พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................ไก่ตุ๋นขับรถมาจอดที่เชิงเขาสูงในเวลาบ่ายสอง..กาเผือกและไก่ตุ๋นลงจากรถ

    และยืนมองจากเชิงเขาไปยังยอดเขา..มันเป็นเขาลูกเดียวที่สูงใหญ่ตะหง่านงามสง่าอย่างธรรมชาติ

    สร้างสรรค์...มีต้นไม้ขึ้นเขียวเป็นทิวทั้งภูเขา...กาเผือกพยายามมองหาเส้นทางขึ้นเขา...พร้อมกับนึก

    ภาพตามที่คุณยายมั่นเล่าให้ฟังว่า.."เมือง มีสุขได้มายืนบนหลังม้าบนยอดเขาสูงเพื่อจ้องมองดูดวง

    อาทิตย์ยามเที่ยงวัน...พร้อมกับมองไปยังทิวทัศน์และเทือกเขาต่าง ๆจนพบแนวปรัชญาเรื่องการครอบ

    ครองตามที่คุณยายเล่าให้ฟัง"

    ....................กาเผือกมองไปตามทิวทัศน์รอบ ๆเขาและเอ่ยกับน้องชาย

    ............................."เราขึ้นไปบนยอดเขากันดีกว่า..เผื่อจะพบอะไรบ้าง"

    ............................."แน่ใจหรือ" ไก่ตุ๋นเอ่ยด้วยรู้สึกท้อกับการปีนขึ้นเขา

    ....................กาเผือกพยักหน้าแทนคำตอบ..และเดินนำหน้าไก่ตุ๋นเพื่อหาทางปีนไต่ขึ้นยอดเขา

    สูง...โดยทิ้งรถซึ่งล๊อคประตูแล้วไว้ที่เชิงเขา...ราวหนึ่งชั่วโมงพวกเขาก็ปีนไต่ขึ้นมาบนยอดเขาสูง...

    ซึ่งดวงอาทิตย์บ่ายคล้อยไปแล้ว...แต่ยังเปล่งแสงแผดเผาสองพี่น้องจนเหงื่อโทรมกาย....ทั้งคู่เดินไป

    หลบใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งบนยอดเขาแล้วนั่งเหนื่อยหอบอยู่พักใหญ่...ก่อนที่จะมองสังเกตทิวทัศน์ไปรอบ

    ทิศ...

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นรู้สึกว่าทิวทัศน์ที่เขามองจากบนยอดเขาไปที่ด้านล่างรอบ ๆเขา

    มันช่างสวยงามสุดลูกหูลูกตา...มันช่างกว้างใหญ่และสุดลูกหูลูกตาจริง ๆ สมควรแล้วที่เมือง มีสุขจะ

    ได้พบแนวปรัชญาการครอบครองด้วยสายตาที่เขาคิดขึ้น...มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ...สายตาที่จ้องมอง

    ไปยังที่ใดสิ่งนั้นมันก็อยู่ในความครอบครองของเราด้วยสายตา..มันมากมายจริง ๆ.....กาเผือกมองไป

    สดุดที่ภูเขาอีกลูกหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาภูเขาที่เขายืนอยู่....มันอยู่ห่างจากเขาลูกนี้ไปราว

    กิโลเมตรเศษ..ซึ่งมองดูน่าจะต่ำกว่าภูเขาที่เขายืนอยู่เล็กน้อย......

    .....................กาเผือกเอ่ยเสนอขึ้นกับน้องชาย

    ............................"กูว่าเราลองค้นหาอะไรบางอย่างบนนี้ดีกว่า"

    ............................"หาอะไร" ไก่ตุ๋นย้อนถามอย่างสงสัย

    ............................"ก็หาขวดแก้วอีกซีกหนึ่งที่บรรจุไว้ในกล่องไม้ ตามหนังสือในผ้าที่เมือง มี

    สุขเขียนไว้ไง" กาเผือกอธิบายพร้อมกับหยิบผ้าขาวผืนนั้นออกมาดู

    ............................"แล้วมึงแน่ใจได้อย่างไรว่า..จะหาจุดจันทร์เสี้ยวแยกจากกันได้พบ" ไก่ตุ๋น

