อ่านตำราหรือ? ฟังคำอธิบายหรือ? ไร้ประโยชน์ ต้องกินนิพพานธาตุเข้าไปเลย!

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย อู่หยาจื่อ, 8 เมษายน 2012.

  1. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    สิ่งที่เราไม่เคยพบเคยเห็น อธิบายไป อ่านไป
    ก็ไม่อาจทำให้รู้จักสิ่งนั้นได้จริงๆ เกลือเค็มเป็น
    อย่างไร? ไร้ประโยชน์ที่จะพูดหรืออธิบาย ต้อง
    "ชิมดูเอง" นิพพานก็เหมือนกัน ต้องชิมเอง จึง
    รู้เอง ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องอ่านหรือฟังที่ไหน


    "นิพพานธาตุ" เป็นธรรมชาติหนึ่ง ถ่ายเทจาก
    คนสู่คน, จิตสู่จิต, ธรรมสู่ธรรม ได้ ไม่ต้อง
    อธิบาย คือ ต้อง "กินนิพพานเข้าไปเลย"
     
  2. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=hmFXIMuRHjE&feature=relmfu]คัมภีร์กระเรียนเซียนเหยียบฟ้า part 6 - YouTube[/ame]


    ลองดูตอนท้ายๆ ดิ กินเข้าไปเลยครับ?
     
  3. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    ใจเปิดรับ "นิพพานธาตุ" หมดสงสัย ที่เหลือก็แค่ "แสดงหนัง" เท่านั้นเอง


    ธรรมะที่อธิบายได้ ไม่ได้มีสาระอะไรนัก เป็นไปเพื่อให้คนที่ยังไม่มีปัญญา เข้ามา
    หาเท่านั้น แท้แล้ว "ธรรมะที่ไม่อาจอธิบายได้" ซึ่งจะได้รับด้วยวิธี "จิตสู่จิต-ธรรม
    สู่ธรรม" นั้นสำคัญกว่า หมายความว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายธรรมหรือแสดงธรรม ก็
    ได้ พูดนิยายไร้สาระก็ได้ สำคัญที่การใช้ "จิตสู่จิต-ธรรมสู่ธรรม" ส่งพลังนิพพาน
    ธาตุสู่คนรับ เท่านั้นเอง เมื่อคนเปิดใจรับ ได้รับเข้าไปแล้ว อาจสงสัยว่านี่คืออะไร?
    ภาวะอะไร เหตุใดจึงรู้สึกเช่นนี้? เมื่อหายสงสัย คลายใจ วางใจได้แล้ว ก็จะรู้ว่าคือ
    นิพพานธาตุนี่เอง เป็นเช่นนี้เอง ไม่ต้องอธิบาย ที่อธิบายหรือแสดงธรรมมากมายนี้
    ไม่มีสาระอะไร เป็นเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ดึงคนมาดูเฉยๆ ไม่ช่วยให้เกิดปัญญาได้
    ก็เมื่อได้ถึงนิพพานจริงๆ ได้รับพลังนิพพานธาตุจริงๆ เมื่อนั้นจึงรู้เอง เห็นเอง ไม่มี
    คำอธิบาย ยิ่งอธฺบายธรรมะ ยิ่งติดธรรมะ, ยิ่งแสดงธรรมะ ยิ่งหลงธรรมะ แต่ที่ต้อง
    มีการ "แสดง" เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นมีธรรมอยู่จริง เป็นการกลั่นกรองเบื้องต้นก็
    เท่านั้นเอง สิ่งสำคัญไม่ใช่สิ่งที่แสดงได้ แต่คือสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ นั้น ต่างหาก


    เมื่อใด ได้ฟังธรรมแล้วคิดว่าใช่เลย แต่ไม่อาจปล่อยวาง หลุดพ้น ออกจากธรรมนั้น
    ได้ เมื่อนั้นคือเสพติดธรรมะ, ไม่ใช่ธรรมที่ช่วยให้หลุดพ้น แต่เมื่อใดที่ฟังแล้ว ปลง
    พอ, จบ, แค่นั้นเอง แล้วเกิดภาวะจิตว่าง, เบาสบาย แล้วเกิดปัญญาได้ง่ายโดยพลัน
    เมื่อนั้นแหละ "นิพพานธาตุ" ได้ทำหน้าที่ของมันตามธรรมชาติแล้ว ไม่ต้องอธิบาย
     
  4. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    เมื่อใดเข้าใจธรรมแล้วคิดว่านี่แหละธรรมะของจริง ใช่แล้ว นั่นแหละธรรมอัตตา


