ว่าด้วย ทิฏฐิ 62 (๑. พรหมชาลสูตร )

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 21 มีนาคม 2012.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เจ่ เค ไม่กลัวคำว่ามิจฉาทิฏฐิของปราบ หรอกเพราะรู้ว่าหมายถึงอะไร

    แต่ที่แย้งเพราะ เจ่ รู้สึกว่า ถ้าใช้อย่างที่ปราบใช้ คนที่ไปอ่านคำสอนเรื่องอื่นๆจะสับสน

    เรื่อง ทิฏฐิ 62 นั้น พระท่านใช้คำว่า ทิฏฐิ ไม่ได้ใช้มิจฉาทิฏฐิ

    ปราบเป็นคนใช้คือกำหนดแล้วเรียกเอง

    มิจฉาทิฏฐิ นั้นในพระไตรปิฎก ท่านให้ไว้หลายที่หลายสำนวน

    ที่แปลๆกัน มิจฉาคือเห็นผิด เห็นวิปริต เห็นไม่ตรงความจริง พอไปรวมกับทิฏฐิ

    กลายเป็น มิจฉาทิฏฐิ ซึ่งคำอธิบายมีเยอะ ถ้าอธิบายแบบชาวบ้าน ง่ายๆ ก็คือ

    ทำอกุศลพาไปอบายภูมิ ทำผิดศีล คือมิจฉาทิฏฐิ

    และมีมิจฉาทิฏฐิ ที่เรียกว่า นิตยมิจฉาทิฏฐิ ที่ปิดกั้นมรรคผลตลอดกาล

    อันนี้สิตัวที่น่ากลัว คนเป็นไปแล้ว หรือเอาเข้าตัวไปแล้ว จะไม่รู้ตัว

    แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็โปรดไม่ได้ สอนสั่งไม่ได้

    ที่ปราบบอกว่า พระอาฬารดาบสเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะขึ้นวิปัสสนาไม่ได้

    ขาดปัญญาเห็นตามจริง ยังละสักกายะทิฏฐิไม่ได้ มันก็ใช่ แต่ภาษานั้นคนไม่เข้าใจ

    เขาจะคิดไปว่า สมถะกรรมฐานที่พระอาฬารดาบส คือมิจฉาทิฏฐิด้วยหรือเปล่า

    แล้วถ้าชาวบ้านเขาเข้าใจว่ามิจฉาทิฏฐิมีเป็นกุศลได้ด้วย ไปสู่คติได้ด้วย

    ชาวบ้านจะงงไหม ชาวบ้านส่วนใหญ่เข้าไม่รู้ลึกซึ้งหรอก อยู่ๆไปบอกชาวบ้าน

    คุณทำทานใส่บาตรถือศีล คุณเป็นมิจฉาทิฏฐินะ (แต่ไม่บอกว่าเพราะคุณยังมีสักกายทิฏฐิเป็นเหตุ)

    คุณยังไม่เห็นตามจริง คุณมีความเห็นผิด เกิดชาวบ้านเขาเข้าใจผิดว่า

    ทำทานก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทำผิดศีลก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ตกลงมิจฉามิฏฐิ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว

    ก็ไม่กลัวมิจฉาทิฏฐิกันไปเลยก็มี ต่อไปจะเป็นนิตยมิจฉาทิฏฐิก็ไม่ยากแล้ว

    เพราะไม่กลัว มันไหลไปเรื่อยได้ง่าย แต่ถ้าคุณพูดใหม่

    มีมิจฉาทิฏฐิ เป็นทิฏฐิฝ่ายอกุศล มีทุคติ มีอบายภูมิเป็นที่ไป

    มีสัมมาทิฏฐิโลกียะ เป็นทิฏฐิฝ่ายกุศล แบบโลกียะ มีสุคติเป็นที่ไปแต่ไม่พ้นวัฏฏะสงสาร

    มีสัมมาทิฏฐิโลกุตระ เป็นฝ่ายกุศลโลกุตรธรรม เป็น องค์หนึ่งในมรรค8 เป็นไปเพื่อพ้นวัฏฏะสงสาร

