ขอทราบครับว่าท่านใช้เวลาเท่าไหร่จนกว่าจะหายจากการปรามาสพระรัตนตรัย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 11 เมษายน 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมปรามาสพระรัตนตรัย จู่ก็ปรามาสขึ้นมาเอง เห็นความคิด

    แล้วผมดูการ์ตุนมันจะมีคําด่า แล้วความคิดมันก็ปรามาสทันที ผมเลยไปเถียงมัน ว่ามันไม่จริง พระพุทธเจ้ามีศีลไม่ทําร้ายใคร มีแต่ความเมตตา

    แล้วที่ชอบปรามาสบ่อยคือ พระพุทธเจ้าขอข้าวคนกิน ไม่ทํามาหากิน ผมแก้ไปว่า ถ้าพระพุทธเจ้าทําข้าวกินให้พระสงฆ์ทําข้าวกินเอง นี่ไม่สมควร จะเป็นการเพิ่มกิเลศไปอีก แบบนี้ดีแล้ว แล้วญาติโยมก็จะได้ทําบุญ ได้เข้าถึงแดนพระนิพพานได้ง่ายๆด้วย เพราะพระพุทธเจ้าตอนเช้า บิณฑบาต (พระสงฆ์ด้วย) ท่านก็ให้พร หรือแสดงธรรมโปรดแล้วได้มรรคผลนิพพาน

    ผมเลยใช้ปัญญา (ปัญญารึเปล่าก็ไม่รู้) เราได้กําไรเยอะแยะมากมาย ได้มรรคผลนิพพาน ได้ความรวย ได้ปิติจากการเห็นพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์
    ถ้าจะเทียบกับข้าวนี่เราได้กําไรมากมาย พระพุทธเจ้าท่านได้สาวกคนใหม่(คิดแบบนี้ได้ไหมหว่า)
    (คนสมัยพุทธกาลนี่โชคดีมากๆ)
    ตอนนี้ผมมักจะสู้บางครั้งก็เกิดอาการปรามาสก็แย้งไปเรื่อยๆ ผมเกิดอาการเบื่อ เบื่อความคิด ไม่อยากคิด อีกแล้ว อยากจะเฉยๆ เบื่อๆ เบื่อนี่ืคือไม่เอาแล้ว

    แต่มันจะมีอาการสนุกกับการปรามาส ที่สนุกนี่คือไอ้ความเลวมันสนุก แต่ตัวผมมันไม่สนุกตาม กลัวนรกอเวจีมหานรก ผมไม่อยากไป ผมอยากไปแดนพระนิพพาน

    แล้วก่อนนอนผมเจริฐกรรมฐาน แล้วหวังจะบูชาพระรัตนตรัยด้วยการจะเป็นพระอริยเจ้า แต่ต้องเจริญกรรมฐาน อยากเห็นพระรัตนตรัย เห็นพระพุทธเจ้า หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านดีใจ ท่านเห็นลูกศิษย์ท่านได้เป็นพระอริยเจ้า ท่านก็คงดีใจ ตอนคิดแบบนี้จิตของผมก็เบิกบาน มันสบายดีมันยิ้ม แต่แตกต่ง ถ้าปรามาสใจมันไม่ยิ้มมันไม่เบิกบาน จะเป็นด้านลบมากกว่าเหมือนเหยียดยามคน แต่พอคิดแบบนี้เกิดอาการดีใจ แล้วจะทําตัวเองให้เป็นพระโสดาบันให้ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2012
  2. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เป็นพระโสดาบันเมื่อไร ก็หายเมื่อนั้น

    ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับบารมีหรือกำลังใจของตัวคุณเอง


    เจริญในธรรมครับ
     
  3. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,687
    ค่าพลัง:
    +12,591
    กรรมที่ปรามาสนั้นแหละ จะขวางมรรคผลของคุณ ซวยแล้วไอหนู ^^
     
  4. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    นี่ไปจำคำใครเขามา ที่ว่า "ขอข้าวคนกิน" น่ะ

    พอเวลา มีความคิดแบบนั้นนะ ให้คิดใหม่ ย้ำเตือนตนว่า :

    "พระพุทธเจ้า และเหล่าอริยสงฆ์สาวก ท่านไม่ได้ขอใครกิน
    นั่นเขาเรียกว่า "ท่านออกมาบิณฑบาตรเพื่อโปรดสัตว์" หากใครได้ใส่บาตร ก็นับว่าเป็นผลานิสงค์ยิ่ง
    นี้คือ หนึ่งใน "พุทธกิจ5" และเหล่าท่านอริยสงฆ์สาวกได้ดำเนินรอยตามมา อันสมณะย่อมไม่หุงหากินเอง"
     
