คชสีห์๙บารมี๙บารมี๙แผ่นดินหลวงปู่หมุนเสก

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 30 สิงหาคม 2010.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    พระกริ่งพิทักษ์โรคา หลวงพ่อมนัส วัดทุ่งจันคำ จันทบุรี

    วัตถุมงคลท่านศิษย์กำลังตามเก็บบูชาครับ ทั้งมหาอุตย์ คงกระพันแคล้วคลาด มีการนำไป

    ทดลองยิง มีประสบการณ์มาก ในพื้นที่ครับ

    ให้บูชา 500 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ(ปิดรายการ)



    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2012
  2. supachaipnu

    supachaipnu ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,475
    ค่าพลัง:
    +7,303
    Close พระกริ่งพิทักษ์โรคา หลวงพ่อมนัส วัดทุ่งจันคำ จันทบุรี
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="600"><tbody><tr><td align="left" valign="top">
    หลวงพ่อหอม (พระครูภาวนานุโยค)

    </td> </tr> <tr> <td>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="4" height="130" width="500"> <tbody><tr> <td>
    [​IMG]




    </td> </tr> </tbody></table> ​
    </td> </tr> <tr> <td>
    ประวัติ หลวงพ่อหอม (พระครูภาวนานุโยค)
    หลวงพ่อหอม (พระครูภาวนานุโยค) แห่งวัดชากหมาก หมู่ 2 ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ห่างจากตัวอำเภอบ้านฉางเข้าไปทางสี่แยกระยะทาง ประมาณ 9 กม. วัดชากหมาก (ป่าเรไร ) เป็นวัดเล็ก ๆ เงียบสงบ ในอดีตเคยเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทางคุณวิเศษอันลือลั่น หลวงพ่อหอมซึ่งเป็น เจ้าอาวาสในสมัยที่มีชีวิต มักจะถูกอาราธนาไปร่วมในการประกอบพิธีพุทธาภิเษกที่สำคัญ ทั้งราชพิธีและพิธีสามัญ สม่ำเสมอทั่วประเทศไทย ผู้นิยม วัตถุมงคลน้อยคนที่จะไม่ได้ยินกิตติศัพท์ความเป็นผู้ทรงพุทธเวทย์ของท่าน จากวัตถุมงคลที่ได้ปลุกเศกไม่ว่าจะเป็นสิงห์งาช้าง ขี้ผึ้ง นางกวัก งาช้าง ไชมงคล พระกริ่งรูปเหมือน แหนบรูป เหมือน เหรียญรูปเหมือน แหวนทอง ​
    เมื่อ 2500 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีการจัดให้มีงานฉลอง 25 ปี พุทธศตวรรษขึ้นนับเป็นพิธีใหญ่ที่สุดในพุทธอาณาจักร โดยมีการจัดทำพระเครื่อง พระบูชา และวัตถุมงคล ไว้เป็นที่ระลึกจำนวนมากหลวงพ่อหอมเป็น 1 ในจำนวน 108 รูปของพระเวทยาจารย์ผู้ทรง คุณวิเศษที่รัฐบาลอาราธนาไปร่วมพุทธาภิเษกในมลฑลพิธี ณ ท้องสนามหลวง กรุงเทพฯ แม้เมื่อประกอบ พิธีเสร็จก็ยังมีผู้คนหลั่งไหลไปขอพรไม่ขาดสาย จนศิษย์ต้อง ออกมาขอร้องให้หลวงพ่อ พักผ่อนบ้างแต่หลวงพ่อกลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตาว่า "ช่างเขาเถอะลูก" และเป็นคำพูดที่ถูกใช้ติดปาก เรื่อยมาจนหลวงพ่อหมดสิ้นอายุขัย​
    การก่อสร้างวัดชากหมากเมื่อประมาณพ.ศ.2471 ชากหมากซึ่งมีสภาพเป็นป่าดงดิบเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เสือ ช้าง หมูป่า หลวงพ่อได้พบเรือนไม้ หลังคุ้มไม้ไผ่ 2 หลัง สอบถามชาวบ้าน ได้ความว่า เป็น สำนักสงฆ์ ซึ่งพระอาจารย์ล้ำเคยอยู่มาก่อน แต่ปล่อยร้างมา 10 ปี หลวงพ่อหอมจึงตกลงใจ ฟื้นฟูสำนักสงฆ์นี้ให้เป็นวัดขึ้นมาและได้ออกป่าไปจำพรรษาที่ถ้ำเขานั่ง หย่อง แล้วก็ได้ปรากฎสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น​
    สิ่งมหัศจรรย์ที่ปรากฎมีช้าง เสือ และสัตว์ร้ายมาวนเวียนอยู่ใกล้หลวงพ่อตลอดเวลา แต่สัตว์ร้ายก็ไม่เข้ามาทำร้ายหลวงพ่อนานวันจนเกิดความคุ้นเคย สัตว์เหล่านั้นก็เชื่องและสามารถรับรู้คำพูด หลวงพ่อ ได้ เมื่อหลวงพ่อนำชาวบ้านมาช่วยกันตัดต้นไม้ในป่านั้นมาทำวัดได้แล้วก็เกิด ปัญหา ไม่สามารถ ชักลากไม้ลงมาได้ระยะทางก็ไกลกันถึง 7 กม. ชาวบ้านจึงลงจากเขามาปรึกษาหาทาง นำไม้ที่ตัดไว้ลงมาแต่หลวงพ่อกลับขึ้นไปบ้นเขาเพื่อสำรวจหา ช่องทางอีกครั้ง หลังจากนั้นชาวบ้านก็ต้องประหลาดใจเพราะพบท่อนไม้ที่ตัดไว้นั้น ลงมากองอยู่ที่เชิงเขาอย่างครบถ้วน และยังเห็น รอยเท้าช้างป่า ขนาดใหญ่อยู่รอบบริเวณนั้นมากมายคาดว่าน่ำจะเป็นช้างทีคุ้นเคยกับหลวงพ่อมา ช่วยกันชักลากลงมา เมื่อชาวบ้านรู้เข้าจึงทำให้เกิดความเลื่อมใส ศรัทธาหลวงพ่อ นับเป็นต้นมา หลังสร้างวัดเสร็จไม่นานก็มีชาวบ้านใกล้ ๆ มาแจ้งหลวงพ่อว่ามีช้างป่าลงมากินพืชผักที่ปลูกไว้จนเสียหาย ตนจะยิงช้างก็เกรงใจหลวงพ่อ จึงขอให้หลวงพ่อ ช่วยแก้ไขหลวงพ่อ ก็รับปากว่า จะช่วยพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปยืนบริกรรมสักครู่ที่หน้าวัด แล้วร้อยตะโกนขึ้นว่า "ลูกหลาน พญาฉัททันต์อย่าไปเหยียบย่ำของเขาเลยเจ้าของเขาจะยิงเอา ของเรามีอยู่แล้วในแปลงขวามือไปกินได้" ซึ่งภายหลังก็ปรากฎว่าไม่มีช้าง เข้าไปรบกวนชาวบ้านอีกเลย แต่ปรากฎว่าพืชผักที่อยู่บริเวณวัดกลับไม่มีเหลืออยู่เลย​
    เมื่อประมาณ พ.ศ.2481 หลวงพ่อบวชได้ 12 พรรษาแล้ว มีนายพรานช้างมาขอพักที่วัดและบอกหลวงพ่อว่า จะมาล่าช้างในป่าแถบนี้แต่เวลาใกล้ค่ำ จึงขอพักเอาแรงที่วัดก่อนหลวงพ่อ ก็อนุญาต และ ไปยืนบริกรรมที่หน้าวัดสักครู่ เมื่อนายพรานออกป่าเพื่อล่าช้างก็ปรากฎว่าไม่พบช้างแเยแม้แต่ตัวเดียว​
