ช่วยตอบหน่อยครับพระอรหันต์ท่านหมดตัณหาท่านจะช่วยคนไปทําไม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 13 เมษายน 2012.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมเกิดอาการสงสัย พระพุทธเจ้า พระปักเจกพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านก็หมดตัณหาแล้ว

    แล้วท่านจะมาสอนธรรมทําไมกันครับ ท่านอาศัยสิ่งใดจึงจะมาสอน เพราะตัณหาท่านก็หมดแล้ว

    เช่นพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้ว ท่านหมดกิเลศแล้ว ท่านก็น่าจะนิพพานไปเลย แล้วจะมาสอนทําไม อาศัยอะไรจึงจะสอนให้คนเค้าพ้นทุกข์ กิเลศตัณหาก็หมดไปแล้วหนิครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2012
  2. รีนาโมจัน

    รีนาโมจัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2012
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +55
    คุณเคยได้ยินไหมที่ว่า พระพุทธเจ้าทรงโปรดเวไนยสัตว์เฉพาะที่พระองค์เห็นแล้วว่าสอนได้ หรือคนคนนั้นมีแนวโน้มหรือรากฐานที่ไปในทางหวังจะหลุดพ้นจากกองทุกข์อยู่แล้ว ท่านก็จไปโปรด แต่ถ้าใครคือบัวใต้น้ำ ท่านก็ไม่ได้บังคับหรือไม่ได้ไปโปรดคนเหล่านั่น.... ดังนั่นก็ไม่เห็นว่าท่านจะใช้กิเลสตัญหาอะไรในการมาโปรดคน เหมือนกับครูที่มีหน้าที่สอนก็สอนไป.... กิเลสในทางพุทธศาสนาคือ ความอยากได้ในทางโลกีร์ เช่น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทางกาย
    แต่การสั่งสอน เผยแพร่ศาสนาพุทธ และประสงค์จะให้ผู้อื่นรู้เรื่องศาสนาพุทธและเกิดสุขไม่ใช่ตัญหา แต่เป็นทางสายกลางที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว โดยธรรมชาติหากมนุษย์มี
    หลักพรหมวิหาร 4 อยู่ในใจ.... คนก็จะไม่แก่งแย่งชิงดีซึ่งกันและกัน ความสงบ ความรู้จักประมาณตน ความไร้ซึ่งความอยากได้ อิจฉาริษยา ซึ่งเป็นกิเลสก็จะไม่เกิดขึ้น
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=301 align=center><TBODY><TR><TD width=55>เมตตา</TD><TD width=246>ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข</TD></TR><TR><TD width=55>กรุณา</TD><TD width=246>ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์</TD></TR><TR><TD width=55>มุทิตา</TD><TD width=246>ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี</TD></TR><TR><TD width=55>อุเบกขา</TD><TD width=246>การรู้จักวางเฉย