    "ธรรมอัตตา" เกิดขึ้นเมื่อได้อ่านตำรา, คัมภีร์ธรรมะแล้วเข้าใจธรรมะ, อธิบายได้ ฯลฯ
    เมื่อใดที่เกิดสิ่งนี้ขึ้นแล้วเข้าใจว่า "อ้อ นี่แค่สุตมยปัญญา ไม่ใช่ทางหลุดพ้น ต้องไปอีก"
    เมื่อนั้นไม่เกิดธรรมะอัตตา แต่เมื่อใดที่เข้าใจธรรมะแล้ว รู้ชัดแล้วว่าอย่างนี้ใช่ อย่างนี้จึง
    ถูก อย่างอื่นผิด ไม่ถูกหรอก (อ่านธรรมะเข้าใจแล้ว เกิดถูก-ผิด ขึ้นในธรรมะสองฝั่งฝ่าย)
    ยกตัวอย่างเช่น อ่านตำราว่าพระสงฆ์ต้องทำตัวเช่นนี้ จึงถูก พอไปเห็นที่ตรงข้าม ก็ว่าผิด
    อันนี้แหละ "ธรรมะอัตตา" เกิดขึ้นแล้ว การที่พระสงฆ์จะมีกามกับอะไร มันก็เป็นธรรมชาติ
    ของมัน ไม่ใช่ความถูกผิดอะไรหรอก จะไปมีกับนางหมา, นางแมว, นางปีศาจอะไรก็ช่าง
    ของมัน เป็นกรรมของสัตว์มัน พระศาสดาไม่ได้เห็นเป็นสาระอะไรเลย ที่ตราศีลไว้ก็แค่เพื่อ
    ให้อยู๋กับสังคมโลกเขาได้ ไม่ได้ให้ยึดถือว่านี่ถูกนั่นผิด กรรมของปวงสัตว์มันไม่มีผิด มีถูก
    หรอก บางทีกรรมมันมีให้พระมีกามกับนางลิง, กับเพศเดียวกัน, กับปีศาจ, กับเศษหัวคน ฯ
    มันก็มีได้ เกิดได้ ธรรมดากรรม ธรรมดาสัตว์โลก ธรรมดาของอำนาจกิเลส ที่จะดลบันดาล
    ให้มันเป็นไป ไม่มีสาระอะไร มันก็แค่ "มีกรรมยังไม่หมด" ยังห่างจากนิพพานอยู่ ก็เท่านั้น
    ไม่ได้มีสาระถูก-ผิด อะไรของมัน จะหาอะไรผิดได้กับกรรมที่ปรุงแต่งขับดันปวงสัตว์ให้เป็น
    ไปเล่า? มันเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ เรื่องของกรรม ไม่มีผิดหรอก พระสงฆ์จะวิปริต วิปลาสก็
    เรื่องของมัน เรื่องของกรรม เรื่องของกิเลส เรื่องของธรรมชาติ เรื่องของธรรมดาสัตว์โลก
    ไม่ใช่สาระเรื่องอะไรของเราจะไปนั่งจับผิด จับถูกอะไรกับมัน ไร้สาระ มันยังไม่นิพพาน มัน
    ยังมีกรรม มันก็เป็นไปตามกรรมจะปรุงแต่ง สารพัดเรื่องของมัน แปลกๆ พิสดารอะไร มันก็
    เป็นไปได้สารพัด พระสงห์จะวิตถาร, วิปริต เอากันเอง เอากะหมา เอากะขวดโหลอะไร ก็
    ไม่มีสาระ เรื่องของสัตว์มัน เรื่องของกรรมมัน ไม่มีสาระอะไรกับพุทธศาสนาเลยแม้แต่น้อย
     
  5. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    [​IMG]

    พระอดิศักดิ์ วิริยะสักโกเป็นหนี่งใน 3 ผู้ก่อตั้งวัดพระธรรมกาย อดีตมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอา
    วาสและเหรัญญิก ซึ่งได้เปิดใจกับ"สยามธุรกิจ"เกี่ยวกับกรณีอื้อฉาวของวัดพระธรรมกาย

    สยามธุรกิจ พฤติกรรมของวัดพระธรรมกายจุดหลัก ๆ ที่อาจารย์มองเห็นว่าไม่ถูกต้อง
    แยกออกเป็นประเด็นอะไรได้บ้าง
    พระอดิศักดิ์ : แยกแยะออกได้คือ ประเด็นเทคนิคการสอนของวัดพระธรรมกายเป็นเทคนิคที่
    พยายามจะเร่งเร้า เรี่ยไรบอกบุญในรูปแบบของบริษัท รูปแบบของธุรกิจมากกว่าที่จะสร้างศรัท
    ธาให้คนเห็นความสำคัญของการทำบุญด้วยจิตใจ
    การเรี่ยไรนั้นจัดเป็นขบวนการ มิใช่เป็นการบอกบุญธรรมดา แต่พยายามไปเซ้าซี้ พยา
    ยามที่จะไปทำให้ชาวบ้านเกิดความรำคาญและเกิดความเกรงใจแล้วก็ทำบุญกันมาซึ่งทำให้
    ชาวบ้านเดือดร้อน แม้กระทั่งเขาไม่มีเงินก็ไปทำให้เขาเกิดความงมงาย ไปกู้ยืมเงินมาเป็นหนี้
    เป็นสิน ซึ่งมันผิดหลักของพุทธศาสนา ผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นการเผยแพร่ใน
    ทางที่ผิด
    อีกประการหนึ่งก็คือว่า การเผยแพร่พุทธศาสนาแทนที่จะเผยแพร่พุทธศาสนาให้ลึกซึ้ง ให้
    เกิดความสงบ ให้เกิดความสุขกลับตรงกันข้าม เป็นการเผยแพร่พุทธศาสนาออกไปให้คนเกิด
    ความโลภยิ่งขึ้น คือเร่งเร้าให้เขาทำบุญเพื่อแลกกับนิพพาน แลกกับสวรรค์ ยิ่งทำบุญมากเท่าไหร่
    ยิ่งได้สวรรค์ใหญ่โตมากเท่านั้น ซึ่งมันผิด

    สยามธุรกิจ : เขาบอกว่าเขาไม่ได้บังคับในเรื่องการทำบุญ
    พระอดิศักดิ์ : คือเขาพูดนะพูดได้ แต่การปฏิบัติมันไม่เหมือนคำพูด

    สยามธุรกิจ : เพราะฉะนั้นการที่มาพูดว่า เข้าถึงธรรมกายแล้วสามารถสื่อสารกับพระพุทธเจ้า
    ในอายตนะนิพพานเป็นเรื่องไม่จริง
    พระอดิศักดิ์ : ล้วนเป็นเรื่องที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการยกย่องตนเอง เป็นเรื่องของ
    การสร้างสัญลักษณ์ให้กับตนเอง ว่าเป็นผู้วิเศษ

    สยามธุรกิจ : คิดว่าเขาเข้าใจผิดหรือเจตนาที่จะหลอกลวง
    พระอดิศักดิ์ : เป็นทั้ง 2 สองอย่างนั่นแหละ คืออันที่หนึ่งก็คือว่าหลงไป จิตวิปลาสไป อีกอย่าง
    หนึ่งก็คือต้องการให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของตนเอง คือต้องการความยิ่งใหญ่ในทางพระพุทธ
    ศาสนา ยิ่งใหญ่ในทางโลก ในทางอำนาจและในทางเงินตรา

    สยามธุรกิจ : คิดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้ามั้ย
    พระอดิศักดิ์ : คือ เขาคิดว่าเขาเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด เขาเป็นหัวหน้าของพระพุทธ
    เจ้าทั้งหมดบนพระนิพพาน