    เวลาไปอ่านตำราต่างๆ ก็ไม่ขัดแย้ง เพราะลงรายละเอียดบอกได้ถึงเหตุและผล

    ที่กล่าวไปอย่างนั้น

    มีข้อเปรียบเทียบให้ฟัง เรื่องความรู้บางอย่างเขาสอนกันเฉพาะคนที่คุณสมบัติ

    เพียงพอที่จะรู้ ไม่ได้สอนกันเป็นสาธารณะ สอนกันเป็นเฉพาะบุคคล

    เพราะมันล่อแหลมที่พาให้เข้าใจคลาดเคลื่อน

    อย่างคำสอน พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้ คำสอนนี้ พระท่านสอนให้กัน ในชั้นพระอนาคามี

    คนชั้นต่ำกว่านั้น ฟังไปก็เข้าใจความหมายผิดไปได้ พาให้หลงทำผิดอีก

    ปล. พูดมาเยอะ ก็ไม่รู้ปราบจะเข้าใจเจตนาเจ่ ไหมนะ

    ถ้าปราบ ยังยืนยันตามทิฏฐิเดิม เจ่ ก็ไม่มีความเห็นอะไร เพราะทิฏฐิใครทิฏฐิมัน

    กรรมใครกรรมมัน

    เวลาเราพูดอย่างหนึ่งด้วยทิฏฐิหนึ่ง แต่คนฟังเขาไม่ได้มีทิฏฐิเหมือนเรา

    เขาฟังแล้วก็คิดไปอีกอย่างหนึ่ง มันก็พาให้เขาเข้าใจผิดได้ง่าย

    การไปพูดไปสอนคนอื่น ต้องบอกให้รัดกุม จะได้ไม่เป็นกรรมพาคนอื่นเข้าใจผิด

    ตัวเราเข้าใจถูกนะใช่ แต่คนอื่นเขาจะเข้าใจเหมือนเรารึป่าว!!!

    คำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านให้ไว้หลายๆนัย หลายๆกรณี เพื่อให้ใช้ต่างกรรม

    ต่างวาระ ต่างบุคคล เหมาะสมกับกาล รัดกุม รอบคอบ ในทุกกรณี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  2. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ว่าจะมาคุยมหาวิทยาลัยนาลันทา หลายครั้ง (แต่ก็ไม่ได้มา..)
    ใครสนใจไปอ่านดูได้ค่ะ แต่ตอนนี้ยกบางข้อความมา..


    หลักฐานที่แสดงถึงความสำคัญ ของนาลันทาอีกอย่างหนึ่ง คือ การที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพรหมชาลสูตร ประกาศทิฏฐิ ๖๒ และทรงแสดงเกวัฏฏสูตร แสดงภาวะนิพพานซึ่งเป็นจุดหมายสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนา ทิฏฐิ 62 เป็นประเด็นที่เจ้าลัทธิต่างๆ อภิปรายกันไม่รู้จบ เพราะเป็นประเด็นเชิงอภิปรัชญา ไม่มีใครรู้จริง แต่อภิปรายกันตามความคิดเห็น พระพุทธองค์ทรงแสดงให้บรรดาเจ้าลัทธิรู้ว่า วัตถุประสงค์และประโยชน์ของทิฏฐิเหล่านี้คืออะไร มีขอบเขตเพียงไร อานิสงส์ที่เกิดจากการแสดงพระสูตรทั้ง 2 นี้มี 2 ระดับ คือ
    1. ระดับวิชาการ พระพุทธองค์ทรงประกาศให้รู้ว่า อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณครอบคลุมภูมิปัญญาทุกระดับ ทิฏฐิ 62 ซึ่งเป็นเรื่องเชิงวิชาการ เป็นปรัชญา พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้ง แต่ไม่ประสงค์จะอภิปรายตอบข้อสงสัย เพราะไม่มีประโยชน์ และจะกลายเป็นประเด็นให้เจ้าลัทธินำไปกล่าวอ้างในที่ต่างๆ ว่า พระพุทธองค์ตรัสอย่างนี้ อย่างนี้
    2. ระดับอุดมการณ์ พระพุทธองค์ทรงประกาศภาวะยิ่งใหญ่แห่งนิพพานว่า เป็นที่ดับสนิทของมหาภูตรูป เป็นที่ดับสนิทแห่งนาม ภาวะที่เรียกว่านิพพาน นี่แหละคืออุดมการณ์สูงสุดแห่งการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
    นาลันทา - วิกิพีเดีย
     