  5. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เมื่อจิตใจเกิดศัทธาพระรัตนตรัยอย่างจริงใจ จึงจะไม่ปรามาศ

    หาไม่แล้ว ก็จะปรามาศอยู่อย่างนั้น เพียงแค่ฟังความมา ไม่เพียงพอที่จะเอาชนะการปรามาศได้

    ศัทธา หรือ ความเชื่อนี้ มีผลอย่างมากมาย ที่ทำให้มนุษย์ก้าวเดินไปในเส้นทางการใช้ชีวิต

    ผู้ที่ปรามาศ พระรัตนตรัย บ่งบอกถึงการไม่เชื่อถือ หรือ ไม่ศัทธาด้วยใจจริง เป็นเช่นนี้แล

    สาธุครับ
     
  6. พยัคฆ์ร้าย

    พยัคฆ์ร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,411
    ค่าพลัง:
    +161
    อนุโมทนาสาธุครับ...catt9catt9catt9
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
    [๑๖๗] ลำดับนั้นแล เป็นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออก จากที่พักผ่อนแล้ว
    เสด็จไปยังนิโครธาราม แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูไว้ ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงบันดาล
    ด้วยอิทธาภิสังขาร ให้ภิกษุเหล่านั้นเกรงกลัว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคจนถึงที่ประทับ ทีละรูป
    บ้าง สองรูปบ้าง ครั้นแล้วต่างก็ถวายบังคมแล้ว นั่งลง ณ สถานที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้น
    ภิกษุเหล่านั้น นั่งลงเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสพระพุทธวจนะว่า ดูกรภิกษุทั้ง
    หลาย ข้อเลวทรามของการเลี้ยงชีพทั้งหลาย ก็คือการแสวงหาบิณฑบาต. ภิกษุทั้งหลาย ย่อม
    ได้รับคำแช่งด่าในโลกว่า เป็นผู้มีมือถือบาตรเที่ยวแสวงหาบิณฑบาต. ดูกรภิกษุทั้งหลายก็กุลบุตร
    ทั้งหลาย เป็นผู้เป็นไปในอำนาจแห่งเหตุ อาศัยอำนาจแห่งเหตุ จึงเข้าถึงความเป็นผู้แสวงหา
    บิณฑบาตนี้แล ไม่ใช่เป็นคนหนีราชทัณฑ์ ไม่ใช่เป็นคนขอให้โจรปล่อยตัวไปบวช ไม่ใช่เป็น
    คนมีหนี้ ไม่ใช่เป็นคนมีภัย ไม่ใช่เป็นคนมีอาชีพแร้นแค้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อีกอย่าง
    หนึ่ง กุลบุตรนี้บวชแล้ว โดยที่คิดเช่นนี้ว่า เราทั้งหลายเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ
    ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ครอบงำแล้ว มีทุกข์ประจำ
    แล้ว ไฉนหนอ ความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ. แต่ว่ากุลบุตรนั้น เป็นผู้
    มากด้วยอภิชฌา มีราคะกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจ อันโทษะประทุษ
    ร้ายแล้ว มีสติหลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ มีใจไม่เป็นสมาธิ มีจิตหมุนไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวบุคคลผู้เสื่อมแล้ว จากโภคะแห่งคฤหัสถ์ด้วย ไม่ทำประโยชน์ คือ
    ความเป็นสมณะให้บริบูรณ์ด้วยว่า มีอุปมาเหมือนกับดุ้นฟืนในที่เผาศพ ซึ่งไฟติดทั้งสองข้าง
    ตรงกลางก็เปื้อนคูถจะใช้เป็นฟืนในบ้านก็ไม่ได้ ฉะนั้น.

    ----
    ภิกษุเป็นผู้เข้าถึงอาชีพขอทานครับ
     
  8. jintanakarn

    jintanakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +236
    ความไม่รู้ย่อมนำมาซึ่งความประมาท การรู้ตัวรู้ตนบ่อยๆเป็นการดี
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ................รู้จักจิตตั้งมั่นก่อน จะเข้าใจว่า จิตสังขารคืออะไร ความคิดทั้งหลาย คือ จิตสังขารทั้งนั้น ...จิตที่ตั้งมั่น คือเข้าใจและเป็นผู้รู้ดูการเกิด จิตสังขารเหล่านั้นอยู่ด้วยสติ ..ก็จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งปรุงแต่งทั้งนั้น มันเกิดจากสังขารนึงแล้วดับ แล้วอีกสังขารก็เกิดขึ้น อีก วนอยุ่อย่างนั้น ไม่ใช่ของเรา.....ทีนี้การ รู้และเข้าใจอะไร ต้องมีการภาวนา ถ้าไม่ทำก็ไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้......มหาสติปัฎฐานสี่ นั่นแหละ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม:cool:
     