    แย้ง

    ............................"กูมีความรู้สึกว่า...มันน่าจะอยู่บนเขาลูกนี้" กาเผือกพูดพร้อมกับเดินค้นหา

    ตามพื้นดินที่เป็นรอยนูนอันเป็นร่องรอยของการฝังสิ่งของไว้...ทำให้ไก่ตุ๋นต้องช่วยค้นหาด้วย

    .....................หากันอยู่พักหนึ่งไก่ตุ๋นได้เอ่ยขึ้น

    ............................"กูว่าเราต้องหาพวกก้อนหิน..หรือไม้..หรือสัญญลักษณ์อะไรที่มันเป็นรูป

    จันทร์เสี้ยวก่อนดีกว่า...ส่วนมันจะแยกจากกันหรือไม่แยกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง"

    ......................กาเผือกมองหน้าน้องชายอย่างเห็นด้วย..และจึงพยักหน้า...พร้อมกับค้นหาตามที่

    ไก่ตุ๋นบอกอย่างขมักเขม้น.........

    ......................สองพี่น้องหาอยู่จนตกเย็น...แต่ไม่มีวี่แววที่จะพบ...ไก่ตุ๋นจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"เราลงไปข้างล่างก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาหาใหม่..กลับไปนอนคิดที่บ้าน

    คุณยายมั่น..และถามบางสิ่งบางอย่างอาจทำให้เราเห็นทางที่จะหาพบก็เป็นได้"

    ......................กาเผือกพยักหน้าตอบรับ..และทั้งคู่ก็รีบปีนไต่เขาลงมาจนถึงเชิงเขาก็มืดพอ

    ดี........

    ......................เขาทั้งสองกลับถึงบ้านและได้ขอให้คุณยายมั่นเล่าเรื่องต่อตามที่คุณยายรับรู้...

    พร้อมกับเขาเองก็ได้ซักถามเรื่องราวที่ปรากฎอยู่ในพิพิธภัณฑ์ให้คุณยายตอบ..

    ......................จนยามดึกกาเผือกนอนไม่หลับ..ออกมาเดินเล่นนอกบ้านและมองขึ้นไปบนท้อง

    ฟ้า..เขารู้สีกหนาวสะท้านทุกครั้งที่มีลมกรรโชกมา...กาเผือกมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็พบว่า "คืนนี้เป็น

    จันทร์ข้างขึ้น...มีรูปจันทร์เสี้ยวลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า"..มันสวยงามมาก...เข้ากับบรรยากาศของฤดู

    หนาวที่เมืองน่านเป็นอย่างดี...กาเผือกหัวเราะเบา ๆด้วยนึกขำอะไรบางอย่าง พลางรำพึงรำพันขึ้นว่า

    ....................."หรือว่า..เมือง มีสุขฝังกล่องไม้ใส่ขวดแก้วอีกซีกหนึ่งไว้บนดวงจันทร์ดวง

    นั้นวะ".....................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2012
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................กาเผือกกลับเข้ามาในบ้านและล้มตัวลงนอน..พลางนอนคิดว่า...หากได้ขวด

    แก้วอีกซีกหนึ่งแล้ว...เขาควรแยกทางกับไก่ตุ๋นเพื่อเดินทาง...อันเป็นการล่อหลอกไม่ให้เจ้ารถเก๋งคันที่

    ขับตามพวกเขามาตอนออกจากพิพิธภัณฑ์..นั้นติดตามเขา..โดยให้พวกมันไปตามไก่ตุ๋นซึ่งเป็นตัวล่อ

    พวกมันไป....กาเผือกนึกย้อนไปในวันที่เขาเข้ามาพักที่โรงแรมวันแรก..แล้วมีรถมอเตอร์ไซด์รับ

    จ้างอยู่หลายคันที่วินมอเตอร์ไซด์หน้าโรงแรมนั้น....เขานึกถึงรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างกึ่งวิบากคันหนึ่ง..

    ซึ่งเป็นรถยี่ห้อยามาฮ่า "รุ่น ดีที โมโนโช๊ค"..ซึ่งเป็นรถที่วัยรุ่นที่ชอบวิบากประมาณ ปี 2525 นิยมใช้

    กันที่มีความแข็งแกร่งมาก...ปัจจุบันนี้แม้ว่ามันจะมีอายุมากแล้วแต่สภาพของมันยังคงใหม่อยู่....

