ใครเป็นคนออกแบบหรือตั้งกฏแห่งกรรมครับ ใครใครสร้างนรกสวรรค์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย surer, 22 มีนาคม 2012.

  1. surer

    surer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,508
    ค่าพลัง:
    +1,317
    คือคำถามอาจโง่หน่อยผมต้องขอโทษที เพราะผมสงสัยจริงๆ
    และใคร เป็นคน แต่งตั้ง ยศ ต่างๆ เช่น พระพรม ท่านท้าวเวสสุวรร
    และอีกมากมาย ไม่รู้ไ ว่าผมถามแบบนี้จะเหมาะสมป่าว
     
  2. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    เอาหลักพุทธนะ
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    มันมีขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง
    เพียงแต่พระองค์เป็นผู้ค้นพบ
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    คำถาม มี สาระ มาก

    กฏแห่งกรรม มีอยู่เอง

    เหมือน ดวงอาทิตย์ โลก ทำไม มี กลางวัน กลางคืน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  4. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ถ้าเรื่องจุดกำเนิดของทุกดวงจิต ไม่แน่ใจว่าจะอยู่ในหมวด คำถามที่
    พระพุทธองค์ ไม่ทรงตอบ

    หรือเปล่านะครับ

    คำถามนี้รู้สึกจะมีเพียงพระพุทธเจ้าที่ทรงทราบได้ น่ะครับ
    ต้องขออภัยที่ตอบอย่างนี้นะคับ
     
  5. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    อิอิอิอินึกจะตอบว่าคนเกาหลีสร้าง เมื่อกี้เห็นไปตั้งกระทู้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนเกาหลี
     
  6. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ปัญหาของอจินไตย ๔ ข้อ

    ถาม ๑. สิ่งที่เป็นอจินไตย นี่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ได้ ไม่ใช่วิสัยของปุถุชนคนธรรมดาหรือพระอรหันต์ธรรมดาจะรู้ได้ใช่ไหม

    ตอบ สิ่งที่เป็นอจินไตยนั้นมี ๔ อย่าง คือ
    ๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า
    ๒. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน
    ๓. กัมมวิบาก ผลจากกรรม
    ๔. โลกจินดา ความคิดเรื่องโลก
    ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิดผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์
    ในอจินไตย ๔ อย่างนี้ อย่างแรกคือ พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าคิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธเจ้า มีอานุภาพของพระพุทธคุณและพระสัพ<WBR>พัญ<WBR>ญุต<WBR>ญาณ<WBR>เป็นต้น
    อย่างที่ ๒ ฌานวิสัย วิสัยของผู้ที่ได้ฌานอภิญญา ผู้ที่ไม่ได้ฌานคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่า ทำไมผู้ที่ได้ฌานอภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ มีเหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้นๆ เท่านั้นจึงจะรู้ได้
    อย่างที่ ๓ กัมมวิบาก ผลของกรรม คือคนธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจรู้ว่า ผลของกรรมที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อใด คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดมากไปจะเป็นบ้าไปเสียเปล่าๆ ผู้ที่รู้ผลของกรรมได้อย่างถ่องแท้ต้องเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ นับย้อนหลังไปได้โดยไม่จำกัดอย่างพระพุทธเจ้า จึงสามารถจะทราบได้ถูกต้องแท้จริงไม่ผิดพลาด ท่านที่ระลึกชาติได้จำกัด เช่นระลึกได้ ๕๐๐ ชาติ แต่กรรมที่ทำไว้ ทำไว้เมื่อชาติที่ ๕๕๐ ผู้ที่ระลึกชาติได้ ๕๐๐ ชาติก็ไม่สามารถระลึกได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะรู้กรรมและผลของกรรมได้ถูก<WBR>ต้อง<WBR>ตาม<WBR>ความ<WBR>เป็น<WBR>จริง เพราะพระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ระลึกชาติย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด มียถากัมมูปคญาณ ญาณที่เข้าถึงกรรมของสัตว์ตามความเป็นจริง พระพระสัพพัญญุตญาณ ญาณที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นไม่มี ทั้งยังมีพระอนาวรณญาณ ญาณที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้น ที่คนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่มี เพราะฉะนั้น ป่วยการคิดเรื่องผลของกรรมว่ามาจากกรรมไหน เมื่อใด เป็นต้น คิดมากไป อาจเป็นบ้าได้
    อย่างที่ ๔ โลกจินดา ความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลก เช่นคิดว่าใครสร้างพระจันทร์-พระ<WBR>อา<WBR>ทิตย์ ใครสร้างภูเขา ต้นไม้ เป็นต้น คิดมากไปไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจจะรู้ได้
    ด้วยเหตุนี้ อจินไตยทั้ง ๔ อย่างนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองคิดแล้วรู้ได้ ซึ่งก็รู้ได้เพียงวิสัยของตนเท่านั้น พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะรู้เท่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงเตือนว่า สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้สั่งสมสติปัญญาบารมีความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรมมาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ทีเดียว

