คำสอนหลวงปู่ดูลย์

เป็นคำตอบที่พระอาจารย์ทั้งหลายตอบกันไว้มากมายครับ "หยุด" เพียงตัวเดียวครับ

หยุดเพียงตัวเดียวเท่านั้น ไม่หมุนไปตามการหมุนเวียนในชาติภพ

สาธุครับ

 

ขออนุญาติถามทิ้งท้าย..ถ้าสมมุติว่า หยุด.ตามที่ครูบาร์อาจารย์กล่าว.เราจะมีวิธีการสังเกตุผลปฎิบัติเราได้ไหมว่าก้าวหน้าหรือเปล่า..ยังไงรบกวนช่วยขยายความด้วนนะครับ
อนุโมทนาสาธุครับ..

 

ก้าวหน้า หรือ ถอยหลัง มาจากการปรุงแต่งเอาเอง เพราะมันไม่มีตั้งแต่เริ่มแล้วครับ

เพราะที่มีกันอยู่นี้ ก็มาจากการปรุงแต่งขึ้นมาทั้งนั้น หยุดเท่านั้นจริงๆครับ

หากแยก กาย ใจ จิต ออกจากกันชัดเจน ความรู้สึกก็จะน้อยลงไป

จนไม่มีเหลืออีก เมื่อไม่รู้สึก การรับรู้ ก็จะไม่มีไปด้วย หมายถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาครับ

จนเมื่อถึงการตายที่กำลังจะเกิดขึ้น การปรุงแต่งย่อมไม่มี ความอาลัยอาวรณ์ย่อมไม่มี

เมื่อไม่มีเชื้อแห่งการเกิด ย่อมเป็นที่สุดแห่งทุกข์ครับ

สาธุครับ

 

มีอยู่ชาติหนึ่ง ผมเคยปราวนาต่อหน้าสถานที่ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่

เพียงเท่านี้คงเข้าใจนะครับ เพราะแค่นี้ก็เป็นการอวดอ้างแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ดีแล้ว

ไม่ว่าสิ่งที่ผมได้กล่าวไปนั้น จะชอบใจหรือไม่ หากไม่เห็นประโยชน์ก็ขอให้ผ่านไปครับ

อย่าได้กระทำการไม่ดีเลยครับ เพราะจะไม่เกิดประโยชน์อันใดครับ มีแต่ผลเสีย

สาธุครับ

 

เลอะเทอะ

 

มาประจานตนเองว่าเลอะเทอะทำไม ไม่อายคนอื่นเขาเหรอ

ทำตัวเป็นเด็กอยู่ได้ ไม่รู้จักโตซะที

 

เวลากิเลสมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นทางกาย เกิดขึ้นทางวาจา เกิดขึ้นทางใจ รู้ทันมันเดี๋ยวนี้ มันก็ดัีบไปเดี๋ยวนี้แหละ ตัวสติมันปกครองอยู่เสมอ ถ้ามีสติทุกเมื่อ มันบ่ได้
คุมมันหล่ะ ครั้นเกิดขึ้นรู้ทันมันก็ดับ รู้ทันก็ดับ คิดผิดก็ดับ คิดถูกก็ดับ พอใจไม่พอใจก็ดับที่ตัวสตินี่หล่ะ

หลวงปู่แหวน สุจิณโน
__________________
ขอให้เจริญในธรรมครับ

เราชอบคำสอนของหลวงปู่แหวน บทนี้ที่คุณเคยเอามาลงไว้

 

อนุโมทนาสาธุครัย คุณ Jaithai

สาธุครับ

 

มาสนทนาต่อครับ...

การรับรู้ที่คุณพูดที่บอกว่าเป็นอารมย์เนี่ย...ถ้าผมแปลความหมายว่า เป็น รัก โลภ โกรธ หลงทั้ง 4 ตัว ที่คุณจะสื่อคือว่า ฤิทธิ์ที่คุณทำได้จากภาวนาของคุณเนี่ยใช้ประหาร ทั้ง 4 ตัวนี้ได้เลยหรือคับ จากวิธีที่คุณบอก การแยก กาย ใจ จิต (ใจ จิต) นี่คนละตัวหรือเปล่าครับผมดูจากที่คุณเขียนนะ....คุณแยกได้เห็นๆ เลยไหมครับ..ถ้าแยกได้รบกวนบอกได้ไหม..ว่า กิริยา เค้าเป็นอย่างไร และจุดกำเนิดเค้าอยู่ไหน ลักษณะทางกายภาพเป็นอย่างไร..และหากแยกได้อย่างชัดเจน..ที่คุณบอกว่าความรู้สึกจะน้อยลงไปเรื่อยๆ..มันถึงขั้นที่จะไม่มีได้ไหม..หากว่าวันหนึ่ง..มีอารมย์ 1 ใน 4 ผ่านเค้ามา..คุณจะแก้ปัญหาอย่างไรครับ..
อนุโมทนาสาธุครับ...