    ต่อมาหลวงพ่อกับภิกษุอีก 4 รูป ได้ธุดงค์ไปเพื่อหากระเพรา 7 อ้อม เมื่อเดินไปถึง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณี ก็พบศาลายกพื้นสูงมากหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ในป่าทึบมีข้อความเขียนไว้ว่า "ใครผ่านทางนี้ เมื่อมืดแล้วให้ขึ้นข้างบนเพราะมีสัตว์ชุกชุมมาก"แต่หลวงพ่อกลับบอกพระที่ไป ด้วยกันว่าเรา ปักกลดอยู่ข้างล่างนี้แหละ และทั้งหมดก็ปักกลดลงข้างล่างนั้นเอง เมื่อปักกลดแล้ว หลวงพ่อก็เสกทรายซัด ล้อมกลดไว้โดยรอบพร้อมสั่งพระที่ไปด้วยกัน ทั้งหมดว่าอย่าได้ออกนอกกลดเป็นอันขาดไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ชวนกันนั้งสมาธิเจริญภาวนาแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ ในคืนนั้นเองก็มีสัตว์ร้าย หลายชนิดมาวนเวียนรอบ ๆ กลดแต่ไม่มีตัวใดเข้ามาทำร้ายหลวงพ่อและพระภิกษุอีก 4 รูปเลย จนรุ่งสางหลวงพ่อหอมจึงเดินทางต่อเมื่อเดินทางต่อไป หลวงพ่อเล่าว่าหนทางเป็นป่าเขา โดยตลอด เดินทาง 3 วัน ก็ไม่พบบ้านคนเลยต้องอดข้าวกันทั้ง 3 วัน จนกระทั้งวันที่ 4 จึงได้สวนทางกับชายคนหนึ่ง หาบขนบจีนผ่านมาแล้วเอาขนมจีนนั้นถวายทุกองค์ได้ฉันจนอิ่ม หลวงพ่อ ได้ถามชายคนนั้นว่า "ต่อจากที่นี่ไปอีกไกลมากไหมจึงจะถึงบ้านคน" ชายผู้นั้นตอบว่า "พอพลบค่ำก็จะเห็นแสงไฟบ้านคน" แล้วเดินหายไปในป่านั้น หลวงพ่อจึงชวนพระที่ไปด้วยออกเดินทางต่อ ซึ่งตลอดทาง ที่เดินผ่าน นั้นไม่พบบ้านคนจริงตามที่ผู้นั้นบอกไว้ จึงชวนพระ ที่ไปด้วยกันทั้งหมดปัก กลดพักที่บริเวณใกล้ ๆ กับหมู่บ้านนั้น แล้วก็เดินทางกลับ วัดชากหมากโดยไม่พบกระเพรา 7 อ้อม มาตามต้องการ ส่วนเรื่องที่พบคนนำขนมจีนมาถวายกลางป่าทั้ง ๆ ที่บริเวณใกล้ ๆไม่ม่บ้านคนเลยก็คง เป็นปริศนาให้ต้องแปลกใจอยู่ตลอด​
    สมัย อู่ตะเภามีฐานทัพอเมริกันตั้งอยู่ได้มีทหารนักบินคนหนึ่งมีเมียเช่าเป็นคน ไทยภาคอีสานได้พากันไปหาหลวงพ่อที่วัดแล้วเช่ากริ่งรูปเหมือนของ หลวงพ่อไปไว้ติดตัวเป็นประจำ ต่อมาได้ถูกสั่ง ให้ขับเครื่องบินไปนครพนมแต่เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกระหว่างทางเครื่อง บินลำนั้นได้รับความ เสียหายจนใช้การไม่ได้ ทหารที่โดยสารไปด้วยกันก็เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสกันทุกคน แต่นักบิน ผู้นั้นไม่ได้รับบาดเจ็บแลยแม้แต่น้อย จึงบังเกิดความเลื่อมใสหลวงพ่อเป็นอย่างมาก เมื่อมีโอกาสจะมาหาหลวงพ่อที่วัดเป็นประจำเมื่อวันหลวงพ่อมีงานก็จะมาช่วย งานอย่างแข็งขันทุกครั้งไป เมื่อถูกส่งกลับไปอเมริกาแล้วก็ยังส่งเงินมาถวายหลวงพ่ออยู่เนือง ๆ​
    มีอยู่ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าวัยรุ่นย่านบางรัก กรุงเทพมหานคร ยกพวกต่อยตีกันเป็นมวยหมู่มีการบาดเจ็บกันเป็นระนาวแต่ก็มีอยู่หลายคน ที่ไม่เป็นอะไรเลยทั้ง ๆ ที่ได้เข้าไปประจัญบาน กับเขาด้วย ซึ่งภายหลังปรากฎว่าพวกที่ไม่ได้รับบาดเจ็บนั้นล้วนแต่มี "สิงห์งาช้าง" ของหลวงพ่อติดตัวกันอยู่ทั้งนั้น สอบถามได้ความว่าเคยร่วมคณะกฐินจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้ไปที่วัด ชากหมากแล้วเช่า "สิงห์งาช้าง" ของหลวงพ่อไปติดตัว ไว้คนละตัว ซึ่งครั้งแรก ก็ยังไม่ได้คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้จนได้ประสบเหตุเข้ากับตัวเอง จึงเชื่อและพาพรรคพวก เพื่อนฝูงเดินทาง ไปขอ เช่าที่วัดกันอีกแต่หลวงพ่อก็เตือนว่า "ถ้ารังแกข่มเหงเขาสิงห์ของพ่อไม่ช่วยนะ"​
    [​IMG] [​IMG]
    ตามธรรดาทุกๆ ปี ที่วัดชากหมากจะต้องมีงานประจำปี และอยู่ปีหนึ่งหลวงพ่อได้สร้างกริ่งรูปเหมือนองค์ หลวงพ่อขึ้นเป็นรุ่นแรก ได้มีทหารจำนวนหนึ่ง ไปเที่ยวงาน และได้เช่าพระกริ่งนี้
    คนละองค์ แล้วชวนกันไปหลังโรงเรียนวัดชากหมากซึ่งอยู่ใกล้วัดนั้นเอง เพื่อจะทดลองความศักดิ์สิทธิ์ดูให้แน่ใจ จึงได้นำเอาพระกริ่งของหลวงพ่อมาวางรวมกัน แล้วยิงด้วยปืน .38
    ก็ปรากฏว่ายิงกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่ออกแต่เมื่อเบนปากกระบอกปืนไปทางอื่นกลับยิงออกทุกนัด ทหารเรือ กลุ่มนั้นจึงกลับเข้ามาในวัด และขอเช่าเพิ่มกันอีกจนเงินหมดกระเป๋า เมื่อกลับไปแล้วยังได้ไป บอกกล่าวให้บรรดาเพื่อนฝูง พากันมาเช่ากันไปไว้ประจำตัวอีกมากมาย และตั้งแต่นั้นมาเมื่อหลวงพ่อมีงานอะไรขึ้น บรรดาทหารเรือจากฐานทัพเรือสัตหีบ จะมาช่วยกันอย่างมากมายทุกครั้ง​
    เมื่อนายสงั่น ไตร่ตรอง ได้รับเลือกตั้งเป็นกำนันตำบลสำนักท้อนใหม่ๆ เคยขับรถยนต์ไปธุระที่สมุทรปราการ พร้อมกันลูกบ้านอีก 8 คน แต่พอรถไปถึงโค้งบางปิ้ง ซึ่งได้ถือว่าเป็นโค้งผีสิง จะด้วยเหต ุอันใดก็ไม่อาจทราบได้ รถเกิดเสียหลักพลิกคว่ำไปหลายตลบเผอิญมีตำรวจอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์เข้า คิดว่าต้องมีคนในรถได้รับบาดเจ็บ หรืออาจถึงตายแน่ๆ จึงรีบวิ่งเข้าไป เพื่อช่วยเหลือ นำส่งโรงพยาบาล แต่เมื่อเข้าไปถึงก็ต้องประหลาดใจอย่างมาก เพราะปรากฏว่าไม่มีผู้ใดที่อยู่ในรถคันนั้นได้รับบาดเจ็บกันเลย เมื่อมีการสอบถามกันขึ้นด้วยความสงสัย จึงทราบว่าทุกคน ที่ไป กัน ในรถคันนั้นต่างก็มี "สิงห์งาช้าง" ของหลวงพ่อหอมติดตัวกันทั้งนั้น​
    การประสบอุบัติเหตุเนื่องจาการใช้รถใช้ถนนแล้วไม่ได้รับอันตราย แก่ร่างกายนี้ นายเก๋ง เชื้อชาติ ซึ่งเป็นคน อยู่ใกล้กับวัดชากหมากคนหนึ่งก็ได้เคยประสบมาแล้ว โดยครั้งนั้นนายเก๋งได้ขับรถ ไปธุระนอกบ้าน แต่พอรถไปถึงหน้าบริษัทไทวา จำกัด สาขาที่ 5 รถที่นายเก๋งขับไปเกิดเสียหลักพุ่งชนต้นมะขามหน้าบริษัท จนรถพังไม่มีชิ้นดี แต่นายเก๋ง กับคนโดยสารอีก 5 คน ไม่มีใคร ได้รับบาดเจ็บกันเลยแม้แต่น้อย โดยทุกคนยืนยันว่าในวันนั้นต่างก็มีของดีของหลวงพ่อหอมติดตัวไปด้วยทั้งนั้น คือบางคนก็มีเหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อ บางคนก็มีสิงห์งาช้างของ