    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คุณไม่คิดบ้างหรือว่าสิ่งเหล่านี้ตรงกันข้ามกับกิเลส.... เหมือนสมมุติว่าคุณกำลังหิว คุณเกิดกิเลส ก็คืออยากกิน แต่เพราะคุณเห็นเด็กยากจนคนนึงมาขอของกิน คุณเกิดความเมตตาแก่เด็กคนนั้นจึงสละอาหารของคุณให้(ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข) นั่นก็เหมือนกับยอมอดความอยาก ตัญหา ของตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นมีสุขแทน
    มนุษย์เราปกติมีกิเลสตัญหาเพื่อตัวเองอยู่เป็นทุนแล้ว เช่น อยากกิน อยากรวย อยากได้ ฯลฯ ทั้งหมดคือตัญหาเพื่อสนองความต้องการทางโลกของตนอันเป็นตัวการทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด แต่การมีพรหมวิหาร สี่ การเสียสละ การทำอะไรเพื่อคนอื่น การสอนคนอื่นแล้วตัวเองเหนื่อย, ให้คนอื่นแล้วตัวเองอดก็คือการทำตรงกันข้ามกับกิเลสตัญหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2012
  3. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ตะกี้ผมก็คิดแบบพี่นั่นแหละแต่ผมไม่เข้าใจ ผมตอบปัญหาตตัวเอง มันมักจะมีมาร ผมเรียกมารไม่รู้ได้ไหม มันจะขึ้นมาที่ใจ มันจะมาลังเลสงสัยว่าพระพุทธเจ้าว่าท่านยังมีตัณหาอยู่ แล้วผมฟังมันแต่ไม่ได้เชื่อปกใจ จริงๆ ผมก็อาศัยเรียนมา พระพุทธเจ้า ท่านหมดกิเลศตัณหาไปแล้ว แล้วท่านจะมาสอนได้อย่างไง เวลาจะช่วยก็ต้องเกิดจากความยากทันนั่น ถ้าไม่ยากช่วยนี่คือหมดตัณหาจริงๆ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจความหมายแต่ไม่กล้ายืนยันว่าท่องแท้ขอยกตัวอย่าง มีคนรวยท่านมีเงินมาก แล้วท่านก็บริจาคเงินของตัวเองไป ท่านไม่ได้อาศัยความอยาก ท่านอาศัยสิ่งที่เรียกว่าเมตตา กรุณา อยากให้คนอื่นมีความสุข ซึ่งตรงข้ามกับตัณหา ที่ไปอยากจะรวยอยากจะหล่อ เมื่อเกิดตัณหาแบบนี้ ก็ต้องเกิด แต่ผมก็สงสัยไปอีก แล้วขอถาม พระโพธิสัตว์ที่ท่านต้องการเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยคนอื่น ท่านอาศัย ตัณหา หรือ เมตตา พอเข้าใจไหมครับ ความอยาก หรือ ปราถนาให้คนอื่นมีความสุขผมไม่รู้จะบอกแบบนี้ได้ไหม พระโพธิสัตว์ท่านต้องการเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยคนอื่น เพราะท่านอาศัย ความอยาก(ตัณหา) หรือความอยากให้ชาวโลกมีความสุขพ้นทุกข์ไปด้วย(เมตตา) ท่านอาศัยตัวไหนครับ แต่ผมคิดว่า ตัวเมตตามากกว่า ผมคิดว่าถ้าตัวแรก คืออยากใหญ่ซะมากกว่า ความคิดนะครับ มันมาตอนที่ผมหาคุณของพระพุทธเจ้าหรือจะหาความดีของพระพุทธองค์ไปแล้วมันก็โผล่ขึ้นมา ผมเห็นแต่ก็หาทางจะเถียงมัน หาความจริงนั่นแหละ แล้วเอามาถาม แต่พอได้คําตอบก็ทําให้ผมมั่นใจในพระรัตนตรัยมากขึ้น แต่ผมก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เป็นแบบพระโสดาบันสักทีจะได้หมั่นใจ ไม่ต้องมาหวั่นไหวอะไรอีก

    กลับมาต่อ ตอนนั้นที่ผมคิด ผมคิดว่าเมตตาคือการอยากให้คนอื่นมีความสุข เอ๊มันก็ตัณหานี่ แต่ภาษาทางธรรมต้องมี คําเฉพาะประมาณนี้อะมั้งครับคือ ผมไม่รู้ภาษาทางโลกและทางธรรม จะเรียกยังไง แต่บางครั้ง ผมเห็นคนทุกข์ได้ยากก็อยากจะช่วยเค้า ผมก็ลังเลมันก็คือความยาก แต่เราก็ไม่ต้องการออะไรตอบแทนก็แค่นั้น

    แล้วดูการ์ตูนจริงเช่น พระเอกในการ์ตูนช่วยโจร แล้วโจรบอกว่าช่วยทําไม พระเอกก็เท่ การช่วยไม่จําเป็นต้องมีเหตุผล ผมไม่รู้ว่า เรียกว่ากรุณาได้ไหม แต่ทุกอย่างต้องมีเหตุมีผลอยู่ดี