 

ผมมีตัวอย่างเรื่องกามรมณ์จะเล่าให้ฟังครับ เป็นผลมาจากการแยก กาย ใจ จิต

แต่ผมขอบอกไว้ก่อนครับว่า ผมเห็นแต่ไม่ใช่ว่าทำได้ตลอดครับ

ผมแยกได้บางครั้งคราวเท่านั้นครับ หากทำอยู่เสมอความรู้สึกจะไม่มีครับ

ผู้ที่ติดในกาม มักเสพสื่อที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องของกามรมณ์อยู่บ่อยครั้ง

และ เริ่มเสพกามด้วยวิธีต่างๆที่ตนสามารถกระทำได้ สำหรับผู้ที่มีภรรยา

ก็จะเสพด้วยการสมสู่ ผู้ที่ไม่มีภรรยาก็จะเสพด้วยวิธีการต่างๆ

แต่หากเพิกเฉยต่ออารมณ์แห่งกามในบ่อยครั้ง ที่มีอารมณ์แห่งกามเข้ามา

ด้วยการแยก กาย ใจ จิต ความรู้สึกทางกายจะลดลง จนไม่ตอบสนองครับ

ทางการแพทย์เรียกว่า เพศเสื่อม สภาพร่างกายจะไม่ตอบสนอง

ความรู้สึกลดน้อยลง ไปจนถึงไม่มี จิตที่รับรู้จะเกิดการเบื่อหน่าย

จะวางลงได้ก็ตรงนี้ครับ วางลงโดยที่ไม่มีขึ้นมาอีกครับ

สาธุครับ

 

อืมๆ..เป็นไปได้ครับ..การเพิกเฉย ช่วยขยายความคำนี้ด้วยครับ..''เพิกเฉย''
ขอบคุณครับ..

 

เมื่อการกระทบทางกายเกิดขึ้น ความรู้สึกย่อมเกิดตามมา การรับรู้ความรู้สึกจึงมีขึ้น

หากเพิกเฉยไม่รับรู้ความรู้สึก ไม่สนใจความรู้สึก เมื่อไม่รับรู้ ความรู้สึกก็จะดับไปเอง

การปรุงแต่งนี้ จะมีเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ครับ หรือ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่ได้ครับ

ต้องมีองค์ประกอปสามอย่างทุกครั้งครับ กาย๑ ใจ๑ จิต๑

สาธุครับ

 

ปฏิบัติธรรม

มีคำถาม และ มีคำตอบ ท่าน ทั้ง 2 เกิด มา เพื่อ สิ่ง นี้ จริง ๆๆ ค่ะ ทุก อย่าง มัน ไม่ ใช่ เรื่อง บัง เอิญ นะ ค่ะ แต่สำหรับหนูอ่านแล้ว หนูได้ความรู้หลายอย่างค่ะ

ขอให้เจริญในธรรมทั้ง 2 ท่าน ค่ะ

 

อนุโมทนาสาธุครับ

สาธุครับ

 

ไม่ถูกต้องครับ หากคุณตัดกามได้จริง อารมณ์โกรธตอนนี้คุณมาจากไหน.. การเพิกเฉย พอเข้าใจได้ว่า ไม่ส่งวิญญาณ การรับรู้ออกไปที่ผัสสะ..แน่นอนคุณทำได้หากสติกล้า..
ผลปัจจุบันล่ะ มันไม่ส่งผลถึงการกระทำของคุณตอนนี้เลยเหรอ:'(

 

