ทำไงดีไม่มีสมาธิเลย มันลุกลี้ลุกลนไม่อยู่นิ่งเลย ใครก็ได้ช่วยที

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย micstudio, 11 มีนาคม 2005.

  1. micstudio

    micstudio Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +52
    โชคดีที่ได้มาเจอเว็บนี้แบบบังเอิญคลิกมาเจอ ก็ลองอ่านดูน่ะ แล้วก็ลองปฏิบัติตามที่มีข้อมูลให้เกี่ยวกับการทำสมาธิน่ะนะ ก็เลยลองทำดู วันแรกน่ะดีมาก ๆ เลย ปกติน่ะเป็นคนใจร้อน และก็อารมณืเสียง่าย ๆ หงุดหงิดงี่เง่าด้วยน่าไม่ถูกอารมณ์ เรียกว่าประเภทเอาแต่ใจน่ะนะ แต่ก็เคยได้บวชเรียนมาบ้าง ก็เลยพอคุมให้รู้สึกตัวเองได้บ้าง แต่มาหลัง ๆ มันเอาไม่อยู่ มันห่างวัดห่างศาสนา ก็เลยลืมไปไอ้ที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยสั่งเคยสอนมาหมดเลย เหตุเกิดขึ้นว่ามีวันหนึ่งไปเปิดเจอเวบที่เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด จากถอดจิต อะไรซักอย่าง ก็อ่าน ๆ ดู แล้วก็กลับบ้านใช้ชีวิตตามปกติ และพอเราอยู่เฉย ๆ ว่าง ๆ เรื่องนึงก็ผุดขึ้นมาจากความคิดขึ้นมาว่า เอ๊ะ นี่เรามาทำอะไรอยู่เนี่ย คิดถึงแม่ขึ้นมาทันทีเลยนะ ว่าเอ๊ะเดี๋ยวแม่เราก็ต้องตายนี่นา พ่อเราด้วย แล้วเราล่ะ ก็ต้องตายนี่นา น้ำตามันก็ไหลเลย มันก็เศร้ามาก ๆ เลย และเราก็มองไปที่กว้างที่ ๆ น่ะนะ เห็นสุดลูกตาก็เลยคิดว่าเรามันตัวเล็ก กระจิดริดเดียวทำโลกมันถึงทำงานเป็นระบบ ทุกอย่างมีกฎเกณฑ์เงื่อนไขของมัน มีระบบจักรวาล มันไม่น่าเกิดขึ้นเองเลย ทั้งสงสัยและก็งง และก็คิดว่าแล้วเรามาทำอะไรเนี่ยเกิดมาแล้วก็ตายเวลาก็เหลือเท่าไรก็ไม่รู้ เหมือนกำลังนับถอยหลังอยู่เลย แล้วมันก็น่าใจหายนะ ก็เลยหาข้อมูลจากเว็บต่าง ๆ เกี่ยวกับการหลุดพ้น จักรวาล กำเนิดอารยธรรม ปิรามิด แอตแลนติก ก็เลยเจอข้อมูลมหาศาลและเรื่องเล่ามากมายเลย และบางอย่างมันก็น่าแปลกใจมาก ๆ เหมือนว่ามันมีอยู่หลายแบบหลายอย่าง ทั้งน่าจะจริงและน่าจะไม่จริง เคยเปิดไปเจอเว็บที่บอกเล่าเกี่ยวกับคัมภีร์มรกต จักรวาล plannet-x โลกเราเป็นฟาร์มเพาะถ่ายทางพันธุกรรม มีการติดต่อกับต่างดาว ข้อมูลประวัติศาสตร์ของชาวมายา โลกคู่ขนาน มันก็เลยงงงง ไปหาซื้อหนังสือมาแล้วก็อ่านบางเล่มก็บอกว่ามนุษย์เราถูกส่งมาให้เรียนรู้ ผู้ใดเรียนรู้ได้จบ ก็เหมือนเรียนจบนั้นแหล่ะ ก็ไม่ต้องเรียนอีกแล้ว เหมือนๆ กับชาติแต่ละชาติที่เราเกิดน่ะแหล่ะ เค้าให้เราเรียนรู้ ถ้าเราได้ศึกษาเข้าใจไม่หลงงมงายอยู่ก็หลุดจากวงเวียนการตาย-เกิดอะไรนี่ล่ะ บางเว็บก็พูดถึงองค์จิตรจักรวาล เลยสับสนไปหมด ทั้งวิทยาศาสตร์ พุทธศาสตร์ อารยศาสตร์ ก็เลยมาสรุปเอาตรงที่ทำให้มันสบายใจดีกว่า อันไหนเราเห็นว่าดี ว่าเหมาะ สมเหตุสมผล และเกิดผลดีก็เอาอันนั้นแหล่ะ ย้อนมาตรงที่บอกว่าวันแรกน่ะดีมาก ๆ เลย ก็พอดีไปเจอเว็บที่ลงเกี่ยวกับการทำสมาธิ จับจิตของเรา จำไม่ได้ว่าเว็บอะไร เหมือนเป็นคนเล่าเรื่องของเขาน่ะ เขาบอกว่าเขาน่ะคยเป็นพระแล้วสึกออกมา เขาทำงานไปก็จับจิตตัวเองไป เวลามีอะไรมากระทบก็ดูอารมณ์ตัวเองอยู่ตลอดว่าเรารู้สึกอย่างไร ตอนที่มีสิ่งนี้มากระทบ เราก็เอาล่ะลองทำตามเลย วันแรกก็จับจิตตัวเองก่อนเลย ว่าตอนนี้คิดอะไร พอมีคนมาพูดกับเราๆ รู้สึกอะไร ใจเป็นยังไง พอมีคนว่าเราเราก็จับอารมณ์เรานะ ว่าเอ๊ะตอนนี้เราหัวใจเต้นแรงนี่ เอ๊ะ กำลังโกรธนี่ มันอธิบายไม่ถูกนะ แต่มันรู้ทันไงว่า เอ๊ะนี่โกรธนี่ แล้วก็ขำตัวเองนะ แบบเอ๊ยนี่เรารู้ทันตัวเอง แล้วก็เป็นงี้ทั้งวันเลย พอดีใจก็จับได้อีกว่า เอ้า ดีใจนี่ ก็ขำตัวเองทั้งวันเลย ว่าตัวเองรู้ทันตัวเองแล้ว ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย พอรู้จักอารมณ์แล้วใช่ป่ะ วันต่อมาก็เอาอีก ที่นี้พอมันรู้ทันแล้วมันก็ควบคุมเองได้เลย พอมันจะโกรธมันก็รู้ทันอีก มันก็ขำตัวเอง และก็ไม่โกรธซิ เหมือนกับว่าเราควบคุมอารมณ์ตัวเองได้กับสิ่งที่มันมากระทบเลย รู้สึกสนุกมาก ก็ทำได้อยู่ซัก เกือบอาทิตย์มั้งควบคุมกับการทำสมาธิไปด้วยแบบระลึกว่าหายเข้าใจพุทธ หายใจออกโทนะ แล้วก็ระหว่างก็หาข้อมูลไปเรื่อย ซื้อหนังสืออ่านไปเรื่อยๆ เลย งมไปเรื่อย และก็จะเล่าให้พ่อแม่ฟังทุกวันเลย ว่าเราคิดว่าแบบนี้ ว่าคนเรานะพ่อแม่ เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวตาย ไม่อยากพ้นทุกข์แบบนี้หรือ คือดึงเขาทุกวันเลย
    แต่โชคดีที่พ่อกับแม่เขาเคยปฏิบัติกันมาก่อน เคยปฏิบัติแบบเคร่งครัดเลย แต่มาทีหลังเขามามัวทำมาหากินกันอยู่และก็เลยเลิกด้วยเหตุผลบางประการแล้วจะเล่าทีหลังนะ พ่อน่ะเคยไปปฏิบัติธรรมที่สำนักธรรมทางอิสาน พ่อเคยเล่าเกี่ยวกับพระศรีอารย์ การปฏิบัติธรรม แต่ไม่มีใครสนใจเลย ที่ทำก็ได้แต่สวดมนต์กันก่อนนอนทุกวันเท่านั้น สวดก็แบบหลับหูหลับตาให้มันจบๆ ไปเท่านั้นแหล่ะ สวดกันแจ๋วๆ ไปงั้น มีสวดเทพชุมนุม ชินบัญชร อื่นๆ อีกเพียบ พอตกหัวค่ำก็อาบน้ำนุ่งขาวห่มขาวกันแล้วทั้งบ้าน เข้าห้องพระ จุดเทียนธูปกับเพียบ มี 5 คนนี่ ควันเข้าตาเข้าปากเข้าจมูกกันตาแดงทุกวัน ทั้งเราทั้งน้องชาย 2 คน แม่กับพ่อนำ อยู่อย่างนี้หลายปี