    หลวงพ่อ บางคนก็แหวนของ หลวงพ่อ บางคนก็มีแหนบของหลวงพ่อ บางคนก็มีสมเด็จงาช้างของหลวงพ่อ และบางคนก็มีผ้ายันต์ของหลวงพ่อ​
    วิทยาเวทย์ที่เป็นคุณวิเศษของหลวงพ่อหอมวัดชากหมากอีกประการหนึ่งที่ยังไม่ เคยได้เรียนรู้มาก่อน คือ "การต่อชะตาดิน" ซึ่งคุณวิเศษนี้ก็เป็นที่เลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอย่างมากที เดียว คือหากที่ดินของผู้ใดที่ เคยอยู่อาศัย หรือใช้ประกอบกิจการใดๆ มาก่อนเกิดอาการเสื่อมทรามลง หลวงพ่อก็จะไปทำพิธี "ฝังหิน" ให้แล้วกิจการบนที่ดินแห่งนั้น ก็จะกลับคืนเป็นคุณแก่เจ้าของดังเดิม อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ซึ่งวิชาต่อชะตาดินนี้ได้เคยมีบรรดาศิษย์อยากจะขอเรียนจากหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อก็บอกว่าผู้ที่จะเรียนได้จะต้องเป็นภิกษุเท่านั้น และเมื่อเรียนแล้วก็จะต้อง ตั้งนโมปนิธาณ ด้วยว่า "จะบวชจนตายในผ้ากาสาวพัตร์" คือจะสึกออกไปครองเพศฆราวาสไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าผิดไปจากนี้แล้วจะต้องถูก "ฟ้าผ่า" ทันทีจึงไม่มีใครกล้าพอที่จะเรียนต่อจากท่าน เพราะการบวช เป็นพระภิกษุในพระพุทธ ศาสนานี้ไม่ใช่เป็นของง่ายนักที่ประกาศตนว่าจะไม่สึกไว้ล่วงหน้า​
    [​IMG] [​IMG]
    นอกจากหลวงพ่อหอมวัดชากหมากจะเป็นผู้มีวิทยาคุณในทางเครื่องลาง ของขลังแล้ว ท่านยังเป็นเชี่ยวชาญในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดอีกด้วย ทั้งนี้เพราะท่านได้เคย ศึกษาเล่าเรียน มาจาก ทางบิดาของท่านซึ่งเป็นแพทย์ ประจำตำบลในสมัยเมื่อท่านยังเป็นฆราวาสอยู่นั้นตามธรรดาทุกๆวัน จะมีคนป่วยด้วยโรคต่างๆ มาหาท่านที่วัดเพื่อขอให้ท่านขจัดปัดเป่า โรคร้ายเหล่านั้น ให้หาย วันหนึ่งๆ ถึง 40-50 คน หลวงพ่อจึงเป็นภิกษุผู้ได้รับความเคารพนับถือ อย่างสูง ทั้งที่เป็นคนไทย จีน แขก ซิกส์ และฝรั่ง ดังจะเห็นได้จากเมื่อหลวงพ่อมรณภาพได้มีผู้หลั่งไหลกันไป เคารพศพของท่านอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะวันถวายน้ำสรงศพของท่าน เจ้าหน้าที่ได้จัดให้เรียงแถวกันเข้าไปต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง จึงหมดคนที่ไปถวายน้ำสรงท่าน​
    หลวงพ่อหอม จนทโชโต หรือพระครูภาวนานุโยค อดีตเจ้าอาวาสวัดชากหมาก หมู่ที่ 2 ตำบลสำนักท้อน อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เดิมชื่อ หอม ทองสัมฤทธิ์ เกิดวันจันทร์ เดือน 10 ปีขาล พุทธศักราช 2433 เป็นบุตร ของนายสัมฤทธิ์ กับนางพุ่ม ทองสัมฤทธิ์ เป็นชาวบ้านสำนักท้อน อำเภอบ้านฉาง จังหวักรอยง มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน 3 คน หลวงพ่อเป็นคนสุดท้าย พี่ๆ สองคนเป็นหญิงคนโตชื่อนางวอน คนรองชื่อนางเชื่อม​
    เมื่อเยาว์วัยอาศัยอยู่กับบิดามารดาที่บ้านเกิดของท่านเอง ส่วนในด้านการศึกษาเบื้องต้นนั้น เป็นที่น่าเสียดายที่ ไม่มีผู้ใดทราบว่าท่านได้ศึกษากับใครที่ไหน เพราะในสมัยนั้น โรงเรียนในชนบท ห่างไกลจากความเจริญ เช่นบ้านเกิดของ หลวงพ่อคงจะไม่มีตั้งขึ้นแน่นอนโรงเรียนที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น โรงเรียนวัดสมบูรณาราม โรงเรียนวัดชากหมาก โรงเรียนวัดสุวรรณรังสรรค์ ล้วนแต่พึ่ง ตั้งขึ้นมาไม่ถึง 50 ปีทั้งนัน ถ้าในสมัยหลวงพ่อหอม 8-15 ปี มีโรงเรียนอยู่ที่บ้านเกิด ของท่านแล้วโรงเรียนนั้นก็จะต้องมีอายุมาถึงปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 75 ปี จึงสันนิษฐานว่าหลวงพ่อ น่าจะเริ่ม ศึกษาเมื่อตอน ได้อุปสมบทแล้วมากกว่า​
    การดำรงชีพของหลวงพ่อในสมัยนั้น ก็เป็นการช่วยบิดามารดาทำสวนทำไร่และเก็บของออกไปขายในตัว ตลาด ซึ่งการเดินทางไป ตลาดบ้านฉาง หรือตลาดสัตหีบ ในสมัยนั้นก็ลำบากมาก เพราะยังไม่มีถนนอย่างเช่นปัจจุบัน ต้องอาศัยทางเกวียน ที่ผ่านป่าดงดิบแวดล้อม ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ถ้าเป็นฤดูฝนด้วยแล้วก็ยิ่งเพิ่มความลำบากเป็นทวีคูณ และคงจะเป็นเพราะว่า หลวงพ่อเคยมีชีวิตจำเจอยู่ในป่าดงดิบนี่เอง จึงทำให้ท่านพยายามพัฒนาป่า ให้กลับกลายเป็น หมู่บ้านที่มีความเจริญขึ้นในทุกๆ ด้าน โดยท่านเห็นว่าหากมีถนนตัดจากเจริญเข้าสู่หมู่บ้านได้เมื่อใด ความเจริญนั้นก็ต้องขยายตัวของ มันเองตามถนนไปด้วยอย่างแน่นอน จึงได้ร่วมกับนายหยอย สุวรรณศักดิ์ กำนันตำบลสำนักท้อน​
    สมัยนั้นชักนำชาวบ้านช่วยกันตัดถนนจากบ้านฉาง เข้าไปจนถึงบ้านชากหมากระยะทาง 12 กิโลเมตร ถนนสายนี้ในปัจจุบันได้กลาย เป็นถนนสายเอนก ประสงค์แล้วอย่างสมบูรณ์ เมื่อหลวงพ่อ
    อายุได้ 21 ปี ก็มีโอกาสทำหน้าที่ของลูกชายไทยอย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยการได้รับคัดเลือกเข้ารับราชการทหารในกองทัพเรือ ในสมัยที่ฐานทัพเรือยังตั้งอยู่ที่ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัด
    ชลบุรี แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าสังกัดอยู่หน่วยไหน และใครบ้างที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของท่าน ทราบแต่เพียงว่าในขณะที่ท่านรับราชการ ทหารอยู่นั้น ไม่เคยถูกลงโทษฐานกระทำผิดวินัยเลย ทั้งไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับบรรดาเพื่อนๆ ด้วย ตรงกับข้ามกับเป็นที่รักใคร่ของเพื่อฝูงทุกคน เพราะปกติท่านเป็นคนที่มีนิสัยเยือกเย็น สุขุม และโอบอ้อมอารีต่อทุกคนอยู่แล้ว​
