ไม่มีอะไรในชีวิตที่แน่นอน

ไอ้นี่มันชอบยัดเยียดเรื่องที่ไม่ดีให้ผมอยู่เรื่อย..แหม ชื่นชอบในการด่าว่า..พื้นฐานโทสะเป็นที่ตั้ง..ผู้ที่ไม่มีโทสะย่อมไม่ด่าว่าใคร
คุณมรึงมีปัญญาไหม คิดเป็นรึไม่วะนี่ เขาด่าแบบผู้ดีนี่มันเจ็บยิ่งกว่าด่าแบบหยาบคายอีก คุณมรึงเคยฟังไหม..ไอ้นี่มันใช้ตรรกะแปลกมาจากไหนวะ
ไปเตรียมดอกไม้ธูปเทียน มาไหว้อาจารย์สับสนเร็วววว..จะสอนธรรมให้แบบฟาสแทร็ค..ซีอีโอ.ไป

 

การบรรลุ ถ้าหมายถึง การไม่เหลืออะไรเลย ถ้าเป็นแบบนี้ จะบรรลุธรรมเพื่อสิ่งใดกันล่ะคะ ก็ในเมื่อ คนทั้งหลาย ปฏิบัติเพื่อ พ้นทุกข์ และ ทุกข์ในความเข้าใจก่อนที่ทุกคนจะไปปฏิบัติธรรม นั้นก็คือ ทุกข์ของกายกับใจ ในการใชชีวิต ในโลก ร่วมกับ กายกับใจ ของคนอื่น แล้ว เมื่อคิดว่า บรรลุหรือ เข้าใจแล้วว่า ถึงจะรู้ความจริง ของ กายและใจ แล้ว ว่า ที่มันทุกข์ เพราะ เราหลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่น กับมัน ก็เลย อยู่กับความนึกคิดแล้ว เป็นทุกข์ เพราะออกมาจากความนึกคิดไม่ได้ แล้ว เมื่อเข้าใจ ความจริงแล้วว่า กายและใจ มันไม่ได้ ทำให้เราทุกข์เลย ที่เราทุกข์เพราะเราไม่รู้ ความจริงของมัน ก็เหมือน คนที่ซื้อรถมา มีรถ แล้ว ขับรถใช้รถไม่เป็น คือ มีร่างกายและจิตใจ แต่ใช้ร่างกายและจิตใจไม่เป็น ก็เลย เกิดปัญหาในการใช้งานเพราะ ไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้ความจริง คิดแต่ว่า รถไม่ดี ไม่สวย หรือ ร่างกายและใจไม่ดี ไม่สวย คิดว่าร่างกาบและจิตใจเป็นเหตุแห่งทุกข์ ก็เลยหลงเป็นทุกข์ไงคะ ทีนี้ เมื่อพอเรามารู้ความจริง ว่า ร่างกายและจิตใจ มันก็ นึกคิดของมัน รับรู้ของมันอยู่อย่างนั้น เรา(รู้)หรือสติรู้ ต่างหาก ที่ จะ ต้องเป็นผู้ ควบคุมทั้งร่างกายและจิตใจ ให้ ดำเนินชีวิต ได้โดยการไม่สร้างปัญหาให้เกิดขึ้น ในทุกกรรม ทุกการกระทำ ทุกการคิด เราต้องรู้ และ เข้าใจ ว่า เรารู้เราเห็น ทุกสิ่งที่เป็นร่างกายและจิตใจของเรากระจ่าง แล้ว ดังนั้น มันจะชน จะลงข้างทาง จะสร้างปัญหา เราต้อง ไม่ให้ มัน เกิดขึ้น นั่นคือ เราต้องเริ่มต้น ในการใชชีวิตใหม่ ด้วยความเข้าใจใหม่ ว่า ชีวิตนี้ ร่างกายจิตใจนี้ ต้อง ดีกว่าเดิม ดีกว่าที่เคยเป็น ต้องรู้ดี และ ต้องไม่ทุกข์ ไม่หลงไปทุกข์ กับมันได้อีก ที่ดีกว่าคือ จะไม่หลงไปสร้าง ความทุกข์หรือ ปัญหา นั่นเอง

 

อืม ผมเข้าใจแล้วว่าคุณ เป็นคนที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ อะไรเลย