  10. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    เมื่อรู้ว่าปรามาส ให้คิดขอขมาทันทีครับ แล้วมันจะหายไปเอง :cool:
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ....................ส่วนเรื่องเพศบรรพชิต นั้น เป็นความพร้อมที่จะสละทางโลกแล้ว...ใครพร้อมก็เข้าไปสู่การเป็นพระ ที่มีการปฎิบัติศึกษาภาวนาอย่างยิ่งยวด ไม่ใช่ไปนั่งเล่นนอนเล่น เอาสุขสบาย........อาชีพทางโลก มีการสะสม มีความตระหนี่มีความหวงกั้นผู้ไม่เอาทางโลกแล้วจึงไปบวชเป็นพระ ไม่เกี่ยวกับความสุขสบายทางโลกอันไม่จีรัง ลูกเศรฐฐี หรือ ตัวเศรฐฐีมากมายก็ออกบวช และออกบิณบาต....ท่านพุทธทาสเอง ท่านเป็นลูกคนรวยนะ ที่ดินตรงสวนโมกข์ก็เป็นของโยมแม่ท่าน ถ้าท่านคิดเรื่องโลก ไม่บวชเป็นพระแค่ขายที่ดิน รับมรดก มาใช้ชีวิตทางโลก ท่านก้เป็นเศรฐฐีคนนึง จะไปบวชให้ลำบากทำไม จขกท ความคิดยังแคบไป...หลวงพี่คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง ปทุมธานีก็เช่นกัน ก่อนบวชท่านเป็นทหาร มียศเป็นนายพัน โยมแม่ท่านก็มีที่ดินเหมือนกัน ก็ตรงวัดนาป่าพง ปัจจุบันนี่แหละ......การบวชเรียน และ บิณบาตร จึง เป็นการดำรงเพศนักบวชเป็นสิ่งมหัศจรรย์ปรากฎในโลกนี้ ไม่เชื่อว่าบวชแล้วต้องภาวนาและต้องตัดทางโลกไม่ได้เสพกามดูผู้หญิงเหมือน จขกทแล้ว ก็ลองคิดว่าตัวเองต้องบวชไปตลอดดูสิ ว่าจะทำได้ใหม?:cool:
     
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    ลองมาเรียน ของที่ฟังได้ยาก เข้าใจได้ยาก กันดู

    ย้ำนะว่า ฟังยาก ฟังแล้วจะไม่เข้า ยิ่งพวกภาวนาไม่เอาไหน ฟังปั๊ป ไม่เข้าหูเลย

    ***************

    มาเรียนเรื่อง อาหาร4 กัน คือ
    1. อาหารคือ คำข้าว
    2. อาหารคือ ผัสสะ
    3. อาหารคือ มโนสัญญะเจตนา
    4. อาหารคือ วิญญาณ

    สิ่งใดที่ได้เสพอาหาร แปลว่า สิ่งนั้นมีชาติ มีชรา มีมรณะ "มีภพ"

    คุณเจ้าของกระทู้ ได้วิจัยธรรมออกมาว่า เห็นจิตปรามาสทันทีที่เกิดผัสสะกระทบ
    คือ ดูการ์ตูน และ มีคำด่า

    ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า อะไรคือ ภาชนะ อะไรคือ อนุภาชนะ หากไม่เข้า
    ใจตรงนี้ จะภาวนาผิด

    จากที่คุณวิจัยว่า ดูการ์ตูนมีคำด่า คำด่า เป็น อนุภาวชานะ การตูนเป็นภาชนะ

    หรือ กล่าวอีกแง่หนึ่งคือ การตูนนั่นแหละ เป็น เหตุให้มี คำด่า ปรากฏ ดังนั้น
    คนฉลาดเขาจะดับที่เหตุ เขาจะไม่ ปรักปรำเอาตรงอนุภาชนะ

    ดังนั้น หากประสงค์จะไม่กระทบ ผัสสะ เพื่อเป็น อาหาร ให้ ภพบริภาสพระ เกิด
    ขึ้นจะต้อง ดับตรงที่ ไม่ดูการ์ตูน แต่ ถ้าภาวนาไม่เป็น ไม่สวนทวนกระแสไปหา
    เหตุ ก็จะ จับผิด คิดว่า การตูนที่มีคำด่าเท่านั้น เป็นผัสสะ

