อะไรคือของของเรา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย DekNoii, 28 มีนาคม 2012.

  1. pczophie

    pczophie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +61
    ขอเอาจากกระทู้อื่นมาตอบได้ไหมคะ?? ^^

    เพราะคิดว่า มันเกี่ยวกันอยู่กับคำถามในกระทู้นี้


    แต่เดิม กระแสจิตที่ตื่นขึ้นมา ต้องการหาความหมายให้กับการมีอยู่ของตัวเอง ต้องการหาความหมาย และคุณค่า ให้กับการมีอยู่ของตน จึงได้แบ่งตัวเองเป็นหลายๆตัวตน สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาเพื่อให้แต่ละตัวตนได้เล่นละคร ได้เรียนรู้อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ความสุข ความทุกข์

    จิตวิญญาณของเทพยังคงเป้าหมายนั้นไว้ จึงได้เทียวบอกวิธีเรียนรู้ชีวิตให้กับมนุษย์ ว่าหากทำแบบนั้นจะได้แบบนั้นแบบนี้

    แต่ก็มีดวงจิตบางดวง ที่เกิดรู้สึกเบื่อหน่ายกับเกมส์พวกนี้ เบื่อหน่ายกับการมีความสุขที่มักจะจบลงด้วยความทุกข์ทุกครั้ง จึงได้ค้นหาวิธีหนีให้พ้นจากเกมส์เหล่านี้

    --

    เข้าใจแล้วววววว!!

    กระทู้นี้เป็นกระทู้คุยกับตัวเอง :cool:

    แค่อยากระบาย :cool:

    บรรดาจิตของเทพที่ยังไม่ไปนิพพาน เป็นดวงจิตที่ยังต้องการเรียนรู้อารมณ์ที่หลากหลาย รัก โลภ โกรธ เกลียด ดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์ พวกเขาพอใจในการมีอยู่ของตัวตน รู้ทั้งรู้ว่าความสุขที่ได้มาทุกครั้งต้องแลกด้วยความทุกข์ แต่เขาก็พอใจที่จะรับอารมณ์ทั้งสองด้านที่ตรงกันข้าม

    ในขณะเดียวกัน ก็มีดวงจิตบางดวงที่รู้สึกเจ็บปวดทรมานจากความทุกข์มาก มากจนเกินจะทนรับไหว คนกลุ่มนี้ต้องหันไปพึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งค้นพบหนทางแห่งการหลุดออกจากเกมส์พวกนี้ได้แล้ว

    ถ้าไม่อยากมีทุกข์ใดๆเลยยยยยยยยย!! ต้องไปศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า

    แต่ถ้ายังพอใจที่จะเกิดมาเรียนรู้อารมณ์ต่างๆ ก็ต้องทำใจยอมรับก่อนว่าทุกๆครั้งที่มีความสุขก็จะมีความทุกข์ตามมาเสมอ ถ้าทำใจยอมรับได้แล้ว ก็ให้ไปศึกษาคำสอนของเทพจากต่างมิติ

    ในจักรวาลนี้ และอีกหลายๆจักรวาล หรือ เรียกว่า ในโลกสมมตินี้ มีไม่กี่คน ไม่กี่ดวงจิตที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการเวียนว่ายตายเกิด เบื่อหน่ายกับการทนทุกข์

    แต่ยังมีดวงจิตอีกกว่า 99.99% ที่ยังติดอยู่ในเกมส์นี้ และยังไม่รู้ว่าเดิมทีตัวเองเป็นใครมาจากไหน มาอยู่บนโลกนี้ทำไม

    แต่ทั้งนี้ หากเราสามารถหยิบเอาคำสอนทั้งจากพระพุทธเจ้าและจากท่านเทพมาใช้ได้ เราอาจจะมีชีวิตที่ไม่อยู่บนความประมาทได้

    คำสอนจากพระพุทธเจ้า สอนไว้ว่า เพราะเราคิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของเรา(ยึดมั่นถือมั่น) เราจึงทุกข์

