พระอรหันต์กิเลสนิพพานแล้วมีกิเลสได้ "อย่างปกติ" อย่าไปคาดเดาเอง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 25 มีนาคม 2012.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    นิพพาน หมายถึง ธรรมชาติที่มีอยู่จริง
    ซึ่งไม่เกิดไม่ดับอีกแล้ว คำว่า กิเลส
    นิพพาน หมายถึง กิเลสนั้นไม่ได้ดับสูญ
    ไป แต่ก็หาไม่เกิดได้อีก กิเลสไม่เกิดและ
    กิเลสไม่ดับ จึงเรียกว่า "กิเลสนิพพาน"
    ผู้หลงด้วยอวิชชา ไม่มีปัญญา ย่อมหลง
    ไปในสองทาง คือ ฝั่งกิเลสเกิดและฝั่ง
    กิเลสดับ กล่าวคือ คนหลงประเภทที่หนึ่ง
    ย่อมตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสๆ เกิดขึ้น
    เรื่อยๆ (ฝั่งเกิด) คนหลงประเภทที่สอง
    คือ ตกอยู่ใต้อำนาจของความยึดมั่นว่า
    กิเลสต้องไม่มี ต้องดับ ต้องเป็นศูนย์


    สำหรับผู้หลุดพ้นแล้ว กิเลสนิพพานแล้ว
    กิเลสย่อมไม่ได้ดับไปเลย แต่ก็หาเกิดอีกไม่?
    มีก็เหมือนไม่มี, ไม่มีทว่า กลับเหมือนมีได้?
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ไม่ต้องไป "สร้างตัวตนของอรหันต์" ขึ้นมาในใจฝันของตน


    บางท่านไปนั่งนึกคิดเอาว่าพระอรหันต์ น่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
    แล้วแต่จะคิดจะจินตนาการไปเอง เช่น คิดว่าพระอรหันต์น่าจะไม่มี
    กิเลสแล้ว น่าจะดูสงบเสงี่ยมน่าศรัทธา ฯลฯ แล้วก็สร้างภาพอรหันต์
    ขึ้นมาในใจของตน แล้วยึดไว้ว่า "อรหันต์ในความคิดของเราเป็นเช่น
    นี้ เช่นนั้น" แล้วเมื่อได้พบคนที่เหมือนว่าใช่ ก็ "หลง" ทันที เพราะ
    ได้เกิดอุปทานในพระอรหันต์ขึ้นมาก่อนที่จะได้พบของจริง และได้
    สร้างอัตตาตัวตนของอรหันต์ขึ้นมาในใจแล้ว เมื่อได้พบใครที่เหมือน
    หรือตรงกับความเชื่อ ความคิดของตนก็ "หลง" ทันทีว่าเขาคืออรหันต์
    การลุ่มหลง "พระ" ว่าท่านนั้นคืออรหันต์แท้ ท่านนี้ถูกต้องแน่ ฯลฯ ก็
    เกิดขึ้นไม่ต่างจากการ "หลงคนรัก" ที่มักวาดภาพสร้างภาพคนที่ตน
    ชอบเอาไว้ก่อนแล้วไปเจอคนๆ นั้นเหมือนดั่งฝันจึงหลงรักเข้า นั่นเอง


    บางท่านไม่เพียงแค่สร้างอัตตาขึ้นมาในใจเท่านั้น ยังเจ้ากี้เจ้าการทำ
    ตัวเป็นเจ้าของพระอรหันต์รูปนั้น สร้างตัวตน บงการและคอยจับผิด
    และวางทางเดินให้ท่านต้องทำอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ นอกจากนี้ ไม่ได้
    ไม่ใช่ แบบนี้ก็มี เป็นการ "ปั้นพระอรหันต์ของตนขึ้นมาเป็นอัตตา" หนึ่ง
    เท่านั้นเอง สนองกิเลสความอยากได้พระอรหันต์มายึดครองเท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มีนาคม 2012
  3. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,359
    ค่าพลัง:
    +6,493
    กระทู้ดีมาอีกแหล่ะ..โมทนาครับ..ท่าน
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ณ "นิพพาน" ทุกอย่างไม่ได้ดับไปเลยแต่ก็ไม่ใช่ความเกิดอีก?