    เมื่อท่านรับราชการทหารครบ 2 ปี ทางราชการก็ปลดประจำการจึงกลับไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพที่ บ้านสำนักท้อนตามเดิม และในช่วงนี้เองก็ได้แต่งงานกับนางเจียม ซึ่งเป็นหญิงสาว ในหมู่บ้านเดียวกันนั้น และมีบุตรด้วย กัน 3 คน คือ นายพิณ , นายหรั่ง และนายหรั่น ทองสัมฤทธิ์ การครองชีวิตแบบคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนของหลวงพ่อ ได้เป็นไปอย่างธรรดาเรื่อยๆ มา โดยพร้อมกันนั้นก็ได้พยายามถ่ายทอดวิชารักษาโรคต่างๆ จากบิดาไปด้วยจนมี ความรู้ความสามารถไม่ด้อยไปจากบิดาของท่านแต่อย่างใด แล้วก็ได้วิชาความรู้นี้ช่วยเหลือเพื่อนบ้านตลอดมา​
    หลวงพ่อหอมวัดชากหมาก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาเมื่อปีศักราช 2469 อายุ 36 ปี พัทธสีมาวัดทับมา ตำบลทับมา อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยมีหลวงพ่อขาววัดทับมา เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจิ๊ด วัดเขาตาแขกเป็นพระกรรมวาจารย์และหลวงพ่อชื่น (ปัจจุบันเป็นพระครูพิพิธวรญาณ และยังมีชีวิตอยู่วัดมาบข่า เป็นอนุสาวนาจารย์)​
    เมื่อ หลวงพ่อหอมอุปสมบทใหม่ ๆ ยังเป็นพระภิกษุผู้น้อยด้วยคุณวุฒิไม่อาจที่จะปกครองตนเองและผู้อื่นได้จึง ยังจำพรรษาศึกษาพระธรรมวินัยเบื้องต้นในฐานะอันเตวาสิกของหลวงพ่อชื่นอยู่ ที่วัดมาบข่า แต่เพียงชั่วระยะ 2 พรรษา เท่านั้น หลวงพ่อหอมก็เป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัยอย่างอัศจรรย์ เนื่องจากเป็นผู้มีความเพียรในการศึกษาเป็นเลิศ ยากที่จะหา พระภิกษุรูปใดในรุ่นเดียวกันเสมอ และหลวงพ่อชื่นเองก็ยังเคยปรารภให้พระภิกษุรูปอื่นๆ ฟังว่า "อีกหน่อยคุณหอมเขาจะหอมทวนลมนะ" และต่อมาหลวงพ่อหอมก็ไก้กลายเป็นหลวงพ่อผู้มีชื่อเสียงหอมทวนลมจริงดังคำ ของหลวงพ่อชื่นนั้น​
    เมื่อหลวงพ่อหอมได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อชื่น ซึ่งเป็นพระอาจารย์เบื้องต้นให้ไปอยู่ทีวัดชากหมากใกล้ ๆ บ้านเกิดของท่านได้พยายามศึกษาพุทธเวทย์เพิ่มเดิมอย่างจริงจัง จนเป็นที่ประจักษ์แก่ บรรดาศิษยานุศิษย์ถ้วนหน้า และนอกจากจะได้ราษฎรช่วยเหลือกันพึ่งทางใจแก่ผู้เลื่อมใสแล้ว ยังได้สร้างอาคารเรียน"หอมราษฎร์วิทยา" ถึง สองหลังซึ่งเป็นเงิน ที่หลวงพ่อได้รับ จากราษฎรช่วยเหลือกัน จำนวน 1,980,000 บาท รัฐบาลช่วยสมทบ 200,000 บาท เพื่อสร้างอาคารเรียนให้เด็กๆ ได้เล่าเรียนสร้างอุโบสถศาลาการเปรียญ หอระฆังคอนกรีต หอไตรกลางสระน้ำ กุฏิตึก 2 ชั้น ซุ้มประตูคอนกรีตหน้าวัด กำแพงรอบวัด หอสวดมนต์ และสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อีกมากจนเกือบวาระสุดท้าย ยังได้สร้างกุฏิครึ่งตึกครึ่งไม้เพิ่มอีก 1 หลัง แต่ไม่ทันเสร็จก็ถึงแก่มรณภาพ​
    ด้วยคุณงามความดีที่ปรากฎนี้เอง หลวงพ่อจึงได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี พระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ที่พระครูภาวนานุโยคในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2507 เป็นเกียรติประวัติอย่างยิ่งแก่หลวงพ่อ และศิษยานุศิษย์ในโอกาสนี้เองหลวงพ่อจึงได้สร้าง กริ่งรูปเหมือน (ชนิดสั้น) รูปปั้นเหมือนองค์จริงแบบบูชาขึ้นเป็นรุ่นแรก เหรียญรูปเหมือนรุ่น 2 แบบนูนครึ่งองค์ ด้านหลังเหมือนรุ่นแรกพร้อมแหวนทองแดงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2498​
    อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จากกรรมานุภาพด้าน"คุณวิเศษ" เป็นที่เล่าขานจากปากต่อปากคนแล้วคนเล่า ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ทุกฐานะเมื่อผู้ใดมาหาอย่างมีทุกข์ร้อน ท่านก็ช่วยปัดเป่าทุกข์ด้วยเมตตา ถ้วนหน้ากันไม่มีเลือกชนชั้น​
    ผู้เรียบเรียงมิกล้าจะยืนยันว่าหลวงพ่อบรรลุธรรมภาวะเสมอเหมือน ท่าน นอกจากศรัทธาในความเป็นผู้เหนือธรรมดาในตัวท่านแต่คิดด้วยปัญญาว่า หลวงพ่อเป็นผู้ที่ศึกษาสัจธรรม และนำพุทธเวทย ์มาปฏิบัติได้ถูกต้องเป็นแน่ วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเศกจึงบังเกิดความ"ขลัง" จึงขอฝากท่านผู้รู้จริงทั้งหลายโปรดวินิจฉัยต่อไป​
    ผู้เรียบเรียงมิกล้าจะยืนยันว่าหลวงพ่อบรรลุธรรมภาวะเสมอเหมือท่าน นอกจากศรัทธาในความเป็นผู้เหนือ ธรรมดาในตัวท่านแต่คิดด้วยปัญญาว่า หลวงพ่อเป็นผู้ที่ศึกษาสัจธรรมและนำพุทธเวทย์ มาปฏิบัติได้ถูกต้องเป็นแน่ วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเศกจึงบังเกิดความ"ขลัง" จึงขอฝากท่านผู้รู้จริงทั้งหลายโปรดวินิจฉัยต่อไป​
    หลวงพ่อหอม จนทโชโต หรือพระครูภาวนานุโยค อาพาธด้วยโรคชราและมรณภาพด้วยอาการสงบเมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. ของวันที่ 13 เมษายน 2520 ที่โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี รวมอายุ 87 ปี 51 พรรษา ได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2521 ที่วัดชากหมากที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสนั่นเอง และนับแต่นั้นมา สิ่งที่ ยังคงหลงเหลือ คือ ความดีงาม ความเลื่อมใสศรัทธาที่อยู่ในใจผู้ประจักษ์เท่านั้น
    ขอดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ แม้สถิตอยู่ ณ ทิพย์โลกใด โปรดรับรู้ว่าคุณงามความดีของหลวงพ่อในอดีตหาได้จากตามท่านไปไม่