    พอ ทวนกระแสมาที่ การตูนนั่นแหละ คือ เหตุของคำด่า แล้วคราวนี้ อนุโลมลง จะ
    เห็นทันทีว่า การหัวเราะ มุขตลก มุขหัวเราะ มุขด่า มุขขำ ล้วนแต่ เป็น มุสาวาท
    ทั้งหมด ผิดศีลทั้งหมด ดังนั้น การ์ตูน คือ รังแห่งผัสสะที่พาเราไปผิดศีลของ
    มุสาวาทะ ได้ตลอดเวลา


    เนี่ยะ พอเข้าใจไหม เราไปเลี้ยง ภพ-การมีจิตปรามาสพระ เอาไว้เอง โดยการ
    สะสมผัสสะคือ การดูการตูน

    **************************

    ทีนี้ มาดู มโนสัญญเจตนาหาร อีกตัวหนึ่ง ตัวนี้คือ การตั้งวิธีการดิ้นรนเอาชีวิต
    รอดเอาไว้ ตั้งแง่เอาไว้ว่า จะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ จะนมสิการอย่างนั้น จะ
    ดำริอย่างนี้ จะนึกถึงคนๆนั้น จะนึกถึงพระอย่างนี้ เหล่านี้คือ มโนสัญญาเจตนา

    ซึ่ง เป็นอาหารอีกอย่างหนึ่ง กระทำแล้ว ก็ทำให้เกิด ภพ เกิด ชาติ และ เลี้ยง
    ให้ ภพชาติบางประการ มันอ้วน และยอกย้อนมาเล่นงานเราอีกที

    จะต้องให้ บรรยายลงรายละเอียดไหมว่า เธอ ตั้งใจจะน้อมนึกถึงไร ต่อมิอะไรบ้าง
    แต่ทว่า เมื่อตั้ง มโนสัญญาเจตนาหารแล้ว กลับทำให้ ภพ ของการ ปรามาส มัน
    อ้วนขึ้น มันยอกย้อนเราตลอดเวลา เพราะ ความโง่ ภาวนาอย่างไม่เข้าใจในทุกขสัจจ
    ที่เกิดจากการ ยึดมั่นถือมั่นใน ..................... และ ทุกสิ่ง ที่เป็น "อาหารของจิต"

    ***********

    นี่ยังเหลือ วิญญาณอาหาร นะ ยังไม่ได้กล่าวถึง ตัวนี้จะละเอียด เรียกว่า ทุกสิ่งที่
    เป็น เครื่องรู้ของจิต หรือ จิตไปรู้ เหล่านั้นคือ ตัวก่อให้เกิดภพ เกิดชาติ ทั้งหมด

    แต่พอมาถึงตัวนี้ หากยังภาวนาไม่เอาอ่าว วิปัสสนาญาณยังไม่ได้เลย มันจะนึกไม่ออก
    ว่า จะพ้นจากวิญญาณาหารไปได้อย่างไร เพื่ออะไร พ้นแล้วได้อะไร เพราะ คนส่วน
    ใหญ่คิดว่า มันต้องมี เพื่อให้ ตนดำรงค์อยู่ ไม่สามารถก้าวข้ามอย่างผู้มีภาวนามัย
    ปัญญาที่แท้จริงได้


    **********************


    ก็นะ อันนี้โพสไปตามที่เคยบอกเอาไว้แล้วว่า จะเจอกันอีกครั้ง เมื่อ ภพชาติยังมี

    หวังว่า คราวนี้คงพอทำให้เห็นอะไรได้บ้าง ว่า ไอ้ที่ตั้งธงไว้ว่า ต้องไปเจอคนนั้นคนนี้
    นั่นแหละ ตัวเชื้ออกุศลธรรมอันเลวสิงอยู่ในธรรมารมณ์ หากพิจารณาได้อย่างไรแล้ว
    คราวนี้ จะฟังธรรมจากภายในตนเป็น ไม่มีใครหน้าไหนมาแสดงธรรม หรือต้องไป
    ร้องหาใครเพื่อให้เข้าถึงธรรมอีก ทุกคนย่อมตรัสรู้ชอบได้ด้วยตนเอง พึ่งตัวเองได้
    และ "ธรรม" เท่านั้นที่เป็นศาสดาแทนทุกสิ่ง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์สวมชฏา ไม่ใช่เมืองแก้ว
    อะไรทั้งนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2012
  13. djunsri