บอกแล้ว บอกอีก ก็ไม่เข้าใจ ว่าผมไม่สนใจที่จะเป็นศิษย์คุณหลอกครับ

คนที่หลงตนเองแบบนี้ ไปเป็นลูกศิษย์ก็จะยิ่งลงเหวเท่านั้นเอง

 

ถ้าการบรรลุคือเข้าใจแล้ว รู้แล้ว สิ่งที่จะพิสูจน์ ว่า สิ่งที่ตนเอง รู้แล้ว เข้าใจแล้วนั้น ดีจริงหรือไม่เพียงใด ก็คือ การพิสูจน์ตนเอง พิสูจน์ด้วยกรรม หรือการกระทำ นั่นแหล่ะค่ะ
1.ตนเองดีเท่านั้นพอ ไม่อยากพิสูจน์ก็ได้ค่ะ
2.ช่วยเหลือคนอื่นบ้าง เพื่อให้คนอื่น รู้ดี และ เข้าใจดี เหมือนเรา สักคน หรือไม่มาก ก็พิสูจน์ความสามารถของตนเอง
3.หรือ ช่วยเหลือคนอื่น มากมาย ตามที่ ตนเอง สามารถ ก็ แล้วแต่ว่า ตนเองมีความสามารถช่วยเหลือ คนอื่นได้หรือไม่ นั่นเอง.

เพราะ การบรรลุหรือรู้ดี ในสิ่งดีดี แล้ว ย่อมต้องเกิดประโยชน์แก่คนอื่น นั่นคือ ชีวิตเราเองนั่นแหล่ะ หลังจากบรรลุธรรมที่ดีงามแล้ว เราก็จะไม่ทุกข์กับ สิ่งทั้งหลายทั้งปวง เหมือนที่เคยเข้าใจผิด มาตลอดนั่นเอง แม้แต่ จะช่วยคนอื่น ก็ จะไม่หลง เป็นทกุข์ กับ ความไม่เที่ยงของคนอื่นเหมือนกันค่ะ

 

เพิ่งจะเคยเห็นนะคะ ว่ามีการข่มขู่ ให้ มีคน มายอมรับตนเอง ว่ามาเป็นลูกศิษย์
แล้วมีบ้างมั้ยคะ ที่ มีคนไปข่มขู่ให้ คนอื่น เป็นอาจารย์บ้าง น่ะค่ะ

 

.................ปล่าวครับ ผมกล่าว ในบริบท ที่ว่า...ไม่ได้ชี้ชัดหรือชี้ชัดว่า ต้องอย่างนี้สิ คือการพ้นทุกข์...แต่ในฐานะ กัลยาณธรรมอาจจะกล่าว เท่าที่ควรกล่าว..

 

ขอตอบได้มั๊ย ไม่ว่าจะถามใครก็ตาม

มี

 

ปรับการพูดได้เยอะ จนน่าแปลกใจ แต่เนื่องจาก มันไม่ได้มาจากการฝึกจริงๆ

ยังไงมันก็ต้องแฉลบไปทางที่ผิดจนได้

ไอ้ติ่งที่ เริ่มจากคำว่า "ดังนั้น...." เนี่ยะ ไส้ติ่งอักเสบ เป็นผลจาก สติไม่มี
มันจึงไม่ทันความคิด ปล่อยให้ความคิดไหลออกมาแทนสติ ก็เลย วกกลับเข้า
ไป ตักตวงโลก ลักขโมยโลก มาสนองตน

 

พอ สติไม่ทันความคิด แล้ว ยังปล่อยไหลต่อ คราวนี้มันก็ มั่วซั่ว แฉลบ
ออกมาเด่นชัดขึ้น โลกเริ่มแบ่งเป็นสอง ไม่เป็นหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อหนึ่ง และ
ความเป็นหนึ่ง

สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดของประโยชน์คือ เข้าถึงการทำประโยชน์เพื่อธรรม

การแสดงธรรม ก็เป็นการแสดงเพื่อธรรม ไม่ใช่ เพื่อใคร ทั้งนั้น มันถึงจะ
ยังคงความเป็นหนึ่ง หาก การแสดงธรรมมีเพื่อใครขึ้นมา ก็รับรองได้เลย
ว่า เป็นเรื่อง มั่วซั่ว ชัดเจน

