ไม่มีอะไรในชีวิตที่แน่นอน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 9 เมษายน 2012.

  1. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ปู่จัดโปรโมชั่น แสดงว่าของไม่ดี? หลอกจัดหรือเปล่า!!:mad:
     
  2. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    เอ้ยยยส์..ที่ลดให้มันนั้นเกรงใจผู้ชมเขา เพราะเจ้าตัวมันลังเลใจยังไม่สมัคใจเลยต้องกระตุ้น..
    ..ไอ้หัวน็อตนี่ มันจำเก่ง จำแต่โปรแกรม อย่างเดียว..คิด ไม่เป็น..หนักไปทางจำตัวเลข.กี่ครั้ง กี่หน ..
    .ไหนๆเอ็งก็มาแล้วช่วยปู่อีกแรงวะ...เอ็งก็ช่วยกระตุ้นยอ มันหน่อยซี่ มันคนดี..ของบอร์ดนะเว้ยยยส์ 10ปี จะมีสักคนนะนี่.:mad::cool:
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    วัตรบท 7 แบบย่อๆ

    1. ดูแลมารดาบิดา
    2. ประพฤติอ่อนน้อมต่อญาติผู้ใหญ่
    3. พูดวาจาอ่อนหวาน
    4. ไม่พูดวาจาส่อเสียด
    5. บำเพ็ญทานบารมี
    6. รักษาคำพูด พูดแต่คำสัตย์จริง
    7. เป็นผู้ไม่โกรธ/เอาชนะความโกรธได้ในทันทีที่เกิดขึ้น เป็นต้น

    แล้วทำได้สักครึ่งไหมคุณน่ะ เอาแต่ความเป็นจริงนะ ไม่ต้องโกหก


    หากทำไม่ได้อย่าไปว่าใครว่าโง่นะ มันจะอายเขา ผมน่ะทำทั้งหมดที่ยกมาทุกวัน

    ทำอยู่จนเป็นนิสัย ไม่ใช่ว่าติดดีแค่ความคิดเท่านั้น
     
  4. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ไม่เอาด้วยกับปู่หรอก ถึงผมจะคิดไม่เหมือนกับคุณจขกท.
    ปู่ก็จัดการเองตามแต่ปู่จะคิดเอานะ กรรมปู่ผมไม่กำด้วยหรอก :'(
     
  5. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    เอ้ยยยส์ ..สำหรับมรึงไม่มีกลาง..ต้องเลือกข้าง เข้ามาแล้วไม่ข้างกู ก็ข้างมัน ไม่งั้นกุด่า คนอื่นกูไม่ด่า กูขี้เกียจระแวงหงอกข้างแคร่อย่างมรึงเว้ยยยส์..
    กูมีเหตุผลตรงข้ามกับไอ้หัวน็อตทุกอย่าง..ที่มันยกมา กูขัดมันหมดละ ทัศนะคติมันปนเปื้อนกูต้องค้าน..ค้านลูกเดียว..กูชัดเจนไหมวะ
    ..มึงต้องเลือกข้าง..เร็วววส์:mad:
     
  6. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ผมเลือกข้างปู่แล้วกัน แบบว่า ปู่พลาดผมซ้ำเองไม่ต้องห่วง:cool:
    ปล.ซ้ำปู่นะ เพราะผมไม่มีธุระระรานกะคุณoatthidet
     
  7. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    ไอ้นี่พูดอ่านแล้วปวดหัว..รอซ้ำกู แต่บอกข้างกู เออมรึงไม่คบกัลยา ณ มิต อย่างกรูก็แล้วไป
    ต่อไปไม่นานมึงจะเหงาตายไปเองหากคบไอ้ซื่อบื้อ..นั่งอม ดูดนิ่งเห็นอานิสงส์ เป็นไอติมไปได้ อิ่มใจ ในผลบุญ กระหยิ่มใจ รอวันจะตายห่า..เมื่อไหร่กูได้เห็นนางฟ้าแน่ ไอ้ซื่อบื้อนี่มันคิดอยู่แค่นี้.:mad:
    กูว่า ผีบ้านผีเรือนนะ มันพอจะได้เป็น เพราะมันติดดีว่ะ: พาสชั้นอีกทีก็ เปรต..ติดอานิสสงส์..@
     