    ถาม ๒. ถามว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ารู้ในสิ่งที่เรียกว่า “อจินไตย” หรือเปล่า

    ตอบ ขอเรียนว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รู้ในสิ่งที่เรียกว่าอจินไตย ตามวิสัยของพระปัจ<WBR>เจก<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า ไม่อาจรู้ไปถึงวิสัย<WBR>ของ<WBR>พระ<WBR>พุทธ<WBR>เจ้าได้ เพราะท่านมิได้ญาณ โดยเฉพาะ<WBR>พระ<WBR>สัพ<WBR>พัญ<WBR>ญุต<WBR>ญานอย่างพระ<WBR>พุทธ<WBR>เจ้านั่นเอง

    ถาม ๓. ถามว่า พรหมชั้นสุทธาวาสอายุนานกว่าพรหมชั้นอื่น มีโอกาสที่จะ<WBR>ค้น<WBR>คว้า<WBR>ศึกษา<WBR>ใน<WBR>เรื่องที่เป็นอจินไตยจนรู้ได้หรือเปล่า

    ตอบ ปัญหานี้ขอเรียนว่า ผู้ที่จะเกิดเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาสได้นั้น จะต้องเป็นพระอนา<WBR>คา<WBR>มี<WBR>ได้ปัญจมฌาน เมื่อตายลงจึงเกิดเป็นพรหมอนาคามีในชั้นสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่งใน ๕ ชั้นได้ และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในสุทธาวาสนั้นเอง ไม่กลับไปเกิดในภพภูมิใดๆ ที่ต่ำกว่าอีกเลย เพราะฉะนั้น พรหมชั้นนี้จึงเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแน่นอน ความรู้ของสาวกย่อมไม่อาจเทียบกับความรู้ของพระพุทธเจ้าแน่ ถ้าท่านจะรู้เรื่องราวของอจินไตย ท่านก็รู้ได้ตามวิสัยของท่านเท่านั้น ไม่เกินวิสัยของท่านไปได้

    ถาม ๔. ถามว่า ความรู้ของพรหมชั้นสุทธาวาสจะมากกว่าพระอรหันต์หรือไม่ เพราะอายุยืนมากจริงๆ พบพระพุทธเจ้ามาหลายองค์ เวลาผมทำบุญให้แม่ผม ผมอธิษฐานให้แม่ผมไปปฏิสนธิในพรหมชั้นสุทธาวาส เพราะผมไม่รู้ว่าแม่ผมยังมีเรื่องค้างใจที่ยังไม่ได้ทำค้างไว้หรือไม่ พรหมชั้นนี้อายุยืนมีเวลาทำอะไรๆ ได้อีกมาก

    ตอบ ในเรื่องนี้ขอเรียนว่า ความต้องการของคุณเป็นโมฆะ เพราะถ้าแม่ของคุณมิได้เป็นพระอนาคามีผู้ได้ปัญจมฌานในชาตินี้แล้ว ย่อมไม่มีโอกาสเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสได้เลย

    อีกประการหนึ่ง การบังเกิดขึ้นในภพภูมิต่างๆ ของบุคคลใดๆ ย่อมเป็นด้วยกรรมของ<WBR>บุคคล<WBR>นั้นๆ หาได้บังเกิดขึ้นเพราะการอธิษฐานของใครๆ คนใดคนหนึ่งไม่ เพราะฉะนั้นความต้องการของคุณจึงเป็นโมฆะ คือไม่มีทางเป็นไปได้เลย <CENTER>________________________________________</B></CENTER>
    ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
    อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
    อจินติตสูตรhttp://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=21&A=2166&Z=2173

