ฝากคำถามถึงขันธ์ครับ...

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฟางว่าน, 16 มีนาคม 2012.

  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    แล้วผู้มีปัญญาเกิดตอนไหน
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ยังตั้งอยู่ทั้งแท่ง ยังจะทำเป็นรู้ นี่พูดให้ตาย มันไม่เข้าใจกันหรอกนะนั่น
     
  3. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ทั้งแท่งที่ว่านี้ มันเป็นยังไงล่ะลุง สมุทัยของลุงน่ะมันเป็นยังไง

    เป็นยังไงล่ะสมุทัยของลุง บอกหน่อยสิสมุทัยมีลักษณะเป็นอย่างไร
     
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ความจริงอันประเสริฐ คือเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ตัณหานี้ใด ที่ทำให้มีการเกิดอีก อันประกอบด้วยความกำหนัดเพราะอำนาจแห่งความเพลิน ซึ่งมีปรกติทำให้เพลิดเพลินในอารมณ์ นั้นนั้น ได้แก่ ตัรหาในกาม ตัณหาในความมีความเป้น ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น นี้เรียกว่า ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์---มหาวาร.สํ.19/534/1680.:cool:
     
  5. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    อนุโมทนาครับ

    ทุกครั้งที่พบพระวจนะ อุปมาเหมือนได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ ผ่านผู้นำสาร

    ประจักษ์ถึงความ มีอยู่ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ตัณหานี้ใด ทำให้มีการเกิดอีก ประกอบด้วยความกำหนัดเพราะอำนาจแห่งความเพลิน มีปรกติทำให้เพลิดเพลินในอารมณ์ นั้นนั้น(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:-------------------------------------------------พระวจนะ"ตัณหา ย่อมปรกคลุมบุคคล ผู้ประพฤติเป็นคนมัวเมา เหมือนเครือเถามาลุวา ฉะนั้น เขาผู้ถูก ตัณหาปกคลุมแล้ว ย่อมเร่ร่อนไปสู่ภพ น้อยใหญ่ เหมือนวานรต้องการผลไม้ เร่ร่อนไปในป่าฉะนั้น...............ตัณหาซึ่งเป็นของลามก ส่ายซ่านไปได้ทั่วโลกนี้ ครอบงำผู้ใดเข้าแล้ว ความโสกทั้งหลาย ย่อมลุกลามแก่บุคคลผู้นั้น เหมือนหญ้าวีรณะ ซึ่งงอกงาม แผ่กว้างออกไปโดยเร็ว ฉะนั้น .......................ต้นไม้แม้ถูกตัดแล้ว แต่เมื่อรากยังมั่นคง ไม่มีอันตราย ย่อมงอกงามขึ้นมาได้อีกฉันใด ความทุกข์นี้ก็ฉันนั้น เมื่อตัณหานุสัย(ซึ่งเป็นากเหง้าของมัน)ยังไม่ถูกถอนขึ้นแล้ว มันย่อมเกิดขึ้นร่ำไป..................ตัณหา ซึ่งมีกระแสสามสิบหกสาย มีกำลังกล้าแข็ง ใหลไปตามใจชอบ ของบุคคลใดมีอยู่ ความดำริซึ่งอาศัยราคะ มีกระแสอันใหญ่หลวง ย่อมพัดพาไป ซึ่งบุคคลผู้นั้น อันมีทิฎฐิผิดเป็นธรรมดา.............................กระแสแห่งตัณหา ย่อมหลั่งใหลไปในอารมณ์ทั้งปวง เถาวัลย์(คือตัรหา)แตกขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ ท่านทั้งหลาย เห็นเถาวัลย์นั้นเกิดขึ้นแล้ว จงตัดรากมันเสีย ด้วยปัญญา...................โสมนัส ซึ่งซาบซ่านและมีเยื่อใย มีอยู่แก่สัตว์ สัตว์เหล่านั้น จึงแสวงสุข เพราะอาศัยความยินดี สัตวืเหล่านั้นแหละเป็นผู้เข้าถึง ชาติและ ชรา.........................หมู่สัตว์ เผชิญหน้าด้วยตัณหา(เครื่องให้เกิดความสดุ้ง)ย่อมกระสับกระส่าย เหมือนกระต่ายที่ติดบ่วง เผชิญหน้านายพราน กระสับกระส่ายอยู่ฉะนั้น สัตวืผู้ข้องแล้วด้วยสัญโยชน์ ก็เข้าถึงความทุกขือยู่ร่ำไป ตลอดกาล นานแล---ธ.ขุ.25/60/34.:cool:
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ ที่เกิดแห่งอุปธิ พระวจนะ" ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อพิจารณาสืบไปว่า ย่อมพิจารณาลึกลงไปอีกว่า อุปธินี้ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป้นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด และมีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมีอยู่ อุปธิก็มีอยู่ เมื่ออะไรไม่มีอุปธิก็ไม่มี ดังนี้......................ภิกษุทั้งหลาย ภิกาุนั้นเมื่อพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า อุปธิมีตัณหาเป็นเหตุให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีตัรหาเป็นเครื่องกำเนิด และมีตัรหาเป็นแดนเกิด เมื่อตัรหามีอยู่ อุปธิก็มีอยู่ เมื่อ ตัรหาไม่มี อุปธิก็ไม่มี ดังนี้แล.----นิทาน.สํ.16/131/257.:cool:
     