    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลและที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อหอมกะไหล่ทองสวยเดิมๆสร้า้งโรงเรียน

    ให้บูชา 450 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2012
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    [​IMG]


    หลวงปู่บุดดา ถาวโร มีนามเดิมว่า มุกดา นามสกุล มงคลทอง กำเนิด วันเสาร์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2437 สถานที่เกิด หมู่บ้านหนองเต่า ต.พุคา อ.โคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ได้บรรพชาและอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดเนินยาว ต.โพนทอง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ในปีพ.ศ. 2465 โดยมีพระครูธรรมขันธ์สุนทรเป็นพระอุปัชฌาย์ มรณภาพ 12 มกราคมพ.ศ. 2537 สิริรวมอายุ 101 ปี 7 วัน 73 พรรษา ตรงกับวันพุธ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 2 ปีจอ

    ชีวิตฆราวาส
    หลวงปู่บุดดา มีโยมบิดาชื่อ นายน้อย มงคลทอง โยมมารดาชื่อ นางอึ่ง มงคลทอง มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน ในช่วงวัยเด็กท่านได้เกิดมีสัญญาความจำระลึกย้อนอดีตชาติได้ว่า บิดาของท่านในอดีตชาติเคยเป็นพี่ชายของท่าน

    พอเข้าสู่วัยฉกรรจ์อายุได้ 21 ปีบริบูรณ์ในปี พ.ศ. 2458 ได้ถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารสังกัดกองทัพบก ทหารบกปืน 3 ในสมัยรัชกาลที่ 6 รับราชกาลทหารอยู่ 2 ปี ในกองทัพที่ 3 ลพบุรี สมัยเมื่อเป็นพลทหารหนุ่มรูปงาม มีผู้หญิงมาชอบ เข้ามาพูดจาทำนองเกี้ยว แต่ท่านพูดกลับไปว่า "กลับไปเสียเถิด ฉันเป็นทหารตัวเมีย ไม่ชอบผู้หญิง ถ้าไปเจอทหารตัวผู้คนอื่นเข้าก็จะลำบาก"

    ในปี พ.ศ. 2460 ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น ทางการได้มีการรับสมัครคัดเลือกทหารอาสาไปราชการรบในสงคราม ณ ทวีปยุโรป หลวงปู่บุดดาได้เข้าสมัครอาสาด้วยเหมือนกัน แต่ท่านกินเหล้าไม่เป็น เขาจึงไม่รับโดยได้อธิบายเหตุผลว่า ในทวีปยุโรปนั้นอากาศหนาวเย็นมาก ทหารทุกคนจำเป็นต้องดื่มเหล้าเพื่อช่วยให้คลายหนาว ดังนั้นท่านจึงไม่ได้เข้าร่วมในสงครามคราวนั้น

    สู่ร่มกาสาวพัสตร์
    หลังรับราชการทหาร ท่านได้ช่วยโยมบิดามารดาทำงานเกษตรกรรมอยู่ 4 ปี โดยท่านมีความปรารถนาในใจเสมอมาว่า อยากจะได้บวชในร่มเงาพระพุทธศาสนา ด้วยจิตที่เบื่อหน่ายในทางโลกมาตั้งแต่เด็กแล้ว ดังนั้นเมื่อมีโอกาสจึงขออนุญาตต่อบิดามารดาบวช เมื่ออายุได้ 28 ปี ที่วัดเนินยาว

    โดยมี ท่านพระครูธรรมขันธ์สุนทร (ม.ร.ว.เอี่ยม อิศรางกูร ณ อยุธยา)เป็นพระอุปัชฌาย์

    ท่านพระครูเรือง เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    เจ้าอธิการไพล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    โดยมีคณะสงฆ์ 25 รูป นั่งเป็นพระอันดับ ได้ฉายาว่า "ถาวโร ภิกขุ"

    หลวงปู่บุดดา ท่านกล่าวเสมอว่า ท่านถือ พระอุปัชฌาย์ และพระสงฆ์ 25 รูป เป็นครูบาอาจารย์อุปัชฌาย์ทุกองค์ ท่านสอนปัญจกรรมฐานให้แล้วในวันอุปสมบท คือเกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ หรือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยพิจารณาเรียงไปตามลำดับและย้อนกลับ จนเห็นชัดเจน

    แสวงโมกขธรรม
    หลังจากบวช เมื่อออกพรรษาแรกแล้วหลวงปู่บุดดาได้ออกจาริกแสวงหาสถานที่วิเวก เจริญสมณธรรมตามอัธยาศัยเพียงองค์เดียว หลวงปู่บุดดามุ่งปฏิบัติกรรมฐานพิจารณากายภายในอยู่เสมอ ข้อวัตรปฏิบัติเคยทำอย่างไรก็ยังคงทำมิได้ขาด ท่านทำความเพียรอยู่โดยตลอด บางครั้งบางคราว กิเลสราคะอันมักจะเกิดขึ้นมาให้รู้ได้ว่ายังมีอยู่ท่านก็ได้เพียรพยายามดับ มันด้วยอุบายวิธีต่าง ๆ

    หลวงปู่บุดดาท่านจาริกธุดงค์บำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด จนถึงพรรษาที่ 4 ท่านได้ออกธุดงค์อยู่ในป่าแถบเทือกเขาภูพานนั้น ท่านได้พบกับพระธุดงค์องค์หนึ่งคือ พระสงฆ์ พรหมสโร ซึ่งมีอายุแก่กว่าท่าน 10 ปี พรรษามากกว่า 1 ปี ทันทีที่ได้พบหน้าท่านระลึกชาติได้ว่าพระสงฆ์ พรหมสโร เคยเป็นบิดาในอดีตชาติ ท่านจึงเรียกพระสงฆ์ พรหมสโร ว่าคุณพ่อสงฆ์ หลวงปู่บุดดากับพระสงฆ์ พรหมสโร มีอัชฌาศัยตรงกัน