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖

    มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

    จูฬกัมมวิภังคสูตรhttp://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=14&A=7623&Z=7798

    พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
    พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
    คำว่า ทศพลญาณhttp://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ทศพลญาณ
    คำว่า อนาคามี 5http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=อนาคามี_5

    คำว่า ภูมิ 31 http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ภูมิ_31
    </PRE>
     
  7. pczophie

    pczophie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +61
    บอกตรงๆเลยว่า ไม่ทราบค่ะ ^^

    แต่อยากตอบแบบเดาๆ (เพราะคิดว่า ใช่แน่ๆ แต่ไม่มีหลักฐาน) ก็คือ "พวกเราเองนี่แหละ เป็นคนสร้างกฎแห่งกรรม"

    หลายๆท่านอาจเข้าใจว่า ดวงจิตคือดวงแก้วใสๆ แต่จริงๆแล้วมันซับซ้อนกว่านั้นมาก
     
  8. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    .......
    ป่วนอีกแล้ว
     
  9. surer

    surer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,508
    ค่าพลัง:
    +1,317
    555555555555555555555555555555555
     
  10. พยัคฆ์หลับ

    พยัคฆ์หลับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +83
    ขอตอบส่งเดชตามสติปัญญาของผมนะ
    กฎแห่งกรรมเอย สวรรค์เอย นรกเอย มาจากกรรมของเราๆ ที่ทำกันไว้
    กรรมคือการกระทำ หรืออาจจะหมายถึงแรงที่กระทำ

    ตามกฎการเคลื่อนที่ข้อที่ 3 ของ Sir ไอแซค นิวตัน ทุกๆแรง(การกระทำ)กิริยา จะมีมีแรง(การกระทำ)ปฏิกิริยาอยู่ด้วยเสมอ แต่ทำในทิศทางตรงข้าม

    เช่น เราต่อยกำแพงอิฐด้วยมือเปล่า ต่อให้หมัดหนักขนาดต่อยจนกำแพงแตก แต่ยังไงเราต้องรู้สึกว่ามันเจ็บมากๆ ปวดมากๆ ต่อยกำแพงแตกได้ กระดูกมือ กระดูกนิ้วคงแหลกพินาศ

    สวรรค์ นรก อะไรต่อมิอะไร มาจากการกระทำ หรือกรรมนี่ล่ะ ออกแรงทั้งกายและใจกระทำชั่ว จึงต้องเจอแรงปฏิกิริยากระทำกลับในรูปแบบนรก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  11. ไมยราพ

    ไมยราพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    495
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +201
    ไม่ surer ก็ สุธานนท์ แหละม้าง ที่สร้างกฏการกระทำขึ้นมา

    จึงมี usn กับ สวรรค์
    สวรรค์ กับ สวรรค์
    usn กับ usn
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  12. pczophie

    pczophie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +61
    พระพรหม เท้าเวสฯ ไม่ใช่ยศค่ะ แต่เป็นประเภท

    เหมือนมนุษย์ พวกเรามองไม่เห็นสิ่งที่อยู่เหนือมิติที่ 3 เรามองเห็นได้ระยะใกล้ไกลเท่านี้ๆๆ เราได้ยินเสียงความถี่ 20- 20,000 Hz แล้วเรามีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ นี่แหละเรียกว่ามนุษย์

    พระพรหม คนเป็นพรหมคือท่านพ้นกิเลสที่นำไปสู่ชั้นสวรรค์ ไม่มีความหลงใหลในแก้วแหวนเงินทอง หรือวิมานอะไร

    จริงๆแล้ว สวรรค์เนี่ย เราสร้างได้ พระพรหมก็สร้างได้ แต่คนที่ไม่ใช่พรหมที่จิตอยู่ต่ำกว่าพรหม จะควบคุมสวรรค์ไม่ได้ เพราะ "หลง" อยู่
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ก็คิดแบบนี้สิ

    สมมติว่า อยู่ดีๆ คุณก็เกิดต้องมีอันระเหเร่ร่อน จนไปติดเกาะร้าง เกาะหนึ่งมีดอกไม้สีอำพัน
    คุณอยู่มาหลายปีดีดัก เห็นต้นไปม้ ใบหญ้า แห้งเยวตายไป บางต้นคุณเป็น
    คนปลูก บางต้นไม่ สายน้ำลำธารตรงไหนมีเวลาไหน ไหลเวลาไหน เวลา
    ไหนมีพิษ เวลาไหนไม่มีพิษ ก็สำรวจจนรู้หมด