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณอยากได้นางฟ้าเหรอครับ จะเอาไปทำอะไรครับ อยากจะขึ้นสวรรค์หรือครับ

    ไปสวรรค์ก็ต้องกลับมาเกิดอีก ไปพรหมโลกยังต้องกลับมาเกิดเลยครับ

    ความตายไม่ต้องรอก็ต้องได้ประสบพบเจออยู่ดี แค่ยอมรับความตายก่อน

    ก็จะวางความร้อนรนลงได้ ไม่หลงไหลไปตามอารมณ์มากมาย
     
  9. abcd efg

    abcd efg สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +1
    ที่ท่านกล่าวว่า มันไม่เสร็จกิจจริงๆ น่ะ ก็ไม่ไช่อย่างที่ท่านเข้าใจหรอกนะคะ ที่ฉันพูดหรือแสดง ดังนั้น...ก็เพราะว่า ถึงแม้เราจะเสร็จกิจเรา แต่ระหว่างที่ยังไม่ตาย สังขารไม่แตกดับ ถ้าเราอยู่เฉยๆ ก็ถือว่าเราไม่มีกิจของเรา อยู่แล้วนี่คะ แต่ที่ฉันกล่าว ดังนั้น...ก็เพราะว่า เราจะไปทำให้คนอื่นเห็นธรรมและเข้าใจธรรมเหมือนเราไงคะ เราทำกิจเพื่อคนอื่นค่ะ ไม่ไช่เพื่อตัวเรา ถามว่า เป็นไปได้มั้ยที่เมื่อเราทำกิจเพื่อคนอื่นที่ยังไม่เสร็จกิจ แล้ว กรรมที่มีการกระทำร่วมกัน ระหว่างคนที่รู้แล้วกับคนที่ยังไม่รู้ ใครจะเป็นคนนำทางที่ดีที่สุด คำตอบก็คือ คนนำทางหรือ ผู้เสร็จกิจแล้วนั่นแหล่ะค่ะ เป็นผู้ที่ ต้อง คอยดู และ ระวัง ช่วยเหลือ ไม่ให้คนที่ยังไม่รู้ หรือผู้ที่ยังไม่รู้ ได้ เดินตามแบบถูกเส้นทาง และ ระหว่างการนำทาง การชี้ทางนั้น กรรมระหว่าง ทั้งสองบุคคล ย่อมต้อง ไม่ให้มี ไม่ให้เกิด เพื่อ สร้างเหตุ เพื่อสร้างผล ให้ได้ ท่านลองคิด ถึง วิธีแบบนี้ไม่ได้สินะคะ ท่านเลย สรุปว่า เป็นการ ตักตวงโลก ลักขโมยโลก มาสนองตน นั่นเพราะ ท่านเอง ก็ยังไม่เสร็จกิจ ท่านเลยไม่เข้าใจว่า ผู้ที่เสร็จกิจแล้ว เขาทำอะไร ไช่มั้ยคะ
     
  10. abcd efg

    abcd efg สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +1
    ถ้าหากการแสดงธรรมไม่ไช่เพื่อใคร ทั้งนั้นอย่างที่ท่านกล่าวมานะคะ งั้น คนเรา หลายๆคน เขาเข้ามาเรียนรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมเพื่อสิ่งใดกันคะ เพื่อ ถ้าเพื่อธรรม มันที่จริงแล้ว ธรรมมะมันก็ เป็นธรรมของมันอยู่แล้วอย่างงั้น คนเราต่างหาก เข้ามา ยุ่งเกี่ยวกับธรรมะ เพื่ออันใด ท่านเคยคิดถึง สิ่งที่ท่านพูดที่ท่านกล่าว ออกมา หรือไม่ว่า ท่านเข้าใจมันได้แล้วจริงๆ นั่นเพราะคำตอบที่ท่าน พูดว่า ถ้าการแสดงธรรมเพื่อใครขึ้นมาก็รับรองว่าเป็นเรื่องมั่วซั่ว ท่านเข้าใจหรือไม่ว่า เพราะท่านไม่เข้าใจต่างหาก ท่านจึงกล่าวคำพูดประโยตนี้ออกมาน่ะค่ะ นั่นเพราะ การรวมธรรมก็ คือการรู้เห็นธรรมเข้าใจธรรม ของคน 1 คน เมื่อคนนั้นรู้และเข้าใจธรรม ก็แสดงว่า คนนั้นเป็นคนดี เข้าถึงธรรม การพูดว่าเข้าถึงธรรม ก็หมายถึง ร่างกายและจิตใจ ดีเท่ากับธรรมแล้ว ถึงเข้าใจธรรมะได้ นั่นเป็นการรวมเข้ากับธรรม เพื่อเป็น 1 เดียวกับธรรม นั่นเอง ดังนั้น การรวมธรรมก็คือ ถ้า คนทั้งหลาย ยกตัวอย่างนะคะ 1 ล้านคน รู้และเข้าใจถึงธรรม เป็นคนดี ก็แสดงว่า คนทั้ง 1 ล้านคน ดีเท่าธรรม เป็นธรรมเหมือนกันหมด เท่าเทียมกัน นี่ไงคะ คือการรวมเป็นหนึ่ง ส่วนที่ท่านกล่าวมานั้น ถือว่า เป็น การพูดการกล่าว เนื่องจาก ตนเอง ไม่เข้าใจ ยังเข้าไม่ถึงธรรม ยังไงล่ะค่ะ ท่านว่า ฉัน กล่าวถูกหรือผิด ล่ะคะ
     