    งั้นสรุปแบบนี้ได้ไหมครับ พระพุทธเจ้า พระปักเจกพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านทรงพรหมวิหาร4 แต่ตัณหาความอยากในรูปรสกลิ่งเสียง เงินทอง สาวสวยๆ ท่านหมดไปแล้ว ตัณหาที่ว่า คือ การอยากจะเกิด อยากจะรวยในชาติอยากจะหล่อในชาติหน้า ไรพวกนี้ท่านหมดไปแล้ว แต่พรหมวิหาร4 นี่คือจะช่วยให้โลกให้คนมีความสุข ใช้ไหมครับ เหมือนที่พี่บอก ผมมีข้าวแต่เห็นคนหิวข้าวมากกว่าเลย ยอมอด ความอยากกินเนี่ย ให้คนอื่น แต่มันก็บอกยังไงดีมันมีคํามาเรียกในภาษาทางโลก ทางธรรม ก็มีเมตตา แบบนี้ได้ไหมหว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2012
  4. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    เมตตา คือ ธรรม

    ตัณหา คือ กิเลส

    ก็เพราะท่านมีเมตตาน่ะสิ เปรียบผู้สำรวจเส้นทาง เดินไปจนสุดเส้นปลายทาง
    เสร็จแล้วท่านได้ให้ความกรุณา ติดป้ายและชี้นิ้วบอกไปตามทาง
    เพื่อไม่ให้คนหลงทาง คือทั้งอรรถะและธรรมรส ในมัชฌิมาปฏิปทา

    งั้นแล้ว ก็จะไม่รู้จัก อะไรคือกุศล อะไรคืออกุศล มรรค ผล นิพพาน
    อะไรคือสัมมาทิฏฐิ อะไรคือมิจฉาทิฏฐิ นี่แหละเพราะท่านเป็น "สัตถา เทวะ มนุสสานัง"
    จึงมีพระอริยสาวก ได้รู้ตาม เห็นตาม ได้เป็นเนื้อนาบุญสงเคราะห์โลก ช่วยเป็นกำลังเผยแผ่ธรรม

    ตอนที่ท่านยังครองขันธ์อยู่ เรียกว่า "สอุปาทิเสสนิพาพาน" ก็คือท่านยังมีชีวิตอยู่ ดับสิ้นกิเลส กิเลสนิพพาน
    พอเมื่อท่านดับขันธ์ เรียกว่า "อนุปาทิเสสนิพพาน" ก็คือท่านได้ละขันธ์แล้ว เป็นขันธนิพพาน

    ถ้างั้นแล้ว ก็จะไม่มีทางรู้เห็น รู้แจ้ง ด้วยปัญญาญาณ ในความเป็นไปใน
    "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเสื่อมสลายไป"
    เพราะเมื่อหาก ไม่มีพระองค์มาสั่งสอน และเผยแผ่ธรรม ให้ได้รู้ตามแล้วนั่น

    นั่นแหละ การตั้งปรารถนาไว้ก่อนแล้ว เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์
    เป็นพระมหากรุณาธิคุณ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าฯ
    และความเมตตาของเหล่าพระอริยสงฆ์ ผู้เจริญรอยตามเผยแผ่

    ทำให้บุถุชนหรือผู้มีกิเลสน้อย ผู้ได้เกิดมาพบพระศาสนา ได้พบเห็นประทีปแสงสว่างนำทางต่อไปในความไม่ประมาท

    และทำให้ได้รู้จักความขุ่นเคือง ความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ นั่นแหละ อภัยทาน ธรรมทาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2012
  5. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอบคุณมากครับผมเข้าใจหละ ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจคําว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมอาศัยซึ่งกันและกัน

    และตัณหา และ ก็เมตตา งั้น ตัณหานี่คือความโลภ โลภอยากรวย โลภอยากมีแฟนสวยๆ โลภอยากเก่งกว่าเค้า สิ่งที่พูดมานี่คือ กิเลศทั้งหมด แต่เมตตา จะใช้ว่าอยากให้คนอื่นมีความสุข

    ผมลองพิจารณามันแตกต่างกันมาก โดนสิ้งเชิญ ตัณหาก็กิเลศนั่นแหละทําให้เห็นแก่ตัวขี้เหนียว คือทําให้ตัวเองได้ผลประโยชน์อย่างตัวเองอย่างเดียวไม่แบ่งใครเลยแต่เมตตา กรุณา จะตรงกันข้ามจะให้ประโยชน์จากผู้อื่น แต่คนที่มีพรหมวิหารสี่ จะเป็นคนดี เพราะไม่โหดร้าย แต่คนมีตัณหา โดยปราศจากพรหมวิหารสี่นี่ จะเห็นแก่ตัวไม่ให้ใครสักนิด