    คำสอนจากเทพ สอนเวลาที่เราล้ม ว่าเราต้องลุกขึ้นใหม่ เรียนรู้จากการล้มแล้วลุกขึ้นยืน มองโลกในแง่บวกแล้วเหตุการณ์ดีๆจะเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในชีวิต

    ถ้าเรายังไม่ต้องการนิพพานชาตินี้ ยังพอใจที่จะเวียนว่ายตายเกิด ก็ต้องยอมรับคำสอนจากทั้งพระพุทธเจ้าและเทพจากต่างมิติ (เทพต่างมิติ ถ้าในศาสนาพุทธน่าจะเป็นชั้นพรหม คิดว่านะคะ..)

    แต่ถ้าวันใด เราเริ่มทนกับความทุกข์บนโลกไม่ได้ มันเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน เราก็ต้องออกจากเกมส์นี้ไป แล้วการจะออกจากเกมส์นี้ได้ ต้องเลือกศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นทางเดียวที่จะออกจากเกมส์นี้ได้
     
  2. ผู้ผ่านทาง

    ผู้ผ่านทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +51
    ตราบใดที่ยังท่องจำมา จักมิเข้าใจ เนืองเพราะ ท่องเค้ามา

    ตราบเมื่อเจ้าดึงความคิดเราออกมาจากตัวตนแห่งเจ้าแล้ว เจ้าจักเข้าใจ ว่า เจ้าเข้าใจสิ่งใดฤา

    แลเมื่อมองย้อน(อ่านทวน) จักทราบ ตัวตนแห่งตน

    ทราบความคิดแห่งจิตตน

    แล้วเหตุไฉน จึงต้องยกกล่าวอ้างด้วยเล่า

    -------------------

    เค้า เล่าว่า เค้าบอกว่า เค้าเห็นมา เค้ารู้ว่า

    นั้นคือ เค้ามิใช่เรา ไซร์ แล้วอ้างเค้าทำใยเล่า

    เงินเค้า ก็ของเค้า

    กรรมเค้า ก็ของเค้า เหตุใด ต้องยกมาเล่า??????

    ฤา มิอาจเข้าใจได้ด้วยตนรึ:boo:
     
  3. รักหมดใจ

    รักหมดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +290
    เป็นคำถามที่สามารถบ่งบอกหลักการแห่งการบรรลุธรรมของแต่ละท่านได้เลยทีเดียว

    โดยมุมมองของเถรวาทแล้ว จำเป็นต้อง " มีของ"เรา" " ดังนี้ก็เพื่อ

    ๑. มีการสร้างกรรมให้เป็นอโหสิกรรม ด้วยการปฏิบัติธรรม เป็นต้น (ในส่วนความคิดความเชื่อข้อนี้ เท่านั้นเอง)

    ๒. มีการสร้างบุญกุศลในความคิดความเชื่อ ของเรื่อง "เสบียงในการเดินทาง" สู่การหลุดพ้น หรือพระนิพพาน

    ๓. เป็นการถามถึง "การละกิเลสของตัวเราเอง" ด้วยเท่านั้นเอง

    ๔. มีการเป็นสังสารวัฏ แล้วถามว่าเป็นวังวนของใครเท่านั้นเอง

    ๕. มีการปฏิบัติธรรม แล้วถามปฏิบัตินี้เป็นความเพียรของใคร เท่านั้นเอง

    ๖. มีการเป็น "การบำเพ็ญบุญบารมี เพื่อพระนิพพาน " แล้วถามว่า เป็นพระนิพพานของใคร ??? เท่านั้นเอง

