ประวัติ พระยายมราช

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ยศวดี, 11 มีนาคม 2012.

  1. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ฮือๆๆ แม่จ๋า ทำไมผู้ชายคนนั้น เขาหา ว่าหนูเป็น ยักษ์
    เฮอะๆๆๆ ไม่รู้เรอ ว่า ตัวเอง เป็น ลูกน้องท่าน เทพสุวรรณ มาก่อน
    แล้วทำไมเขาพูดอย่างนั้น ขึ้นมาละ
    เอ่อ ยักษ์ นี้มี อยู่ สองอย่างนะ ยักษ์ ที่เป็น สัมมาทิษฐิ กับ ยักที่เป็น มิจฉาทิษฐิ
    เจ้าก็ บอกเขาไปซิ ว่า อย่ากลัวไปเลย เราเป็นยักษ์ทำบุญ ปฏิบัติธรรมนะ ไม่ทำร้ายใคร
    หนู ไม่เคยคิดมาก่อนเลย แค่เห็น ตัวเองนั่งทำบัญชีอยู่ในวัด
    เห็นคนใส่ โสร่งสีแดงมานั่งหัวเรอะอยู่ในบ้านตอนเริ่มทำสมาธิใหม่ๆ
    และเห็น ชายคนหนึ่งมาเอาเสาท่อนหนึ่งที่บ้านไป ตอนพี่ชายตาย และ คุย กันอย่างถูกคอ และ ยังแหย่เลยว่า มาช่วยกัน

    แล้ว หนู จะถามว่า ทำไมหนูถึงมี ความรู้สึก กับ คนๆนั้นเช่นนั้นละ
    เฮอๆๆ คนที่มันมีสัญญากันมานะ มันเป็นอย่างนั้นละ จงสำรวม กาย วาจา ใจและ หมั่นพิจารณามันซะ อย่าหลงทาง

    แม่ๆ หนูมีแผลที่ราวนมด้านซ้าย อยู่เฉยๆ มันก็ขึ้นมาละ แล้วเจ้าไปบ่นอะไรมา
    หนูแค่บ่นคนที่มีสัญญาคนนั้นไปว่า เนื้อหอมจังนะ
    เอ่อ ยิ่งตัวไปทำอย่างนั้น กรรมตัวเองเคยทำ ยิ่งบังเกิดนะ รุ้มั๊ย เจ้าเคยทำไรเขา รู้มั๊ย ใช้ ความรักที่เขามีต่อตัวเองนั้นละไปต่อรองเขา
    ใช้มีดกรีดตัวเอง เหนือราวนมนั้นละทำร้ายตัวเอง เด็กเอ๋ยเด็ก ใครจะไปรู้ว่าชาติที่แล้วเจ้าสามารถทำไปได้ถึงเพียงนั้น น่าสงสารจริงๆ


    ประวัติพญายมราช

    ประวัติพญายมราช
    ตำนานท้าวพญายมราช (พระยม)

    ท้าว พญายมราช หรือ พระยม ในเทวตำนานยุคต้น ท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศทักษิณ กล่าวไว้คือพระยม เป็นองค์เดียวกัน มีลักษณะใบหน้าดุดัน พระวรกายสีแดงทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ พระหัตถ์ขวาถือบ่วงยมบาศก์(บ่วงบาศก์ที่ใช้จับมัดวิญญาณทั้งหลาย) พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้ท้าวยมทัณฑ์ ทรงกระบือเป็นพาหนะ มีอิทธิฤิทธิ์มากทำหน้าที่พิพากษาและปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ มีบริวารคือ ยมฑูต หรือ นายนิรยบาล มีหน้าที่นำวิญญาณทั้งหลายไปยังสำนักพญายม และลงโทษแก่ดวงวิญญาณในนรก

    ซึ่ง บริวารท้าวพญายมราชที่คนไทยรู้จักดีมีด้วยกัน ๒ องค์ ได้แก่ พระกาฬไชยศรี และ เจ้าพ่อเจตตคุปต์ ซึ่งมีรูปเคารพอยู่ที่ศาลหลักเมือง ทำหน้าที่จดชื่อและจับวิญญาณชั่วร้ายที่จะมารบกวนบ้านเมือง ท้าว พญายมราช เป็นเทวดาที่มีการกล่าวถึงในตำนานของทุกชาติพันธุ์ภาษา ของทุกวัฒนธรรมทั่วโลก ต่างกันเพียงการเรียกนามที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาษาเท่านั้น ส่วนหน้าที่และอำนาจนั้นมีความคล้ายคลึงกัน ตำนานลัทธิข้างจีนฝ่าย มหาญาน กล่าวว่า พญายมเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง

    ตำนานท้าวพญายมราช มีการกล่าวถึงกำเนิดไว้หลากหลาย อาจเป็นเพราะพญายมเป็นตำแหน่งเทวราชผู้ปกครองยมโลก มีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามมติของเทวสภา หรือบารมีที่สั่งสมมาอย่างเหมาะสมทำให้ไปเกิดเป็นท้าวพญายมราช จากเทวตำนานในยุคต้นที่กล่าวว่าท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ พระยม

    ด้วย ในยุคต้นที่ยังไม่มีวิญญาณใดที่เหมาะสม ท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ ท้าววิรุฬหก ทรงเป็นเทวกำเนิดจึงต้องรับภาระในตำแหน่งพญายม หรือ พระยม ซึ่งก็มีตำนานได้กล่าวไว้ว่า บริวารของพญายมคือ ยมฑูต ก็ คือกุมภัณฑ์ พวกหนึ่งนั่นเอง แต่เมื่อมีมนุษย์มากขึ้นสั่งสมบารมีหรือมีความเหมาะสมย่อมได้รับการสถาปนา ให้ดำรงตำแหน่ง

    ท้าวพญายมราช องค์ปัจจุบันในอดีตชาติก่อนที่ท่านจะได้รับสถาปนาเป็นท้าวพญายมราชนั้น ท่านเป็นมนุษย์ในครั้งก่อนพุทธกาล ในยุคที่ยังมนุษย์อยู่กันเป็นชุมชนยังไม่ใหญ่นัก ซึ่งท่านเป็นหัวหน้าชุมชนในหมู่บ้านเป็นผู้มีวิชาความรู้ เมื่อเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในชุมชนหมู่บ้านท่านเป็นผู้นำปราบปรามแก้ไข และต้องตัดสินพิพากษา

    ครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันตายในหมู่บ้าน ที่ท่านดูแลอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าเป็นผู้กระทำด้วยเกรงกลัวความผิด เพราะโทษนั้นหนักถึงกับต้องประหารให้ตายตกตามกันคือชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านในฐานะผู้ปกครองดูแลเมื่อสอบสวนแล้วไม่มีผู้ยอมรับผิด จึงได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาเสกแป้งฝุ่นแล้วซัดออกไปก็จะปรากฎรอยเท้า ผู้กระทำผิด

    เมื่อตามรอยเท้านั้นไปปรากฎว่าผู้เป็นเจ้าของรอยเท้า นั้นคือพ่อบังเกิดเกล้า ของท่านเอง ท่านมีความเสียใจเป็นอย่างมากไม่รู้จะทำอย่างไร ท่านพิจารณาด้วยใจอันเป็นธรรมอย่างที่สุดจึงได้ตัดสินให้ประหารพ่อ ของท่านเอง แล้วก็ออกจากหมู่บ้านเร่ร่อนไปจนท่านเสียชีวิตเพียงลำพัง เป็นการแสดงให้เห็นว่าท่านมีความเที่ยงธรรมอย่างหาที่เปรียบมิได้

    เพราะ หากท่านไม่บอกแก่ใครย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ อีกทั้งท่านก็ยังได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านมีความสุขสบายไม่ต้อง ลำบากเร่ร่อนไปอย่างเดียวดาย เมื่อท่านได้เสียชีวิตดวงวิญญาณของท่านเป็นยกย่องในความเที่ยงธรรม เทวดาทั้งหลายจึงแสดงฉันทามติสถาปนาท่านให้ดำรงตำแหน่งท้าวพญายมราช