    แต่ผมปุถุชน ตัณหายังมี เมตตาก็มีเหมือนกัน พอผมเกิดอยากรวยเป็นตัณหา แต่พอรวยแล้วก็จะเลี้ยงดูแม่ เลี้ยงดูพระพุทธศาสนา แบบนี้เป็นเมตตา ใช่ไหมครับ ธรรมนี่ลุึกซึ้งมาก ผมนับถือพระพุทธองค์เลย ผมขอยืนยันได้เลยว่า ธรรมที่พระพุทธองค์กล่าวมากล่าวดีแล้ว แต่ต้องอาศัยโพชณงค์7 จะได้แหยบคายแล้วยืนยันได้ว่านี่คือความจริงไม่ใช้ของปลอม โอยนับถือ

    โพชฌงค์ ๗ - วิกิพีเดีย

    อันนี่ครับ เอามาให้อ่าน
     
  6. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    เอ้ว พูดกันง่ายๆว่า "ดีนักแล" มันเป็นเช่นนั้นแล :cool:
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติสามอย่างเหล่านี้ ไม่พึงมีอยู่ในโลกแล้วไซร้ ตถาคตก็ไม่ต้องเกิดขึ้นในโลก เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ และธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ก็ไม่ต้องรุ่งเรืองไปในโลก ธรรมชาติสามอย่างนั้นคืออะไรเล่า คือ ชาติ ชราและ มรณะ ภิกษุทั้งหลายธรรมชาติสามอย่างเหล่านี้แล ถ้าไม่มีอยู่ในโลกแล้วไซร้ ตถาคตก็ไม่ต้องเกิดขึ้นในโลกเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ และธรรมวินัยที่ตถาคตประกาสแล้วก็ไม่ต้องรุ่งเรืองไปในโลก....ภิกษุทั้งหลายเพราะเหตุใดแล ที่ธรรมชาติสามอย่างเหล่านี้มีอยู่ในโลก เพราะเหตุนั้น ตถาคตจึงต้องเกิดขึ้นในโลกเป็นอรหันตสัมพุทธะ และธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วจึงต้องรุ่งเรืองในโลก....---ทสก.อํ.24/154/76..:cool:
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี เราตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ประกาศให้เป็นไปแล้ว ซี่งอนุตรธรรมจักรชนิดที่ไม่ประกาศให้เป็นไปได้โดย สมณะ หรือ พราห์มณ์ หรือ เทวดา มาร พรหม หรือ ใครใครในโลก ภิกษุทั้งหลาย การประกาศะรรมจักรนี้ คือการบอก การแสดง การบัญญัติ การแต่งตั้ง การเปิดเผย การจำแนก และการทำให้เข้าใจได้ ซึ่งอริยสัจ สี่อย่าง สี่อย่างใหนเล่า สี่อย่างคือ การบอก การแสดง การบัญญัติ การแต่งตั้งการเปิดเผย การจำแนก และการทำให้เข้าใจได้ซึ่ง ความจริงอันประเสริฐ คือ ทุกข์--เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับไม่เหลือของทุกข์ และทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ประกาศให้เป็นไปแล้ว ซึ่ง อนุตรธรรมจักร ดังนี้แล----อุปริ.ม.14/440/699..:cool:
     
  9. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,687
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ไอเจ้าหนูจำไม สงสัยกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เอาเวลามาปฏิบัติให้มากดีกว่ามั๊ย
     
  10. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    เป็นข้อสงสัยที่ดีนะครับ
    หลายคนสงสัยแบบนี้กันทั้งนั้น

    หลายคนถึงกับออกมาตั้งเกณฑ์พระอรหันต์ว่า ต้องไม่หัวเราะ
    เพราะถ้าหัวเราะ คือ กำลังยินดี
    แต่พระอรหันต์ ต้องไม่ยินดียินร้าย !!!
    ดังนั้นพระองค์ไหนยังมีการหัวเราะ พระองค์นั้นไม่ใช่พระอรหันต์
    ???
    เป็นปุถุชนที่ช่างกล้าจริงๆ

    หลายคนบอกว่า พระอรหันต์ต้องไม่ยึดติดสิ่งสมมุติใดๆ
    เช่นถ้าจะมีสติรู้ทันว่าเรากำลังนั่ง ก็ต้องรู้ว่า รูปมันนั่ง ไม่ใช่เรานั่ง
    เพราะเราไม่มี เราเป็นเพียงของสมมุติ !!