    พออยู่มานานปี ก็มีคนอื่นๆ ค่อย ลอยคอมาติดเกาะเพิ่ม คนที่มาทีหลัง
    จะทำอย่างไร ก็คงต้องยอมให้คุณเป็นเจ้า เมื่อมีคนลอยคอมามากขึ้น ต่าง
    คนก็ต่างสรรเสริญชื่อคุณไปตามความต้องการของเขา เช่น

    นายหัวผู้เลิศในการหาน้ำ นายหมาผู้เลิศในการดมพิษ อ้ายถ่อยผู้ดำรงค์คุณ
    อันหาประมาณมิได้ .... และอีกหลายๆชื่อ ตามภาษา จริต และ ประโยชน์ที่
    เขาเห็นว่าเขาได้รับ และควรกล่าวสรรเสริญ

    เมื่อนั้น จะทำอย่างไร คงไม่ดีแน่ หากคนๆเดียวจะมีหลายชื่อ คล้ายมีร้อย
    พ่อ พันแม่ หาต้นกำเหนิดไม่ได้ คุณ หรือ กลุ่มคนทั้งหมด อาจจะตกลงกัน
    เรียกชื่ออะไรสักชื่อหนึ่ง ให้เป็นชื่อเดียวกันไปเลย และ แน่นอนว่า ความ
    ปรองดองตามมาตรา291 จะต้องตกลงเรียกชื่อคุณ ตามหน้าที่ ที่เด่นที่สุด
    เช่น ท่านท้าวสุวรรณบุปผา


    เป็นต้น

    แต่ถามว่า แท้จริงแล้ว เป็นไปตามนั้นหรือเปล่า

    คุณก็แค่ คนหลงทางที่หลงมาติดเกาะนั้นเป็นคนแรก ไม่คิดจะหาทาง
    ไปให้พ้นจากเกาะ พออยู่นานวันเข้า ก็หลงไหลได้ปลื้มกับ สุข ที่ได้ทำตาม
    หน้าที่ จนลืมไปว่า ก็แค่คนหลงทางที่โง่ที่สุดคนแรก !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    สำหรับ นรก สวรรคิ์ ก็ สมมติว่า อยู่ไปอีกหลายปี คนก็มาเยอะขึ้น
    พวกเกรียนก็มาเยอะขึ้น หลายคนเริ่มไม่เชื่อในสิ่งที่คุณพูด หลายคน
    ไม่เชื่อในสิ่งที่คุณนับถือ คุณจะทำอย่างไร

    ก็คงจะต้อง เผา หรือ ไม่ก็ปีนไปตบหน้า กันให้รู้แล้วรู้รอดว่า ใครรู้จริง
    ใครใหญ่ ใครแน่

    พอทำอย่างนั้นบ่อยๆเข้า คนที่เคารพคุณอยู่เดิม ก็ไม่ชอบใจ แยกตัว
    ออกไปสร้างกลุ่มใหม่ กลุ่มเหล่านั้นไม่มีความรุนแรง ไม่มีการตบหน้า
    เผาทิ้ง ไม่มีการห้ามนู้นห้ามนี่ ไม่มีการกีดกั้น แต่ก็ไม่ละเมิดกันและกัน

    ก็แน่นอนว่า พวกนั้นอาจจะเรียกตัวเองว่า ชาวเกาะสวรรคิ์ ส่วนพวก
    คุณที่มีแต่การเผา การตบ การว่าร้าย การค่อนแคะ จับผิด การสาวไส้
    ให้เกิดความระส่ำระส่าย ก็ต้องเรียกพวกตนว่า ...................
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ทีนี้ หากทบทวนย้อนกลับไป ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น ทีละอย่าง
    ทีละกลุ่ม ทีละบัญญัติ เกิดจากอะไร