    ....................กาเผือกคิดว่า..รถมอเตอร์ไซด์คันนั้นน่าจะขับวิบากลุยทุ่งหรือไร่นา หรือถนนขรุขระ

    ได้ดี....เหมาะแก่การที่เขาจะขับหนีเจ้ารถเก๋งคันนั้น..หรือผู้ติดตามรายอื่น...เขาจึงมีความคิดที่จะ

    ขอซื้อรถคันดังกล่าวจากเจ้าของซึ่งขับรถรับจ้างอยู่ที่วินมอเตอร์ไซด์...และเขาจะนำพามันไปที่จังหวัด

    สุราษฎร์ธานีด้วย....

    ....................กาเผือกลุกจากที่นอนแล้วตรงไปนับเงินที่นำติดตัวมาว่าเหลือเท่าไร

    ....................รุ่งเช้า..กาเผือกปลุกไก่ตุ๋นให้จัดแจงแต่งตัวให้เสร็จโดยเร็ว ..แล้วพวกเขาก็พากัน

    มาที่หน้าโรงแรม..พบเจ้าของรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างคันที่ต้องการทันที..กาเผือกจึงเดินไปหาและขอ

    ซื้อรถคันดังกล่าว

    ............................"หนึ่งหมื่นสองพันบาทก็แล้วกัน" เสียงเจ้าของบอกราคา

    ............................"แปดพันบาทพี่..รถมันยี่สิบกว่าปีแล้วนะ" กาเผือกต่อราคา

    ............................"แต่รถของผมยังใช้การได้ดี..และสภาพมันใหม่นะ" เจ้าขออ้างข้อดีของรถ

    ............................"ยี่สิบกว่าปีนี่นะใหม่" ไก่ตุ๋นแจมด้วยเห็นเจ้าของคุยเว่อร์

    .....................เจ้าของมองหน้าไก่ตุ๋น..อย่างไม่พอใจ...ทำให้กาเผือกต้องพูดตัดบททันที.......

    ............................"ถ้ายังงั้นหมื่นบาทก็แล้วกัน...ไม่ขายราคานี้ก็ไม่เป็นไร...เดี๋ยวตระเวณหา

    ซื้อรายใหม่" กาเผือกเอ่ยแกมขู่

    .....................เจ้าของรถยนต์มองหน้ากาเผือกเห็นคำย้ำเป็นจริงเป็นจัง..และคิดว่าตนเองเอาเงิน

    ไปดาวน์ออกรถแบบผู้หญิงรุ่นใหม่ขี่รับจ้างน่าจะคล่องตัวและประหยัดน้ำมันกว่ารถคันนี้ ..จึงตอบตกลง

    ทันที

    ............................"เอาพี่...หมื่นก็หมื่น...พี่ไปโอนรถเอาเองก็แล้วกันเดี๋ยวผมเซ็นโอนลอยให้"

    ............................"ไม่ต้องหรอก..ผมใช้ไม่นาน ..เอาเงินไปเอากุญแจรถมา"

    .....................เจ้าของรถมองหน้ากาเผือกพลางมองป้ายทะเบียนรถยนต์ไก่ตุ๋นซึ่งเห็นเป็นทะเบียน

    จากชัยนาท..มันคิดพลางว่า "ไอ้พวกคนชัยนาทมันเพี๊ยนกันหรือเปล่าวะ..ซื้อรถแต่ไม่ยอมโอนเป็น

    ของตนเอง"

    .....................เจ้ามอเตอร์ไซด์รับจ้างคันนี้..ไม่ได้รู้เรื่องราวการประกาศตามหาไก่ตุ๋นและกาเผือก

    จากหนังสือพิมพ์...และพวกของตนซึ่งเป็มอเตอร์ไซด์รับจ้าง..ก็ขับรถไปส่งคนโดยสารจึงไม่รู้เรื่องราว

    หรือพบเห็นไก่ตุ๋น....พวกเขาจึงคลาดเงินรางวัลจากหัวหน้าพิพิธภัณฑ์ที่จะมอบให้แก่ผู้ตามหาหรือชี้

    เบาะแสของกาเผือกและไก่ตุ๋นให้เขาทราบ....