    ๗. มีการปล่อยวาง ดังนั้นแล้ว "ปล่อยวางของใคร " เท่านั้นเอง ดังนั้นแล้ว

    ๘. " ปล่อยวางอะไรของตัวเองอย่างนั้นหรือ " เท่านั้นเอง

    ๙. แล้วการพ้นทุกข์ " ความทุกข์นั้น คืออะไรของใคร " เท่านั้นเอง

    ๑o. " การพ้นทุกข์นั้น ความทุกข์ของเราเองหรือว่าความทุกข์ของเราเองที่ไม่ใช่ของเรา " แล้วนั้น "ความทุกข์ของอะไร ??? " เท่านั้นเอง

    ๑๑. " การปฏิบัติธรรม ทำไปเพื่ออะไร หากว่าไม่เป็นการปฏิบัติของใครเลย " เท่านั้นเอง

    ๑๒. อนัตตาของใคร หรือของเราเองที่เป็นอัตตา แล้วเป็นอนัตตาไม่ใช่ของของเราแล้วเป็นของเราที่ไม่ใช่ของอะไร เป็นอย่างไรไปเท่านั้นเอง

    ♡(^___^)♡ :::: ::::

    เป็นของเรา ไม่ใช่ของเรา แล้วเป็นอะไร เท่านั้นเอง ที่เป็นปริศนาต่อเพื่อปัญญาของตัวท่านเอง ♡(^___^)♡ :::: ::::

    เท่านั้นเอง เช่นนั้นเอง ตถาตา

    ♡(^___^)♡ :::: ::::
     
  4. อิ๊ด

    อิ๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +551
    ของของเรา คือของที่เรารัก เราชอบ เราคลั่งไคล้ไหลหลง ของที่มีความจำเป็นกับเรา
    ถ้าถามว่าจิต(วิญญาณ)เป็นของเรามั้ย ก็น่าจะเป็นของเรา เราต้องเอาใช้ทั้งตอนตายและตอนยังไม่ตาย
    ร่างกายเป็นของเรามั้ย ก็เป็นของเรา แต่พอตายแล้ว ก็ไม่ใช่ของเรา เพราะหมดความจำเป็นแล้ว ไม่ copy ใครเลยนะ อันนี้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเอง
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    อะไรคือของของเรา

    ก็คือกรรมดี กรรมชั่ว และกรรมไม่ดีไม่ชั่ว ทั้งหมดนี้คือของๆเรา

    จิตหนึ่งและกายหนึ่งนั้น เป็นของธรรมชาติสร้างมา เป็นของเราชั่วคราว

    ตายแล้วก็กลับคืนสู่ธรรมชาติไป แต่กรรมที่เราทำมาทั้งหมดเป็นของเรา

    พาเราไปเกิดไปตายไม่รู้จบ ทำให้เราหลงอยู่ในวัฏฏสงสาร ไม่เห็นความจริงของสัจธรรม

    มีแต่หลงทำกรรมต่างๆด้วยความไม่รู้ไปเรื่อยๆ เหมือนแมงมุมชักใยหุ้มตัวเอง

    จนไม่เห็นความเป็นจริงของโลก

    การทำกรรมใหม่เช่น สมถะวิปัสสนากรรมฐาน คือการเพียรทำกรรมเพื่อเห็นสัจธรรมตามจริง

    จะได้หลุดพ้นจากโลกและกรรม หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร

    มีบทความน่าสนใจ เอามาแปะเพื่อประเทืองปัญญาและเข้าใจเรื่องของกรรมที่เป็นสมบัติของเรา

    ติดตัวเราไปจนกว่าเราจะหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร

    [​IMG]

    กรรมคือการกระทำของเรา เราทำสิ่งใด ๆ ลงไปเรียกว่าสร้างกรรม มีทั้งดีและชั่ว ทำดีก็เป็นกรรมดี ทำชั่วก็เป็นกรรมชั่ว เมื่อทำกรรมแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือผลของกรรม

    เรื่องเกี่ยวกับกรรมมีดังนี้

    1. สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตนคือ เป็นของเราคนเดียว ไม่มีทางเป็นของคนอื่น ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว คนอื่นจะมาทำแทนให้ไม่ได้ และจำทำแทนคนอื่นก็ไม่ได้