    ไม่มีอะไรดับลงไปเลย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดอีก นั่นแหละ นิพพานที่ว่าไม่
    เกิดและไม่ดับอีก ดังนี้ จึงกล่าวว่าไม่ต้องไปดับกิเลส เพราะจะเอนเอียง
    ไปติดฝั่งดับ แต่ก็ไม่ใช่ห้ามการเกิดของกิเลส อย่างนั้นไม่เป็นธรรมชาติ
    กิเลสไม่มี ก็เหมือนมี, มีก็เหมือนไม่มี มีโลภ, โกรธ, หลง ได้ในมุมมอง
    ของปุถุชน ทว่า ในสายตาของพระอรหันต์ด้วยกัน เห็นตรงกันว่ากิเลสนั้น
    ไม่เกิดอีกแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ดับไปไหน มันทั้งไม่เกิดและไม่ดับ ไม่รู้จะหา
    คำอธิบายอะไรอื่นได้เลย นอกจากคำว่า "นิพพาน" ที่หมายถึง ไม่เกิดไม่
    ดับ นั่นเอง เออ เป็นเช่นนี้เองหนอ ไม่เกิดไม่ดับ กิเลสไม่เกิด ไม่ดับ เป็น
    เช่นนี้เองหนอ ที่เขาเรียกว่า "กิเลสนิพพาน" นั่นเอง มันก็ดูเหมือนมีกิเลส
    อยู่ครบทุกประการตามปกติธรรมชาติของมนุษย์นั่นแหละ เพียงแต่มันไม่
    ได้เกิดกิเลสขึ้นมาจริงๆ ไม่มีตัวตนของกิเลสเกิดขึ้นมาจริงๆ เลย แต่มันก็
    ไม่เห็นจะดับหายไปไหน เหมือนมีอยู่ครบทุกประการ นั่นแหละ กิเลสไม่เกิด
    กิเลสไม่ดับ ไม่รู้จะเรียกขานสิ่งนี้ว่าอะไรดี เลย "ยืมสมมุติบัญญัติ" มาใช้ว่า
    "กิเลสนิพพาน" ไม่มีสาระอะไรหรอก แค่ยืมมาเรียกขานบอกกล่าว เท่านั้น
     
  5. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    ขอที่อ้างอิงด้วยครับ ว่าจากคัมภีร์ฝ่ายใหน เล่มใหน
    เพื่อให้ผุ้ที่เข้ามาอ่านเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเป็นหลักธรรมของศาสนาใหน(ศาสนาเชนก็มีนิพพานซึ่งไม่เหมือนกับพุทธ)
    หรือพุทธนิกายใหน

    จะได้ไม่เอาศาสนาอื่นมาปนกัน
    และไม่เอามหานิกายมาปนกับเถรวาท

    หรือท่าน จขกท. เข้าถึงนิพพานแล้วมาแสดงธรรมเรื่องนิพพาน

    ในวิสุทธิมรรคกล่าวว่า
    "เพราะพระนิพพานเป็นคำสุขุมนัก...
    เป็นธรรมที่ต้องเห็นด้วยอริยจักษุ
    เป็นธรรมอันบุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยมรรค (เท่านั้น) จะพึงถึงได้"

    นิพพานจึงมิใช่เรื่องของการเข้าใจ
    แต่อยู่ที่การเข้าถึง
    อันเป็นผลจากการปฏิบัติธรรมของตนเอง
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ความหลงไป "ดับกิเลส" ทำให้มี "หัวใจ" ไม่เป็นธรรมชาติ