    djunsri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +933
    ผมก็เคยเป็นครับ แรกๆกลุ้มมากพอเราเริ่มปฏิบัติจากจิตที่เลือนลอยคิดออกนอก จะกลายเป็นเริ่มมีสติและเริ่มดูจิตตัวเองก็จะเริ่มมีอาการนี้ขึ้นมา เท่าที่ทราบเป็นกันหลายคน พอดีผมโชคดีที่มีกัลยานมิตรที่รู้จักหลายคน มีคนหนึ่งท่านเคยเป็นโยมอุปฐากหลวงปู่บุดดา ถาวโร ที่สิงห์บุรี ท่านเล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่งหลวงปู่เคยพาไปพบพระสุปติปันโนท่านนึงผมจำชื่อไม่ได้ ทั้งๆที่พี่คนนี้ก็รู้ว่าท่านเป็นพระที่ดี แต่ในใจคิดปรามาสตลอด พอกลับมาพี่เค้าก็เรียนถามหลวงปู่บุดดาว่าทำไมลูกถึงเป็นยังงี้ ทำยังไงดี หลวงปู่บอกว่าให้ดูอยู่เฉยๆ เรามันยังมีกิเลสอยู่ สังขารด้านไม่ดีมันก็ปรุงขึ้นมาเพื่อให้จิตเราขุ้น ถ้าเรารู้เสียว่ามันไมใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในมัน มันไม่มีในเราเสียก็จบ มันปรุงขึ้นมาก็รับทราบ ว่าเจ้านี่ยังอยู่ แต่ไม่ต้องไปกังวลตามมัน ทำอย่างนี้นานๆไปมันหายไปเอง ผมทำตามที่พี่เค้าเล่าให้ฟังก็ได้ผลครับมันดีขึ้น แต่นานๆทีมันเอาเหมือนกัน ก็ต้องปรามมันว่าเจ้ากิเลสอย่ามายุ่ง เราจะปฏิบัติธรรม มันก็หายไป ลองดูครับ
     
  14. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    :cool:มันไม่ได้อยู่ที่เวลา..มันอยู่ที่ความคิดเห็น ทิฏฐิ สิ่งที่คุณมีและทำนั้นนั่นมันความคิดของคนที่ไม่ศรัทธาต่างหาก..แก้โดยหาเหตุผลอะไร จะทำให้คุณศรัทธาก็นำมาคิดดู
    ..ไม่ผิดหรอกเมื่อไม่ศรัทธาก็ไม่เคารพ.. สมัยพุทธกาลก็มีนักบวช นอกลัทธิมากมายที่ด่า พระพุทธองค์ เขาก็แก้คติกันไป..พระนาคเสน กับพระยามิลินทร์ ถึงกับจับพระสงฆ์มาฆ่าก็มีเห็นไหมหนักกว่าคุณอีก..
    แก้ที่ความคิด เรียนรู้แล้วใช้การปฏิบัติมาแก้ดูครับ หากเป็นจริง ก็ขอขมาทีหลังได้ครับ.
     
  15. misteryo

    misteryo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +586
    สัญญามันปรุงแต่งสินะครับ :cool:
     
  16. wechza

    wechza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +246
    ผมบ่อยเลยครับ ตัวนี้ละทำให้เราท้อต่อการปฎิบัติยิ่งปฎิบัติมากๆยิ่งเห็นความคิดของตัวเองและก็เกิดอาการอยากคิดแต่สิ่งๆดีๆทำต่สิ่งที่ดีๆเลยทำให้เรารู้สึกกลัวว่าจะไปปรามาสคนที่เราเคารพศรัทธาเลยเกิดอาการกลัววาเราจะคิดยังงั้นยังงี้กับท่านผู้ที่เราเคารพแล้วเราก็เกิดอาการหดหู่ใจเมื่อก่อนผมก้ไมเข้าใจตัวเองเลยวาทำไมยิ่งผมศรัทธาใครมากๆและเคารพใครมากๆจะต้องเกิดอาการกลัวเช่นนี้จนทำให้เกิดท้อและหดหู่ใจในความตำ่ช้าเลวทรามของความคิดของเราพอมานึกดีๆ เมื่อก่อนเราเจอใครๆที่เดินผ่านไปมาเราก็คิดกับเขายังงั้นยังงี้โดยที่ไม่สนใจว่าจะเป็นบาปเลยเพราะเราไม่ได้เคารพและศรัทธานั่นเองเลยทำให้เราไมม่กลัวบาปและไม่รู้สึกผิดอะไรแต่พอมาเจอท่านผู้ที่เรารักและเคารพคนที่เราบอกกับตัวเองว่าคนนี้เราคิดกับทานแบบนี้ไม่ได้เอาละสิความกลัวว่าเราจะคิดเกิดขึ้นมาหดหู่เลยทีนี้ถ้าเราคิดกับคนทั่วไปทางใหนจิตเราหนักไปทางใหนปรามาสจะมาหนักในทางนั้น จิงๆแล้วเราไม่ได้ปรามาสหรอกครับแต่เป็นความเคยชินของจิตเราที่เคยคิดและเคยเป็นมา เมื่อเรารู้อย่างนี้เราก็ปล่อยมันไปขออโหสิกรรมทุกวันตอนสวดมนต์ภาวนาและเมื่อเราใช้ชีวิตประจำวันไม่ว่าเจอใครๆ้ขอให้รู้เท่าทันความคิดของเราไม่ไปปรามาสท่านผู้ใด แล้วมันก็จะค่อยๆคลาหายไปเองคนเราความคิดนั้นมีทั้งดีและชั่วเพราะฉนั้นปล่อยให้มันเป็นเรื่องของความคิดไปส่วนตัวเรานั้นก็รู้ไปตามความคิดหากดีก็รู้ชั่วก็รู้เมื่อรู้ทันแล้วก็ปล่อยอย่าไปติดกับความคิดเพราะนั้นเป็นเหตุของความเศร้าหมองและหดหู่ทำให้เราท้อและไม่อยากปฎิบัติภาวนาครับ
     