    องค์ พญายมราชจะมีผู้ช่วยสำคัญในการไปนำดวงวิญญาณ ของสัตว์โลกมาสู่แดนปรโลก หรือแดนยมโลกคือ องค์เจ้าพ่อพระกาฬชัยศรี เจ้าพ่อพระกาฬชัยศรีนี้มีรูปปั้นอยู่ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง กรุงเทพมหานคร มีเทวะลักษณะเป็นเทพยดาที่สี่กร กรหนึ่งถือดวงไฟหมายถึงดวงวิญญาณ กรหนึ่งถือบ่วงบาศเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการใช้จับดวงวิญญาณทั้งปวง ขี่นกเค้าแมวเป็นพาหนะ

    พระองค์เป็นบริวารของพญายมราชทำหน้าที่เก็บ ดวงวิญญาณต่างๆ บ้านไหนที่จะมีคนตาย พระองค์จะทรงใช้นกแสกบ้าง นกเค้าแมวบ้าง ไปเกาะลังคาบ้านร้องเตือนให้ทราบล่วงหน้า หรือบันดาลนิมิตดีร้ายให้ทราบ หากผู้นั้นมีปัญญาจะได้รีบขวนขวายทำบุญก่อนจะหมด โอกาสในโลก

    นอก จากนี้พระองค์ยังมีบริวารเรียกว่าเหล่ายมฑูต ทำหน้าที่ไปเก็บดวงวิญญาณต่างๆให้พระองค์อีกทีหนึ่งด้วย ซึ่งเราชาวโลกจะเรียกท่านว่า พญามัจจุราชนั่นเองนอกจากนี้องค์พญายมราชยังมีบริวารที่ทำหน้าที่บันทึกการ กระทำความดีความชั่ว เรียกว่าสุวัณ และสุวาณ

    สุวัณนั้นทำหน้าที่จด การกระทำความดีของผู้ที่กระทำความดีตั้งอยู่ในศีลใน ธรรม การจดนั้นท่านใส่สมุดทองคำ ยามรายงานองค์พญายมราชเสร็จเรียบร้อยจะทำการยกขึ้นจบเหนือหัวเป็นการ อนุโมทนา ส่วนสุวาณทำหน้าที่จดการกระทำของคนชั่วประพฤติบาป ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม การจดก็จดใส่สมุดหนังหมา เป็นการ คาดโทษเอาไว้

    ใน พระไตรปิฏกกล่าวว่าองค์พญายมราชนั้นเมื่อได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้ามีดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาบันนั่นเป็นเบื้องต้น ครูบาอาจารย์ที่ถอดจิตได้อย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านกล่าวว่าองค์พญายมราชนั้นปัจจุบันท่านมีภูมิธรรมชั้นพระอนาคามี เป็นภูมิพรหม ดำรงตำแหน่งการพิพากษาตัดสินดวงวิญญาณในแดนยมโลกอย่างยุติธรรม ประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือดวงวิญญาณแต่ละดวงที่ตกมายังยมโลกนั้น

    พระองค์จะไต่ถามด้วยความ เมตตาว่าระลึกถึงบุญอันใดได้บ้าง หากดวงวิญญาณนั้นๆระลึกได้แม้สักอย่างท่านจะอนุโมทนาและให้ไปรับส่วนบุญ นั้นๆ หากดวงวิญญาณไม่อาจระลึกถึงคุณงามความดีใดๆได้เลยท่านก็ทรงจิตไว้เป็น อุเบกขา ว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ท่านก็จัดส่งไปลงโทษตามควรแก่ฐานานุโทษของสัตว์นั้นๆ

    ในด้านของไสยศาสตร์นั้น พระยายมราช นับเป็นเทวะราชาพระองค์หนึ่งที่มีเทพอาวุธอันทรงอานุภาพเปรียบได้กับอาวุธ ปรมาณู ซึ่งมีอานุภาพทำลายล้างสูงสุดเป็นที่เกรงกลัวของทั้งสามภพ ในตำราทางไสยศาสตร์นั้นเทพอาวุธอันทรงอานุภาพมีด้วยกัน ๕ อย่าง เป็นของเทพ ๕ พระองค์ มีดังนี้ครับ