    .....................กาเผือกขึ้นขี่มอเตอร์ไซด์วิบากคันนั้นออกมาจากหน้าโรงแรมอย่างรวดเร็ว..โดยมี

    ไก่ตุ๋นขับรถไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด...ทั้งคู่ย้อนกลับมาที่เขาลูกเดิม..พร้อมกับจอดรถและขึ้นเขาไป

    ทันที...พวกเขาเตรียมเต็นท์และสัมภาระเพื่อขึ้นมานอนสังเกตการณ์บนยอดเขา...เกี่ยวกับดวงจันทร์

    เสี้ยวยามค่ำคืน.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3101.JPG
      IMG_3101.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      89
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2012
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................สองพี่น้องกินอาหารเย็นบนยอดเขาสูง..และกางเต๊นท์อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

    พร้อมกับก่อกองไฟเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นในยามค่ำคืน..เพราะบนยอดเขาในฤดูหนาวนี้อากาศเย็น

    เยือกจนจับใจ......

    ....................กาเผือกนั้นคิดว่า..เมื่อวานเขาหาร่องรอยของสัญญลักษณ์จุดจันทร์เสี้ยวจนทั่วแล้ว

    ไม่พบ...เขาจึงคิดถึงคำพูดของคุณยายมั่นที่เล่าให้ฟังว่า "จุดที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกันมันเป็น...

    ปรากฏการณ์ของจันทร์เสี้ยวในคืนฤดูหนาว..."...ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะมาสังเกตุการณ์ดวงจันทร์

    เสี้ยวบนยอดเขาสูงนี้...เพื่อจะดูปรากฎการณ์ตามที่คุณยายมั่นบอก....เขาจะสังเกตการณ์ดูให้รู้ว่ามัน

    คืออะไร...ซึ่งถ้าไม่ใช่สัญญลักษณ์ต่าง ๆที่เป็นรูปจันทร์เสี้ยวมันก็น่าจะหมายถึง.."ดวงจันทร์เสี้ยว"ที่

    อยู่บนท้องฟ้าจริง ๆ...

    .....................ก่อนขึ้นบนยอดเขาสูงเขาได้โทรศัพท์บอกกับพวงผกาให้บอกกับคุณยายว่า..คืนนี้

    เขาจะขึ้นไปบนยอดเขาสูงเพื่อสังเกตการณ์ดูดวงจันทร์เสี้ยว...ดังนั้นเมื่อเขาถึงที่หมายแล้ว...กาเผือก

    จึงเอาโทรศัพท์ที่ไก่ตุ๋นโทรบอกกับพวงผกาในทันที..

    ............................"พวงผกา..พี่อยู่บนยอดเขาสูงเรียบร้อยแล้วนะ"

    ............................"พี่กาเผือก..ระวังงูที่อยู่บนเขาบ้างนะ" พวงผกาเอ่ยเตือน

    ............................"ที่นี่มีงูด้วยหรือ" กาเผือกรับรู้แล้วรู้สึกระแวง

    ............................"อ้าวพี่..ที่ชัยนาทไม่มีภูเขาให้ขึ้นหรือ..จึงไม่รู้ว่าเขาทุกลูกนะมีงูอยู่ทั้งนั้น..

    แล้วงูชุกชุมด้วย...มันออกหากินตอนกลางคืน"

    .....................กาเผือกรับรู้..ก็บอกกับไก่ตุ๋นทันที...

    ............................"เฮ้ย...น้องเขาบอกให้ระวังงูวะ"

    ............................"งูมันกลัวไฟ...เราก่อไฟอยู่อย่างนี้มันจะเข้ามาหาเราได้อย่างไร....มึงไม่

    เคยเรียนวิชาลูกเสือหรือ" ไก่ตุ๋นเอ่ยอย่างไม่กลัว

    ............................"แล้วถ้ามึงหลับ...แล้วกองไฟมันดับล่ะ" กาเผือกคาดคะเน

    ............................"มึงก็อย่าหลับสิ...คอยเติมเชื้อไฟเข้าไว้" ไก่ตุ๋นแนะผู้พี่..แต่ผู้พี่ส่ายหน้า