    สมบัติอะไรที่เป็นของเรา เมื่อเราตายไป ก็เอาไปไม่ได้ มันจึงไม่เป็นของเราอย่างแท้จริง แต่กรรมที่เราทำนั้นเอาติดตัวไปได้ทุกชาติ จึงนับว่าเป็นของเราจริง ๆ ถ้าไม่ชอบ ทิ้งมันไว้ มันก็ยังตามไปเอง

    ถ้าเราทุกบุญมาก ๆ ผลกรรมดีก็จะติดตามเราไปตลอดทั้งชาตินี้ชาติหน้า ถ้าทำชั่ว ผลกรรมชั่วก็ติดตามไปตลอดเช่นกัน

    กรรมของใครก็เป็นของคนนั้น ยกให้กันก็ไม่ได้

    เฉลยศรีเป็นคนฉลาดมากตามกรรมดีที่ส่งมา เธออยากแบ่งความฉลาดไปให้น้องคนเล็กที่สมองทึบ แต่เธอก็แบ่งไม่ได้

    ฉลองศักดิ์เป็นคนแข็งแรงมาก เขาอยากแบ่งความแข็งแรงให้กับน้องชายที่เป็นโปลิโอ เขาก็แบ่งไม่ได้

    คุณยายพรักพริ้ง ตื่นเช้ามาใส่บาตรทุกวัน แล้วสวดมนต์

    ฟังธรรมะตลอด คุณยายบอกพิมลลูกสาวว่า คุณยายต้องใส่บาตรเอง เพื่อจะได้พาบุญไปด้วยตอนตาย ถ้าพิมลทำแทนคุณยายก็ไม่มีบุญจะพาไปด้วย เพราะบุญนั้นก็เป็นของพิมล พิมลบอกว่า ทำแทนให้ก็เหมือนกัน คุณยายยิ้มก่อนจะพูดว่า

    “ งั้นเวลาหล่อนหิว แม่กินข้าวแทนนะ ทำบุญก็เหมือนกินข้าวแหละลูกเอ๊ย ใครกินใครก็อิ่ม กินแทนกันไม่ได้หรอก “

    ความที่มันแบ่งกันไม่ได้ รับแทนกันไม่ได้นี้ เมื่อเราเห็นใครได้ดี เห็นใครทุกข์โศก หรือตัวเราเองได้รับสิ่งดีสิ่งร้ายก็เป็นกรรมเก่าที่เราเคยสร้าง มาส่งผลให้เราได้รับรู้ทั้งนั้น สิ่งที่เราควรจะทำในตอนนี้ก็คือ ทำใจยอมรับกรรมเก่าของเราเอง และพยายามสร้างกรรมใหม่ที่ดีงาม เพื่อที่เราจะได้กะเตงไปแต่สิ่งดีๆ สู่อนาคตของเรา

    2. มีกรรมเป็นกำเนิด คือกรรมเป็นผู้สร้างสรรค์ให้เกิดกรรมของเราเองที่เคยทำไว้ มันส่งมาเกิด ถ้าเคยทำกรรมดี ก็ส่งมาเกิดในที่ดี มีครอบครัวดี มีชีวิตที่ดี มีสติปัญญาดี ถ้าเคยทำกรรมชั่วมาก ก็เกิดที่แห้งแล้ง ยากจน กินดินกินทรายไปตามเรื่อง ท่านว่าพวกมีโมหะมาก ๆ ก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ทำให้ไม่มีโอกาสศึกษาธรรม ส่วนคนไม่มีกรรมแล้ว ท่านก็ไม่มาเกิดอีก

    3. เราเป็นทายาทของกรรม คือเราเป็นผู้รับมรดกกรรม เราเคยทำกรรมอันใดไว้ ชีวิตนี้เรามาเป็นผู้รับมรดกกรรมของเราเอง
    ในชีวิตนี้เราอาจได้รับมรดกมาเป็นเงินทองหรือบ้าน แต่ก็อาจไม่ได้รับจริง เพราะถูกโกงไปบ้าง แต่มรดกกรรมนี่ใครก็โกงไม่ได้