    คนหลงประเภทแรกเป็นที่เข้าใจกันได้ง่าย คือ หลงในกิเลส ถูกมัน
    ครอบงำ แต่คนหลงประเภทที่สองดูออกยาก และคนมักหลงตามๆ
    กันเพราะคิดว่านั่นเป็นพระอรหันต์ ตรงกับนิยามและความหมายที่
    แปลตามตัวอักษรว่านั่นแหละอรหันต์ คือ บริสุทธิ์ไร้กิเลส ซึ่งเป็น
    ความเข้าใจที่ผิด ยิ่งบางท่านหลงไปใหญ่ ไปฝึกจิต ฝึกใจให้ไร้ซึ่ง
    กิเลส ไปนั่งเพียรไม่ชอบ เพียรจม (ไม่ใช่สัมมาวายามะ) ในการที่
    จะตัดกิเลสฉับพลันบ้างที่เรียกว่าสมุทเฉทปหาน (ซึ่งไม่ใช่ของจริง)
    บ้างไปดับกิเลสบ้างแบบที่เรียกว่า "สุญตา" ทำให้เป็นศูนย์กับไปเลย
    นี่ก็ไม่ใช่อีก บ้างก็ไปสร้าง "ความว่าง" ขึ้นมาในจิตใจตนเองแล้วคง
    ดำรงความว่างนั้นไว้ให้นานๆ รักษาสภาวะธรรมที่ตนสร้างขึ้นมานั้น
    คิดว่าตนจะหลุดพ้นแล้วด้วยวิธีนี้ แท้แล้วกลับติดหลุมพรางกับดักที่
    ตนเองนั้นแหละสร้างขึ้นมาด้วยอุปทานเป็นเหตุ การไปฝึกดับกิเลส
    ทำให้ไม่มีจิตใจตามธรรมชาติปกติอย่างมนุษย์ควรจะเป็นแต่คนหลง
    เชื่อกันได้มากว่านั่นคือพระอรหันต์แล้ว ทั้งความรู้เพียงสุตมยปัญญา
    ก็เต็มพร้อมเปี่ยม อธิบายธรรมะได้ตรงตามตำราทั้งหมด ยิ่งน่าเชื่อไป
    ใหญ่ ความหลงก็เกิดขึ้นในหมู่ชนนั้น นั่นเอง นี่แหละ "ความหลงใน
    พระอรหันต์" หลงกันมาก ติดกันงอมแงม แกะไม่ออก ใครจะไปว่าไป
    แตะไม่ได้ อันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัว ส่วนบุคคลของเขา จนกว่าจะสิ้น
    กรรมกันไป ถึงจะปลดบ่วงกรรมแห่งพันธนาการที่ผูกมัดปวงสัตว์ไว้นั้น
    ได้ นี่คือ "ความหลงแบบหมู่, แห่หลงตามๆ กัน" เป็นธรรมะ ธรรมดา
    ของสัตว์ที่มีกรรมยังชดใช้กันไม่หมด เท่านั้นเอง ผู้มีปัญญาแจ้งจริงจึง
    เข้าใจว่า "จิตมีหนึ่งเดียว" ไม่ได้แปลว่า "มีดวงเดียว" คำว่ามีหนึ่งเดียว
    คือ "ไม่ว่าจิตพุทธะ, จิตโพธิสัตว์, จิตอรหันต์, จิตผี, จิตมาร ฯลฯ ล้วน
    มีลักษณะเดียวกัน คือ "จิตประภัสสร" คือ จิตที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว เท่านั้น"
    ไม่มีอื่น จิตมีลักษณะเป็นผู้รู้ ไม่ใช่จำเลย เป็นพยานการรู้เห็นเฉยๆ เท่านั้น
    มิใช่ตัวกระทำ และไม่แตกต่างกันเลยไม่ว่าจะเป็นเทพ, มาร, ปีศาจ, พุทธะ
    มีจิตไม่ต่างกันเลย บริสุทธิ์เหมือนกันทั้งหมด ไม่ต้องไปทำอะไรกับจิตอีก
    ไม่ต้องไปฝึกให้เป็นอะไรอย่างอื่นอีก แต่อย่าไปหลงว่า "จิตมีดวงเดียวใน
    ร่างกาย" อันนี้ ไม่เข้าใจคำว่า "จิตหนึ่ง" คืออะไร จิตหมา จิตแมว จิตพุทธะ
    เหมือนกันเป็นหนึ่งเดียวไม่ต่างกัน คือ "จิตประภัสสรบริสุทธิ์" เช่นนั้นเอง
    ไม่เป็นอื่น ไม่ต้องไปทำอะไรให้เป็นอื่นอะไรอีก จิตใสบริสุทธิ์อยู่แล้ว เพียง
    "วิญญาณขันธ์" ปรุงแต่งเท่านั้น นำพาให้เวียนว่ายไป เกิดดับไป ดุจมายา
    หลอกหลอน ในสังสารวัฏนั้นๆ นั่นคือความหมายของคำว่าจิตหนึ่ง (ฮวงโป)
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746