  17. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    จริงครับที่ท่านบอก แต่บางครั้งผมก็ปุถุชน ก็ไม่มั่นใจผมต้องเป็นพระโสดาบันให้ได้ถึงจะหมั่นใจ ใส่ผมไม่ค่อยใส่บาตรพระ ตอนอยู่เมืองไทย เพราะเป็นคนตื่นสาย แล้วไม่ค่อยไปวัด เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่า ศาสนาพุทธที่แท้จริงคืออะไร รู้แค่กฎแห่งกรรม เรื่องศีลแค่นั้น รู้แค่ทําดีได้ดีทําชั่วได้ชั่ว เลยคิดว่า การคิดดี ก็ได้บุญแล้วก็แค่นั้น เงินเก็บเอาไว้ใช้เองแต่พอมาตอนนี้รู้อานิสงค์เลยอยากจะทําบุญ จะได้มรรคผลนิพพานเร็วขึ้น

    พี่พูดถูกครับ แต่บางครั้งก็ความคิดมันด่า แล้วผมก็แก้เช่น พระพุทธเจ้าท่านไม่ดีจริง ผมเลยแก้ พระพุทธเจ้าท่านดีจริงๆแน่นอน ท่านมีศีล มีเทวธรรม และเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้โดยชอบ และเป็นบรมครู ของเหล่า มนุษย์ เทวดา ไม่เคยโกรธใคร

    แก้จนเบื่อ

    จริงๆผมกลับไทยปีก่อน ศึกษาธรรมแล้วนั่งสมาธิเกิดสุขเลยอยากจะออกบวช ทันทีเลย บวชวันนั้นได้ยิ่งดี แต่ ญาติๆก็มาบอก รอเรียนให้จบก่อนดีกว่า ยังไม่ได้สร้างบ้านให้แม่เลย ผมก็เป็นห่วงแม่ อยากจะเลี้ยงแม่แล้วค่อยบวชทีหลังดีกว่า

    แต่ผมไม่รู้ บางครั้งผมดูข่าวพระบางรูป ท่านไม่ใช่พระ เป็นโจรในผ้าเหลืองแต่ผมไปรวมกันหมดเพราะไม่รู้ท่องแท้ ตอนนี่้ก็ขอขมาอย่างเดียว


    พี่เล่าปังก็พูดถูก จริงๆผมไม่ดูการ์ตูนก็ต้องสรรหาปรามาส ถ้าผมยังอยู่ในที่มีคนพูดคําหยาบ เช่นโรงเรียน หรือ ทีวีไรพวกนี้ เดินไปก็ฟังแล้วก็เสร็จมัน เสร็จขันธ์ห้า ปรุงแต่ง แล้วเกิดอาการปรามาส มันปรุงแต่งนี่ ถ้าไปกดมันมันได้ แต่มันจะรู้สึดอึดอัด ผมก็อุเบกขาแล้วขอขมาทันทีเลย

    อืมครับแต่อาจจะเป็นกรรมของผมก็ได้ ตอนนั้นผมปฎิบัติธรรมแล้วเห็นแสง คิดว่าได้มรรคผลจะตายอย่างเดียว ตายไปมีสุขแน่ เลยอวด ญาติพาไปวัด ผมไปบอกว่า พระอรหันต์ท่านมีกิเลศอยู่ เกิดจากการเข้าใจผิดของผม ที่ผมไปอ่านแล้วเข้าใจผิด ที่เค้าบอกว่า พระอรหันต์ท่านไกลจากกิเลศ ผมไปตีความผิด นึกว่าท่านยังมีอยู่แต่ท่านไม่เอาไม่สนใจ จริงๆท่านหมดไปแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าถ้าตายครั้งนี้จะลงอเวจีมหานรก รึเปล่า แต่ต้องรีบทําความดี ก่อนละกัน