    แหมๆ ถ้าอย่างนั้น เวลาฝนตก แล้วหลังคากุฏฺิรั่ว พระอรหันต์ก็ไม่ต้องซ่อมกันเลยซิ
    เพราะพอซ่อมหลังคา ก็เท่ากับ อยากไม่เปียก อยากไม่ให้ข้าวของเสียหาย
    ยินร้ายในฝน

    อย่างนั้นรึ

    สรุปทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ทำอะไรก็ยินดี ทำอะไรก็ยินร้าย
    ต้องแข็งเป็นตอไม้เท่านั้น

    มันไม่เป็นเช่นนั้นดอก พ่อคุณ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านกล่าวจุดนี้ชัดเจนนะครับ
    หาอ่านได้
    :cool:
     
  11. พยัคฆ์ร้าย

    พยัคฆ์ร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,411
    ค่าพลัง:
    +161
    ที่พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกมาสอนธรรมในสิ่งที่ตนเองรู้แจ้งเห็นแจ้งแล้ว เพราะเมตตายังไงละเจ้าของกระทู้เมตตาสงสารสัตว์โลกและมนุษย์โลกที่ยังติดอยู่ในความมืดช่วยสงเคราะห์สัตว์โลกนั่นเอง คือเมตตา
    catt9catt9catt9
     
  12. พยัคฆ์ร้าย

    พยัคฆ์ร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,411
    ค่าพลัง:
    +161
    เช่นที่ท่านทำป้องกันหลังคารั่วด้วยเหตุผลที่จะมีชีวิตต่อเพื่อจุดประสงค์อื่นเช่นแสดงธรรมกับผู้ที่ไม่รู้ธรรมหรือโปรดสัตว์โลกและมนุษย์โลก กล่าวคือถ้ามนุษย์ธรรมดาทำที่ป้องกันหลังคารั่วเพราะมนุษย์ไม่อยากเปียก(กิเลส) แต่ถ้าพระอรหันต์ทำเพราะ(เมตตา) jaah
     
  13. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    นอกจากท่านเหล่านั้นจะมีเมตตากรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูล ท่านเหล่านั้นยังแสดงธรรมเพราะความกตัญญูด้วย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายเป็นผู้มี
    อุปการะมากแก่เธอทั้งหลาย บำรุงเธอทั้งหลายด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและ
    คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แม้เธอทั้งหลายก็จงเป็นผู้มีอุปการะมากแก่พราหมณ์และ
    คฤหบดีทั้งหลาย
    จงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
    จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
    แก่พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้นเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย คฤหัสถ์และบรรพชิต
    ทั้งหลาย ต่างอาศัยซึ่งกันและกันด้วยอำนาจอามิสทานและธรรมทาน อยู่ประพฤติพรหมจรรย์(เช่น)นี้ย่อมเป็นไป เพื่อการสลัดโอฆะ(กาม,ภพ,มิจฉาทิฐิ,อวิชชา) เพื่อทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ...
    (พุทธะ)

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 เมษายน 2012
  14. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    ถูกแล้ว......พระอรหันต์ หมดความอยากแล้ว ไม่แสวงหาคนที่จะช่วย แต่ถ้าใครเจอท่านถามท่านๆก็ยินดีแสดงธรรม พระอรหันต์ไม่ยึดติดสิ่งใดๆแล้ว จึงไม่หัวเราะเพราะเป็นความหลง มีสติพร้อม มิฉนั้นจะหลุดได้อย่างไร นั่นคือ คนบ้านั่นเอง (ในสายตาคนปัจจุบัน)
    ผู้ที่บำเพ็ญเพื่อช่วยคนคือพระโพธิสัตว์ ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บำเพ็ญมาจากพระโพธิสัตว์ อันนี้ต้องการโกยสัตว์โลกเลย เมื่อท่านปรินิพพานไปแล้วก็ถือว่าหมดหน้าที่หมดภาระกิจ ธรรมที่ท่านสอนนั่นแหละแทนตัวท่าน