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849

    เรื่อง ทิฏฐิ 62 นั้น พระท่านใช้คำว่า ทิฏฐิ ไม่ได้ใช้มิจฉาทิฏฐิ

    ปราบเป็นคนใช้คือกำหนดแล้วเรียกเอง

    มาดูตรงนี้นะ

    มิจฉาทิฏฐิ นั้นในพระไตรปิฎก ท่านให้ไว้หลายที่หลายสำนวน

    ที่แปลๆกัน มิจฉาคือเห็นผิด เห็นวิปริต เห็นไม่ตรงความจริง พอไปรวมกับทิฏฐิ

    กลายเป็น มิจฉาทิฏฐิ


    มาดูว่า ผมอาศัยอะไรกล่าว และเมื่อ เจ่เคก็กล่าวว่า

    มิจฉาคือเห็นผิด เห็นวิปริต เห็นไม่ตรงความจริง



    [๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจาก
    การตาย มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
    มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยเหตุ ๘ ประการ
    ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้น อาศัยอะไร
    ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
    ย่อมบัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยเหตุ ๘
    ประการ? สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมบัญญัติว่า เบื้องหน้าแต่ตาย
    ๔๓. (๑) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.
    ๔๔. (๒) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.
    ๔๕. (๓) อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.
    ๔๖. (๔) อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา
    ก็มิใช่.
    ๔๗. (๕) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.
    ๔๘. (๖) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.
    ๔๙. (๗) อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่สัญญาก็มิใช่.
    ๕๐. (๘) อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี
    สัญญาก็มิใช่.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
    มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่
    ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยเหตุ ๘ ประการนี้แล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์พวกใด
    พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ย่อมบัญญัติว่า
    อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วย
    เหตุ ๘ ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้น
    แล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด
    ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้น
    ความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น
    ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต
    จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
    แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.

    ************************************************
    ดูตรงสีน้ำเงินนะ

    เจ่เคว่า การกล่าวอาศัยโดย
    มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจาก
    การตาย มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
    มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยเหตุ ๘ ประการ


    เจ่เค ว่า เป็นการเห็นตามเป็นจริงหรือไม่ยกตัวอย่างเช่น
    เพราะ ถือเอาอัตตา จาก พระสูตรข้อที่

    ๔๓. (๑) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.

    การมีทิฏฐิอย่างนี้ แบบนี้ เจ่เคจะกล่าวได้ว่า เป็น ทิฏฐิ ที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ
    การมีทิฏฐิถือเอาอัตตาด้วยถือเอาเนวสัญญายตนะ
    ซึ่งจะเรียกว่า มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ มาเป็นอัตตามาเป็นที่สุด
    มาเป็น ทิฏฐิที่ถูกต้องหรือ