    ขอบคุณครับ แล้วมีใครในนี้บอกผมได้ไหมว่า ท่านใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะหาย แต่จริงๆ มันแก้ที่ความคิด ที่ จิตใจมันก็หาย ไปแล้ว แต่ผมต้องรับกรรมที่ชดใช้ไว้ต้องอดทนไม่รู้จะหายเมื่อไหร่
     
  18. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    ใครบอกกละ ว่ากรรมที่ชดใช้ มันจะเป็นการชดใช้ แบบ ตัดหนึ่งต่อหนึ่ง

    มันไม่หมดหรอก มันมีแต่เพิ่ม ยิ่งอยู่ในสังสารวัฏ มันก็ยิ่งเพิ่ม

    เพราะ ขบวนการของ อกุศลธรรมนั้น ถอนยาก

    ลองไปหาอ่านดู ทำกรรมชั่ว หนึ่งหน่วย ครั้งเดียว จะต้องไป
    ชดใช้กรรมในนรกชั้นต่างๆ ชั้นต่ำสุดก่อน นานเนิ่นนาน แล้ว
    ก็ค่อยเลื่อนขั้นถัดมา ถัดมา ถัดมา พอพ้นนรก ก็มาเป็นเดรัจฉาน
    ที่มีระดับความพร่องแตกต่างกันไป ถัดกันไป ถัดกันไป ไอ้ครั้นมา
    เป็นมนุษย์ได้ แรกๆ ก็ต้อง ง่อยเปลี้ย เสียขา เสียตา กว่าจะสมบูรณ์
    ได้ ยากเย็นแสนเข็ญ

    นี่คือ ลำดับของการชดใช้กรรม แค่ มุสาวาทา เล็กๆ ก็โอยยยยยย นะ

    ทีมันดูยาก ก็เลยมีการแปลงให้ดูง่ายๆ เช่น ทำกรรม 1 ครั้ง ต้องชดใช้
    กรรม 500 ครั้ง ในแต่ละครั้งที่ชดใช้กรรมนั้น หากมียินดี ยินร้าย ก็เอา
    500 คูณในแต่ละครั้ง เรียกว่า 500x500 แต่จริงๆมัน 500! แฟคตอเรียน
    แล้ว ยังคูณด้วยค่า POP ในการสุ่มในจิตอีก ไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะ
    เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะ กฏแห่งกรรมนั้น เหนือกว่าทุกสิ่ง พ้นการบังคับกะเกณฑ์
    ท่านจึงยกเป็น อจิณไตยหนึ่งในสี่

    ดังนั้น คียเวริ์ดจึงอยู่ที ยินดี ยินร้าย กับ แสร้งทำเฉยชา(กด) จึงเป็น อุบายนำออก

    เรียกว่า นำ วิญญาณออก ก็จบ แต่ ใครจะเอาวิญญาณออกได้ ลำพัง จิต วิญญาณ มโน
    สติสตังค์ ยังจำแนกแยกออกเบ็ดเสร็จเด็จขาดไม่ได้เลย แต่...นะ อุบายการฝึกอบรมนั้น
    พระสัพพัญญูชี้ไว้ให้แล้ว ไม่ได้ยากอะไร แต่ ...คนมักทำให้มันยาก เพราะ มักเอา
    จินตนาการ(ปัญญาล้ำหน้า) อันเกิดจากการไม่สำรวมอยาตนะ ไปฟังธรรมจากภายนอก
    แทนการ ฟังจากภายใน

    ขอขมาเหรอ ขอขมาก็แค่ การทำดีหนึ่งครั้ง ผลของกรรมดีส่วนใหญ่ให้แค่ 7 ครั้ง
    ตอบแทน ส่วนกรรมชั่ง ทำหนึ่งครั้ง ก็ต้องชดใช้ 500 ครั้ง และ มันไม่ได้ มาหักลบ
    กลบหนี้กันนะ มันแค่ ย้อมใจให้รู้สึกดีได้ 7 ครั้ง 7 หน สลับกันตามจำนวนทำดี(ที่
    เอามาบังหน้า)

    ดังนั้น

    พิจารณาให้ดี ทุกข์อยู่ที่ไหน เอาให้ชัดๆ
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    +111111111111111111