    วัชระ ของพระอินทร์ ๒ ผ้าโพกหัวของอาฬาวะกะยักษ์ ๓ นัยตาของพญาอาวุธทั้ง ๕ นี้ถือเป็นของที่มีอานุภาพสามารถทำลายล้างสารพัดสรรพสิ่งได้เป็นจุณมหาจุณ เป็นที่เกรงกลัวของภูติผีปีศาจอย่างยิ่ง ครูบาอาจารย์ได้นำเอาเรื่องราวของอาวุธทั้ง ๕ มาประพันธ์เป็นพระคาถาในการป้องกันและปราบปรามภูติผีปีศาจได้อย่างชะงัด

    ด้านการอานิสงค์ของการบูชานับถือพญายมราชนั้น เชื่อกันว่าภูติผีปีศาจไม่กล้าระราน ผู้นั้นจะมีตบะบารมีที่น่าเกรงขาม ใครคิดร้ายด้วยทุจริตมิชอบอิจฉาตาร้อน จะแพ้ภัยด้วยตัวเขาเอง นอกจากนี้หากหมั่นบูชาพระองค์ท่านเสมอๆท่านว่าจะห่างไกลจากความป่วยไข้มี อายุยืนนาน หากรับราชการหรือทำมาค้าขายด้วยความซื่อตรงก็จะบังเกิดความเจริญมีความสุขใน ชีวิตยิ่งๆขึ้นไป

    เครดิตร คุณ suphattra ณ เว็บ ญานทิพย์ เจ้าคะ
     
  2. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    starcom131045
    สมาชิก



    วันที่สมัคร: Aug 2011
    สถานที่: bangkok
    ข้อความ: 97
    พลังการให้คะแนน: 22

    อาวุธประเสริญที่ร้ายแรงที่สุดในโลกสี่ชนิด
    มีกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า อาวุธที่ทรงอานุภาพมากที่สุดในโลกมี ๔ อย่าง

    1.วชิราวุธ ของพระอินทราธิราช ถ้าท้าวสักกะทรงพิโรธแล้วประหารโดยวชิราวุธ วชิราวุธนั้นก็จะชำแรกภูเขาสิเนรุซึ่งสูงหนึ่งแสนหกหมื่นแปดพันโยชน์ ลงไปถึงข้างล่างได้

    2.คฑาวุธของท้าวเวสสุวรรณ คทาวุธที่ท้าวเวสวัณปล่อยในกาลที่ตนยังเป็นปุถุชนนั้น สามารถทำลายศีรษะของพวกยักษ์หลายพันแล้วได้ในคราวเดียว กลับมาสู่กำมือตั้งอยู่อีกได้ ยักษ์ทั้งกลายจึงกลัว ผีทั้งหลายจึงกลัว ท้าวเวชสุวรรณเป็นหัวหน้าของยักษ์และบรรดาภูติผีปีศาจทั้งหลาย ที่ไครๆไม่อาจต่อกรได้ ท่านวางกฎเกณฑ์ไว้ ต้องรักษาสุดชีวิต ไครจะล่วงละเมิดเป็นไม่ได้

    3.นัยนาวุธของพระยายม นัยน์ตาของท้าวพยายม พวกกุมภัณฑ์จำนวนหลายพันเป็นอันมาก ถ้าพระยายมพิโรธแล้ว สักว่ามองดูด้วยนัยนาวุธ กุมภัณฑ์หลายพันก็จะลุกเป็นไฟพินาศ ดุจหญ้าและใบไม้บนกระเบื้องร้อนฉะนั้น

    4.ทุสสาวุธของ อาฬวกยักษ์ (ผ้าโพกหัว) ถ้าปล่อยทุสสาวุธในอากาศแล้ว ฝนก็ไม่ตกตลอด ๑๒ ปี ถ้าปล่อยในแผ่นดิน วัตถุมีต้นไม้และหญ้าทั้งปวงเป็นต้น ก็จะเหยี่ยวแห้งไม่งอกอีก ภายใน ๑๒ ปี ถ้าปล่อยในสมุทรน้ำทั้งหมดก็เหือดแห้งดุจหยาดน้ำ ในกระเบื้องร้อน ฉะนั้น ถ้าจะปล่อยในภูเขาเช่นกับเขาสิเนรุ ภูเขาก็จะเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ กระจัดกระจายไป
     
  3. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    #3
    starcom131045
    สมาชิก



    วันที่สมัคร: Aug 2011
    สถานที่: bangkok
    ข้อความ: 97
    พลังการให้คะแนน: 22