  8. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ความสงบ ไม่ใช่สมาธิ
    ความสงบ คือ การปล่อยวางเรื่องราวทางโลก
    เพราะมีปัญญาไปตัดสิน แต่เรื่องราวทางโลกยังอยู่
    เขาเรียก ปัญญาทางทางธรรม คือ การปล่อยวาง แต่ไม่ว่าง
     
  9. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ความจริงจิตเดิมแท้นั้นมันสงบโดยตัวของมันเองเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึง จะมองไม่เห็น สติปัญญาที่ยังไม่สามารถหยั่งลงไปถึงจะมองไม่เห็น ส่วนมากจะหลงยึดเอาเงาที่มาบดบังจิตฯ นั้นว่าเป็นตัวจิตฯ จริง ๆ แทนเสมอ เงานั้นมันเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปได้ตลอดเวลาตามแต่เราจะหลงสร้างเงาไปในรูปลักษณะใดขึ้นมา บางทีก็หลงไปสร้าง หลงกระทำ หลงยึดถือ หลงส่งเสริมให้เงานั้นกลับเข้มข้นมั่นคงมากขึ้นไปเสียอีก ไม่สร้างแบบนี้ก็ไปสร้างอีกแบบหนึ่งโดยรู้ตัวเลย ยกตัวอย่างเช่น บางทีก็ไปหลงสร้างสมาธิ เอาสงบอยู่แต่กับเงานั้นเอง แท้จริงความสงบมีอยู่แล้วที่จิตฯนั้น แต่เราเข้าไปไม่ถึงความสงบที่แท้จริงนั้นเอง เราก็เลยหลงสร้างหลงกระทำหลงรักษาเงาอันนั้นไว้ มันก็เลยบดบังดวงจิตฯอยู่นั่นเอง แต่จะบอกว่ามันไม่จำเป็นเลยก็ไม่ได้ มันก็มีประโยชน์ของมันอยู่ในการทำให้มันนิ่งมันสงบ นิ่งสงบก่อนนั่นแหละดี จะได้ตามทันไม่เหนื่อยมาก เราจะได้ไม่ต้องดิ้น หลง เปลี่ยนแปลงไปตามเงามากเกินไป แต่เราต้องรู้จักสังเกต ถ้าเรารู้จักสังเกต เราก็จะมีโอกาสมองเห็นความจริงได้

    หากเรารู้จักเจริญสติเข้าไปสังเกตทำความเข้าใจกับเงาพวกนั้นให้ได้บ่อย ๆ จนเข้าใจ จนเห็นความจริง เห็นลักษณะอาการของเขา เห็นการเกิดการดับของเขาได้ ทั้งยังสามารถระมัดระวังตนให้ไม่เผลอหลงไปสร้างเงาในลักษณะใดลักษณะหนึ่งขึ้นมาบดบังจิตฯได้ง่าย ๆ อีก เมื่อเงาไม่บัง เราก็จะเริ่มมองเห็นจิตเดิมแท้นั้นได้ หรือที่พระท่านเรียกตัวใจ นั่นแหละทีนี้จากเดิมที่เคยหลงคว้าแต่เงา ดูแต่เงา จัดการแก้ไขแต่เงาอย่างเดียว เราก็จะเริ่มขยับไปดูแลรักษาที่จิตฯ หรือตัวใจนั้นแทน ...หม่นหมอง...หรือผ่องใส... อะไรเป็นเหตุ แก้ที่เหตุ กำจัดเหตุ ไม่หลงผล รู้เท่าทัน ไม่ยึด ปล่อยวางได้ เราก็เป็นสุข สุขเพราะทุกข์ลด สุขแบบไม่ยึด สุขสงบร่มเย็นอยู่ภายใน