    หลังจากนั้นท่านได้ออกจาริกร่วมธุดงค์มาด้วยกัน จากอีสานมาสู่ภาคกลาง ผ่านตำบลหัวหวาย อำเภอตาคลี นครสวรรค์พบชัยภูมิคือ ภ้ำภูคา บนภูคา มีบรรยากาศสงบ ร่มเย็นและวิเวกยิ่ง สถานที่สัปปายะ เหมาะแก่การเจริญกรรมฐานยิ่ง พอใกล้พรรษาทั้งสองจึงได้ไปจำพรรษาที่วัดป่าหนองคู พอออกพรรษาก็กลับมาที่ถ้ำภูคาอีกครั้ง

    ณ ที่ถ้ำภูคานี้เองที่หลวงปู่บุดดาในพรรษาที่ 4 และพระสงฆ์ พรหมสโร ในพรรษาที่ 5 ได้พำนักอาศัยบำเพ็ญเพียรจนได้รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจธรรมทั้งสององค์

    [แก้] สิ้นอาสวะ
    หลวงปู่บุดดาท่านได้เล่าเหตุการณ์ในวันที่บรรลุธรรมว่า คืนนั้นขณะที่ท่านทั้งสองกำลังนั่งคุยกันอยู่ โดยนั่งลืมตาคุยกันปกตินี่เอง แล้วหันหน้าเข้าสนทนากันอย่างออกรสชาติอยู่นั่นเอง จู่ ๆหลวงปู่บุดดาก็เงียบเสียงไปเฉย ๆ นั่งลืมตาค้างอยู่ พระสงฆ์ พรหมสโร ท่านก็นั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นมองดูอยู่ ปกติท่านเป็นพระขี้สงสัย ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ก็แปลกใจที่ทำไมหลวงปู่บุดดาจึงเงียบเสียงไปเฉย ๆ ก็ถามหลวงปู่บุดดาว่า "เอ๊ะ เป็นอะไรไป"

    หลวงปู่บุดดาท่านก็นิ่งเฉยไม่ตอบ นัยน์ตาคงเบิกโพลงอยู่อย่างนั้น เป็นอันว่าหลวงปู่บุดดาท่านได้จบกิจพระศาสนา ทำอาสวะให้สิ้นต่อหน้าพระสงฆ์ พรหมสโร นั่นเอง

    หลังจากนั้น 3 วัน ในตอนเช้าก่อนที่จะออกบิณฑบาต พระสงฆ์ พรหมสโร ก็มาบอกต่อหลวงปู่บุดดาว่า "ไม่มีคนไปนรก ไม่มีคนไปสวรรค์ เน้อ" หลวงปู่บุดดาจึงเสริมว่า "โอ๊ย มันจะมีนรก มีสวรรค์อย่างไร นั่นมันกิเลสต่างหากเล่า กิเลสหมด มันก็หมดนรก หมดสวรรค์ซิ" เป็นอันว่าพระสงฆ์ พรหมสโร ท่านได้จบกิจบรรลุธรรมในคืนก่อนนั่นเอง

    ธรรมะคำสอน
    ธรรมะเป็นอย่างไร
    ธรรมะก็หนังแผ่นเดียวนะซิ จิตเดียวซิ
    ศาสนาธรรม คืออยู่ที่ตาธรรม หูธรรม
    จมูกธรรม ลิ้นธรรม วาจาธรรม ใจธรรม
    ศาสนาอยู่ที่กายยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี่เอง
    เห็นเป็นกลางทั่วไปทั้งภายในและภายนอก
    ผู้ปฏิบัติต้องเห็นอย่างนี้เรียกว่า เห็นธรรม


    ตา เขาก็ไม่ได้ว่าเป็นของเขา
    หู เขาก็ไม่ได้ถือเป็นเจ้าของ
    ลิ้น เขาไม่ไดยึดถือเป็นลิ้นเขา
    เขาทำตามธรรมชาติไปอย่างนั้นเอง
    ธรรมชาติเขาก็ทำหน้าที่ธรรมชาติเขา
    คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างนั้นเอง




    เหรียญหลวงปู่บุดดา ถาวโร สำนักสงฆ์สองพี่น้องปี2531

    ปิดรายการ

    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2014
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    [​IMG]


    หลวงพ่อพร้า อัตตสันโต อดีตเจ้าคณะตำบลดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท เป็นพระสงฆ์ที่เคร่งครัดและเปี่ยมด้วยคุณธรรมมีจิตที่เปี่ยมด้วยความเมตตา เป็นที่พึ่งของชาวบ้านดงคอน และสาธุชนโดยทั่วไป

    ชื่อเสียงของท่าน เป็นที่รับรู้กันทั่วท้องทุ่งเมืองสรรคบุรีถึงความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของ น้ำมนต์ ที่สามารถพลิกผันสถานการณ์อันเลวร้าย ให้กลับกลายเป็นดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนได้รับสมญานาม หลวงพ่อพร้า เจ้าตำรับน้ำมนต์บาทเดียว

    ปัจจุบัน หลวงพ่อพร้า หรือ พระครูวิจิตรชยานุรักษ์ สิริอายุ 84 ปี พรรษา 64 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโคกดอกไม้ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท และที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลดงคอน

    อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า พร้า ยอดดำเนิน เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2466 ตรงกับเดือน 5 ปีกุน เป็นชาวชัยนาทโดยกำเนิด ประกอบอาชีพเกษตรกรรม

    ชีวิตในเยาว์วัยของ ท่านผิดแผกไปจากเด็กในวัยเดียวกัน เพราะกำพร้าโยมบิดาตั้งแต่ท่านอยู่ในครรภ์ของมารดาได้เพียง 3 เดือน เมื่อพ้นจากครรภ์มารดา เครือญาติจึงพร้อมใจกันตั้งชื่อให้ท่านว่า กำพร้า หากแต่การแจ้งชื่อที่ปรากฏในทะเบียนราษฎร์ ตกคำว่า กำ คงเหลือเพียงคำว่า พร้า เพียงอย่างเดียว

    จึงไปตรงกับคำที่หมายถึง ของมีคม ซึ่งเกิดจากเหล็กกล้ามีดพร้า นั่นเอง

    ใน วัยเด็ก แม้จะขาดบิดาผู้เป็นเสาหลักของครอบครัว แต่มารดาของท่านได้อุ้มชูเลี้ยงดูบุตรธิดาด้วยความอุตสาหะ และท่านยังได้รับความเอื้ออาทรจากบรรดาเครือญาติ เนื่องจากมีอุปนิสัยเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย มีใจโอบอ้อมอารี ท่านมักจะติดตามผู้ใหญ่เข้าวัดทำบุญอยู่เสมอๆ

    หลังจากได้ศึกษาเล่า เรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 มิได้มีโอกาสเรียนต่อ เพราะฐานะทางบ้านยากจน ทั้งๆ ที่ใจของท่านอยากจะร่ำเรียนต่อ จึงเป็นเหตุให้ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ว่า

    ...หาก มีโอกาสได้บวช จะขอบวชให้เสากุฎีคอดหรือเสากุฎีขาด และหากมีโอกาสได้เป็นสมภารเจ้าวัด จะอุปถัมภ์การศึกษาแก่เด็กๆ ที่พ่อแม่มีฐานะยากจน จะทำ จะช่วยให้เต็มความสามารถ...