    สยามธุรกิจ : ตรงนี้เขาเคยแสดงออกให้อาจารย์เห็นหรือไม่
    พระอดิศักดิ์ : ตรงนี้เขาเคยประชุมสานุศิษส์จำนวนมากที่เขาต้อน หรือพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมดึง
    ขึ้นไปดอยสุเทพ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเศรษฐีณีที่เขาสอบประวัติอย่างแน่นอนแล้วว่า คนเหล่านี้มีทรัพย์
    สมบัติมหาศาล แล้วคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เขาจะส่งสาวกไปทาบทามไว้ล่วงหน้าแล้ว มีจุดอ่อนจุดแข็ง
    ที่ไหนอย่างไรแล้วก็พยายามที่จะโน้มน้าวให้คนเหล่านี้เกิดศรัทธาให้เห็นว่าเขา เป็นหัวหน้า
    ของพระพุทธเจ้าทั้งหมด มีสิทธิ์มีเสียงมีอำนาจเต็มบริบูรณ์ที่จะสั่งพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ทำอะไร
    ก็ได้ มีสิทธิ์ที่จะลงโทษพระพุทธเจ้าได้

    สยามธุรกิจ : คุณไชยบูรณ์คิดแผนการอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อไร
    พระอดิศักดิ์ : แกคิดแผนการนี้ตอนที่ไปอยู่ที่นั่นแล้วที่คลองสอง แกคิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าพระ
    พุทธเจ้า เมื่อถึงตรงนี้เราพูดได้เลยว่าสำหรับคุณไชยบูรณ์หรือวัดธรรมกาย เราไม่ต้องมานั่งถก
    เถียงกันเลยว่าหลักธรรมมันเป็นพุทธหรือเปล่า มันพูดได้เลยว่า มันเป็น 18 มงกุฎดี ๆ นี่เองมัน
    คงเกิน 18 แล้ว มันวิปริตไปแล้วจากพุทธศาสนา เป็นเพียงแค่มาอาศัยพุทธศาสนาหากินเท่านั้น
    เอง

    สยามธุรกิจ : นอกจากพยายามสร้างภาพตัวเองว่าเป็นหัวหน้าพระพุทธเจ้าแล้ว ที่หลัก ๆ และที่
    น่าเกลียดมาก ๆ มีอะไรอีก
    พระอดิศักดิ์ : น่าเกลียดมาก ๆ ก็คือ การเย้าแหย่สีกา เช่น เจอสีกาที่สวยๆ ถูกใจก็จะเย้า
    แหย่แหมวันนี้นะคุณแดง (สมมุติชื่อ) แก้มแดง น่าหยิก แหมหูสวย หน้านวล จมูกโด่ง คือชมกัน
    แบบชายหนุ่มเกี้ยวหญิงสาว มันก็เหมือนหมาหยอกไก่นั่นแหละก็เคยมีคนมาสารภาพให้อาตมาฟัง
    ว่ามันติด เข้าใกล้แล้วมันลืมโลกไปเลย แล้วก็มีเรื่องเยอะแยะเกี่ยวกับสีกา ซึ่งอาตมาตอนอยู่ที่นั่น
    เป็นคนคอยกันสีกาออกไป แล้วก็พบเรื่องสีกาแย่งกันไปแย่งกันมา ถึงกับทะเลาะเบาะแว้งกัน
    บางคนก็มาร้องห่มร้องไห้
    อาตมาก็ไล่ออกไปหลายคน เพราะว่าอาตมาจับหลักฐานได้ ถึงขั้นสีกานั้นเขียนจดหมาย
    มาสารภาพ คือคนๆนี้เป็นคนวิปริตโดยบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ใดๆก็ตาม ต้องให้อีกฝ่ายหนึ่ง
    เขียนมาสารภาพถึงความยิ่งใหญ่และความเก่งของตนเอง ซึ่งหมายถึงหลังจากมีการประพฤติผิดกัน
    aacute;ล้ว ให้เขียนจดหมายมาว่าคนนี้เก่งอย่างโน้นอย่างนี้ อาตมาก็จับจดหมายได้

    สยามธุรกิจ : เหตุการณ์นี้ปีพ.ศ.อะไร
    พระอดิศักดิ์ : ประมาณพ.ศ.2524-25

    สยามธุรกิจ : สีกาคนนี้มีสามีหรือไม่
    พระอดิศักดิ์ : มีสามีมีลูก 2 คน ฐานะอยู่ในขั้นปานกลางค่อนข้างดี ไม่ถึงกับเป็นเศรษฐีณี แต่เขา
    สวย ไม่ใช่สีกาอี๊ด

    สยามธุรกิจ : อยากให้ท่านเรียบเรียงความเกี่ยวข้องกับสีกาตั้งแต่เริ่มต้นมา ใครเป็นคนแรก
    พระอดิศักดิ์ : คนแรกถ้านับจากสมัยชีวิตเขาเป็นฆราวาส เยอะเหลือเกินหลายคน แต่สมัยนั้น
    อาตมาก็ไม่เชื่อนึกว่าผู้หญิงพวกนี้มันบ้า เห็นผู้ชายหล่อไม่ได้ ตามตื้อ มาร้องห่มร้องไห้ เขาก็บอก
    เขาไม่มีอะไร ผู้หญิงมันบ้าเอง เราก็เลยช่วยกันกีดกันออกไปหลายรายทีเดียว
    ตอนสมัยฆราวาสเขาก็เคยมาเล่าให้ฟังว่า เขาเคยพาผู้หญิงไปทำมิดีมิร้าย จนกระทั่งเขา
    บวชแล้วซัก 1-2 พรรษาโรคมันก็กำเริบ จนถึงกับต้องให้ชิดชัยที่บวชเป็นพระในภายหลังพาไป
    หาหมอ โรคมากำเริบหลังจากบวชแล้ว ต่อๆมามีผู้หญิงที่แวะเข้ามาเยอะ เมื่อเป็นพระแล้วเขาก็
    รูปหล่อ ผู้หญิงคนที่สำคัญที่สุดคือคนที่จับจดหมายได้ แต่อาตมาไม่ได้เก็บหลักฐานไว้ ก็สีกาตุ๊นี่แหละ
    คือมีสามีและมีลูกแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่เคยมีความสุขมีลูก 2 คนแล้วยังไม่เท่ากับนายไชยบูรณ์
    เลย
    สีกาตุ๊เข้ามาในเวลาใกล้เคียงกับสีกาอี๊ด ต่างคนต่างมา มาแล้วก็เลยมาชิงรักหักสวาทกัน
    เดิมทีก็บอกว่ามาช่วยงานวัด แต่ในที่สุดก็มาช่วยเป็นเจ้าของวัด เกิดความเสื่อมเสียมาก อาต
    มาก็เลยกันสีกาตุ๊ออกไป ในที่สุดสามีเขาก็รู้ข่าว ก็เลยเลิกไป เนี่ยคือทำให้ครอบครัวเขาแตก