    แต่ไม่ได้ฟังที่พ่อเล่าเกี่ยวกับพ่อเลย พอพ่อรู้ว่าเราคิดแบบนี้พ่อก็เลยมาคุยด้วย พ่อบอกว่าตนหนุ่มๆ พ่อเคยไปปฏิบัติกับหลวงพ่อที่กาญจนบุรี นั่งสมาธิบนเขานู่น และพ่อก็บอกว่า พ่อนี่เหมือนกับหลุดออกไปเลย มองเห็นไปสุดขอบโลกนู่น เราก็ได้แต่อมยิ้มนะ แต่พ่อบอกว่าบอกตกใจมาก เพราะพ่อเหมือนว่าตัวเองไม่ได้หายใจอยู่ หัวใจไม่เต้น พ่อตกใจเลยรีบออกจากสมาธิ มาหาพระที่เป็นหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอกว่าทำไมถึงได้ไปนั่งคนเดียว อย่าทำแบบนี้ ประมาณว่าข้ามขั้นไปจะเตลิดไป พ่อก็เลยกลัวมาก หนีไปที่อื่นเลย แล้วก็มาเจอแม่แต่งงาน จนเราโต อายุได้ 12 พ่อก็ได้มีโอกาสไปปฏิบัติอีกครั้งหนึ่งที่สำนักฯทางอิสาน พ่อไปหลายปี นาน ๆ จะกลับมาทีนึง ไม่ได้ทำมาหากินอะไรเลย อยู่กินเงินเก่าอยู่หลายปี จนตังส์เกือบหมดเลย เราก็เรียนมัธยม น้องก็เรียนหนังสือกันหมด พ่อบอกว่าตอนที่พ่อปฏิบัติอยู่ครั้งนึงพ่อและเพื่อนร่วมปฏิบัตินั่งสมาธิกันกลางแดดเลย แล้วร้อนมาก ๆ พ่อก็รู้สึกว่าร้อนเพราะหลายชั่วโมง พ่อเลยอธิษฐานจิต ให้มือของพ่อใหญ่และแผ่ออกไปบังแดดให้เพื่อนร่วมวิปัสสนา และหลังจากนั้น ช่วงกลางคืน ก็มีอาจาย์ของพ่อบอกว่าเมื่อกลางวันได้เกิดอะไรขึ้นอย่างนึงที่นี่ มีศิษย์คนนึงได้แสดงอิทธิฤทธิ์โดยการแผ่มือออกมาใหญ่และบังแดดให้คนที่นั่งอยู่กลางแจ้ง พ่อได้ยินก็เงียบเฉยและนึกว่า พ่อแค่คิดและกระทำขณะที่จิตเป็นสมาธิ (เหมือนกับเรานึกจินตนาการเอา) ก็เลยงงเหมือนกัน พ่อก็เข้านอนแบบกางมุ้งกลม ที่พระใช้เวลาเข้าป่าเรียกว่าอะไรจำไม่ได้ กลด หรือเปล่า ก็ฝันหรือไม่ฝันไม่รู้แยกไม่ออกว่า พระแม่ธรณีและใครอีกไม่รู้มาประทับที่หัวนอน แล้วพูดอะไรพ่อจำไม่ได้ เราก็เลยคิดว่าถ้าพอพ่อกับแม่เข้าทางธรรมจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ๆ เลย เพราะว่าเขาอายุมากแล้ว และเราก็ห่วงท่าน หากจะต้องพลัดพลากก็อยากให้ท่านไปสู่ภพภูมิที่ดี แล้วเราก็เริ่มกดดันมาก ๆ อยากจะทำอยากปฏิบัติ ทั้งอยากรู้ สงสัย เร่งวันเร่งคืน และวุ่นวายข้างในไปหมด อ่านหนังสือมาก็เล่าให้คนที่บ้านฟังอยากให้เขาได้คิดได้ทำอย่างเราให้ไปด้วยกัน มันก็เลยไม่สงบ ขนาดว่าจับอารมณ์ได้แล้วยังพาลตัวเองเลย คิด ๆ อยู่แต่ว่าต้องได้นะ เดี๋ยวนี้ ไม่ทันแล้ว ช้าไปแล้ว และบางครั้งก็เหมือยกับโอ๊ยช่างมันเกิดก็ต้องตาย ตายก็ต้องเกิด แต่ก็ทำไมล่ะ ไม่อยากเกิด เหมือนคนเพ้อเจ้อ หวังสูงเกินตัว มันจะพาลบ้าเอาน่ะ แล้วก็รู้ตัวเองนะว่ากำลังหงุดหงิด ดึงอารมณ์ ทำสมาธิปด้วยและวันนี้หลังจากเสียสมาธิไป 3 - 4 วัน ก็เริ่มจะดีขึ้นบ้างแต่ยังไม่เต็มร้อยเหมือนวันแรก แค่เศษ 2 ส่วน 10 เอง แต่จะพยายามให้ได้
     