    ตามนี้ ประมานนี่ละ

    พระท่านไม่ถือโทษหรอก


    แต่ๆๆๆๆๆๆๆ............ ผลของกรรมมีอยู่

    กรรม ที่สร้างไว้ ทำไว้มีอยู่ มีผลอยู่ ให้ผลอยู่ ต้องชดใช้

    กรรม ส่วน กรรม ใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลของ กรรม

    อยากเห็นชัดๆ ก็นี่ครับ ยกมาให้

    ดูอย่าง พวกสร้างกรรม กับ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน(พระธรรมวิสุทธิมงคล) วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ก็ได้ครับ ปากเบี้ยว ไปตั้งกี่คนแล้ว ถ้าคิดว่า แค่ ปรามาส แล้วคิดขอขมาทันทีก็หายนะ ฮึๆ

    ต้องถึงขนาดไปขอขมาถึงที่กันไปเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2012
  20. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    เพื่อให้พอเห็นเค้าราง จะยกตัวอย่าง พระโมคคัลลานะ ผู้เลิศในฤทธิ อันสาวก
    ชั้นหลังๆ ไม่มีใครเทียบได้ ไม่มีนะ ไม่มี ไม่ว่า สาวกชั้นหลังนั้นจะเป็นพุทธภูมิ
    มา16อสงไขยก็ตามเถอะ ไม่มีทางมีฤทธิมากไปกว่า พระโมคคัลลลานะ

    พระโมคัลลานะ ทำผิด แค่คล้อยตาม ความรำคาญใจ ไม่ชอบ อาการรำคาญใจ
    ที่มันกุ้มรุมจิต เวลาภรรยามาเซ้าซี้ พูดอะไรที่ไม่ถูกกับความเป็นจริงเกี่ยวกับพ่อแม่ตน

    คือ รู้ว่าภรรยาโกหก รู้ว่าความจริงพ่อแม่ไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ เพราะ รำคาญจิต
    ใจตน ที่มันสัดส่ายแฉลบไปด่า ไปหงุดหงิด อยู่ภายใน (ไม่ได้ล้นออกภายนอกนะ
    คล้ายๆ จิตปรามาสเลย ) พอเห็นจิตตนเป็นอย่างนั้น ไปเผลอยินร้าย แล้วแกว่ง
    ไปยินดี ตอนยินดี กลับไป ยินดีกับอุบาย การหลอกพ่อแม่ไปฆ่า

    หลอกแล้วลงมือกระทำด้วย แต่ ตีไปนิดเดียว ก็พบว่า ตนทำผิด เลยออกอุบาย
    ซ้ำสอง หลอกซ้ำซ้อนเข้าไปอีกว่า โจรหนีไปแล้ว ทั้งๆที่ ตนตี

    เนี่ยะ กรรมอันนี้ เหมือนมีการสำนึกผิดแล้ว แก้ไขแล้ว ไม่ได้ล่วงกรรม
    หากคิดแบบ พวกชอบใช้พาน ยกครู ขอมขมา เขาคิดกัน

    แต่กระนั้น เป็น อรหันต์แล้วก็ยังต้องชดใช้ เขาตีแล้วจนร่างแหลกแล้ว
    หาก รวมตัวมาเป็นคนอีก เดี๋ยวเขาก็ต้องตามมาตีอีก มันยังไม่ครบ 500
    ไง ( จริงๆ เท่าไหร่ไม่รู้ แต่ เยอะกว่า 500 มาก ) เรียกว่า ไม่จบสิ้น

    พอพระโมคคัลานะ ตรวจญาณ เห็นว่า อยู่ต่อ พวกเขาก็ส่งคนมาตีอีก ซึ่ง
    เป็นเรื่องของการ ชดใช้กรรม ที่ไม่มีทางหมด มันยังมาเรื่อยๆ เพราะกรรม
    ไม่ใช่เรื่อง เอาความเป็นอรหันต์มากลบหนี้ ท่านจึงดำริ ปรินิพพานไป

    ไม่มีมีบ้าน ไม่มีเมือง ไม่มีใครตามเห็นได้อีก ก็เป็นอัน จบจริงๆ ถ้าปรินิพพาน
    แล้ว ไปนั่งยิ้มหวาน ในเรือนแก้ว มีประตูเป็นกระจกจุดรามณี มีหน้าต่างเป็น
    จุดรามณี มีเบอร์ติดที่หน้าอก เอ้าเห็นหมายเลขหกไหม เห็นครับ ท่านยิ้มรับ
    ไหม ยิ้มครับ ให้คณะทัวร์พาศิษยมาเรียกใช้ คงไม่จบ!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2012
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...