    จิตเดิมแท้ก็คือจิตเดิมแท้ รับรู้แต่ไม่ยึด ไม่มีเราไม่มีเขา ไม่เป็นเราไม่เป็นเขา การชำระสะสางให้สะอาดหมดจดผ่องใสเป็นเพียงหน้าที่ เป็นกิจที่พึงกระทำ จบกิจก็หมดหน้าที่ ก็เท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2012
  10. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    สภาวะที่ยังไม่ถึงพระอรหันต์แต่ชอบยกจิตพระอรหันต์นั้น เขาเรียกว่าการฟุ้ง และการเพ้อเจ้อถ้าทำไม่ได้แล้วมาบอกต่อ เขาเรียกพวกเอาไม่อยู่ วนๆ อยู่แต่ในจินตนาการ
    ถ้าจะยกตำรามา ก็เอามาทั้งหมด ไม่น่าดัดแปลงเป็นคำพูดตัวเอง
    นอกจากจะหลอกตัวเอง แล้วยังทำให้ผู้อื่นคลาดเคลื่อน เลยทำให้ฟุ้งไปกันใหญ่
    รู้จักปล่อยวางไปเรื่อยๆ อย่างอื่นไม่ต้องมาโม้ หน้าบอร์ด
     
  11. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ไม่เข้าใจก็ต้องงงเป็นธรรมดา คนเข้าใจต้องมีอยู่แน่นอนครับ
     
  12. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    คนที่อาจได้รับประโยชน์ตรงนี้มีอยู่ เธอไม่รับก็อย่าเหมาเข่งคนเดียวสิ ไม่ได้โม้
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ตกลง จิตมีรูปพรรณ สัณฐาน เหรอครับ


    อันนี้ จั่วว่า สมาธิคือเงา ขั้นริยำ ถ้าทำสมาธิแล้วละก้อ จะส่งเสริมให้ ติดเงา
    ให้ เงายิ่งบดบังจิต



    อันนี้เป็นการย้ำว่า สมาธิที่เป็นตัวเงา ไม่ใช่ สภาวะสงบแท้ของจิต จิตตัว
    มันเองสงบอยู่แล้ว สมาธิคือสงบจอมปลอม ย้ำมันเข้าไปอีก


    มาตรงนี้เริ่ม มึนและ ตรงนี้เริ่มนึกขึ้นได้ว่า เขาด่ากันทั้งเมือง พวกที่ตำหนิ
    สมาธิว่าคือเงา นึกขึ้นได้ว่าคำครูที่ตนกำลังดัดแปลงผสมมั่วซั่ว มันเริ่มขัด
    กันเอง ก็เลยบอกว่า เห้ย กูขอผลิกลิ้นกลางอากาศหวะ ตะกี้ที่ว่า ทำสมาธิ
    จะยิ่งหลงเงาซ้ำร้ายกว่าเดิมนั้น จริงแล้ว เป็น ของดี ไม่ได้หลงเว้ยเห้ย


    อันนี้ก็เริ่ม วนในอ่างละ ตกลงให้ทำสมาธิเป็นเงาบดบังจิต หรือไม่ให้ทำกันแน่

    แล้วตะกี้ว่า หากเจอจิตเดิมแท้ ก็จะเห็นว่ามันสงบอยู่แล้ว แต่ คราวนี้เอาใหม่
    ไปเจอ จิตเดิมแท้หรือใจแล้ว ต้องรักษาอีกเว้ยเห้ย ตกลงมันใส มันสงบอยู่
    แล้วหรือว่า มันมีเน่ากันแน่หว่า




    อันนี้ ตัณหาเริ่มออก สุขได้เนี่ยะ เพราะว่า ทุกข์มันลด มันมีที่ไหนหว่า
    เขามีแต่ เพราะเห็น ทุกข์ เข้าใจทุกข์ แจ่มแจ้งในทุกข์ นอกจากทุกข์ไม่มี
    อะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ แต่นี้บอกว่า เพราะ ทุกข์ลด มันไม่
    ได้ลด มันเกิดของมันไปตามเรื่อง และ ยังมีอีกเยอะที่รอการเกิด รอการปรากฏ
    สภาพทุกข์ หากยังเวียนว่ายตายเกิด ทุกข์ก็จะค่อยๆเวียนเข้ามาไม่หยุด
    นอกจาก ทุกข์ไม่มีอะไรเกิด แล้ว สุขมันมาจากไหนว่ะ