  2. micstudio

    micstudio Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +52
    ไม่มีใครตอบเลย เศร้าใจจริง ๆๆ
     
  3. micstudio

    micstudio Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +52
    จะมีใคตอบมั้ยเนี่ย
     
  4. micstudio

    micstudio Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +52
    ช่วยตอบหน่อยค่ะ ใครก็ได้
     
  5. R2D2

    R2D2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +133
    สวัสดีครับ หุหุ
    พอดีเพิ่งเข้ามาอ่าน รู้สึกมันติดกันเป็นพรืดเลยอ่านยากไปหน่อยอะคับ ถ้าแบ่งย่อหน้าจะอ่านได้ง่ายขึ้นนะ

    พอจับใจความได้ว่า ตอนนี้คุณ micstudio ฝึกดูจิตได้ผลในระด้บหนึ่งแล้ว คือสามารถรู้เท่าทันอารมณ์ขณะจิตของตัวเองได้ อันนี้ถือว่าก้าวหน้าไปได้ดีนะครับ ขณะที่รู้เท่าทันจิต จิตเราจะเป็นสมาธิแล้ว (ขณิกสมาธิ)

    แต่กำลังสมาธิยังไม่แน่วแน่ มั่นคง ยังไม่ถึงระดับ อุปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิ จริงๆแล้วผมเข้าใจว่าคุณ micstudio น่าจะมีจริตไปฝึกทาง สติปัฏฐาน4 มากกว่าไปฝึกทางสมถะให้ได้ฌาณนะครับ

    ลองตามอ่านกระทู้ของคุณบัวใต้น้ำหรือไปที่ webblog คุณบัว ดูน่าจะเหมาะกับคุณครับ
     
  6. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,105
    ค่าพลัง:
    +2,695
    แวะเข้ามาอ่านครับ
    คงไม่สามารถตอบให้กระจ่างได้เพราะภูมิธรรมผมน้อย

    บอกได้แต่ว่าอย่าเร่งครับ ของอย่างนี้ไม่ใช่ได้มาวันสองวัน มันต้องใช้เวลา
    และก็สนใจในการกระทำของตนเองก่อนดีกว่าครับก่อนที่จะไปช่วยผู้อื่น คนทุกคนย่อมมี
    กรรมเป็นของตัวเองครับ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะช่วยคนอื่นได้ไม่ทันกาล
    ช่วยตัวเราเองให้รอดก่อนเถอะ ถ้าตัวเราเองรอดแล้วไม่ว่าพ่อกับแม่ หรือคนอื่น เขาจะไปอยู่ที่ไหน
    ตามกรรมของเขา เราก็สามารถที่จะเข้าไปช่วยเขาได้อยู่แล้ว
    ตอนนี้ก็แค่ทำใจเราให้เหมือนเดิมดังแต่ต้น ไม่ต้องเร่งครับ ค่อยเป็นค่อยไป..
     