คุณเอาอะไรมาวัดครับ ว่าผมโกรธ และ ผมก็บอกไปแล้วว่าผมทำได้เป็นบางครั้ง

ไม่ใช่ว่าได้ทุกครั้ง ที่บอกกล่าวอยู่นี้ เป็นเพียงการเห็นซึ่งหนทาง

ผู้คนในนี้ ผมไม่ได้โกรธใคร หากคุณสงสัยเรื่องที่ผมว่าคุณ ขันธ์

ผมจะบอกให้เป็นครั้งที่สองครับ "จับโจรต้องจับที่หัวหน้า"

คำนี้คงเคยได้ยินนะครับ การพูดจาหยาบคาย มีต้นตอมาจากใครครับ

ทำให้พระธรรมต้องแปะเปื้อน แค่เพียงคุณ ขันธ์ ไม่กล่าวคำหยาบคาย

ผมก็นอบน้อมต่อเขาตลอด คุณศัทธาในตัวเขา เขาก็ให้เขาด่าคุณด้วยคำหยาบคายสิครับ

คนอื่นที่เขาไม่ศัทธา ก็อย่าไปด่าเขา ก็แค่นั้น ง่ายๆ

ผมบอกเตือนด้วยความหวังดีไปหลายครั้ง เป็นระยะเวลาเป็นเดือนๆ

หากเป็นผู้ใหญ่น่ะ เขาฟังแค่ไม่กี่ครั้งเขาก็เข้าใจแล้ว เพราะไม่ใช่เด็ก

สาธุครับ

 

ผมน่ะไม่ไปตามหาเรื่องแบบนี้หลอกครับ ผมจะเปิดกระทู้แบบตรงๆครับ

ผมไม่ไปคอยด่าแล้วหลบ ผมทำอะไรโปร่งใสเสมอ ในชีวิตประจำวันผมก็ทำ

ไม่ใช่เฉพาะในนี้ ทำอะไรตรวจสอบได้ ในชีวิตประจำวันผมยังไม่พูดจาหยาบคายเลยครับ

แค่คุณ ขันธ์ กล่าวธรรมด้วยวาจาที่ดี มีประโยชน์ ผมก็ส่งเสริมด้วยใจจริง

เพราะผมไม่มองที่ตัวตน ไม่ว่าใครในนี้ทั้งนั้น เพราะผมไม่รู้จักใครในนี้

สาธุครับ

 

คำโพสต์ของคุณไง..มันสื่อออกมา ตามอารมณ์ที่คุณส่งใส่ในตัวอักษรนะ คุณทำได้เป็นบางครั้ง น่าจะเข้าใจสับสนอะไรรึไม่ การไม่มีผัสสะกระทบ อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าทำได้..ทำได้บางครั้ง มันเป็นการพูดแบบลวกๆ แต่ก็่ช่างเถอะไม่ใช่สาระสำคัญ
กาม ไม่ใช่เรื่องเล็ก ที่คุณโพสต์มาถึงขนด แยก กายกับจิตได้ อย่างนั้นใช่ไหมครับ .

 

แยก กาย ใจ จิต ครับ เพราะสิ่งที่ทำให้ จิตติดกับกาย คือ ใจ ครับ

ผมได้บอกคุณจากปากตรงๆไหมครับ หรือว่า คุณคิดไปเองครับ

ผมแสดงเจตนาชัดเจนตลอดครับ ไม่ใช่แบบหลบๆซ่อนๆ

คุณควรที่จะทำความเข้าใจด้วยตนเองครับ คุณลองยกมาก็ได้ครับ

ว่าโพสไหน หากเป็นโพสในกระทู้ของผมเอง ที่ต่อว่าคุณ ขันธ์

ผมก็ทำแบบเปิดเผย ไม่มาทำแบบคอยหาเรื่องแล้วก็หลบไป

สาธุครับ

 

เรื่องท่านขันธ์ ผมไม่อาจเข้าใจเจตนาท่านได้ครบ ผมขอยกไว้
..ตอนนี้ผมสงสัยธรรมที่คุณแสดง ช่วยขยาย การแยกกาย กับจิตหน่อยครับผมอยากฟัง เพื่อเป็นความรู้และตรวจสอบ ไปด้วยในตัว คุณคงไม่ว่าและกล้าที่จะสื่อออกมานะครับ
หวังว่าคงไม่ใช้วิชาธรรมกาย ลูกแก้วนะครับหรือว่าใช้