    พลางเอ่ยตอบ

    ............................"แค่ปี่นขึ้นมา..แล้วกินข้าวอิ่มกูก็อยากจะหลับแล้ว"

    ............................"มึงหลับแล้วมึงจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยวหรือ"

    ............................"จริงของมึง...แต่ว่าคืนนี้ดวงจันทร์เสี้ยวมันจะขึ้นทางทิศไหนวะ....เมื่อคืนกู

    ก็ลืมสังเกตุ...มาเห็นดวงจันทร์ก็มาอยู่กลางท้องฟ้าแล้ว"

    ............................"รอดูดีกว่าแน่นอนกว่าเยอะ"

    .....................หลังไก่ตุ๋นพูดจบกาเผือกมองไปด้านทิศตะวันออกที่ยอดเขาสูงอีกลูกหนึ่ง..เห็นเขา

    ดำทะมึนมืด..ชวนให้น่ากลัว...บนท้องฟ้ามีแต่ดาวที่ส่องแสงระยิบระยับ..แต่ไร้ซึ่งดวงจันทร์..เนื่อง

    จากยังไม่ได้เวลาขึ้นสู่ท้องฟ้า.......

    .....................สองพี่น้องนั่งรอดวงจันทร์ขึ้นสู่ท้องฟ้าจนราวสี่ทุ่มเศษ..ขณะที่ไก่ตุ๋นนั่งจิบกาแฟ

    พร้อมกับมองไปที่เขาลูกเดียวกับที่กาเผือกมองดูอยู่เมื่อตอนหัวค่ำ....ไก่ตุ๋นได้เห็น..แสงประหลาดสี

    เหลืองทองพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าหลังเขาลูกนั้น...ไก่ตุ๋นรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับเรียกกาเผือกอย่างตื้นเต้น

    .........................."เฮ้ย..มึงมาดูแสงสีเหลืองทองที่พุ่งขึ้นฟ้าหลังเขาโน้นสิ..มันแสงอะไร

    วะ"

    ....................กาเผือกลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองตามน้องชายบอก..พลางเอ่ยขึ้นอย่างตระหนก

    ............................."เออจริงว่ะ..แสงอะไรวะสวยจัง"

    ...................แสงสีเหลืองทองดังกล่าวพุ่งจากหลังเขาที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาที่สอง

    พี่น้องยืนอยู่...มันมีสีเหลืองทองพุ่งขึ้นกระจายส่องสู่ท้องฟ้า......อานุภาพของแสงนั้น..ทำให้

    ด้านหลังเขาลูกนั้นสว่างจ้า..และงามตายิ่งนัก

    ....................ทั้งคู่ยืนมองปรากฎการณ์นั้นอย่างไม่กระพริบตา...แสงนั้นค่อย ๆสว่างจ้า

    ขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งคู่ต่างก็ใจเต้นรัวโดยไม่ทราบว่า.."เบื้องหน้าจะปรากฎสิ่งใดขึ้น"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2012
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................สักครู่หนึ่งแสงสีเหลืองทองที่พุ่งกระจายขึ้นสู่ท้องฟ้าก็ปรากฎ..ปลายแหลม

    เป็นสามเหลี่ยมชายธงสีทองเหลืองอร่าม...ขึ้นสองด้านขนาบยอดเขาลูกนั้นไว้..พร้อมกับ

    ความสว่างที่เห็นได้ชัดเจน..มาพร้อมกับปลายแหลมชายธงทั้งสองด้านนั้น..

    ....................สองพี่น้องตกตะลึง..พลางกาเผือกตะโกนขึ้นอย่างดังด้วยความตื่นเต้น

    ............................."เฮ้ย...ทองคำโผล่ขึ้นมาจากเขานั่น.."

    ............................."ใช่..จริงๆด้วยว่ะ" ไก่ตุ๋นขานรับอย่างดัง

    .....................แสงสว่างของสามเหลี่ยมชายธงสีทองนั้น...ค่อย ๆเปล่งประกายขึ้นเรื่อย

    ๆ..พร้อมกับสามเหลี่ยมชายธงได้ขยายด้านฐานใหญ่ขึ้นโผล่จากยอดเขาเรื่อย ๆ...........