  7. micstudio

    micstudio Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +52
    ขอบคุณค่ะ ตอนนี้ก็ดีขึ้นมาบ้างซัก 4 เต็ม 10 ได้ กำลังพยายามอยู่ คงต้องใช้เวลาแต่ในเรื่องอื่น ๆ ก็ดีขึ้นมาบ้างนะคะ อย่างที่เคยซื้อหนังสือไร้สาระมาอ่านเดือนนึงหลายเล่ม อย่างพวก Cosmo Ceo Herworld Madame ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายก็ลดลงแล้ว หนังซีดีก็ละได้บ้างแล้ว ได้คิดถึงว่ามันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย

    จากที่เคยทำตัวไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ ก็ได้ใช้ในทางที่ถูกที่ควรบ้างแล้ว ก่อนนอนเดิมดูหนังฟังเพลงจนง่วงก็หลับไปอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก่อนนอนก็สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิทุกคืน คืนแรก ๆ นั่งได้นานนะ ใจก็สงบดี มีวอกแวกบ้างก็ดึงกลับมาได้ทุกที แต่มาวันหลัง ๆ นั่งไม่ค่อยได้นาน เหมือนวันแรก ๆ แต่ความตั้งใจมีมากกว่า แต่อุปสรรคเยอะกว่า ที่เขาเรียกว่าเวทนาหรือเปล่าไม่รู้

    พอตั้งใจก็นั่ง ระลึกถึงพระพุทธพระธรรม ให้ช่วยคุ้มครองครองและปกปักรักษาให้เราได้เรียนรู้ได้สำเร็จอย่าได้ท้อถอยและเลิกลาไปเสียก่อน แรก ๆ ก็นั่งไปดูว่าชีวิตของเรามีแก่นสารอะไรก่อน อะไรที่เกิดกับเรา มีอะไรที่เราผิดพลาด แก้ไขได้หรือเปล่า และนึกถึงร่างกายของเราขณะที่นั่ง ว่ารู้สึกอะไรบ้าง ใจเราอยู่ที่ไหน แล้วก็กำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดนะ ดูว่ามีอะไรมากระทบเรา

    อย่างตอนนั่งก็สบาย รู้สึกสงบนิ่งนะ มันนิ่งมาก ไม่รู้สึกว่ามีอะไรเป็นพันธะ ยึดติดกับอะไร แต่มันบางครั้งที่ร่างกายได้รับสัมผัส อย่างยุงกัดนี่นะ ตอนนั่งอยู่ก็นึกยุงมาเกาะแล้วนะ มันกัดแล้ว ร่างกายก็คันนะ ก็รับรู้ว่ามันมากัดเพราะมันต้องดำรงชีพของมัน ก็ปล่อยให้มันกัดไป ใจก็ภาวนาต่อ มันก็เริ่มทนไม่ไหวซิ แต่ใจก็ยังสงบ

    ก็มองก็คิดที่เหมือนกับตอนเด็ก ๆ เคยนั่งสมาธิพระอาจารย์ท่านก็บอกว่าดูเวทนาซิตอนนั่ง ให้รับรู้ว่าเกิดอะไร เมื่อยไหม ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเรา มือไม่ใช่ของเรา ทุกอย่างไม่ใช่ของเราเลย เราเอาอะไรไปไม่ได้ซักอย่าง แต่ยุงนี่มันกัดเจ็บนะ รอจนมันสูบเลือดเราจนอิ่ม แล้วก็ปล่อยมันไป มันก็นึกดูให้ประหลาดใจ การนั่งสมาธิมันสงบแต่อุปสรรคมันเยอะ เวทนาเยอะ


    แต่คิด ๆ ดูแล้วการที่เราได้เข้าใกล้พระธรรมเข้าใกล้ศาสาก็ช่วยเราได้หลายอย่างเดี๋ยวนี้ไม่อยากได้อะไรเลย ไม่บ้าสมบัติ ไม่อยากมีอะไร ไม่หวงอะไร คิดแต่ว่ามันไม่ใช่ของเราจริง ๆ ทั้งที่ก่อนนะ หวงสมบัติมาก ไม่ชอบให้ใครมาล่วงเกินของๆ เรา มากล้ำกลายในอาณาเขตก็รู้สึกไม่พอใจ แต่เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่ามีเมตตามากขึ้น ใครไม่ดีก็ไม่ได้ได้โกรธเกลียดอะไร สงสารเขาด้วยซ้ำ

    แต่อารมณ์นี่ค่อนข้างควบคุมยาก บางครั้งเหมือนทำได้แล้ว ก็เหมือนถูกลองใจอยู่ตลอด มาคิดได้อีกทีก็เตลิดไปไหนแล้ว คงต้องใช้เวลาในการศึกษาในการภาวนาต่อไป