  11. abcd efg

    abcd efg สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอโทษนะคะ ถ้าฉันจะกล่าวว่า การที่คุณแนะนำให้ฉัน ต้องยกเอา บริบท ตัวอย่างจากตำรา จากหนังสือ มาพ่วงท้าย นั้น ฉันถือว่า คนที่ยังต้องยก บริบท หรือตัวอย่าง มาพ่วงท้าย ก็เพราะว่า การแสดงธรรมของเขานั้นยังไม่สมบูรณ์ ต่างหาก เลย ต้อง ยกเอา อย่างอื่น มาพ่วง มาร่วมแสดงด้วย แต่ถ้าหากว่า ธรรมที่แสดงของใครก็แล้วแต่ มันครบ สมบูรณ์ จบความในประโยคที่ฉันแสดง อย่างที่คุณ ชมฉัน ฉันก็ขอบอกกับคุณว่า ที่ฉันแสดง มันครบบริบูรณ์แล้ว ไม่เห็นว่าจะต้อง ยกเอา สิ่งอื่นใด มาพ่วงเพื่อให้ มากเกินความจริง หรอกนะคะ ท่านลองคิดดู เองก็แล้วกันนะคะ ว่า ทุกการแสดงธรรมของท่าน ท่านหนีไม่พ้นการ ยกตำรา ยกพุทธพจน์ ยกคำครูอาจารย์ มา ประกอบ เพื่อให้ สมเหตุสมผล ทุกครั้ง นั่นเพราะอะไร รู้มั้ยคะ เพราะคุณก็รู้ด้วยตัวคุณเองอยู่แล้ว ว่า ถ้าคุณไม่ยกตัวอย่างมา การแสดงธรรมของคุณก็ไม่สมบูรณ์ คนอื่นอ่านแล้วจะไม่เข้าใจ คุณเลยต้องยกมา นั่นแสดงว่า ธรรมที่คุณพูด ธรรมที่คุณกล่าว ธรรมที่คุณมาแสดง มัน ไม่สมบูรณ์ คุณเลยต้องยกจากตำรา หนังสือ ครู อาจารย์ หรือ พุทธพจน์ มาร่วมพ่วงท้ายด้วยเสมอ ความจริงคุณรู้มั้ยคะ ก็เพราะ คุณ ยังรู้ไม่หมด รู้ไม่จริง ไม่เชื่อว่าที่ตนเองพูดนั้นถูก ไงคะ คุณขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ในธรรมที่ตัวเองรู้ แสดงว่า คุณยังรู้ไม่จริง นั่นเองค่ะ ฉันพูดถูกหรือผิดคะ
     
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ....................จริงจริง ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่ ไม่เข้าใจ ที่คุณโพส ได้ชัดเจนจริงจริง เพราะ...ที่ว่ามันว่างตั้งแต่ใหนแต่ไร คุณอาจจะอธิบายไม่ชัดเจนผมเลย แสดงความเห็นต่อมา ที่จริงเป็นเรื่องนี้แหละครับ:cool:
     