    สยามธุรกิจ :สีกาตุ๊มาพัวพันอยู่นานมั้ย
    พระอดิศักดิ์ :ก็สัก 2-3 ปีได้ เป็นสีกาที่เด่นที่สุด สีกาอี๊ดมาในยุคใกล้ๆกัน สีกาตุ๊ชัดกว่า แต่ว่าใน
    ภายหลังสีกาอี๊ดก็ชัดมาก

    สยามธุรกิจ : สีกาอี๊ดเกี่ยวข้องธุรกิจมากเหลือเกิน
    พระอดิศักดิ์ : เท่าที่อาตมาอยู่ที่นั่น การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปีๆหนึ่ง ทอดผ้าป่าหลายครั้ง
    ทอดกฐินอยู่ 1 ครั้ง เงินแต่ละครั้งได้มาทีหลายสิบล้าน แล้วก็เอาธนาคารกสิกรไทย สำนักงาน
    ใหญ่มาทั้งสำนักงานเลย เรายกอาคารให้ 1 หลัง อาคารหลังใหญ่ แค่เช็คเคลียร์ตัวเลขอย่าง
    เดียว ไม่นับแบงก์นะ ตั้งแต่เช้ามืด ยันเที่ยงคนไม่จบ ไปจบเอาวันรุ่งขึ้น คือ วันจันทร์
    เงินทั้งหมดในนามของมูลนิธิ เดิมทีใช้คำว่ามูลนิธิธรรมประสิทธิ์ ต่อ ๆ มาเป็นมูลนิธิ
    ธรรมกาย เงินนี้เข้าแบงก์กสิกรไทยในวันนั้น แล้วก็กระจายทันทีไปตามแบงก์ต่าง ๆ ทั้งหมดกระ
    จายออกไปในนามของแบงก์ต่างๆ เสร็จแล้วก็ย้อนกลับเข้ามาในแบงก์กรุงเทพอีกที รู้สึกจะเป็นสา
    ขาแถวสะพานควายในนามของสีกาอี๊ด จากสีกาอี๊ดก็กระจายออกไปอีกในนามของบริษัทต่าง ๆ
    สีกาอี๊ดเป็นหน้าฉากของนายไชยบูรณ์ กระจายออกไปตามแบงก์ต่างๆ คือพูดง่าย ๆ ทำให้
    ระบบการเงินสับสน หาตัวเลขไม่เจอ ติดตามได้ลำบาก

    สยามธุรกิจ : ทำไมสีกาอี๊ดถึงได้รับการยอมรับอย่างสูง
    พระอดิศักดิ์ : จริง ๆแล้วคน ๆ นี้เป็นคนใจกล้า เป็นนักธุรกิจขายยา อะไรต่าง ๆ ให้กับทาง
    หน่วยราชการ ให้กับโรงพยาบาล ขายทั่วๆไปแม้กระทั่งขายอาวุธ เป็นนายหน้าติดต่อ เพราะฉะ
    นั้นคน ๆนี้พูดเก่ง หน้าตาก็ไม่ได้สวย แต่พูดเก่งและใจกล้า กล้าทำทุกเรื่อง จนกระทั่งไชยบูรณ์ก็
    Ecirc;นใจความกล้า
    แรก ๆ ก็เข้ามาเป็นสานุศิษย์ เบ็ดเสร็จแล้วในที่สุดก็ยกระดับฐานะตัวเอง เขาบอกเขา
    เป็นทุกอย่างของไชยบูรณ์ เขามากับสามี สามีก็เป็นลูกศิษย์ด้วย คือเขาเป็นคนพาสามีเข้าวัด
    แล้วก็เป็นคนชักจูงสามีทุกเรื่องราว ในที่สุดพอเขามายุ่งกับตัวเงินมากเข้า เขาก็กลัวว่าสามีจะ
    ติดร่างแหของความทุจริต อาจจะถูกสอบ เพราะสามีเป็นข้าราชการ ก็เลยทำนิติกรรมหย่าร้างกัน
    ก็ยิ่งสนุกใหญ่ แล้วก็กลับไปใช้นามสกุลเดิม แต่จริง ๆ แล้วเขาก็ยังอยู่กับสามี

    สยามธุรกิจ : ความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวกับคุณไชยบูรณ์ สามีทราบหรือไม่
    พระอดิศักดิ์ : สามีคงไม่ทราบเพราะว่าสามีเข้าใจว่าภรรยาตัวเองเก่ง

    สยามธุรกิจ : ธุรกิจหลัก ๆ ของคุณไชยบูรณ์โดยสีกาอี๊ดช่วงนั้นมีอะไรบ้าง
    พระอดิศักดิ์ : มีค้าน้ำมันอีสานกับสีกาอี๊ด จริง ๆ แล้วเป็นการค้าขายกับคุณวาสนา แต่เลิกค้ากันไป
    ค้ากันมาเจ๊งยับเยิน คุณวาสนาเห็นว่าไอ้บริษัทนี่เหลือแต่ชื่อกลวง ๆ แล้ว ก็ยกย่องสีกาอี๊ดขึ้นมาเป็น
    ผู้จัดการ ช่วงนั้นเข้าใจว่า หมดไปเป็นพัน ๆ ล้าน

    สยามธุรกิจ : ธุรกิจจัดสรรที่ดินทำกันอย่างไร
    พระอดิศักดิ์ : สีกาอี๊ดเป็นคนจัดการ กว้านซื้อที่ดินรอบบริเวณวัด บุกรุกป่าทำสารพัดก็อาศัยสีกาอี๊ด
    เป็นคนวิ่งเต้นขึ้นเหนือลงใต้ทุกอย่าง เป็นตัวจักรเด่นชัดที่สุด คนอื่นเป็นเพียงแต่ฉากประกอบ
    สยามธุรกิจ : ช่วงหลังสีกาอี๊ดห่างเหินไปจากวัดธรรมกาย