    และในที่สุดมันก็ปรากฎเป็นรูปของเสี้ยวดวงจันทร์...เพราะมันคือดวงจันทร์เสี้ยวที่กำลังขึ้น

    จากยอดเขา......

    .....................จันทร์เสี้ยวค่อย ๆโผล่ขึ้นจากยอดเขาช้า ๆ...ในระหว่างที่มันกำลังโผล่จาก

    ยอดเขา..จะสังเกตุเห็นว่า"ตรงกลางของดวงจันทร์ถูกมุมของยอดเขาบังอยู่....ทำให้เห


    ..................(ขออภัยอย่างสูงครับ..ฝนตกฟ้าคนองที่ชัยนาทอย่างแรง..ต้องหยุดพิมพ์ก่อนครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2012
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................ทำให้เห็นจันทร์เสี้ยวในส่วนชายธงทั้งสองด้านถูกแยกจากกันโดยภูเขาลูก

    นั้น...จนกระทั่งจันทร์เสี้ยวค่อย ๆโผล่จะพ้นยอดเขาลูกนั้น..ท้องของดวงจันทร์ตรงโค้งด้าน

    นอก...กำลังโผล่ขึ้นมา....แต่ปรากฎว่าบนยอดเขาลูกนั้นมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่จุด

    ยอดเขาพอดี......

    ....................เมื่อท้องของจันทร์เส้ยวตรงโค้งด้านนอกของจันทร์เสี้ยว..เริ่มจะพ้นยอด

    เขา...ท้องตรงนั้นจะถูกเงาของต้นไม้ใหญ่บังไว้เป็นเงามืดและเห็นเป็นต้นไม้อยู่กลางดวง

    จันทร์....และเมื่อพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่า...ลำต้นของต้นไม้นั้นมันตัดจันทร์เสี้ยวแยกจากกัน

    ทันที....ในส่วนของพุ่มไม้ด้านบนของลำต้นก็เหมือนกับลอยอยู่ในวงจันทร์ด้านใน..........

    ....................ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นมันสวยงามมาก...เพียงชั่วครู่เดียว..ดวงจันทร์เสี้ยวก็

    ลอยสูงเหนือยอดภูเขาลูกนั้นทั้งหมดและลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ.....

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นสองพี่น้องตกตะลึงและอุทานพร้อมกัน..เมื่อเห็นจันทร์

    เสี้ยวถูกลำต้นไม้บังทับจนเห็นได้ชัดว่า...ดวงจันทร์เสี้ยวถูกผ่าครึ่งและแยกจากกัน.........


    ............................"ดวงจันทร์เสี้ยวแยกจากกัน"..................

    ............................"ใช่แล้ว..ต้นไม้ต้นนั้นไอ้ไก่ตุ๋น....มันคือ..."...กาเผือกย้ำเรียกน้อง

    ชาย

    ............................"จุดที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกันไง" ไก่ตุ๋นย้ำ

    ............................"โอโห..เมือง มีสุข...ท่านฉลาดหลักแหลมอะไรอย่างนี้...ท่านซ่อน

    ขวดแก้ว...ไว้ที่ต้นไม้นั้น.....และให้ดวงจันทร์เสี้ยวเป็นสิ่งบอกตำแหน่ง..ในยามค่ำคืนในฤดู

    หนาว....กูไม่อยากเชื่อเลยไอ้ไก่ตุ๋นว่าจะมีปรากฎการณ์เช่นนี้เกิดบนโลกใบนี้...ถ้ากูไม่เห็น

    มันกับตา..." ไก่ตุ๋นเอ่ยกับน้องชายอย่างดีใจ

    ............................"เออ...กูว่าเมือง มีสุข ยอดเยี่ยมจริง ๆ" ไก่ตุ๋นเอ่ยสนับสนุน

    ............................"พรุ่งนี้เช้า...เราจะไปขึ้นค้นหาขวดแก้วที่ต้นไม้บนเขาลูกนั้น.....มึง

    ช่วยกูจำตำแหน่งไว้ให้ดี".........