    สิ่งที่ "ต้องอ้างอิง" นั้นเป็นเพียง "ความจริงสัมพัทธ์"
    มิใช่ "ความจริงแท้ ที่สมบูรณ์ในตัวของมันเอง" เป็น
    จริงก็เมื่ออ้างอิงเอากับสิ่งอื่น เหตุอื่น ปัจจัยอื่น สิ่งนั้น
    ย่อมมิใช่ "นิพพาน" อันเป็นธรรมที่หลุดพ้นแล้วจาก
    เหตุและปัจจัยทั้งมวล นิพพาน ย่อมมิต้องอ้างอิงสิ่งใด
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    การฝึกปฏิบัติบำเพ็ญ เป็นเพียงการพัฒนาวิญญาณขันธ์ให้พร้อมเท่านั้น


    จิตหนึ่งเดียว ไม่ต่างกัน เหมือนกันทั้งหมด ต่างกันเพียง "ขันธ์ทั้งห้าที่ปรุงแต่ง"
    เท่านั้น เมื่อขันธ์ไม่พร้อม เรียกว่า "อินทรีย์ไม่พร้อมรับธรรม" รับธรรมไม่ได้ ดู
    ไม่ยาก ดูว่าขันธ์ครบเป็นมนุษย์ขึ้นไปได้หรือยัง? (แต่ขันธ์สูงเกินจนเป็นมารบน
    สวรรค์ชั้นที่หกก็รับธรรมไม่ได้เช่นกัน ต้องมีขันธ์พอดี พอควร) เมื่อขันธ์พร้อม
    อินทรีย์พร้อมจึงรับธรรมได้ ถ้าไม่พร้อม อย่าไปหลงธรรม รับธรรมแล้วหลงอยู่ดี
    รับก็ได้ รับไปบำเพ็ญให้ขันธ์พร้อมขึ้น เรียกว่า "ปริยัติ" เอาบารมีพัฒนาอินทรีย์
    ไปก่อน เท่านั้นเอง จุดนี้ยังไม่ต่างจาก "ท่านใบลานเปล่าครั้งยังไม่บรรลุธรรม"
    ทำไปก่อน เรียนไปก่อน ฝึกไปก่อน ลองไปก่อน "แต่ยังไม่ได้ผลจริง" อย่าเพิ่ง
    หลง เมื่ออินทรีย์พร้อม ขันธ์พร้อม วิญญาณเป็นมนุษย์ขึ้นไปจนถึงเทวดาชั้นที่สี่
    ก็รับธรรมได้ มากหรือน้อยกว่านี้รับไม่ได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องอะไรของจิต แต่เป็นเรื่อง
    ของวิญญาณขันธ์, ขันธ์ห้า, อินทรีย์ห้าพร้อมหรือไม่ เท่านั้นเอง จิตไม่เกี่ยวด้วย


    นี่แหละท่านจึงจำแนกคำว่า "เสขบุคคล" และ "อเสขบุคคล" ไว้ คือ บุคคลที่ยัง
    ต้องไปฝึกอินทรีย์ห้าก่อน ให้พร้อมรับธรรม นี่กลุ่มหนึ่ง และกลุ่มที่ไม่ต้องไปฝึกจิต
    ฝึกใจอะไรอีกแล้ว รับธรรมได้เลย พร้อมเกิดปัญญาได้เลย เป็น "อเสขบุคคล" ที่
    ไม่ต้องฝึกอะไร ไม่ต้องเรียนรู้อะไรอีกแล้ว ในที่สุด คือ สำเร็จอรหันตผล นั่นเอง
     
  9. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    แสดงว่าท่าน จขกท.
    เข้าถึงนิพพานแล้วมาแสดงธรรมเรื่องนิพพาน?
    เลยไม่ต้องอ้างอิง