    พระอดิศักดิ์ : ช่วงระยะสั้นๆ เนื่องจากมีสีกาอีกคนหนึ่งเข้ามา สีกาเมียเสี่ยพ.เข้ามาทั้งรูปสวย
    รวยทรัพย์ สมบัติมหาศาล นายไชยบูรณ์หลงไประยะหนึ่ง พาไปไหนต่อไหนด้วยกัน จนกระทั่งสีกา
    Iacute;ี๊ดทนไม่ได้เพราะมีคนเห็นไปกัน 2 ต่อสองที่เชียงใหม่ ถึงขั้นมาคาดคั้นนายไชยบูรณ์ นายไชย
    บูรณ์บอกว่าไม่จริง ไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้ในที่สุดเขาก็อ้างพยานได้ว่ามีคนเห็นไปอยู่ด้วยกันสองต่อ
    สอง ที่ไหนอย่างไร จนในที่สุดจนด้วยหลักฐาน พยานบุคคล
    สีกาอี๊ดโกรธมากถามว่าจะเลือกใครระหว่างคนนั้นกับตน คนนั้นมีเงินมากมายมหาศาลและ
    สามีตายแล้ว นายไชยบูรณ์เขาบอกว่าเขาเลือกคนนั้น สีกาอี๊ดโกรธมาก นายไชยบูรณ์เป็นคน
    หวาดระแวงว่า ตายจริงธุรกิจทั้งหมดอยู่ในมือของสีกาอี๊ดหมดเลย ก็เลยให้คนปลอมลายเซ็นต์
    ของสีกาอี๊ด โอนกิจการกลับคืนมาหมด ได้ข่าวว่าถึงขั้นฟ้องร้องกันว่าปลอมลายเซ็นต์ ในที่สุดนาย
    ไชยบูรณ์เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาแล้วก็เลยออกมาโอ๋สีกาอี๊ด ทุกอย่างก็เงียบไปเพราะเขามี
    วาทะศิลป์ดี

    สยามธุรกิจ : โอนธุรกิจกลับมาอยู่ในมือใคร
    พระอดิศักดิ์ : ตอนนั้นไม่ทราบว่า กลับมาอยู่ในมือใคร คงอยู่ในมือของสาวกคนอี่น แต่ความที่เขา
    ไม่ไว้ใจใครเลย ฉนั้นพอมีปัญหาที่เขาแสวงหาเหมืองทอง เพชรนิลจินดาแถวพิษณุโลก พิจิตร
    เพชรบูรณ์หลายแห่งในย่านนั้น เขาก็บอกแถวนั้น หยกชั้นหนึ่ง มรกตก็มีอะไรก็มี เขาไปสืบเสาะ
    มาหมดเลยในช่วงนั้นประมาณ ปีพ.ศ. 2528 ได้ คุณไชยบูรณ์เล่าให้อาตมาฟังว่า เมืองไทย
    อุดมสมบูรณ์มาก มีเพชรนิลจินดา พวกมรกตชั้นหนี่ง พวกเหมืองทองแถวพิษณุโลกหรือที่อี่น ๆ เต็ม
    ไปหมด แล้วก็บอกว่า คนอื่นจะยึดเลยยึดเสียเอง ความที่เขาไม่ไว้ใจใคร การซื้อที่ ซื้อเหมืองจึง
    ใช้ชื่อเขา จึงเป็นเรื่องขึ้นมาให้เห็น

    สยามธุรกิจ: ตกลงสีกาอี๊ดยังไม่ใช่อดีต
    พระอดิศักดิ์: ได้ข่าวว่ายังเป็นปัจจุบันอยู่

    สยามธุรกิจ:แสดงว่าปัจจุบันยังมีหลายคน มีสีกาอี๊ด เมียเสี่ย พ.
    พระอดิศักดิ์: และคุณวิชญา หรือนัส คนนี้เป็นเจ้าแม่ที่นั่นเลย และสีกา ส.ที่ทำบริษัทจิวเวอร์
    หลายคนที่เดียว

    สยามธุรกิจ : แล้วกรณีแม่ชีจันทร์สถานะในวัดเป็นอย่างไร
    พระอดิศักดิ์ : จุดเริ่มต้นจริงๆ ต้องไปกล่าวย้อนถึงในสมัยโน้นตอนที่นายไชยบูรณ์ เป็นนิ
    สิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แกก็ไปอ่านวิปัสนาบันเทิงสารของแม่ชีวรมัย กบิลสินธ์ ซึ่งเขียนว่าวัด
    ปากน้ำมีแม่ชีปฏิบัติธรรมมะ และมีคุณวิเศษเกิดขึ้น และแกก็เขียนเป็นวิปัสนาบันเทิงสารซึ่งเราก็
    ต้องเข้าใจว่า มันมีลักษณะเป็นนิยายอิงความจริงบ้าง เขาบอกว่ามีแม่ชีเหาะขึ้นไปบัดระเบิดบ้าง
    และอ้างถึงว่ามีแม่ชีไม่รู้อ้างถึงชื่อรึเปล่าไม่ทราบ อาจจะอ้างถึงแม่ชีจันทร์ขึ้นไปบัดระเบิด เสร็จ
    แล้วนายชัยบูรณ์จึงเกิดติดอกติดใจแบบเด็กหนุ่มยังเรียนหนังสืออยู่ ก็รีบเลยเพราะอยากจะเป็นผู้วิ
    เศษบ้าง ก็มาวัดปากน้ำ และถามหาแม่ชีจันทร์ ก็เจอแม่ชีคนหนึ่งซึ่งผอมหน้าตาก็เป็นแม่ชีบ้านนอก
    พูดจาไม่ค่อยชัดหนังสือก็อ่านไม่ออก ก็มีความรู้สึกว่าคนนี้บริสุทธิ์ดี ก็ถามหาแม่ชีจันทร์ที่เขาบอกว่า
    บัดระเบิดได้ ยายนี่ก็เลยสวมรอย ว่าฉันนี้คือแม่ชีจันทร์แล้วก็ไม่มีสอบประวัติใด แล้วก็กราบก้น
    โด่ง ในที่สุดก็ยกย่องเป็นครูบาอาจารย์ สอนสมาธิ สอนต่างๆ และแกก็รับสมอ้างเป็นศิษย์เอกวัด
    หลวงพ่อปากน้ำ
    จริงแล้วแม่ชีจันมีจริงแต่ตายไปแล้วถ้าอยู่ป่านนี้ก็อายุ 100 กว่าแล้ว แม่ชีจันทร์ท่าน
    เก่งจริงๆ เป็นที่ยกยอ่ง แต่แม่ชีนี้ก็เก่งเหมือนกันคือ ตอแหล คือ อยากดัง
    ก็เลยร่วมมือกับนายชัย บูรณ์ นายเผด็จ เขียนนวนิยายปัดระเบิดปรมาณูไปลงที่ฮิโรชีม่า กับนางาซากิ
    อาตมาก็อยากจะ ถามว่าถ้ามีความสามารถทำได้ ไม่รู้หรือว่าระเบิดนั้นฆ่าคน
    ได้ แล้วเมื่อปัดไปลงที่นั้น มีคนตายเป็นแสนๆ คน แกไม่เกิดความสลดใจบ้างหรือ แทนที่จะเป็น
    เช่นนั้นกลับชื่นชมกันใหญ่มีความรู้สึกว่ายิ่งใหญ่เหลือเกินที่ฉันสามารถปัดระเบิดไปลงที่นั่นคนตาย
    กันเกลื่อน คนที่มีคุณธรรมเนี่ยที่มีธรรมะอยู่ในใจควรจะสังเวชต่อบาปกรรมที่ตัวเองทำหรือไม่
    แต่ถ้าทำไม่ได้แสดงว่า นี่คือนวนิยายโกหกตอแหล เพื่ออะไรเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ เพื่อ
    สร้างทรัพย์สมบัติ สร้างเงินสร้างทอง เกียรติยศให้กับตนเอง นี่คือความเท็จเป็นการหลอกลวง
    ชาวบ้าน

