอนไป HOPE PLACE เคยจับมือกับคุณนคร เวชสุภาภรณ์ด้วย,พ่อโต๋ ขออณุญาติเอ่ยนาม...) ถึงไหนแล้วล่ะ...สักครู่นะ...เอาเป็นว่าความลังเลคือการคิดหรือเป็นเรื่องของสติปัญญา ถ้าเราเป็นสัมมาทิฏฐิและเราคิดดี พูดดี ทำดี เวลาที่เราจะทำอะไรไอ้เจ้าตัววิจิกิจฉาหรือความลังเลสงสัยมันจะระงับไป 2.1วิจิกิจฉาข้อนี้หมายถึงความลังเลสงสัยหรือเคลือบแคลงใจในพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าไม่สงสัยในพระคุณของพระพุทธเจ้า ไม่สงสัยในพระธรรมวินัยของพระองค์ และไม่สงสัยในพระสงฆ์ซึ่งท่านถือว่าเป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อสืบต่ออายุพระศาสนา เป็นผู้สอนให้บุคคลทั้งกุลบุตรกุลธิดาได้จักษุเห็นธรรม ได้นิพพาน ข้อนี้ถ้าเราไม่ลังเลสังสัยเราก็นับว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ การเป็นสัมมาทิฏฐิคือเราอยู่กับศีลธรรม ปฏิบัติตนตามคำสอนของพระศาสดา ชีวิตผู้เป็นอย่างนี้นับว่าประเสริฐ 3.ศีลลัพพตปรามาส คือความถือศีลไม่จริงและความงมงายในเปลือกในกระพี้หรือธรรมอย่างโลกๆ ละได้ด้วยการรักษาศีลให้ดี หรือบางคนท่านทำถึงขั้นบริสุทธิ์ (ศีลผมบริสุทธิ์ประมาณ 95 % แบ่งปัน) ศีลเช่นศีล 5 (ศึกษาเองนะครับ) 4.มีดำริออกจากกาม ไม่หมกมุ่น รู้จักผ่อน รู็้จักหยุดปรุง และ 5.ทำบุญตักบาตรหรือให้ทานบ้าง เพื่อประโยชน์สุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้าตราบนิพพาน..........
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    เป็นเรื่องแปลกแต่จริงในการสนทนาธรรม
    พอมีใครสงสัยในคำพูดที่ตนเองได้พูดไว้นั้น จริงเท็จแค่ไหน
    ไหงกลับกลายเป็นว่า"กำลังว่าคนอื่นอยู่"แปลกเนาะ

    เพราะอะไนธรรมภูต จึงมักมีคำพูดในเชิงสงสัยหละ?
    ถ้าใครที่เคยสนทนาอยู่ในบอร์ดสาธารณะแห่งนี้ย่อมรู้ดี
    เมื่อก่อนนี้ คนที่คุยว่ารับแล้ววางได้มีอยู่มากมาย(ขอให้ได้คุยสักหน่อย)
    ซึ่งธรรมที่พูดมาเหล่านั้น หมายถึงธรรมขั้นพื้นฐานของพระอริยเจ้า
    จึงปรากฏว่ามีพระอริยะตราตั้งเต็มบอร์ดไปหมด

    คิดว่าวัยคงจะใกล้กันคืออยู่ในกลุ่มส.ว การจะพูดอะไรนั้น
    ต้องเป็นสิ่งที่เป็นจริงตามนั้น
    จึงได้สงสัยว่าทำไมใครๆก็ชอบพูดกันจังว่า
    ตนเองปล่อยวางได้แล้ว ไม่ยึดถืออะไรอีกแล้ว(ปลงได้แล้ว) เพราะ....
    เหมือนกับกำลังจะประกาศว่าตนเองถึงแล้ว ซึ่งธรรมของพระอริย ใช่หรือไม่?