    ถ้ายังไม่บรรลุนิพพานโดยไมอ้างอิงคัมภีร์
    แสดงว่าสิ่งที่ท่านแสดงมาเป็นสิ่งที่ท่านคิดเอาเอง

    เฉกเช่นคนที่ยังไม่เคยเดินทางไปทิเบตกลับมาเล่าเรื่องทิเบตเป็นตุเป็นตะเหมือนกับว่าไปเห็นมาจริง โดยไม่อ้างอิงหลักฐานใดๆเลย แล้วมาบอกว่า
    "ความจริงแท้ ที่สมบูรณ์ในตัวของมันเอง"

    ขออภัยถ้าคำถามนี้ไปรบกวนใจ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2012
  10. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,359
    ค่าพลัง:
    +6,493
    ก่อนไป..โมทนาอีกครั้ง พูดจาแบบนี้ต้องโมทนา..
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    พระอรหันต์บรรลุเจโตวิมุติเมื่อ "บางสิ่งนิพพาน" ต่างกันไป?


    ด้วยพระอรหันต์นั้นยังมีธาตุขันธ์บางส่วนทรงชีพอยู่ จึงมีสอุปาทิเสส
    นิพพาน คือ นิพพานไปบางส่วนเท่านั้น ซึ่งส่วนที่นิพพานไปนั้นต่าง
    กันไปในแต่ละองค์ เช่น บางท่านได้ "กิเลสนิพพาน" จึงบรรลุอรหันต์
    แต่บางท่านได้ "อวิชชานิพพาน" หรือบ้างก็ "ขันธปรินิพพาน" ในบาง
    ขันธ์ เช่น เฉพาะ "วิญญาณขันธ์เท่านั้นที่นิพพานไป" หรือบ้างก็ได้ถึง
    "นิพพานจิต" เช่นนี้ พระอรหันต์จึง "ทรงขันธ์ได้ยากในเพศฆราวาส"
    และอาจละสังขารได้ด้วยบางส่วนนิพพานไปแล้ว ต่อเมื่อได้ครองเพศ
    บรรพชิตห่มเหลือง จะได้อาศัย "บารมีของพระพุทธเจ้า" จะมีเทพมา
    คุ้มครองขันธ์ห้าให้ ทำให้อายุยืนยาวไปได้อีก ผลจากบางสิ่งนิพพาน
    ไปต่างกัน ส่งผลให้พระอรหันต์มีลักษณะพฤติกรรมที่ดูแตกต่างกันได้


    ก็เมื่อถึงวาระสุดท้ายแล้ว จึงเกิด "อนุปาทิเสสนิพพาน" คือ นิพพานทั้ง
    หมดไม่เหลือเชื้อใดๆ อีกเลย ขันธ์ทั้งห้าก็นิพพานสิ้นไป อนึ่ง พระพุทธ
    เจ้าเองก็มิได้ทรงกระทำ "ขันธปรินิพพาน" ทั้งหมด เพราะสังขารขันธ์
    ของท่าน "ยังเหลือทิ้งไว้ให้ถวายพระเพลิงพุทธสรีระ" เพราะสังขารนั้น
    ยังมิได้นิพพานสิ้นเชื้อ ยังคงเหลือ "พระธาตุ" ที่ยังนิพพานไม่หมด แต่
    "วิญญาณขันธ์นิพพาน" แล้ว รูป, เวทนา ก็นิพพานแล้ว แต่ "สัญญา"
    ขันธ์ยังมิได้นิพพาน ด้วยทรงมีสัจสัญญาว่าจะทรงดูแลพระพุทธศาสนา
    เองจนครบ 5,000 ปีนั้น แล้วจึงทรงกระทำ "พระธาตุนิพพาน" ทำให้
    พระธาตุที่เหลืออยู่นิพพานภายหลัง เพราะ "ยังนิพพานไม่หมดทุกขันธ์"
    ทรงกระทำเพียง "สอุปาทิเสสนิพพานยังมิได้กระทำอนุปาทิเสสนิพพาน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มีนาคม 2012
  12. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วย "วิญญาณนิพพาน" มิใช่ "นิพพานจิต"


    เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงปฏิบัติบำเพ็ญยิ่งยวดจนวิญญาณ
    ขันธ์ของท่านนิพพานแล้ว ท่านก็ยังคงปฏิบัติต่อไปอีก จนเหลือเพียง
    "จิตหนึ่งเดียว" คือ "จิตประภัสสร" เท่านั้น จิตดวงนั้นเป็นผู้รู้ ท่านจึง
    มี "ปัญญาเหนือกว่าพราหมณ์ทั้งมวลในยุคนั้น" เพราะแม้แต่ลัทธิเชน
    ในขณะนั้นก็คิดว่า "สิ่งที่ละเอียดที่สุดและพาเราไปเกิดคือ วิญญาณ"
    ทว่า พระพุทธเจ้าได้พบว่าวิญญาณนิพพานไปแล้ว เหลือแต่มโนธาตุ
    เท่านั้น และค้นพบคำว่า "จิตประภัสสร" ที่ไม่แตกต่างกันเลย ซึ่งไม่มี
    ใครค้นพบมาก่อน ทั้งยังปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ เพื่อจะเข้าสู่ "นิพพานจิต"
    ทว่า สวรรค์เบื้องบนเล็งเห็นแล้วว่า "ท่านมีธรรมแล้ว ท่านตรัสรู้แล้ว
    ด้วยตนเอง" จึงให้เทวดาลงมาดีดพิณเพื่อให้สัญญาณ "หยุดปฏิบัติ"
    ไม่เช่นนั้น ท่านจะ "นิพพานหมดไม่เหลือเชื้ออะไรเลย" และโลกนี้จะ
    ไม่มีพระพุทธเจ้ามาโปรดสัตว์แน่ ดังนั้น ท่านจึง "หยุดแค่นั้นแต่พอดี"
    ไม่ตึง ไม่หย่อนเกินไป แล้วมาโปรดสัตว์ด้วย "มโนธาตุบริสุทธิ์ที่ไม่มี
    วิญญาณขันธ์" อีก เมื่อนั้นเทพองค์หนึ่งมาคุ้มครองสังขารท่าน ทำให้
    มโนธาตุของท่านไม่จรจุติออกนอกสังขาร (เพราะท่านไม่มี วิญญาณ
    ขันธ์ประสานระหว่างจิตกับสังขารจึงต้องใช้เทพมาคุ้มครองสังขารให้)
    ต่อมา "เทพนักษัตรงูใหญ่" (พญานาค) อาสามาคุ้มครองสังขารของ
    พระอรหันต์ให้ แต่ครั้งแรกที่มานั้นได้แปลงร่างเป็นมนุษย์มาบวชอยู่ใน
    สำนักของพระพุทธเจ้า ต่อมาไม่อาจอยู่ร่วมกับคนได้ พญานาคได้ขอ
    ให้ "ขานชื่อนาค" ก่อนบวชซึ่งก็คือการยอมรับ "จิตวิญญาณพญานาค"
    ให้มาคุ้มครองสังขารให้นั่นเอง อันพระอรหันต์ที่ขันธ์บางส่วนนิพพาน
    ไปแล้ว จะไม่อาจทรงขันธ์ได้เอง หากไม่มีเทพเหล่านี้มาช่วยคุ้มครอง
    ให้ ก็จะละสังขารไปภายใน 7 วัน และด้วยพระพุทธองค์มิได้ทรงกระทำ
    "นิพพานจิต" ดังนี้ ท่านจึงเหลือมโนธาตุไว้ เมื่อท่านละสังขารแล้วก็ยัง
    คงมี "มโนธาตุ" ดำรงอยู่เพื่อกระทำ "พระธาตุนิพพาน" อันเป็นส่วนที่
    เหลือจากการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ อันจะให้ผู้อื่นกระทำแทน ไม่ได้
    (ขันธ์ใครขันธ์มันต้องถึงนิพพานทั้งหมดจึงเป็นอนุปาทิเสสนิพพานได้)
    ด้วยเพราะยังเหลือเศษส่วน คือ "พระธาตุ" อยู่ (ส่วนของสังขารขันธ์)
    ดังนั้น ท่านจึงยังต้องทำพระธาตุนิพพานอีกครั้ง เมื่อสิ้นอายุพุทธกาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มีนาคม 2012
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ขันธปรินิพพาน