คนเหนื่อยจะต้องเกิดขึ้น เพราะการไม่ได้ทำเพื่อธรรม แต่ เพื่อตน มันแทรก
เข้ามา มันมีการลักขโมยเกิดขึ้นมา

 

ขอบพระคุณมากๆ น้ำตาจะไหล ^_^

 

เนี่ยะ ถ้าคุณ อิ่มใจ สลายใจ abcd อะไรเนี่ยะ แทนที่จสรุปเป็นความเห็นพ้วงท้าย
จนกลายเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ ไขว้ด้วยการ หาเรื่องราวที่เป็น ชาดก มากล่าวเสริม
ทับในลักษณะตัวอย่างประกอบ

ผมอาจจะหาที่ ย้อนแย้งแยงไส้ติ่งกบ ไม่ได้เลยก็เป็นไปได้นะ

ถ้าสามารถพูดให้ผมย้อนแย้งไมได้ สบายเลย ไม่เหนื่อย แถมมีปิติ สุข ตลอด

สนใจหรือเปล่า เอา ชาดก มาพ่วงท้ายแทน กลัวหรือเปล่า ที่จะรวมกับธรรมหนึ่งแบบง่ายๆ

 

ถ้ามีสติจริง จะรู้และระลึกแค่จุดเดียว แต่มันจะเห็นและรู้สึกตลอด 360 องศา

หากมองเผิญๆ จะเห็นว่าเรารู้อะไรพร้อมกัน แต่จริงเราแค่ตั้งหลักที่จุดเดียว

หากแตกไปจากนี้ไม่ใช่สติแล้ว เป็นสะแตก

 

กระทู้ " ไม่มีอะไรในชีวิตที่แน่นอน " เริ่มวันนี้ (๙ เม.ย. ๕๕) เวลา ๐๑.๐๔(๑๒.๐๔) PM ขณะนี้เวลา ๐๗.๐๔ (๐๖.๐๔)PM ผ่านไป ๖ ชั่วโมง มีคนโพสทั้งหมด ๗๔ ข้อความ ...มหัศจรรย์จริง ๆ ดิฉันเข้ามาอ่าน โดยเห็นว่ามีตั้ง ๔ หน้า ก็คิดว่าเป็นกระทู้ที่ตั้งขึ้นไว้นานแล้ว พอมาเจอข้อมูลมหัศจรรย์ ก็ขออนุญาตบันทึกไว้ละกัน.... หมายเหตุ ขอเพิ่มเติมข้อมูล (ในฐานะนักบันทึกข้อมูลที่ดี) แปลกดี เวลาเมื่อเข้าระบบ กับออกระบบต่างกัน ๑ ชั่วโมง ....งง ???? เวลาในวงเล็บคือ ออกจากระบบ ...นะคะ เฮ้อ...แค่เวลาก็ไม่แน่นอนซะแล้ว ...เล่นซะงงเลย ???

 

ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ เปลี่ยนแปลงไปไม่มีหยุด

"หนทางช่างแสนไกล ตั้งใจไม่หยุดพัก
แค่เพียงได้สัมผัส จึงรู้ชัดแค่หยุดเท่านั้นเอง"

สาธุครับ

 

เอ้ยยยส์..หยุดเมื่อไหร่มึงเสร็จ..! ไปนอนดูลูกแก้ว ลูกหิน ในมุ้งเลยไปอธิฐานเข้า องค์1-5 หมื่นเอง ไอ้สันขวาน.

 

บ่นอะไรน่ะครับ ไม่รู้แล้วยังจะมาโวยวายอีก น่าสงสารนะครับ คุณน่ะ

บอกไปหลายครั้งแล้ว ว่าแค่หยุดนึกคิด ชีวิตก็จะเข้าใจว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไร

 

คุณนี่ พูดไม่คิด..หากผมหยุดคิดได้ ผมก็ไม่ต้องมานั่งจิ้มแป้นอยู่ตรงนี้หรอก เหมือนคุณนั่นแหละ..ซื่อบื้อ แหม หยุดเป็นสมเสร็จเหรอ..!

 

รีบร้อนไปหน่อยไหมครับ รีบจนพิมพ์ผิดเลย ใจเย็นๆครับ