    สยามธุรกิจ : โดยส่วนใหญ่แล้ว ธุรกิจของเขาเป็นอย่างไรบ้าง
    พระอดิศักดิ์ : ธุรกิจของเขาเป็นธุรกิจสวมรอยชาวบ้าน ได้มาฟรี ๆ

    สยามธุรกิจ : แล้วส่วนที่ผันเงินของวัดไปทำธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง
    พระอดิศักดิ์ : เจ๊ง เจอวิบัติหมด เช่น น้ำมันอีสานหมดเป็นพัน ๆ ล้าน หรือที่เอาไปปั่นหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์
    ลูกศิษย์ของอาตมาเล่าให้ฟังว่า หมดไปประมาณ 2 หมื่นล้าน

    สยามธุรกิจ : จุดเริ่มการเล่นหุ้นพอจะลำดับความได้อย่างไร
    พระอดิศักดิ์ : เดิมที มีการเล่นหุ้นน้ำมันของแม่ชม้อย นายไชยบูลย์เป็นหัวคิว เชียร์ลูกน้องให้ เล่นด้วย
    เพื่อหวังรวย แต่ในสุดท้ายลูกศิษย์ก็ซวย
    เจ๊งไปตาม ๆ กัน นายไชยบูลย์จึงหลบหน้าไปพักหนึ่ง

    สยามธุรกิจ : หลบหน้าไปไหน
    พระอดิศักดิ์ : หลบหน้าไป ไม่รับผิดชอบ ไปเชียงใหม่ กบดานอยู่ในที่นั่น แต่ก็ไปปั้มเงินจากที่นั่น
    อีกจากเศรษฐีหน้าโง่ต่อไป เสร็จแล้วหลังจากนั้น ทราบว่า มีลูกศิษย์ผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เล่นหุ้น มี
    ครอบครัวแล้ว และประสบความสำเร็จมากในการเล่นหุ้น ก็เลยอยากจะได้กำไรด้วย ก็เลย เรียกลูกศิษย์
    ให้นำเงินวัดไปเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

    สยามธุรกิจ : พูดชัด ๆ อย่างนี้เลยใช่ไหมครับ
    พระอดิศักดิ์ : ใช่ ลูกศิษย์ก็เลยตกใจ ไม่รู้จะถอนตัวอย่างไรได้ ก็เลยบอกว่ามีลูกอยู่คนหนึ่งกำลัง
    โตเป็นสาว กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี่ยวหัวต่อ สามีก็อายุมากแล้ว อยากขอตัวไปดูแลลูกสามีก่อนสักปี
    สองปี เมื่อลูกโตแล้วจะรีบกลับมาช่วย พูดง่าย ๆ ก็ คือ ชิ่ง หลังจากนั้นจึงไม่กลับมาเลย เพราะ
    รู้ว่า เจ้าอาวาสมีเจตนาทุจริต

    สยามธุรกิจ : ทำไมลูกศิษย์ถึงรับไม่ได้กับข้อเสนอเพราะการเล่นหุ้นเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง
    พระอดิศักดิ์ : ใช่ แต่เป็นพระเล่นธุรกิจได้อย่างไร แกเอามาเล่าให้อาตมาฟัง เห็นว่า ไม่ถูก
    ต้อง แกก็เลยหนี หนีเสร็จในช่วงนั้น นายสอง ซึ่งเพิ่งจบธรรมศาสตร์ใหม่ ๆ ฐานะทางบ้าน
    ปานกลางไม่มีงานทำ ไปเรียนหมอนวดจากหมอนวดไทยคนหนี่ง เรียนเสร็จแล้วมารับใช้เจ้าอา
    วาส เพราะน้องชายบวชอยู่ที่นั่น มาบีบมานวดนายไชยบูลย์ นายไชยบูลย์ก็ชอบด้วยเห็นว่าคุยเก่ง
    เห็นว่า เด็กคนนี้มีแววดี ก็เลยอุปโลกน์นายส.เข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ชี้ตัวโน้นขึ้นตัวนี้ลง
    ปั่นหุ้นจนกระทั่งติดอันดับเสร็จแล้วก็เอาเงินจากลูกศิษย์
    ที่ไว้ใจเอามาเล่น แต่ส่วนใหญ่เป็นเงินของวัด
    ชี้ตัวไหนตัวนั้นขึ้น ก็เลยมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่ว
    แต่ในที่สุดเวรกรรมตามทันนั้น หุ้นเจ๊งระเนระนาด นายส.เกือบเป็นบ้า นายไชยบูลย์
    หมดตัวเป็นเงิน 2 หมื่นล้าน ก็เลยต้องเรี่ยไรต่อ สร้างโครงการสวรรค์วิมานในฝันต่อ
    แต่สร้างอะไรไม่ได้ตังค์รวดเร็วเท่ากับโกหกหลอกลวง