  13. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,940
    คนที่เขาถึงธรรม ผมไม่เคยเห็น เขาจะลงไปเจ้ากี้ เจ้าการ อะไรกับใคร

    ตรงกันข้าม

    เขาจะวางตัวเป็นเพียงแค่ ผู้ขออาหาร หรือ ภิกขาจาร นี่คือ สัมมาอาชีวะ

    หากมีผู้ให้อาหารแก่ผู้รู้ธรรม เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะ ถ่ายทอดธรรมให้เกิด
    โดยไม่จำเป็นต้องแสดงธรรมก็ได้

    ศิลปการปลูกถ่ายเมล็ดพันธ์นั้น คนรู้ธรรมจริงๆ เขาทำกันง่ายๆ ด้วยความเงียบ

    คนที่ไม่รู้ธรรม แต่อ้างไว้รู้ธรรมนะ มันเหมือน หมาเที่ยวไปเลียขาคนอื่นเพื่อให้
    เขาสนใจฟังอะไรต่อมิอะไรจากตน
     
  14. abcd efg

    abcd efg สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +1
    ถูกต้องแล้วค่ะ ถ้าเรา นั่งข้างสนามฟุตบอล เราก็เห็นในมุมที่แคบ ต้องคอยหันหน้า มองซ้ายมองขวา และไม่เห็นด้วยว่า คนที่นั่งข้างหลังเรา เขาเป็นยังไง แต่ถ้าเรา ขยับ มานั่ง ที่ รอบนอกสุดของ อัฒจันทร์ เราก็จะเห็นทั้งสนามฟุดบอลเลยค่ะ และ จะดีมากกว่า ถ้าเรา มองลองมาจาก เฮลิคอบเตอร์บนฟ้า นะคะ ยิ่งเรา ไม่ จำกัด การมอง ของเรา เรายิ่ง ได้ มุมมอง ที่กว้าง ขึ้น คุณพูดถูกค่ะ
     
  15. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,940
    เรื่อง ชาดก ที่ผมให้คุณพ่วงท้าย ให้คุณไปอ่าน ไปศึกษา แล้วเอามาประกอบ
    การกล่าวนั้น

    คนที่รู้ธรรม เขาจะทราบว่า มันเว้นไม่ได้ ต้องทำ ใครว่างเว้นเรื่องนี้แปลว่าคนๆ
    นั้นไม่รู้คุณค่าของธรรม

    ดั่งจะเห็นได้จากพระที่ท่านเลิศแล้ว ท่านจะไม่เว้น การกล่าวเรื่อง ชาดก อย่าง
    น้อยจะต้องมีการพ่วงไว้ด้วยเสมอ

    คนที่รู้ธรรม เขาจะรู้ว่า ยกอะไรไว้

    ส่วนพวก หัวขโมย มันจะไม่กล้าแม้แต่จะยกมา เพราะมันจะทำให้รู้ทันที
    เลยว่า ใครเป็นหัวขโมย

    การปฏิเสธการยก ชาดก นั้น จึงเป็นเรื่องของ พฤตินัยของหัวขโมยธรรม
    โดยทั่วไป
     
  16. abcd efg

    abcd efg สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +1
    ที่คุณพูดว่า คนที่เข้าถึงธรรมนั้น เขาจะไม่ไปเจ้ากี้เจ้าการกับใคร คุณเอาตัวอย่างมาจากไหนคะ คุณอย่าได้ดู พระสงฆ์ ในปัจจุบัน มาเป็นตัวอย่างสิคะ อย่างน้อยคุณก็ น่าจะเคยอ่าน ประวัติของพระอาจารย์มั่นมาบ้างนะคะ ว่า ท่าน ยังเจ้ากี้เจ้าการ กับ พระลูกศิษย์ ที่เขา ตั้งใจจริง เห็นมั้ยว่า พระอาจารย์มั่น ยังเจ้ากี้เจ้าการ (อันนี้ สิคะ ถึง บ่งบอกได้ว่า รู้ธรรมจริง จึงกล้าพูดกล้าทำ กล้าเจ้ากี้เจ้าการ) ขอยกตัวอย่างผู้รู้จริงอีกคนนะคะ นั่นคือ พุทธองค์ไงคะ เห็นประวัติพุทธองค์มั้ยคะ ว่า เมื่อท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่าน ปล่อยวาง สัตว์โลกมั้ยคะ สุดท้าย พุทธองค์ยัง ต้อง ตัดสินใจเลือกที่จะโปรดสัตว์ แล้วคุณคิดว่า ...ที่คุณกล่าวมาพูดมา ว่า ผู้บรรลุธรรมจริงนั้นต้อง นิ่ง เป็นใบ้ งั้นหรือคะ ฉันขอพูดเลยนะคะ ว่า ที่นิ่งเป็นใบ้ เพราะ รู้ไม่จริง ต่างหาก เลยไม่กล้าแม้แต่จะพูด คุณว่าฉันพูดถูกหรือพูดผิดคะ
     