    เรื่องนี้ฟังมาจากคาถาพาหุงชัยชนะของพระพุทธเจ้าครั้งที่สอง ที่มีต่ออาฬวกยักษ์ อาฬวกยักษ์ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นโสดาบัน และกุมารที่พระพุทธเจ้าไปโปรดไม่ให้โดนอาฬวกยักษ์กินเป็นอาหารได้บรรลุธรรมเป็นอนาคามี เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีคนตายมากมาย ที่โดนอาฬวกยักษ์กินเป็นอาหาร แต่พอถึงผู้มีบุญ พระพุทธเจ้าได้ตรวจสัตว์โลก พบว่าอาฬวกยักษ์จะได้โสดาบัน จึงไปโปรดถึงวิมารของยักษ์ซึ่งมีนิสัยหยาบคายแม้แต่พ่อแม่ก็ไม่ให้ความเครพ ยักษ์ถามปัญญหา8ข้อ ที่พระพุทธเจ้ากัสสปะเคยถามไว้ นำมาถามพระพุทธเจ้าโคดมเป็นคำถามที่พระพุทธเจ้าเท่านั้นจะตอบได้ พระพุทธเจ้าตอบได้หมด ยักษ์จึงยอมแพ้ และบรรลุธรรม ก่อนจะถามปัญหายักษ์ได้ปล่อยอาวุธที่หาอาวุธอื่นเทียบไม่ได้ เป็นหนึ่ง ในสี่อาวุธที่ประเสริญที่สุดครับ เพราะพระพุทธเจ้ามีบุญได้อธิธานขอให้อาวุธอย่าได้ทำอันตรายชาวเมืองครับเพราะอาวุธนั้นร้ายแรงมาก อาวุธที่ปล่อยไปกลายเป็นผ้ารองเท้าของพระพุทธเจ้า หลังจากอาวุธสุดท้ายทำอะไรไม่ได้ ยักษ์จึงเลิกคิดสู้ด้วยวิธีรุ่นแรงเพระาหมดปัญญาสู้แล้วครับ หันไปใช้วิธีถามปัญหาแทนเป็นปัญหาที่พ่อแม่ยักษ์ได้พบพระพุทธเจ้ากัสสปะและจำมาสอนอาฬวกยักษ์ หากตอบไม่ได้ยักษ์จะขอควักเอาดวงจิตของพระพุทธเจ้าออกมา เป็นคำถามที่พระพุทธโคดมบอกไม่ใช้คำถามที่มนุษย์ธรรมดาจะตอบได้ ผู้ตอบจะต้องเป็นพระพุทธเจ้า(ปฎิสัมภิทาญาณ)เท่านั้น ผู้ที่ต้องการพิสูตรให้นั้งทำสมาธิ ทำญาณให้เกิดแล้วไปพิสูตรนะครับ ในคาถาพาหุงชัยชนะของพระพุทธเจ้า ที่มีต่ออาฬวกยักษ์เป็นชัยชนะครั้งที่สองของคาถาพาหุง จากชัยชนะทั้งหมดเจ็ดครั้ง ฟังมานับร้อยครั้งไม่เบื่อเลย

    ขอให้ฟังเพื่อสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผมฟังทุกวัน เขาบอกได้โสดาบัน ก็ดีใจแต่ความสุขอยู่ที่ความสงบมากกว่า แต่ไม่เคยลืมพระองค์ที่ทิ้งพระรัตน์ไตรไว้ให้ ยังมีเวลาเหลืออีก2500 ปี

    8คำถามนะครับ
    ‎1.อะไรเล่าเป็นทรัพย์เครื่องปลื่มใจที่สุดของบุรุษ(บุรุตหมายถึงชนทั้งหมดบนโลกนี้)
    ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื่มใจอันประเสริญที่สุดของบุรุตในโลกนี้

    2.อะไรเล่าที่คนประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้
    ธรรมมะที่บุคคนประพฤดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้

    3.อะไรเล่าเป็นรสยังประโยชน์ให้สำเร็จเลศกว่ารสทั้งหลาย
    สัจจะ เป็นรสยังประโยชน์ให้สำเร็จเลิศกว่ารสทั้งหลาย ตั้งอยู่สัจจะแล้วย่อมปราถนานิพาน