    รูปนิพพานแล้ว ย่อมไม่เกิด-ไม่ดับอีก จะว่าสิ้นสูญไป ก็มิใช่, มีอยู่ก็ไม่เชิง
    เวทนานิพพานแล้ว ย่อมไม่เกิด-ไม่ดับอีก จะว่าสิ้นสูญไป ก็มิใช่, มีอยู่ก็ไม่เชิง
    สัญญานิพพานแล้ว ย่อมไม่เกิด-ไม่ดับอีก จะว่าสิ้นสูญไป ก็มิใช่, มีอยู่ก็ไม่เชิง
    สังขารนิพพานแล้ว ย่อมไม่เกิด-ไม่ดับอีก จะว่าสิ้นสูญไป ก็มิใช่, มีอยู่ก็ไม่เชิง
    วิญญาณนิพพานแล้ว ย่อมไม่เกิด-ไม่ดับอีก จะว่าสิ้นสูญไป ก็มิใช่, มีอยู่ก็ไม่เชิง


    จะให้มีรูปให้คนเห็น ก็มีได้ แต่นั่นมิใช่รูป คนเห็นรูปจริงเพราะรูปของตนเองปรุง
    แต่ง แต่นั่นแท้แล้วมิใช่รูป เป็นนิพพานเท่านั้น คนเห็นสิ่งต่างๆ เพราะแสงอาทิตย์
    ปรุงแต่งสะท้อนเข้าตา แท้แล้วคนไม่ได้เห็นสิ่งนั้นๆ เลย เขาเห็นแต่ "แสงอาทิตย์"
    ที่สะท้อนจากวัตถุนั้นๆ เข้าตาเขาเท่านั้น คนเห็นนิพพานมีรูปเป็นเมือง ก็ไม่ต่างกัน


    นั่นแหละ "ขันธปรินิพพาน"
     
  14. คนสร้างทาง

    คนสร้างทาง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +6
    "ขันธปรินิพพาน" เจ้าลัทธิสำนักวัชรธร ซาบู ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  15. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    สาดสะหน้า "มะนุดแปลง" มาอีกแล้วครับ

    ตอนนี้มาใน สาดสะดา "วัชรธร"

    สาดสะหนา "โปเยและพ้องเพื่อน"
    พระจิด
    พระเจ้า
    ผลแอปเปิล
    มาร์คไรเดอร์
    อุลตร้าแมน
    มหาบุรุษเพศ
    พลัง "หยาง-เอี๊ยง"
    พลัง "อิม-เอี๊ยง"
    มีกามกัน
    แลกเปลี่ยนลมปราณกัน
    เทพราหู
    จิตวิญญาณมืด
    ครึ่งปีศาจ
    เซียน
    ธรรมผ้าขาว
    พลังปราณทิพย์
     
  16. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ผู้ปรารถนาพระนิพพาน ต้องศึกษาให้รู้แจ้ง
    ผู้ไม่รู้แจ้งในพระนิพพาน ไม่ควรสั่งสอนพระนิพพานแก่ผู้อื่น
    ผู้ปรารถนาพระนิพพาน ต้องแสวงหาครูที่ดีที่รู้แจ้งพระนิพพานจริง
    บุคคลไม่รู้พระนิพพานไม่ควรเป็นครูสั่งสอนผู้อื่นจะเป็นบาปหนัก


    คิริมานนทสูตร
    เจ้าพระคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ​
    (จันทร์ สิริจนฺโท)

    http://palungjit.org/threads/คิริมานนทสูตร.252572/

     
  17. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    :cool::cool::cool::cool::cool::cool:
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พวกนอกศาสนา "บอกอธรรมให้เป็นธรรม"
     
  19. DekNoii

    DekNoii สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +0
    ท่านนับหนึ่งเป็นรึป่าว
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    นับหนึ่งเริ่มจากเก้าครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...