  17. abcd efg

    abcd efg สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +1
    แล้วทำไมไม่คิดบ้างล่ะว่า เวลาที่ตนเองแสดงธรรม ที่ตนเองพูดออกมา กล่าวออกมา ด้วย ปัญญาของตนเอง แล้วทำไม ยังต้อง ไปยกชาดก ไปยกเรื่องของผู้อื่น มาอ้างอิง คำพูดของตนเองทำไมคะ แบบนี้ ไม่เรียกว่าขโมยของคนอื่นมา หรือคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2012
  18. abcd efg

    abcd efg สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +1
    และอีกอย่างนะคะ ปัจจุบันนี้ วันนี้ เรื่องของวันนี้ หรือ งานของวันนี้ เวลาที่เรา กระทำ งานของวันนี้ ควรหรือคะ ที่ จะต้อง ยกอดีต ยกเรื่องที่ผ่านมาแล้ว หรือยกเรื่องเก่าๆ มาเพื่ออ้างอิง ปัจจุบัน คะ หรือคุณคิดว่า ธรรมะในปัจจุบัน เมื่อแสดงแล้ว ปัจจุบันนี้ ไม่มีตัวอย่าง ให้เห็น เพื่อ ยกมาแสดงและอ้างอิง เพื่อให้มันเข้ากับ ปัจจุบันกาลหรอกหรือคะ คุณคิดได้แค่นี้หรือคะ คุณคิดว่า เราพูดเราแสดงธรรม ในวันนี้ แล้วเราต้อง เอาตัวอย่างที่มีให้เห็น มาจาก 2500 ปีที่ผ่านมาแล้ว เท่านั้นหรือคะ ตกลง คนในปัจจุบัน กับคนในอดีต มันเหมือนกัน หรือคะในทาง สังคมและ การเรียนรู้ น่ะค่ะ คุณถึง พูดกับคนในปัจจุบัน แต่ยก ตัวอย่าง ของ 2500 ปีที่แล้ว มาอ้างอิง คุณคิดอะไร อยู่หรือคะ คุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ
     
  19. abcd efg

    abcd efg สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +1
    แสดงว่า ความเข้าใจ ของ จิตวิญญาณ มันกำลัง ถอยกลับเข้ามาที่โลกน่ะค่ะ ที่ ตัวเราทุกคน มันกำลัง ลดความฟุ้งซ่าน เพื่อ กลับมา ที่ร่างกายและจิตใจ มันคือ สภาวะ การ รวมจิต เพื่อ ให้เข้ามาอยู่กับ ปัจจุบัน ไงคะ จิตที่ฟุ้งซ่าน ทั้งหลาย กำลัง กลับบ้านน่ะค่ะ เวลา ไม่มีจริงค่ะ มันมีแค่ การฟุ้งออก และการฟุ้งเข้า หรือการวิ่งไปมา ของจิต น่ะค่ะ มันเลยเหมือน เวลาเดินถอยหลัง แต่ไม่ไช่หรอกค่ะ เวลา มันเดินช้า ต่างหาก ค่ะ เพราะ จิตมันเข้าหาตัวเรา รวมกัน ไม่ได้แตกออกไป น่ะค่ะ
     
  20. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ แม้แต่ความเป็นไป ณ ขณะนี้ ก็ตามที

    "หนทางที่แสนไกล เหนื่อยยากลำบากเหลือ มีชีวิตอยู่ก็เพียงเพื่อ เฝ้ารอซึ่งความตาย"

    สิ่งทั้งหลายเป็นสิ่งที่มีอยู่ เมื่อมีเราเท่านั้นเอง หากไม่มีเราแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่แน่นอน

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...