    อย่างนี้จะเรียกว่า เห็นตามเป็นจริง ไม่วิปริตได้อย่างไร


    และเมื่อลองดูช่วงท้าย พระศาสดากล่าวถึงคุณและโทษ

    มีทั้งคุณและโทษ

    แต่หากจะกล่าวว่า มิจฉาทิฏฐิ มีแต่อกุศลแต่ถ่ายเดียวก็ลองพิจารณาดู

    ดูจาก เจ่เคนำเสนอ จากบทนี้

    *******************​
    ทรงเปรียบเทียบความคิดเห็นของโลหิจจพราหมณ์กับการที่โลหิจจพราหมณ์ปกครองหมู่บ้านสาลวติกา
    พระผู้มีพระภาค : “โลหิจจะ ท่านเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร ท่านปกครองหมู่บ้านสาลวติกามิใช่หรือ”
    โลหิจจพราหมณ์ : “เป็นอย่างนั้น ท่านพระโคดม”
    พระผู้มีพระภาค : “โลหิจจะ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า ‘โลหิจจพราหมณ์ปกครองหมู่บ้านสาลวติกาก็ควรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดในหมู่บ้านสาลวติกาแต่เพียงผู้เดียว ไม่ควรแบ่งให้ผู้อื่น’ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้จะชื่อว่าทำความเดือดร้อนให้แก่คนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพใช่หรือไม่”
    โลหิจจพราหมณ์ : “ชื่อว่าทำความเดือดร้อนให้ ท่านพระโคดม”
    พระผู้มีพระภาค : “เมื่อทำความเดือดร้อนให้ จะชื่อว่าหวังประโยชน์หรือไม่หวังประโยชน์ต่อคนเหล่านั้น”
    โลหิจจพราหมณ์ : “ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ ท่านพระโคดม”
    พระผู้มีพระภาค : “ผู้ไม่หวังประโยชน์ จะชื่อว่ามีเมตตาจิตหรือชื่อว่าคิดเป็นศัตรูกับคนเหล่านั้นเล่า”
    โลหิจจพราหมณ์ : “ชื่อว่าคิดเป็นศัตรู ท่านพระโคดม”
    พระผู้มีพระภาค : “เมื่อคิดเป็นศัตรู จะชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิเล่า”
    โลหิจจพราหมณ์ : “ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ท่านพระโคดม”
    พระผู้มีพระภาค : “ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่า มีคติอย่าง 1 ใน 2 อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดเดรัจฉาน”

    **************​

    ลองดูบริบท ที่กล่าวถึงว่า ก่อนจะเรียกมิจฉาทิฏฐิ อันนี้มีอะไรเป็นที่ตั้ง

    เมื่อมีเหตุแห่งที่ตั้ง ที่ชัดเจน ย่อมไปสู่ 1ใน 2 อย่าง


    สำหรับสีม่วง จึงได้มีการสนทนาซักถาม ในกัลยาณมิตรอยู่แล้ว


    ส่วนสีแชมพูนี่ แทงผิดแต่หวย
    เพิ่งจะนินทาเจ่เคกับนะนา มาเมื่อวานเอง ^^ :boo::boo:
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ทีนี้หากจะกล่าวถึง นิยตะมิจฉาทิฏฐิ

    มีคำว่านิยตะ มาเพิ่มอีก

    กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่อะไร อะไรก็ไม่มี บุญก็ไม่เห็น บาปก็ไม่เห็น
    ได้แต่แพร่ม ว่าอะไรอะไรก็ไม่มี อันนี้ น่ากลัว
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ก็ตอบไปหมดแล้ว ปราบจะใช้คำว่ามิจฉาทิฏฐิต่อไปก็ใช้ไปละกัน ไม่ว่ากันอยู่แล้ว อยู่แล้ว!!!
    แล้วจะเข้าใจเองว่าจะได้ผลอย่างไร ปลูกมะม่วงก็ได้มะม่วง เนาะ
    หว่านเมล็ดอะไรก็ได้ผลของเมล็ดนั้น

    คุยไปก็ได้แต่ทิฏฐิ ของจริงก็ดูที่ผลของกรรม
    ปราบก็กล่าวไปเรื่อยๆ แล้วกันว่า พระอาฬารดาบสเป็นมิจฉาทิฏฐิ
    แล้วพอมีวิบากผลมันเกิดจากกรรมนั้นให้สัมมผัส ก็จะเข้าใจโดยไม่ต้องมีใครบอก!!!

    เจ่ เค ขอกราบบังคมทูลลาก่อน เพคะ เตร๊ง เตรง เตร่ง เตร๊ง ตะเลงตุมๆๆๆ
     
  6. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ปุถุชน ประเภทไหน หนอ ที่มีสัมมาทิฐิ บริบูรณ์
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เดาเอา

    พระโพธิสัตว์ที่กำลังบำเพ็ญบารมี

    แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็น สัมมาทิฏฐิโลกียะ สัมมาทิฐิสาสวะ