    .....................ในที่สุดสองพี่น้องก็หา......"จุดหรือสถานที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกันจนพบ".....แม้

    ว่าเขายังไม่ไปถึงสถานที่นั้นก็ตาม....แต่ก็สร้างความปลาบปลื้มใจให้แก่เขาทั้งสองส่วนหนึ่ง....ซึ่งแม้

    เขาจะต้องเหนื่อยขึ้นเขาลูกนั้นอีกครั้งหนึ่ง...เขาก็รู้สึกว่าการเหนื่อยของเขาจะต้องมีความหมาย..

    เพราะจะต้องหาขวดแก้วอีกซีกที่ฝังดินอยู่ในกล่องไม้พบอย่างแน่นอน..............

    ....................ในความเป็นจริงการโคจรของดวงจันทร์นั้น...ไม่แน่นอน...ในฤดูร้อนโคจรอย่าง

    หนึ่ง...ฤดูฝนโคจรอย่างหนึ่ง...แม้แต่ละวันก็โคจรไม่เหมือนกัน....ทิศทางของการโคจรจะไม่มาใน

    เส้นทางเดิม..ดังนั้นจึงไม่แน่นอนว่าจันทร์เสี้ยวจะขึ้นตรงกึ่งกลางต้นไม้นั้น...หรือเบี่ยงซ้ายหรือ

    ขวา......แต่ในฤดูหนาวที่ทั้งสองพี่น้องพบ..มันช่างเหมาะเจาะสมกับที่เป็นช่วงเหตุการณ์ที่ขวดแก้ว

    ลอยโผล่มาเหนือน้ำให้เขาทั้งสองเห็น..และเขาได้ออกติดตามมาจนถึงคืนฤดูหนาวอันเป็น

    ปรากฏการณ์ที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน..ดังคำของคุณยายมั่น.....

    ....................แสดงให้เห็นถึง เมือง มีสุข เป็นนักคิดและนักสังเกตการณ์ที่มีไหวพริบเป็นเลิศจริง

    ๆ......จุดจันทร์เสี้ยวแยกจากกัน.....นั้นไม่ใช่เกิดจากการที่ดวงจันทร์ขึ้นหลังยอดเขาจริง ๆ ...แต่สาย

    ตาเราที่มองไปมันเห็นได้เช่นนั้น......ในความเป็นจริงดวงจันทร์เสี้ยวกับภูเขาอยู่ห่างกันแทบจะ

    ลิบลับ...คือบนท้องฟ้ากับพื้นดิน...แต่เพราะมุมมองของผิวโลกที่มันโค้ง...ยิ่งเป็นที่ราบสูงก็จะเห็น

    ความโค้งชัด...เมื่อดวงจันทร์ลอยขึ้นมาเราที่อยู่หลังโค้งของผิวโลกก็จะเห็นดวงจันทร์ผุดขึ้นมาตรง

    นั้น.......

    ....................มันไม่แตกต่างกับเส้นแบ่งขอบฟ้า..ที่เรามองเห็นระหว่างทะเลกับขอบฟ้ามันจดชิด

    กัน....แล้วเราเรียกมันว่าเป็นเส้นแบ่งขอบฟ้ากับพื้นทะเล...หรือเส้นแบ่งขอบฟ้าเฉย ๆ....แต่ความเป็น

    จริงแล้วมันไม่มีเส้นนั้นจริงๆ....เพราะมันอยู่ห่างกันราวฟ้ากับดินระหว่างท้องฟ้ากับน้ำทะเล....แต่

    เพราะมันไกลจนสายตาเรามองเห็นว่าชิดกัน...เช่นเดียวกับจุดจันทร์เสี้ยวแยกจากกัน...และการลอย

    ของดวงจันทร์จากยอดเขา...จะเห็นช่วงหนึ่งเหมือนกับดวงจันทร์ลอยออกมาจากหลังเขา..........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2012
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................กาเผือกมานั่งอังไฟอยู่หน้ากองไฟ....ในขณะที่ไก่ตุ๋นเข้าไปนอนหลับอยู่ใน

    เต๊นท์...กาเผือกแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าเพื่อดูดวงจันทร์เสี้ยวที่กำลังลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า

    ท่ามกลางหมู่ดาว...แม้ด้านหน้าเขาจะได้รับไออุ่นจากกองไฟ..แต่ด้านหลังของเขายามที่ลมหนาวพัด

    โชยมาอย่างแรงบนยอดเขา...จนชายเลื้อด้านหลังปลิวสะบัดเปิดออกจนเย็นด้านหลัง...เขาจะ

    หนาวสะท้านไปทั้งกาย...แต่ไม่อาจข่มตาหลับไปได้..ทั้งที่เมื่อตอนกินข้าวอิ่มใหม่ ๆ เขาอยากจะนอน

    ด้วยความง่วงเป็นที่สุด...แต่เมื่อพวงผกาเตือนว่าบนยอดเขามีงูชุกชุม...เขาก็พยายามที่จะไม่หลับ...