    ป.ล. ต้องแยกแยะให้ออก ไม่งั้นสับสน แต่ละอย่างมีเอกลักษณ์ ไม่ใช่มั่วไปหมด
     
  15. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,653
    ค่าพลัง:
    +1,211

    เป็นการเสียสละอย่างใหญ่หลวงกระมังครับ ระหว่างการไปสวรรค์คนเดียวกับการกลับไปอยู่ในนรกอีกนานมากจนจำอะไรไม่ได้แล้วมาวัดเอาอีกกับคำว่าคนและการกระทำของตนเองว่า อยากเอาตัวรอดคนเดียวหรืออยากลงนรกที่ไม่ได้เกิดอีกนานมากกับการอยากกระทำความดีของท่านพระอรหันต์ที่ท่านกล่าวกระมังขอรับ
    และกระผมว่า การที่จะเข้าไปในอารมณ์นั้นได้อีก คงทำได้ไม่ง่ายหรอกครับ ณาน หรือญาน อะไรที่ว่ากันนี้ ปัจุบันขณะนั้นกับปัจุบันขณะนี้คงไม่เหมือนกันแล้วครับ อย่าวอรี่วอเต้อเลยครับใจเราร่มเย็นเป็นพอ
    ขอให้ท่านเจริญในธรรมครับ
     
  16. พยัคฆ์ร้าย

    พยัคฆ์ร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,411
    ค่าพลัง:
    +161
    ข้อความของคุณมะหน่อนี่สวยจังนะครับ 555 เลยเชียวอดแซวไม่ได้ 555+
     
  17. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    839
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ปณิธานก่อนตรัสรู้เป็นเหตุให้ได้ประกาศศาสนา ให้ได้สอนสรรพสัตว์ สอนไปตามบุญสัมพันธ์และเหตปัจจัย คือสอนแต่ไม่สอน บางองค์ก็ไม่สอนเพราะไม่ได้สร้างบารมีเพื่อสอนใคร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2012
  18. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +5,514
    .................................................................
    พระอรหันต์ (พระสงฆ์ทั่วไปด้วย) โดยปกติท่านไม่เอ่ยสอนธรรมะขึ้นมาเองครับ
    ต้องมีผู้ ขอ หรือ อาราธนา
    พระพุทธเจ้าของเรา ท่านสอนธรรมะ เพราะ พระพรหม ขอ( อาราธนา)ครับ
    จะให้พระทั่วไปเทศน์ เราก็ต้องขอ(อาราธนา)ครับ
     
  19. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,653
    ค่าพลัง:
    +1,211
    ผมยังเสพย์เมถุนตุนยาดองอยู่นะขอรับ อย่าเชื่อขอรับ
     
  20. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    ฮึย ระวังนะ ballbeamboy ไปคุยกับคนแปลกๆ ระวังจะพาเราไปไกล

    พาเราไปสู่ความเข้าใจผิด อย่างไรเสีย ลองฟังอะไรแปลกๆ นี้ดูก่อน แล้ว
    ลองพิจารณาใหม่ให้ดีๆ

    ****************

    พระอรหันต์ และ พระพุทธองค์ ท่านไม่ได้ มุ่งสอนใคร

    ย้ำนะว่า ท่านไม่ได้มุ่งสอนใคร

    ถ้ามุ่งสอนใคร ก็แปลว่า เป็นการเกี่ยวพันกับ ภพ เมื่อมี ภพ จะเรียกว่า ธรรม ไม่ได้

    ********************************************

    ทีนี้ ฟังให้ดีๆ นะ

    คนเราทุกคน ที่เวียนว่ายตายเกิดนั้น ทุกคนต่างมี จิตใจมุ่งแสวงหานิพพาน กันอยู่ทุกคน