    เพราะยังไม่ได้มรรคญาณผลญาณ ยังไม่เข้าข่ายโลกุตระ

    และพระโพธิสัตว์ยังตกนรกได้ ฟังมาจากเรื่องพระเตมีย์ใบ้

    และอย่างพระนางพิมพ์พาก็ยังมีตกนรกขณะที่บำเพ็ญเพียรร่วมกับพระโพธิสัตว์ (อ่านจากกระทู้ป๋าต้นฯ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    สัมมาทิฎฐิในอริยมรรค ต้อง อบรมมาอย่างดี ด้วยสติปัญญา เจริญวิปัสสนา จนเกิดญาณกับตน
    ไม่ใช่ว่าท่องจำเปิดตำรากันนะ จำเอาไว้ ลูกหลาน
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    เอ็งนั่นแหละสอบทานตัวเองให้บ่อย ข้าสอบทานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร กิเลสทุกตัวฟัดกันมาเท่าไร
    รู้จักหมด เหลือแต่ตัวไม่เป็นภัยเลี้ยงเอาไว้ดูเล่นแทนเลี้ยงหมา
    ทำไมจะต้องไปถามใคร ข้าฝึกมา ก่อนหน้าถามไถ่ครูบาอาจารย์มาจนเดินเองมาตั้งนานแล้ว ไม่ถามใครแล้ว
     
  10. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ทำไมหนอ พระโสดาบันถึงได้สัมมาทิฐิ บริบูรณ์
    ถ้าเป็นแบบนั้น จริง สัมมาทิฐิคือเป็นเนื้อเดียวกันกับจิต ก็ต้องระดับพระอริยะขั้นไป


    หากเป็นปุถุชน พระศาสดาให้เดินองค์มรรค 8
    ประมาณว่า แม้เธอจะยังเห็นผิดอยู่ แต่เธอต้องประคองใหู้ถูก
    แม้เธอจะทำฌานได้ ถึงเนวสัญญา นาสัญญา ยัญตนะ แต่หากเธอ
    ไม่ได้วิปัสนาฌาน ในขันธสันดารแล้ว เธอก็ยังเป็นมิฉาทิฐิ อยู่
    ประมาณนั้นไหม
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    อริยมรรค มีองค์ 8 เป็นแนวทาง
    เมื่อ ปัญญาเข้าถึงอริยมรรค แล้วจิตจะเดินไปตามวิถี มรรค เองโดยอัตโนมัติด้วยตนเอง
    ไม่ต้องถามหาใครว่า อย่างนี้ถูกไหม อย่างนี้ผิดไหม มรรคองค์นั้นหมายถึงอะไร องค์นี้หมายถึงอะไร

    อริยมรรค เป็นคุณสมบัติ ของพระอริยะ ไม่ใช่แนวทางปฏิบัติของพระอริยะ
     
  12. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    มีความเห็นว่า โลกนี้มันร้าง ลงทุกวัน
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ก็กินแตงโมแช่เย็นซิ ชุ่มฉ่ำ ชุ่มฉ่ำ
     
  14. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    เหรอ อ้าว นายเป็นมิฉาทิฐิ นี่หว่า เฉาก้วย
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    กั๊กๆๆ เฉาก๊วยมิจฉาทิฏฐิ >> [​IMG]
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ปฏิบัติธรรมถูก ต้องเห็นความจริงที่น่าหดหู่ แต่อารมณ์ ต้องเบิกบาน

    ความจริงเช่นว่า คนต้องตายจากกันไปหมด แม้ว่า ใครที่เคยรัก ใครที่เคยผูกพัน พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย สุดท้ายสลายลืมเลือนกันไป จากหายกันไปหมด

    นี่แหละความจริง แต่ใจรู้สิ่งเหล่านี้เพื่อเบิกบาน
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ร้อนในเหรอ กล้วยเผือก กั๊กๆ
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ไอ้ปราบหนะ มิจฉาแน่ เพราะยัง วิปัสสนาไม่ถึง จิต ยังหลงอยู่กับภาพตื้นๆ
     
  19. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ถึงแม้เฉาก๊วย จะ ตาย แต่เราก็ยังร่าเริงค่ะ

    อยากรู้ว่า พระอริยะ ที่ยังไม่บรรลุนิพพาน นี้ ไปภพที่สูงที่สุด คือ ภพอะไรหนอ
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    :cool:.......[​IMG].........[​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...