    แต่กลับไม่รู้ว่า ที่ตนเองพูดไปหนะเป็นธรรมชั้นพระอริยะทั้งสิ้น
    ไม่ใช่เป็นของอะไรที่ได้มาโดยง่ายๆเลย จึงได้ถามกลับไป
    ถ้าไม่เต็มใจตอบก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล
    ที่กล่าวหาว่า "ชอบว่าคนอื่นนั้น"ขอปฏิเสธข้อหาเหล่านั้น

    แต่เป็นธรรมดาของธรรมภูตเอง
    ที่มักชอบสงสัยในคนที่ชอบคุยโม้เรื่องธรรมะที่ตนเองได้
    เพราะคิดว่าตนเองผ่านการปฏิบัติมาก็ไม่น้อยกว่าใครที่คุยโม้ไว้(คคห.ส่วนตัว)
    แต่ทำไมๆๆ ธรรมะของพระพุทธองค์จึงลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน เข้าถึงได้ยากขนาดนี้
    ตนเองทุกวันนี้ยังเป็นผู้ที่ค้องสดับ ยังต้องกระทำให้ตื้นอยู่เลย

    อาจเป็นเพราะเราโง่หรือ ก็ไม่ใช่ ตอนเรียนก็จัดว่าเป็นคนเรียนดีพอสมควร
    แล้วทำไมคนอื่นจึงคุยแต่เรื่องธรรมะชั้นสูงเสมือนกับเป็นของง่ายๆที่ตนเองทำได้
    แต่แท้ที่จริงแล้วกลับกลายเป็นเรื่องที่ตนเองคิดเองเออเองว่าได้แล้ว
    พอถูกสงสัยถามกลับไป รายไหนรายนั้นออกอาการหวั่นไหวทุกที ยินดีที่ได้รู้จัก

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน


     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    ถ้าสงสัยเชิญถามได้เลยตามสะดวกใจ
    จะตอบให้เท่าที่ตนเองรู้และเข้าใจ จากประสบการณ์
    ต้องถือว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ไม่เป็นที่สิ้นสุด

    ดูจิตแบบธรรมภูตคือ ดูจิตที่ต้องอิงพระพุทธพจน์เป็นแบบแผน
    ขั้นแรกต้องรู้จักสิ่งที่เราจะดูจะรู้ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงเสียก่อน
    เมื่อยังรู้จักจิตของตนแบบผิดๆ การดูจิตก็จะผิดเพี้ยนตามไปด้วย
    คือดูหรือรู้แต่อาการของจิต ก็เข้าใจกันแบบผิดๆว่านั้นคือ"จิต"
    เมื่อเข้าใจผิด ก็หลงคิดว่าตนเองได้แล้วเข้าถึงแล้วเสียส่วนใหญ่

    แค่รู้สึกว่าตนเองขณะนี้ มีความรูสึกอย่างนี้ ว่าจิตวางๆอยู่
    โดยที่ไม่เคยพิจารณาโดยละเอียดรอบคอบเลยว่า
    วางจริงๆที่เรียกว่าสูญญตวิหาร หรือวางเป็นคิดเองเออเองว่าวาง
    ร้อยละเกือบทั้งร้อย"วางเพราะคิดเองเออเองว่าวาง"

    แต่ลืมคิดไปว่า ที่ว่าวางนั้น วางเพราะคิด ไม่ใช่วางเพราะปล่อยวางตวามคิด.
    ฉะนั้น การดูจิตจึงต้องเริ่มต้นที่อานาปานสติให้รู้จักกายในกาย(สติปัฏฐาน)
    หรือที่เรียกว่านามกาย ก็คือจิตนั่นเองว่า ตนเองมีสภาวะธรรมที่แท้จริงอย่างไร?

    การดูจิตแบบธรมภูต จึงไปขัดแย้งกับการดูจิตที่มีสอนกันอยู่ในปัจจุบัน
    ที่เป็นการดูจิตแบบง่ายๆ สบายๆ ลัดสั้น กรรมฐานเพื่อจิตตั้งมั่นไม่ต้องทำ
    ที่แท้แล้วธรรมะของพระพุทธองคไม่มีคำว่าง่ายๆ สบายๆ ลัดสั้นหรอก
    ต้องอาศัยความเพียรเป็นอย่างยิ่ง ในการที่จะเข้าถึงซึ่งธรรมแท้นั้น

    จึงได้เกิดบล๊อกที่เรียกว่า"ดูจิตแบบธรรมภูตเกิดขึ้นมานั่นเอง"
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...