    พวกคุณดำริที่จะมุ่งตรงสู่นิพพานอยู่แล้ว มีจิตใจตั้งตรงต่อนิพพานอยู่แล้ว แต่ทว่า
    คนที่ไม่ได้สะสมบารมีเป็น โพธิสัตว์ จะ มุ่งแสวงหาโดยไม่ค้นหาหนทางด้วยตัวเองอย่าง
    จริงจัง อุกฤษ เท่านั้น

    คือ อาจจะทุกข์แสนสาหัส ขณะนั้น จิตก็อธิษฐานว่า ทุกข์จริงหนอ ซึ่ง ระหว่างนั้น จิตของ
    คนๆนั้น จะต้อง หาที่พึ่ง หรือไม่ก็ หาอุบายนำออก

    ฟังดีๆ และ ไปตรวจพุทธพจน์ได้ว่า ใช่ไหม ที่ทุกคนที่ ทุกข์ ย่อม 1. หาที่พึ่ง และ 2. หา
    อุบายนำออก มีแค่สองอย่างเท่านั้น

    สาวกเนี่ยะ ค่อนไปทางข้อ 1 เสียส่วนใหญ่ นานๆจะเฝ้นหาอุบายนำออกให้ตัวเอง ซึ่ง
    ตรงนี้แหละที่ต่างจากโพธิสัตว์ที่ ท่านมุ่งแสวงหาทุกข์เพื่อเฝ้นหาอุบายนำออกเพียงส่วน
    เดียว พุทธภูมิจะไม่ปรารภหาที่พึ่งเลยแม้แต่ แอะเดียว ไม่มีพระเครื่อง ไม่มีการกราบบูชา
    ใคร เจอพระอินทร์มาช่วยละก้อ ด่าเช็ด!!! และเป็นมาไม่ใช่แค่ ชาตที่เป็นมนุษย์ แต่จะ
    ต้องเป็นทุกชาติ แม้แต่ขณะนั้นเป็นสัตวเดรัจฉานก็ตาม

    กลับมาเรื่อง การสอนธรรม ก็จะเห็นว่า ทุกคนแสวงหานิพพานอยู่แล้ว ทุกคนปรารภการ
    เข้าถึง "ธรรม" อยู่แล้ว

    ดังนั้น ..............ฟังดีๆนะ

    ดังนั้น เวลาพรอรหันต์สอนธรรมะ หรือ พระพุทธองค์สอนธรรมะ ท่าน สอนเพื่อ ธรรม
    เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อใคร

    และ บรรดาใครๆ ที่ฟังธรรมของพระพุทธองค์แล้วบรรลุ ก็เพราะ ท่านๆเหล่านั้น ท่าน
    พร้อมจะเห็นธรรมได้ด้วยตัวเอง ตามที่พากเพียรปรารภมาด้วยตนเอง ในเวลานั้นๆ

    หรือพูดง่ายๆ ว่า ท่านๆเหล่านั้น พร้อมจะเป็น พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ชอบได้ด้วยตนเอง ใน
    เวลานั้นๆ เพียงแต่ว่าคนที่ไม่ได้พากเพียรค้นหาหนทางด้วยตัวเอง จำต้องอาศัยการฟัง
    ธรรมจากผู้รู้จริงอีกที

    ทีนี้ มันเป็นเรื่องของการ "แสดงธรรม" เพื่อ "ธรรม" บอลบีมบอยก็ต้องเข้าถึง ธรรม
    ให้ได้เสียก่อน ก็จะแจ่มแจ้งในเรื่อง การแสดงธรรมเพื่อธรรม ไม่ใช่ ใครแสดงเพื่อใคร ได้

    และเธอจะแจ้งในเรื่อง กฏแห่งกรรม ได้ด้วย

    ถ้าไม่เข้าใจเรื่อง กฏแห่งกรรม ก็จะ ละเมอว่า พระอรหันต์ หรือ พระสัพพัญญูมีฤทธิ์ขนสัตว์
    ไปเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าขนสัตว์ยังไม่หมดคนสุดท้าย ก็ไม่เข้านิพพาน นี่ อะไรแบบนี้เขาเรียก
    ว่า คนโง่สอนเรื่องการขนสัตว์เข้านิพพาน มันไม่รู้เรื่อง กฏแห่งกรรม อะไรเลยแม้แต่นิด
    เดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...