    ใครมีข้อแนะนำในการปฏิบัติขั้นแรกเริ่มต้นสำหรับผู้ที่ห่างไกลจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ช่วยแนะนำให้ทีคะ จะได้เดินถูกทาง กลัวหลงทางค่ะ
     
  8. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,074
    ค่าพลัง:
    +638
    ที่ลุกลีลุกลนเพราะ มันอาจจะอยู่ใกล้ ๆ สมาธิแล้วคือ อีกแค่นิดเดียว (ใจมันลุกลีลุกลน ก้ช่างมันอย่าไปสนใจ อย่าไปร้อนกับมัน แล้วมันจะค่อย ๆ จางไป อันนี้ต้องใช้เวลา) ถ้าผ่านนี้ไปได้ ก็อาจจะนิ่งได้เลย

    ถ้าไม่ใช่ก้อต้องฝึกบ่อย ๆ พยายามสร้างความรู้สึกที่สดชื่นก่อน แล้วค่อยทำ
     
  9. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,074
    ค่าพลัง:
    +638
  10. jit_jai

    jit_jai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +57
    เคยเป็นแบบนี้ นะ จิต ไม่นิ่ง แต่พอรู้จะ ปรับตัวนะ ดึงตัวเองออกมาจาก สิ่งที่ลุกลี้ลุกลน ออกมาสงบ สักครู่ แต่ ไม่ค่อย เป็น บ่อยนัก

    พยายาม อยู่ค่ะ นะ เป็นกำลังใจ ให้คุณละกันค่ะ
     
  11. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,227
    ค่าพลัง:
    +10,593
    พึ่งเข้ามาเจอความรู้ภูมิธรรมผมก็ไม่เยอะเหมือนคนอื่นด้วย ก็ไม่รู้ว่าจะแนะนำอะไรได้บ้าง แต่บอกได้ว่าเวลาทำสมาธิหน่ะ อย่าคิดว่าจะได้เห็นโน่นเห็นนี่หรือเจอโน้นเจอนี่อย่างที่คนอื่นเค้าเห็นกัน อย่าคิดว่าเราอยากจะทำได้ถึงขั้นโน้นขั้นนี้ เพราะถ้าคิดอย่างนี้แล้วมันจะไม่ไปไหนเลย เวลาทำสมาธิถึงเราจะเจออะไรก็ตาม รู้สึกอะไรก็ตามให้รู้แต่ว่าเรารู้สึกอย่างนั้น ไม่ต้องไปคิดว่าเกิดจากอะไรหรือมันคืออะไร ไม่งั้นจิตที่นิ่งแล้วก็จะกระเพื่อมขึ้นมา ให้เก็บมาคิดหลังจากที่ออกจากสมาธิดีกว่า หรือจะพูดให้ง่ายก็คือเวลาจะทำสมาธิก็ให้ทิ้งความอยากไปซะก่อนเหมือนกับว่าเราถอดรองเท้าไว้ก่อนที่จะเข้าบ้าน

    ไม่รู้เหมือนกันนะว่านี่จะเป็นคำแนะนำที่ดีหรือเปล่า แต่เวลาเราทำสมาธิเราจะทำอย่างนี้อ่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2005
  12. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    ไอ่นอ่ะยาว แต่แนะนำว่า ทำใจให้ว่างทุกสิ่งล้วนไม่มีตัวตนล้วนว่างเปล่า เท่านี้จิตใจก้อจะสงบแล้ว
     
  13. micstudio

    micstudio Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +52
    ขอบคุณค่ะทุกคนที่เข้ามาตอบค่ะ
     
  14. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,074
    ค่าพลัง:
    +638
    ตอนนี้ดีขึ้นยังอ่ะ สงบดีกว่าเก่าป่ะ
     
  15. micstudio

    micstudio Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +52
    ดีขึ้นนะ แต่บางครั้งก็หงุดหงิดบ้าง เพราะไปฝืนมันไง เร่งเกินไป อยากจะทำนู่นนี่นั่น ไม่ค่อยเป็นค่อยไป บางครั้งโอกาสยังไม่อำนวย เวลาไม่มี เพราะมันยังต้องยุ่งเรื่องโลกเรื่องโลกมันเยอะ ไหนจะทำมาหากิน ไหนจะพ่อแม่ต้องดูแล ไหนจะอะไรอีกเยอะ ก็ตัดสินใจเริ่มใหม่แล้ว เอาแบบค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า