    สยามธุรกิจ : เสี่ยส.เป็นตัวแทนของชัยบูลย์ในการเล่นหุ้น
    พระอดิศักดิ์ : ใช่

    สยามธุรกิจ : มีส่วนเกี่ยวพันธ์กับเมียเสี่ยพ.หรือเปล่า
    พระอดิศักดิ์ : ช่วงนั้นสีกาอี๊ดชักไม่พอใจ ในเวลาเดียวกัน เสี่ยส.เริ่มเข้ามามีอิทธิพลเรื่องการ
    เงินการทอง ดึงความสำคัญของสีกาอี๊ดไป ในขณะเดียวกันเสี่ยส.ก็เข้ากันได้กับเมียเสี่ยพ.แล้วก็
    มีการเอาเงินส่วนหนี่งของเสี่ยพ.มาปั่นหุ้นด้วย

    สยามธุรกิจ : เงินส่วนใหญ่กองอยู่ในธุรกิจ แล้วมีเงินสดสำรองอยู่มากไหม
    พระอดิศักดิ์ : ได้มาก็นำเงินไปหมุนซื้อที่จัดสรรต่อไป โครงการจัดสรรที่ดินมีจำนวนมหาศาลนับ
    ไม่ถ้วน หมุนอยู่ในที่ เมื่อเศรษฐกิจพัง เขาจึงหมดตัว จึงต้องเรี่ยไรไม่หมดไม่สิ้น พยา
    ยามสร้างสวรรค์วิมานต่าง ๆ บอกบุญอย่างบ้าระห่ำ

    สยามธุรกิจ : ที่ดินอย่างที่เป็นข่าวมีที่ไหนอีกบ้าง
    พระอดิศักดิ์ : เยอะมากแทบพูดได้ว่า แทบทุกจัดหวัด

    สยามธุรกิจ : มาถึงตอนนี้สรุปได้ว่า วัดพระธรรมกายไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาเลย
    พระอดิศักดิ์ : เพี้ยน 100 เปอร์เซ็นต์

    สยามธุรกิจ : เป็น 18 มงกุฎหลอกลวงมาตลอดเวลา
    พระอดิศักดิ์ : เป็นอย่างนั้น

    สยามธุรกิจ : ที่มีคนพูดว่า จะเป็นนิกายใหม่อะไรอย่างนั้น ไม่ใช่เป็นประเด็นที่จะต้องมาวิ
    เคราะห์
    พระอดิศักดิ์ : ไม่ใช่เป็นนิกายใหม่ เป็นการหลอกลวง

    สยามธุรกิจ : เนื่องจากทางวัดมีรายรับเยอะ มีการซื้อความสนับสนุนจากผู้มีอำนาจทั้ง
    จากฆราวาสและบรรพชิตบ้างไหม
    พระอดิศักดิ์ : ครั้งหนี่งเคยทะเลาะกับอาตมา เขาให้อาตมาเซ็นเช็คจ่ายเงินกี่แสนแล้วจำไม่ได้
    ซื้อพระรูปหนึ่ง เพราะพระรูปนั้นต่อไปมีโอกาสเป็นพระผู้ใหญ่ โดยพูดว่าเราซื้อเอาไว้ใช้สักคนไม่
    ได้เชียวหรือ อาตมาก็บอกว่า เงินนี้เขามาบริจาคสร้างวัด ถ้าเอาไปซื้อพระมันผิดวัตถุประสงค์
    อาตมาก็ไม่ยอมเซ็นเช็คให้ เมื่ออาตมาไม่ยอม ก็รู้สึกโกรธแต่ไม่รู้จะทำยังไง เขาก็เลยหาเงิน
    ก้อนใหม่ที่ไม่ผ่านบัญชีมาให้ ซื้อพระองค์นั้น ความที่อาตมาไม่ยอม กลายเป็นที่เขม่นของพระองค์นั้น
    เมื่อเขาเป็นใหญ่เป็นโต ซึ่งขณะนี้พระองค์นี้มีตำแหน่งใหญ่จริง ๆ
    สยามธุรกิจ : พระไชยบูรณ์จ่ายเงินมากไหมสำหรับการซื้อตัวพระรูปนั้น
    พระอดิศักดิ์ : มากหรือไม่ต้องไปถามพระมโน พระเมตตาเพราะท่านอยู่ใกล้ชิดข้อมูล จ่ายเท่า ไหร่ จ่ายอะไรบ้าง

    สยามธุรกิจ : กรณีอย่างนี้เกิดขึ้นกับพระรูปเดียว
    พระอดิศักดิ์ : เท่าที่รู้มีหลายรูป

    สยามธุรกิจ เห็นบอกว่ามีการซื้อรถเบนซ์ให้พระบางรูป
    พระอดิศักดิ์ : ใช่ เบนซ์ 500

    สยามธุรกิจ : รูปเดียวกันกับที่เอ่ยถึงเมื่อกี้
    พระอดิศักดิ์ : คนละรูป ที่ให้เบนซ์ 500 รู้สึกว่าจะให้กันเป็นประจำ ใ
    ห้เพื่อซื้อยศ 2-3 คน ซี่ง เงินที่ใช้ซื้อยศเป็นเงินของชาวบ้านทั้งนั้น เดิมทีเราบอกว่า ไม่เอายศ ตอนนี้ต้องไล่ซื้อ

    สยามธุรกิจ : นอกจากได้ยศแล้วได้แบกอัพจากพระผู้ใหญ่ด้วย
    พระอดิศักดิ์ : ใช่ทุกอย่าง