    4.นักปราชน์ทั้งหลายกล่าวว่าชีวิต ผู้เป็นอยู่อย่างไร ว่าประเสริญที่สุด
    บุคคลผู้มีปัญญาเป็นผู้ชีวิตที่ประเสริญที่สุด

    5.บุคคลย่อมข้ามโภฆะได้อย่างไร (คือแม่น้ำแห่งกิเลสที่เราลอยคอกันอยู่ในสังสารวัฏครับ)
    บุคคลย่อมข้ามโภฆะได้ด้วยศรัทธา (โภฆะ4)

    6.บุคคลย่อมข้ามอันนพได้อย่างไร
    ย่อมข้ามอันนพได้ด้วยดวามไม่ประมาท

    7.บุคคลย่อมล่วงทุกข์ได้อย่างไร
    บุคคลย่อมล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร

    8.บุคคลย่อมบริสุทธิ์ได้อย่างไร
    บุคคลย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา สอนถูกธรรมะดีอย่างไร หากไม่เชื่อไม่มีศรัทธาย่อมปิดประตูแห่งคุณธรรมทั้งปว
     
  4. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    #5
    เฟลม
    สมาชิก



    วันที่สมัคร: Aug 2011
    ข้อความ: 93
    พลังการให้คะแนน: 17

    อาฬวกยักษ์ : สมณะ เราจักถามปัญหากะท่าน ถ้าท่านพยากรณ์แก่เราไม่ได้ เราจักทำจิตของท่านให้ฟุ้งซ่าน หรือฉีกหัวใจของท่านหรือจักจับที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปยังแม่น้ำคงคาฝั่งโน้น ฯ

    พระผู้มีพระภาค : อาวุโส เราไม่เห็นใครเลยในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ที่จะพึงทำจิตของเราให้ฟุ้งซ่านได้ หรือขยี้หัวใจของเรา หรือจับเราที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปยังแม่น้ำคงคาฝั่งโน้น เอาเถิด อาวุโส เชิญถามปัญหาตามที่ท่านจำนงเถิด ฯ


    อะไรหนอ เป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐของคนในโลกนี้
    - ศรัทธาเป็นทรัพย์ อันประเสริฐของคนในโลกนี้

    อะไรหนอที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้
    - ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้ว นำความสุขมาให้

    อะไรหนอเป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย
    - ความสัตย์แลเป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย

    นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่อย่างไร ว่าประเสริฐสุด ฯ
    - นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาว่าประเสริฐสุด ฯ

    คนข้ามโอฆะได้อย่างไรหนอ
    - คนข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา

    ข้ามอรรณพได้อย่างไร
    - ข้ามอรรณพได้ด้วยความไม่ประมาท

    ล่วงทุกข์ได้อย่างไร
    - ล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร

    บริสุทธิ์ได้อย่างไร
    - บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ฯ

    คนได้ปัญญาอย่างไรหนอ
    - บุคคลเชื่อธรรมของพระอรหันต์ เพื่อบรรลุนิพพาน
    ไม่ประมาท มีความรอบคอบ ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา

    ทำอย่างไรจึงจะหาทรัพย์ได้
    - บุคคลผู้ทำการเหมาะเจาะไม่ทอดธุระ ขยันหมั่นเพียร ย่อมหาทรัพย์ได้

    คนได้ ชื่อเสียงอย่างไรหนอ
    - คนย่อมได้ชื่อเสียงเพราะความสัตย์

    ทำอย่างไรจึงจะผูกมิตรไว้ได้
    - ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้

    คน ละโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ทำอย่างไรจึงจะไม่เศร้าโศก ฯ
    - บุคคล ใดผู้อยู่ครองเรือนประกอบด้วยศรัทธา มีธรรม ๔ ประการนี้ คือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ จาคะ บุคคลนั้นแล ละโลกนี้ไปแล้วย่อมไม่เศร้าโศก


    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส่ต่อว่า : เชิญท่านถามสมณพราหมณ์เป็นอัน มากเหล่าอื่นดูซิว่าในโลกนี้มีอะไรยิ่งไปกว่าสัจจะ ทมะ จาคะ และขันติ ฯ