    เริ่มจากการใช้ชีวิตแบบเดิม แต่รักษาศีลเอาให้มันเป๊ะ ๆ ไปเลย แบบว่าไม่ต้องคอยระวังแล้วนะ อย่างอื่นก็คงเกิดปัญญาตาม ๆ มาเอง แต่ก็ระลึงถึงตลอดว่าตอนนี้ทำอะไร จะเดินพูดนั่ง หรือหายใจหายใจเข้าก็พยายามตามดูตลอด มีหลุด ๆ ไปบ้าง ถ้านึกได้ก็ดึงกลับมานะ

    ขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้องทุกคนที่คอยแนะนำ และมอบสิ่งที่ดีให้ค่ะ ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังเลย ขอบคุณจริง ๆ ขอบคุณที่ได้มีโอกาสได้เรียนรู้และปฏิบัติ
     
  16. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,074
    ค่าพลัง:
    +638
    ยินดีด้วยครับ
     
  17. ดาวประกาย

    ดาวประกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +216
    micstudio จ๊ะ ทำดีแล้ว ปฏิบัติต่อไปนะ หลายอย่างเราก็เริ่มเข้าใจ และรู้ทันแล้วนี่
    เช่น ไม่ฟุ้งเฟ้อ เริ่มทำตัวตามธรรมชาติขึ้น ที่สำคัญ ไม่ประมาทในความตาย
    เพราะสิ่งนี้ จะทำให้เรารีบขวนขวายทำความดีทุกลมหายใจเข้าออก หากลม
    หายใจเข้า แต่หมดลมหายใจออก เราก็ตาย หายใจออก แต่หมดลมหายใจเข้า
    เราก็ตาย เพราะความตายเริ่มต้นจากการหมดลมหายใจนี่แหละ

    ฉะนั้น ปฏิบัติดีไว้ ย่อมสบายจิต สบายใจ อย่างน้อยขั้นต้น เราก็ทำได้ดีมากแล้วนี่
    และหวังว่าคงเข้าใจว่าทำไม การทำสมาธิภาวนา ถึงต้องให้ดูลมหายใจ เป็นเบื้องต้น
    และการทำเช่นนั้น ก็เพื่อให้เรามีสติโดยเฉพาะก่อนตายนั่นแหละ

    เวลาภาวนา อย่าเอาจิตไปลอยฟ่องตามกระแสความคิด ให้ตั้งจิตในกายของเรา
    ความฟุ้งซ่านจะหายไป แล้วจดจ่อกับลมหายใจ ที่เข้ามา ที่ออกไป และที่เข้ามา ออกไป
    แค่นั้นพอ

    ถ้ายังฟุ้งอยู่ ลองเอาความคิดนี้ไปใช้ เป็นคำกล่าว ของหลวงปู่เทสก์ ว่า จิตเราต้องคุมความคิด ไม่ใช่ให้ความคิดมาควบคุมจิต

    ลองสังเกตดูนะว่า ตอนนี้ จิตเราเป็นนาย หรือ ความคิดเราเป็นนาย

    เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นนะจ้ะ
     
  18. insanity

    insanity สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    เข้ามาหาความรู้เพิ่มเติมค่ะ
    พอดีใจไม่นิ่งเหมือนกัน [​IMG]
     
  19. Karz

    Karz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +96
    ย้าว ยาวนะครับ ... อ่านจนเหนื่อย

    ไม่ว่าคุณสมาธิระดับไหน
    ถ้าจิตฟุ้งซ่าน
    ให้เอาสติตามรู้จิต
    มันจะหยุด
    แล้วคุณจะทำอะไรต่อก้อเรื่องของคุณครับ

    Good luck ;)
     
  20. Pele

    Pele สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +2
    เริ่มจากการใช้ชีวิตแบบเดิม แต่รักษาศีลเอาให้มันเป๊ะ ๆ ไปเลย แบบว่าไม่ต้องคอยระวังแล้วนะ อย่างอื่นก็คงเกิดปัญญาตาม ๆ มาเอง แต่ก็ระลึงถึงตลอดว่าตอนนี้ทำอะไร จะเดินพูดนั่ง หรือหายใจหายใจเข้าก็พยายามตามดูตลอด มีหลุด ๆ ไปบ้าง ถ้านึกได้ก็ดึงกลับมานะ
    โมทนาสาธุด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...