    เกิดจากใคร กำหนด หรือเปล่า

    ก็เปล่า ก็เห็นๆว่า มันเกิดไปตามเหตุปัจจัย

    สมมติว่า เกาะระเบิดตูม!! คนตายไปหมด แล้วกระบวนการเติบโตเริ่ม
    ใหม่ มีคนมาติดเกาะคนแรกคนใหม่ แล้วก็มีการดิ้นรน มีการลอยคอ
    มาติดเกาะเพิ่มอย่างเดิม วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกาะเดิมอาจจะเปลี่ยน
    ดอกไม้ไปบ้าง อาจจะกลายเป็นแมลงเกิดเป็นจำนวนมาก

    เมื่อนั้น บัญญัติเรียก จ้าวแห่งเกาะ ก็อาจจะเปลี่ยนไป แต่ องค์ประกอบ
    มันเดิมๆ ซ้ำรอยเกวียนอย่างเดิม แต่ต่างบัญญัติที่ใช้เรียก ไปเรื่อยๆ
    ไม่มีวันจบสิ้น
     
  16. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมมีเรื่องเล่าแบบขำๆครับ เป็นการสมมุติขึ้นมาครับ

    จักรวาลนี้หากเปรียบเหมือนกับอ่างปลา ที่มนุษย์หาทางออกไม่มีวันเจอ

    และ นอกจักรวาลนี้ มีผู้ที่เลี้ยงดูมนุษย์ กำกับการนึกคิดของมนุษย์

    อย่างที่เด็กๆชอบเล่นเกม มนุษย์ก็ทำตามที่ถูกกำหนดให้เป็นเช่นนั้น

    โดยที่มนุษย์เองก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ เพราะผู้ที่อยู่นอกเหนือระบบของการหมุนเวียน

    เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถจะจิตนาการไปถึงได้ มนุษย์จึงเป็นไปตามความนึกคิดของตนเอง

    และ เชื่อในสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้มาตั้งแต่เกิด จึงไม่เคยมีผู้ใดได้พบเห็นมาก่อน

    จนมีการมองเห็น และ เข้าใจในความเป็นจริงที่มีเกิดขึ้นในโลกมนุษย์

    ซึ่งเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นออกจากการหมุนเวียนในระบบ ที่มนุษย์เป็นอยู่

    ฉนั้น ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้ ล้วนถูกกำหนดมาหมดแล้ว เพียงแต่มนุษย์ไม่ยอมรับเท่านั้นเอง

    ผู้ที่อยู่นอกระบบ ได้กำหนดให้ผู้นั้น ผู้นี้ มาสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น ทั้งเครื่องอำนวยความสะดวก

    ทั้งพลังงาน ตึกรามบ้างช่อง ถนนหนทาง รถยนตร์ เครื่องบิน หรือ สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่บนโลก

    นักวิทยาศาสตร์ของต่างประเทศ ได้นำแนวความคิดนี้มาสร้างภาพยนตร์ ในเรื่อง "แมททริกซ์"

    หรือ เรื่อง"นักรบสงครามข้ามจักรวาล"ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป้นที่เปิดเผยให้มนุษย์ได้รู้

    ได้เข้าใจ เป็นเพียงแต่การคาดคะเนของนักวิทยาศาสตร์ ที่กล่าวถึงผู้ที่อยู่นอกระบบ

    ซึ่งไม่ทราบว่าจะเรียกผู้ที่อยู่นอกระบบว่าอย่างไรดี เพราะเป็นทั้งพระเจ้า และ ซาตาน

    ที่ผมนำมาบอกเล่าให้ฟังนี้ เกี่ยวกับการปฎิบัติธรรมภาวนาโดยตรง เรื่องการปรุงแต่ง

    การปรุงแต่งที่มนุษย์มีนั้น หากเป็นไปตามที่กล่าวมาโดยสมมุตินี้ มนุษย์ก็จะหมุนเวียน

    อยู่ในสามภพนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแค่หยุดการปรุงแต่งเพียงเท่านั้น เราก็จะพ้นออกจากการหมุนเวียนนี้

    ไม่ว่าจะยังมีจิตอยู่หรือไม่อย่างไร หรือ จะดับสูญก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่มนุษย์ยังหมุนเวียนอยู่

    ในที่ๆเป็นอ่างแห่งความทุกข์ โดยที่หาที่สิ้นสุดไม่พบ ผมต้องการให้ผู้ที่สนใจในการปฎิบัติภาวนา

    ตั้งอก ตั้งใจ ปฎิบัติธรรมภาวนาด้วยความจริงใจครับ

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...