    อาฬวกยักษ์กราบทูลว่า : ทำไมหนอ ข้าพเจ้าจึงจะต้องถามสมณพราหมณ์เป็นอันมากในบัดนี้ วันนี้ข้าพเจ้ารู้ชัดถึงสัมปรายิกประโยชน์
    พระพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่เมืองอาฬวี เพื่อประโยชน์แก่ข้าพเจ้าโดยแท้
    วันนี้ข้าพเจ้ารู้ชัดถึงทานที่บุคคลให้ในที่ใดมีผลมาก ข้าพเจ้า
    จักเที่ยวจากบ้านไปสู่บ้าน จากบุรีไปสู่บุรี พลางนมัสการ
    พระสัมพุทธเจ้าและพระธรรมซึ่งเป็นธรรมที่ดี ฯ

    อาฬวกสูตรที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรร
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ผมพึ่งรู้ไม่นานนี่เองครับ..ตอนแรกนึกว่าจะหน้าตาดุๆอย่างเดียว
     
  6. crossis

    crossis Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    215
    ค่าพลัง:
    +84
    ท่านเป็นคนน่ารักนะครับ
    ผมเคยขอร้องให้ท่านพาไปดูนรก
    ผมอธิฐานไปว่า "ถึงท้าวพญามัจจุราช เราเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่ปฎิบัติธรรมเพียงหวังจะพบซึ่งสัจธรรม อันเป็นแก่นแท้ ที่ยั่งยืนมั่นคงถาวร อันกามราคะทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็ล้วนเป็นแต่สิ่งสกปรก ไม่ได้มีค่าอะไร สรรพสิ่งบนโลก ก็ล้วนเป็นแต่เพียงของไร้ค่า เราเห็นอยู่อย่างนี้
    ถึงท้าวพญามัจจุราช จะหาอะไรที่จะดีได้เท่ากับการ ตอบรับความจริง ท่านว่าไหม
    ปถุชนที่ เป็นผู้ปรุงผู้แต่ง ผู้รับรู้อารม เสวยอารม ผ่านทางอายตนะ ทั้งหลาย กลับไปยึดติดในสิ่งที่ตัวเอง ปรุงขึ้นมา และถูกครอบงำเสียเอง ช่างน่าสงสาร ท่านว่าไหมครับ
    ถึงท้าวพญามัจจุราช หากเป็นไปได้ เราปรารถนาที่จะได้ เห็น นรก มหานรก อเวจีนรก ด้วยธรรม อันประกอบด้วยสติ เพื่อเป็นเครื่องทำลายความยึดมั่นถือมั่นในภาพลวงตาเหล่านั้น สู่สัจธรรมอันแท้ให้ประจักร ด้วยตนเองเทอญ"
    ผมอธิฐานอย่างนี้ ในสมาธิ ที่ประกอบด้วย เอกัตคัตตาเจตสิท และ อุเบกขา
    หลังจากนั้น ปีติเกิดขึ้นมา ฌาณสมาบัติ ถอยกลับไปที่ อุปจารสมาธิ
    เกิดปีติ กายกับจิตแยกออกจากกัน เห็นกายนั่งอยู่ จากนั้น เห็น ชายตัวสีน้ำตาลตาสีแดงฉาน ทรงเครื่องเทวดา ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้น ก็ปรากฎภาพ
    ทะเลเพลิง มีทั้งกลิ่นกำมะถัน ขี้เท้า คลุกลุ่น อยู่ตลอด
    ในทะเลเพลิง เห็นจุดดำๆ เต็มไปหมด เมื่อมองให้ลึกไปอีก
    ก็เห็น สัตว์นรก มากมาย อยู่กลางทะเล เพลิงนั้น
    เทวดาตัวสีน้ำตาลตาแดงฉาน กล่าวว่า ดูก่อนทุกข์ในที่นี้ เป็นเพียงแค่จุดแรกเท่านั้น
    (.... ไม่บอกต่อดีกว่าครับ ไปดูกันเอาเองนะ....)
    ลึกๆผมว่าท่านเป็นคนน่ารัก ท่านไม่อยากให้ใครลงมาที่นี่ด้วยซ้ำ
     

แชร์หน้านี้

Loading...