    เราได้รับของเราเต็ม ๆ ถ้าเป็นมรดกดีก็สบายไป ถ้าเป็นมรดกไม่ดีอันนี้ก็ตัวใครตัวมันนะจ๊ะ ยกตัวอย่างนิดหน่อย พอขู่ไว้ให้กลัวบาปกลัวกรรมกันมั่ง เช่น

    คนที่ชอบขโมยของคนอื่น ก็จะเกิดมาลำบากยากจนไปตลอด อยากได้อะไรก็ไม่สมหวังไปเสียหมด

    ตรงข้ามกับคนเคยทำบุญให้ทาน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อคนอื่นมามากมาย เกิดมาชาตินี้ไม่เคยติดขัดอะไร อยากได้อะไรก็มีคนหามาให้หมด

    4. มีกรรมเป็นพี่น้องเผ่าพันธุ์ ท่านอธิบายว่า พี่น้องของเราอาจช่วยเราได้บ้าง ช่วยไม่ได้บ้าง ในบางเรื่องบางเวลา แต่กรรมอยู่กับเราตลอดเวลา สิ่งที่พี่น้องช่วยไม่ได้ กรรมจะช่วยได้ อย่างคนที่จากบ้านไปทำงานที่อเมริกาอยู่คนเดียว แล้วเกิดปวดท้องไปทำงานไม่ได้ ในวันที่ตึกที่ทำงานถูกถล่ม ทำให้รอดชีวิตมาได้แสดงว่ากรรมดีของเขาได้ช่วยไว้ให้ปลอดภัย

    5. มีกรรมเป็นที่พึ่งพาอาศัยคือ กรรมของเราเองนั่นแหละที่เป็นที่พึ่งพาของเราตลอดชีวิต และพึ่งได้ทุกชาติ คนอื่นเรายังพอพึ่งได้บางเวลา แต่พอไปพึ่งเขาบ่อย ๆ เขาก็อาจจะรำคาญไม่พอใจ แต่กรรมดีของเรา เราพึ่งได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ กรรมชั่วของเราก็มี ถ้ากรรมชั่วมาถึงเมื่อใด มันก็จะขัดขวางไม่ให้ใครเข้ามาช่วยเราเหมือนกัน มันจะติดขัดคับข้องไปเสียหมด เพราะกรรมไม่ยอมให้พึ่ง จะให้เราชดใช้กรรมเสียให้เข็ด ฉะนั้นถ้าอยากพึ่งกรรม ก็ต้องทำแต่กรรมดีเอาไว้

    หมอนสมัยกำลังเดินกลับบ้านกับน้องสาว พบหญิงชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่งกำลังมีปัญหาเรื่องหาทางไปโรงแรมไม่ถูก หมอนสมัยพาหญิงสาวขึ้นรถแท็กซี่ แล้วนั่งไปเป็นเพื่อน ส่งนักท่องเที่ยวคนนั้นจนถึงโรงแรมอย่างเรียบร้อย


    หลายปีต่อมา หมอนสมัยไปตกระกำตกรถอยู่ในตำบลเปลี่ยว รถโดยสารก็หมดเวลาทำการกะทันหัน ทำให้เธอต้องเดินยาวไกล แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือ ใกล้จะมืดค่ำเต็มทีแล้ว และยังเหลือทางอีกไกลมากกว่าจะถึงเมืองอันเป็นที่พัก เธอโบกรถหลายคันก็ไม่จอดรับ เธอจึงเดินต่อไป ในใจเริ่มร้องไห้ นึกขึ้นว่า

    “ แหม ทีเวลาคนอื่นลำบาก เราตามไปส่งถึงที่เลยนิ พอเราลำบาก ไม่เห็นมีใครช่วยเราเลย “