    ครั้นอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโคกดอกไม้ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท โดยมีพระครูปัตย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระสมุห์เขียว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์โห้ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ได้รับฉายา อัตตสันโต หมายถึง ผู้มีตนอันสงบแล้ว

    ภาย หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้ว ท่านมีจิตมุ่งมั่นและเพลิดเพลินต่อรสพระธรรม หมั่นเพียรในการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท รวมทั้งช่วยเหลือการพัฒนาวัด และญาติโยมที่มีความทุกข์-เดือดร้อน จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านดงคอน

    ต่อมา ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโคกดอกไม้ ได้ยึดหลัก พูดจริง ทำจริง ยึดความถูกต้องเป็นเกณฑ์

    ลำดับ งานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2491 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดโคกดอกไม้ และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท

    พ.ศ.2513 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์

    ปัจจุบัน ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลดงคอน

    ลำดับ สมณศักดิ์ พ.ศ.2513 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูวิจิตรชยานุรักษ์ พ.ศ.2519 ได้รับพะราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม

    พ.ศ.2530 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

    ด้าน การพัฒนา หลวงพ่อพร้าได้ตั้งใจพัฒนาวัดที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมจนรุ่งเรือง ท่านได้สร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ บูรณะเจดีย์ สร้างซุ้มประตู ถนนภายในวัด สร้างสนามเด็กเล่น ศาลาประชาคมและบูรณะวัดที่มีฐานะด้อยกว่า

    ด้าน การศึกษา ด้วยปณิธานของหลวงพ่อพร้าที่ตั้งใจเอาไว้แต่ต้นว่า เมื่อได้บวชและได้เป็นเจ้าอาวาสจะสนับสนุนการศึกษาเด็กนักเรียนที่มีฐานะยาก จน ซึ่งท่านได้จัดตั้งกองทุนเอาไว้ส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้มีโอกาสได้รับการ ศึกษา รวมทั้งพระภิกษุ-สามเณร ที่ขาดแคลน ท่านได้ส่งพระภิกษุ-สามเณรที่สนใจใฝ่การศึกษาเหล่านั้น ไปรับการศึกษาในกรุงเทพมหานคร บางรายประสบความสำเร็จทางด้านการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมมากมาย โดยอาศัยปัจจัยจากกองทุนการศึกษาที่ท่านจัดตั้งขึ้น

    ด้านสาธารณสุข แต่เดิมชาวบ้านดงคอน ขาดแคลนแพทย์และสถานพยาบาลที่ทันสมัย ท่านได้ให้การสงเคราะห์ด้วยการนำเอาวิชาแพทย์แผนโบราณบำบัดโรคภัยไข้เจ็บให้ กับญาติโยม ในระยะต่อมา ได้เป็นแกนนำในการก่อสร้างสถานีอนามัยขึ้นที่วัดโคกดอกไม้ เป็นสถานที่บริการทางการแพทย์แผนปัจจุบัน

    นอกจากนี้ หลวงพ่อพร้า ได้ให้ความสนใจศึกษาด้านวิทยาคม ค้นคว้าด้านปฏิบัติจิตภาวนา เพื่อให้จิตบังเกิดสมาธิและได้กราบฝากตัวเป็นศิษย์ต่อหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง ซึ่ง เป็นหลวงลุงของท่าน และได้รับความเมตตาถ่ายทอดวิชาให้จนหมดสิ้น หลวงพ่อโตยังให้ความเมตตาอุปถัมภ์ในการบูรณะวัดโคกดอกไม้ เป็นการช่วยเหลือพระหลานชายของท่านอีกทางหนึ่งด้วย

    และอีกท่านหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระอาจารย์ที่ได้มอบสรรพวิชา ให้กับหลวงพ่อพร้ามากมายหลายด้าน คือ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท

    พุ ทธาคมอันเข้มขลังที่หลวงพ่อพร้าได้รับถ่ายทอดจาก 2 พระอาจารย์ ภายหลังได้นำมาสงเคราะห์ให้กับญาติโยมที่ประสบความเดือดร้อน โดยเฉพาะตำรับน้ำมนต์อันเข้มขลัง ซึ่งท่านมิได้เรียกร้องอะไร เพียงแต่ขอค่าบูชาครูเพียงบาทเดียว จนได้รับการยกย่องและเรียกขานนามของท่านว่า หลวงพ่อพร้า เจ้าตำรับน้ำมนต์บาทเดียว

    สำหรับวัตถุมงคลของท่านที่มีประสบการณ์และ กล่าวขานกันถึงพุทธคุณ ได้แก่ พระสมเด็จมหาลาภ รุ่นแรกปี 12 และปี 14 พระสมเด็จ ด้านหลังฝังข้าวสารดำ 9 เม็ด รุ่นแรกปี 14, รุ่น 2 ปี 30 ฝังข้าวสารดำ 6 เม็ด และตะกรุดโทน

    ปัจจุบัน ท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคลเป็นรุ่นที่ 3 มีตะกรุดโทน, เหรียญบาตรน้ำมนต์ เพื่อมอบให้กับเจ้าภาพกองผ้าป่า กองละ 1,250 บาท เป็นกองทุนในการก่อสร้างอาคารเรียน โรงเรียนชุมชนวัดโคกดอกไม้และยังจัดสร้างพระสมเด็จปรกโพธิ์ (โพธิ์แก้ว) หลังยันต์ตำรับหลวงพ่อกวย, พระสมเด็จหลังรูปเหมือน, มีดหมอและจตุคามรามเทพ

    แม้ปัจจุบัน หลวงพ่อพร้า อัตตสันโต ล่วงวัย 84 ปี แต่สุขภาพร่างกายของท่านยังคล่องแคล่ว แข็งแรง

    เกียรติคุณ บารมี รวมทั้งพุทธาคมอันศักดิ์สิทธิ์พลังจิตของท่าน ทำให้ท่านได้รับการยกย่องเป็นพระเกจิอาจารย์ ที่มีบารมีทางกระแสจิตแก่กล้า

    ในระดับแนวหน้าอีกรูปหนึ่ง


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อพร้า วัดโคกดอกไม้งานฝั่งลูกนิมิตร 2539

    (ปิดรายการ)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2012
  7. naiburit

    naiburit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    749
    ค่าพลัง:
    +580
    ได้รับแล้ว 2 รายการ สวยเดิมๆ ขอบคุณมากครับ
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เหรียญหลวงพ่อเชื้อ วัดศรีทุ่งทอง ประจวบคีรีขันธ์ พระปฎิบัติดีที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากในวงการ

    วัตถุมงคล


    ให้บูชา150 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    หลวงพ่อบุญมี วัดนางชำ

    พระผู้มีสังขารไม่เน่าเปื่อย

    พระครู พิพัฒนาทร(หลวงพ่อบุญมี ปุญญพโล) ท่านเกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2450 ที่บ้านดาบ ตำบลคลองขนาก อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง เกิดปีมะแม วันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
    เมื่ อายุได้ 12 ปี ได้บวชเป็นสามเณรจนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดนางชำ ซึ่งมีพระครูจันทร์ วัดบางจัก เป็นพระอุปัชฌาย์ ระหว่างอุปสมบทได้รับการรักษาตัวกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยา และได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา เรียนวิชาเป็นที่พอใจแล้วจึงได้กลับมาวัด และใช้วิชาความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อปาน และหลวงพ่อจง รักษาญาติโยม เช่นรดน้ำมนต์ ใช้มีดหมอรักษาอาการต่างๆ เป็นต้น แล้วแต่ญาติโยมจะมาให้รักษา ปัจจุบันท่านมรณภาพหลายปีแล้ว แต่สังขารของท่านไม่เน่าเปื่อยครับ ปัจจุบันศิษย์ได้ขอพระราชทานเพลิงศพให้กับท่านไปแล้วครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงครับ

    เหรียญรุ่น 1 หลวงพ่อบุญมี

    (ปิดรายการ)

    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2012
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    หลวงพ่อโชติ วัดภูเขาแก้ว อุบลราชธานี สายกรรมฐานหลวงปู่เสารืหลวงปู่มั่น