    อันนี้ ก็เป็นอันว่า เข้าข่าย การเขียบรรยายธรรมะแบบมั่วซั่ว เหมือนอาการ
    คนที่ เขียนอะไรบนผืนทราบ ระหว่างเขียนก็เอาตีนมาลบไปด้วย ไอ้มือก็
    เขียนไป เท้าก็ลบไปด้วย เหมือนลิงที่ไม่รู้คุณค่าของสิ่งที่กระทำ

    เดี๋ยวบอกว่า จิตเดิมแท้บริสุทธิอยู่แล้ว สงบอยู่แล้ว อยู่แล้ว ไม่ทำ ไม่ต้อง
    อยู่แล้ว อยู่แล้ว

    เดี๋ยวก็บอกว่า จิตเดิมแท้มันหมอง ต้องเข้าไปทำความสะอาดมัน กิจพึงกระ
    ทำคือ การปัดกวาดเช็ดถูสิ่งที่มาบดบัง(สมาธิ เป็นต้น)

    แล้วยังบอกอีกนะว่า เหตุที่จิตหมอง ก็เพราะ ไปทำสมาธิบดบังจิต เลย
    ให้แก้ที่เหตุ คือ เลิกทำสมาธิซะ เอ....แต่วรรคกลางๆนั่น บอกทำไปก่อน
    ก็ดี เอาเบาบังไว้บ้าง จะได้ไม่มีเงามาบังมาก ยิ่งทำสมาธิมากๆ เงาก็ยิ่ง
    บังหนักสาหัสสากัญ(ย้อนไปวรรคแรก) เอ้าเห้ย

    เขียดด้วยมือ ลบด้วยเท้า ไปเรื่อยเลย
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    แล้วใครหละ รู้ชัดหรือเปล่าว่าใครได้ หากรู้ไม่ชัดว่า ใครได้ นี่มัน
    เดาสุ่มส่งสวด มั่วนิ่ม ถ้ารู้ว่าใครได้บอกโคตร บอกเหล่ามา คน หรือ ผี
    หรือ เทวดา หรือ พรหม หรือ ยม หรือ ยักษ์ ว่ามา ว่าใครได้


    อันนี้ ผมมาเหมาเข่งร่วมแล้ว ก็เป็นอันว่า เขาไม่ได้เหมาคนเดียว ดังนั้น
    คำที่ทักเขาว่า อย่าเหมาคนเดียว ก็เป็นอันตกไป เขาเผือแผ่ให้คนอื่น
    ร่วมเหมาด้วย

    ถ้าไม่ได้โม้ ก็บอกมาว่า ใคร ได้ประโยชน์ รู้ชัดหรือว่า ใครได้ประโยชน์

    ถ้ารู้ไม่ชัด ระบุชื่อ ระบุโคตร ไม่ได้ ก็...............โม้ แน่นอน
     
  15. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ผู้ที่ยังไม่รู้จักสภาวะตัวเอง จะมีสติได้ยังไง
    ผู้ที่ไม่มีสติ จะเข้าใจสมาธิ ว่าไง
    ผู้ที่ไม่มีสมาธิ จะมีปัญญาได้ไง
    ผู้ที่ไม่มีปัญญา จะถึงความสงบได้ไง

    สงบแบบ นาอินจาง
     
  16. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ที่เหลือก็แล้วแต่จะคิด ผมไม่มีสิทธิไปห้ามอยู่แล้วครับ
     
  17. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    พี่เอก ความว่างจากอารมณ์ กับความว่างจากความคิด
    พี่เอกเข้าใจนั้น คือสมาธิ เหรอคะ ถามสั้นๆ แค่นี้
     
  18. paderm

    paderm สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +4
  19. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ที่เธอกล่าวมามันก็ถูกทั้งหมดนั่นแหละ
     
  20. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    งั้นพี่เอกเก็บคำนี้ที่ถูกไว้กับตัวเองนะคะ
    สักวันหนึ่ง สักวันหนึ่ง เมื่อวันนั้นมาถึง
     

แชร์หน้านี้

Loading...