    ทันใดนั้น กรรมที่กำลังนอนเกาหลังอยู่ก็นึกขึ้นได้ จึงให้รถตู้คันหนึ่งเบรกกึ๊ก แล้วถอยหลังมารับหมอนสมัยไปส่งถึงในเมืองทันก่อนลำแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์จะโบกมือลา ( ขออภัย ลิเก ไปหน่อยนะ )

    เนี่ย มีกรรมเป็นที่พึ่ง บางทีกว่าจะพึ่งได้ ก็กรรมเหมือนกันแหละ

    เวลาที่ผลกรรมไม่ดีของเราวิ่งตามมาถึง มันจะให้ผลกับเราได้ โดยที่กรรมดีอื่น ๆ ก็จะแตะเบรกไว้ก่อน เปิดไฟเขียวให้กรรมไม่ดีได้ทำงานเต็มที่ เหมือนระบบจราจรที่มีไฟเขียวไฟแดง

    รัศมีจันทร์อยากกลับบ้านนอนแต่หัวค่ำ เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นตี 5 ไปต่างจังหวัดตามคำสั่งเจ้านาย และตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว ไม่รู้ทำอะไรมา เมื่อกี้ดูนาฬิกายังเพิ่ง 2 ทุ่มเอง เร็วจริง ๆ

    รัศมีจันทร์ซิ่งรถผ่านแสงไฟสวยงามของกรุงเทพฯ เลี้ยวเข้าหมู่บ้าน ผ่านซอยไปหลายซอย และผ่านหมาตัวหนึ่งแถวสะโพกของมัน

    เธอรีบจอดรถลงไปดูหมาแปลกหน้า เห็นดวงตาที่น่าสงสารกับสะโพกเดี้ยง ก็รีบอุ้มมันขึ้นรถ ขับไปควานหาสัตวแพทย์สักคน เอ อยู่ไหนละเนี่ย ขับไปไม่นานก็เจอพอดี บุญของหมา ไม่ใช่ของเธอ ฝากหมาไว้กับหมอแล้วรีบกลับบ้านนอนตอนตี 2

    เช้ามาตี 4 ครึ่ง นาฬิกาไม่ปลุก ถ่านหมดตอนตี 4 บุญช่วยที่เจ้าอั้งโล่ หมาของหล่อนโดนแม่ครัวข้างบ้านสาดน้ำร้อนใส่โดยไม่ตั้งใจ ร้องเอ๋ง ๆ เข้ามาปลุกให้ตื่น จึงลุกขึ้นรีบแต่งตัวงัวเงีย เพราะนอนไม่ถึง 8 ชั่วโมงตากกฎสุขภาพ คว้าอะไรได้ก็หอบ ๆ ไปเต็มกอดเพื่อไปที่รถ

    ประตูเปิดไม่ออกอยู่นาน โมโหเตะประตูทีหนึ่ง เป็นการลงโทษประตู ประตูงอน แตกเพล้ง เฉือนเนื้อที่ขา เลือดโกรก
    วันนี้รัศมีจันทร์ไม่ได้ไปต่างจังหวัด เพื่อนข้างบ้านมาหามส่งโรงพยาบาล เธอยังมีสติดีอยู่ ตอนที่รู้ว่าบัตรเครดิตหาย และฝากเพื่อนข้างบ้านว่า กลับบ้านแล้ว ช่วยโทรฯบอกแม่ของหนูด้วยว่าแม่กลับจากทำบุญแล้ว ช่วยมารับลูกสาวด้วยค่ะ


    กรรมเก่าไม่ดีของรัศมีจันทร์ ที่มาเยี่ยมตั้งแต่เมื่อคืนวานนั่งหัวเราะอยู่แถวปลายเตียง

    http://www.ruendham.com/book_detail.php?id=4&content=8&name_content=%A1%C3%C3%C1
     
  6. pannatee

    pannatee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +65
    อะไรคือของของเรา คือคำตอบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...