    เหรียญสวยสภาพเดิมๆครับรอยจารเต็มเหรีญ

    (ปิดรายการครับ)

    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2012
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    วันนี้ผมจัดส่ง

    EI 6658 9945 1 TH บางปู

    RF 9265 6221 5 TH บางปู

    EI 6658 9946 5 TH หาดใหญ่

    EI 6658 9947 9 TH ปากเกร็ด

    RF 9265 6222 9 TH เพชรบูรณ์

    ขอบคุณและโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ร่วมบุญมาครับ
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    พระขุนแผนพรายกุมารหลวงพ่อจรัญ สร้า้งปี2496

    พระชุดวัดพรหมบุรีเป็นพระรุ่นแรกหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ที่ปลุกเสกโดยเกจิ 2 ยุค ยุคปัจจุบันคือท่านหลวงพ่อจรัญ และเกจิยุคอินโดจีนคือหลวงพ่อจาด ,หลวงพ่อจงและหลวงพ่อซวง ฯ มูลเหตุแห่งการสร้าง พระสมเด็จรุ่นนี้สร้างเมื่อปี 2496 สมัยที่ท่านยังอยู่วัดพรหมบุรี ซึ่งไม่ไกลจากวัดอัมพวัน ครั้งนั้นวัดพรหมบุรีได้ดำเนินการจัดสร้างโบสถ์ หลวงพ่อท่านมีดำริที่จะสร้างพระไว้แจกแก่ญาติโยมที่มาช่วยบริจาค ท่านได้ไปขอความเมตตาต่อพระราชโมลีเจ้าอาวาสวัดระฆัง ขอให้เป็นเจ้าพิธีในการจัดสร้างพระราชโมลีได้มอบมวลสารผงของสมเด็จโตที่เก็บไว้และด้ออกหนังสือรับรองให้เ มื่อวันที่ 13 พ.ย. 2495 นอกจากนั้นยังมีผงเก่าๆที่ท่านได้รวบรวมไว้เช่น 1ผงพุทธคุณของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน 2ผงพุทธคุณของหลวงพ่อจันทร์ วัดนางหนู 3ผงพุทธคุณของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 4ผงพุทธคุณของหลวงพ่อเชย วัดปากน้ำ(หรือวัดท่าควาย) 5ผงธุปจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เมื่อรวบรวมผงที่นำมาสร้างพระแล้วได้นำมาสร้างเป็นพระพิมพ์ได้แก่พิมพ์สมเด็จ 7 ชั้น พิมพ์สมเด็จ 3 ชั้น,สมเด็จขาโต๊ะ,พระขนแผน ลักษณะของพระชุดนี้เนื้อพระจะแกร่ง เนื้อละเอียดค่อนข้างใส จึงเรียกพระชุดนี้ว่าพระสมเด็จเนื้อหินมีดโกน แล้วนำไปให้หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบาปลุกเสกเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2496 เสร็จแล้วนำมาปลุกเสกอีกทีที่วัดพรหมบุรีในวันที่ 19 มกราคม 2496 โดยมีเกจิที่ร่วมปลุกเสกเช่น 1 หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก 2 หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา 3หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว สิงห์บุรี 4หลวงพ่อจ่าย วัดรุ้ง อ่างทอง 5หลวงพ่อเขียว วัดเสาธงทอง อ่างทอง 6หลวงพ่อมี วัดเขาสมอคร ลพบุรี 7หลวงพ่อโม วัดจันทาราม ชัยนาท 8หลวงพ่อปลั่ง วัดภิญโญ ลพบุรี 9หลวงพ่อจรัญ วัดพรหมบุรี(วัดอัมพวัน) ฯลฯ เสร็จแล้วได้นำออกแจกจ่ายญาติโยมที่ร่วมทำบุญ โดบที่จะแจกพระพร้อมกับไบปลิวรายละเอียดการสร้าง จะเห็นได้ว่าพระชุดนี้มีการสร้างที่ดี ทั้งเนื้อพระและคณาจารย์ที่ปลุกเสก และถือเป็นพระชุดแรกของหลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวันด้วยครับ

    พระชุดนี้มวลสารดี พิธีดี ครบทุกประการครับ รายนามครูบาอาจารย์แต่ละรูป

    หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา

    หลวงพ่อจง วัดน้าต่างนอก

    หลวงพ่อโม ห้วยกรด วัดจันทราราม

    หลวงพ่อบุญมีเขาสมอคอน

    หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว

    หลวงพ่อเขียว วัดเสาธงทอง

    หลวงพ่อปลั่ง วัดภิญโญ

    หลวงพ่อจ่าย วัดรุ้ง

    หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัล

    สำหรับลูกศิษย์ลูกหาผู้ศรัทธราใน องค์หลวงพ่อจรัญครับ

    เอาเฉพาะแค่ลูกศิษย์ท่านก็ทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วครับทั้งในประเทศและ

    ต่างประเทศ ทุกๆวันนี้ที่วัดท่านคนมากราบท่านแต่ละวันไม่น้อยเลยครับ

    เก็บไว้บูชาตอนนี้อีกหน่อยหาไม่เจอง่ายๆแน่นอนครับส่วนมากเก็บไว้บูชาแล้วไม่

    มีออกมากันง่ายๆครับ


    ให้บูชา 3000 บาท

    [​IMG][​IMG]
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว สิงห์บุรี

    อ่านประวัติปฎิปทาท่านได้ตามในเวปนี้ครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของข้อมูลอย่างสูงครับ


    www.konrakmeed.com/webboard/upload/lofiversion/index.php?t14190.html]

    เหรียญเสมาหลังสิงห์สภาพสวยเดิมๆครับ


    (ปิดรายการ)

    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2012
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    รูปหล่อพระธาตุเสด็จ(เขาเรียกกันแบบนี้ครับ) หลวงปู่ชม วัดนางใน ศิษย์หลวง

    พ่ออนุ่ม วัดนางในและในสายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ครับ ตามที่เคยได้อ่าน

    มา

    ให้บูชา900บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ(ปิดรายการ)

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2012
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เหรียญรุ่น 1 พิมพ์เล็ก หลวงปู่มั่น ทัตโต

    วัดบ้านโนนเจริญ อุบลราชธานี

    ให้บูชา 900 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ
    [​IMG] [​IMG] __________________
     
  16. KRITA

    KRITA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    2,061
    ค่าพลัง:
    +7,264
    สวัสดีครับพี่จัมโบ้เอ รูปหล่อรุ่นนี้ที่ผมเจอมาและที่เก็บไว้ส่วนมากจะมีพระธาตุเสด็จทุกองค์ครับ น่าจะเป๊นรุ่นอายุครับ 90 ปีนะครับ พระดีดีพี่เยอะจริงๆ:cool:
     
  17. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,129
    ค่าพลัง:
    +5,418
    ขอจองครับ:cool:
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ขออภัยท่านj999 อย่างสูงครับผมแจ้งรายละเอียดทาง PM ไปแล้วนะครับ
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,155
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เสือมหาอำนาจ หลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลักเนื้อเงิน เลี่ยมพลาสติคครับ

    สร้า้งน้อยหายากไม่ค่อยพบเจอครับ

    (ปิดรายการ)

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2012
  20. tum399

    tum399 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,908
    โอนเงินแล้วครับ 2 รายการ 700-
    1.เหรียญลพ.วัดดอนตัน 350-
    2.พระผงลป.เย็น 300-
    ค่าจัดส่ง 50-
    ณรงค์ฤทธิ์ สงวนทรัพยากร
    117 ซ.อ่อนนุช33 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กทม.10250
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ATM.jpg
      ATM.jpg
      ขนาดไฟล์:
      128.7 KB
      เปิดดู:
      223
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 เมษายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...