    สยามธุรกิจ: มีผู้ที่เป็นทั้งพระ ทั้งสานุศิษย์เดิม ๆ ที่เห็นข้อเท็จจริงแล้วถอยออกมาบ้างไหม
    พระอดิศักดิ์ : มีอยู่เยอะ จำนวนมหาศาล แต่บุคคลเหล่านี้ไม่กล้าเปิดเผยตัว เพราะอิทธิพลเขา
    มาก ทั้งอิทธิพลทางฆราวาสและในวงศาสนามากมายมหาศาล แม้ความชั่วของเขามาก
    มายขนาดนี้ เขายังลอยนวลได้
    สิ่งที่อยากพูด คือ การบิดเบือนหลักพระพุทธศาสนา คือ เขาจะเชิญชวนญาติโยมไปทำบุญใน
    วันอาทิตย์ทุกต้นเดือน อันนี้สำคัญที่สุด จุดนี้คือจุดหาเงิน คนเก็บหอมรอบริบเพื่อไปซื้อบุญมีเป็นจำ
    นวนมาก เพราะเขาโฆษณาว่า การทำบุญในวันอาทิตย์ต้นเดือนหนึ่งครั้ง
    ได้บุญกว่าการทำบุญ กับพระพุทธเจ้าจริง ๆ เสียอีกมากกว่าเป็นอสงไขยเท่า
    ไชยบูลย์ให้เหตุผลว่า ยายชีจันทร์สามารถเอาธรรมกายน้อมนำเอา
    อาหารที่ชาวบ้านไป ถวายมากลั่นเป็นอาหารทิพย์ เอากายมนุษย์ที่ละเอียดมาไว้ที่ศูนย์กลางของยายชี นี่เป็นคำพูด
    ของนายไชยบูลย์ จากนั้นก็กลั่นให้ละเอียดขึ้นพระนิพพาน ซี่งคำสอนอย่างนี้ชัดต่อหลักพระพุทธศานา
    นอกจากนี้แล้ว การกลั่นอาหารทิพย์เอาไปถวายพระพุทธเจ้านับ
    อสงไขยพระองค์ไม่ถ้วนมี บุญนับไม่ถ้วน แม้เราตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอย่างมากเจอแค่พระพุทธเจ้าองค์เดียว
    แต่ด้วยความวิเศษของยายชีจันทร์ บวกด้วยความสามารถของนายไชยบูลย์ ทำให้เราทุกคนสา
    มารถเอากายขึ้นไปเที่ยวพระนิพพานได้ เหมือนอย่างจัมโบ้เจ็ต มีโอกาสน้อมนำอาหารทิพย์พระพุทธเจ้า
    และพระพุทธเจ้าสวดมนต์อวยพร เจ็ดวันเจ็ดคืน บุญนี้ไหลหลั่งนับไม่ถ้วน คำสอนดังกล่าวนี้นับว่า
    อุตริมากเป็นการทำลายหลักการพระพุทธศาสนาอย่างยับเยิน
    เพราะหากทำตามคำสอนดังกล่าวแล้วเราไม่ต้องทำความดีอะไรอีกแล้ว เพราะเสียเงินไม่กี่บาท
    อาศัยชีจันทร์หลับตาหน่อยเดียวก็ได้บุญมหาศาล เป็นคำสอนวิปริต ตกลงคนไม่ต้องคิดถึงความดี
    อย่างอื่น ไม่ต้องทำภาวนาอะไรทั้งสิ้น แม้โจรยังสามารถไปนิพพานได้ เพราะขอให้ไปวันนั้นจะ
    ได้บุญมหาศาล ฉนั้นไม่จำเป็นต้องทำความดี แม้ทำความขชั่วยังไปสวรรค์ได้ นิพพานได้ รอวันนี้วัน
    เดียววันอาทิตย์ต้นเดือน
    อยากให้สื่อเขียนเรื่องถวายข้าวพระและการปัดระเบิด เพราะในวันอาทิตย์ที่ 27 นี้เขานัด
    ชุมนุมสาวกไปวันเกิดยายชีจันทร์ คนจะได้รู้ว่า ยายชีเป็นตัวปลอม แล้วจะได้รู้ว่า การปัดระเบิด
    เป็นบาปมหาศาล เพราะถ้าทำอย่างนั้นจริง ๆ ตายไปตกนรกขุมอเวจีเป็นอย่างน้อยเพราะฆ่าคน
    เป็นแสน ๆ แล้วการหลอกลวงต้มตุ๋นโดยไปถวายพระพุทธเจ้าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา
    อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ได้สอนให้คนทำดี สอนให้คนอ้อนวอนอย่างเดียว พุทธศานาสอนให้คนมัก
    น้อยสันโดษ ให้พอใจในสิ่งที่ควรมีควรได้ แต่นี่ไม่ใช่ ให้โลภบุญอย่างมหาศาล ทำให้มันสุด ๆ มีตัว
    ดูดบุญ ตัวอะไรมากมาย

    hanzen blog
     
  6. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=UHl3gye0H4U&feature=relmfu]คัมภีร์กระเรียนเซียนเหยียบฟ้า part 3 - YouTube[/ame]


    อ้าว ดูหนังๆ ชาวยุทธ์โดนพิษธรรมะ จะทำไงดีเอ่ย?
     
  7. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    เฮ้ยนี่มันเรื่องอะไรหว่า ลามปามไปป่าวท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 เมษายน 2012
  8. saturday_rainy

    saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    ไม่มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลยนะครับ รู้มากเพราะอ่านตำรา แต่ผมก็เคยเตือนคุณแล้ว พวกปนเป็นจะใหญ่มาจากไหนก็ตาม ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม
     
  9. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,814
    ค่าพลัง:
    +15,099
    เมาบุญ หลงธรรม มานะ
    โลภะ ครอบงำ อกุศล
    คนโง่ เป็นเหยื่อ ทรชน
    คนจน รวยล้น ความดี

    คนดี มีธรรม ชำระ
    ระคะ โทสะ โลภหลง
    เพียรละ มานะ ทรนง
    เจียมตน ลดละ ราคี

    คนใด ใจทราม กรรมซัด
    กำหนัด เวียนหลง สังสาร
    ชนใด ใจมาร อันธพาล
    กรรมผลาญ ร้อนรน ลงอเวจี

    ธรณี หนี้นี้ ใครภักดิ์
    สมาธิขัด ปฎิบัติ กุศล
    นรชน คนใด ใจตรง
    มรรคผล ดลส่ง นิพพาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...