    แต่การพบดวงจันทร์เสี้ยวที่ขึ้นจากยอดเขาและผ่านต้นไม้ใหญ่บนยอดเขา.ทำให้ดูเห็นว่ามันถูกผ่าแยก

    ออกจากกัน...

    ....................กาเผือกนั่งพิจารณาว่า..ขณะที่เขาเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแยกจากกันเช่นนี้มันคือ..

    เดือนพฤศจิกายน 2546....แล้วเมื่อย้อนไปฤดูหนาวปี 2466 หรือเมื่อ 80 ปีที่แล้ว..เมือง มี

    สุข ก็จะต้องเห็นเหมือนกับเขาเช่นกัน...และจะต้องมองเห็นจันทร์เสี้ยวแยกจากกันเหมือนกับ

    กาเผือก....บนยอดเขาที่เมือง มีสุขขี่ม้าขึ้นมาจ้องมองดูดวงอาทิตย์ ณ เขานี้......

    ....................กาเผือกแปลกใจว่า..ในยามค่ำคืนอย่างนี้..เมือง มีสุข ขึ้นมาทำอะไรบน

    ยอดเขาแห่งนี้...เขามากับใครกัน....ทั้งที่บนยอดเขาแห่งนี้ในฤดูหนาวเวลาดึกดื่น...

    บรรยากาศไม่ได้ชวนให้มาเที่ยวเล่นเลย...หนาวก็หนาว..น่ากลัวก็น่ากลัว....เขามาทำไม...

    เป็นเหตุการณ์ที่กาเผือกจะต้องย้อนไปถามคุณยายมั่นหรือพวงผกาว่า..... ..คุณยายมั่นหรือพวงผกา

    รับรู้เรื่องที่ เมือง มีสุข ขึ้นมาบนยอดเขานี้ในคืนฤดูหนาวหรือไม่.........

    .....................จุดจันทร์เสี้ยวแยกจากกัน..เมือง มีสุข..จะต้องได้พบเห็นก่อนที่เขาจะแยกขวดแก้ว

    ทรงมะม่วงออกจากกัน...เป็นสองซีก...ปรากฏการณ์ของจันทร์เสี้ยวแยกจากกัน...ทำให้เขาเกิด

    ปัญญาคิดอะไรออกมาได้หรือ...เขาช่างเป็นคนที่อ่านออกยากเสียจริง.....แม้กระทั่งปลัดปักษ์

    ในสมัยเมื่อ 80 ปีที่แล้ว......กว่าเขาจะอ่านใจหรือดักทางของ เมือง มีสุข ได้ก็ต้องเพียร

    พยายามแล้วเพียรพยายามอีก..จนปลัดปักษ์ได้ไปพบกับหนังสือเกี่ยวกับเมืองพม่าที่สายพิณ

    นำไปให้เขาอ่าน...และได้แกะรอยจนพบรอยพับของหน้าหนังสือที่ เมือง มีสุข อ่าน...จึงได้

    แกะรอยไปกับกัมพู...ไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านยามคำคืน..จนพบหลุมฝั่งศพของเย

    ยุ่น..และขุดศพขึ้นมาดู..ปลัดปักษ์จึงเริ่มอ่านเหตุการณ์ได้...ความเพียรพยามของปลัดปักษ์

    เป็นสิ่งที่น่าที่กาเผือกจะเอาเยี่ยงอย่าง.....ในการอ่านและตามความคิดของเมือง มีสุข..แม้

    เขาจะไม่อยู่ให้เห็นบนโลกนี้อีกแล้ว.....

    .....................กาเผือกคิดว่าวันพรุ่งนี้เขาจะไปไหนก่อนดี..ระหว่างมุ่งตรงไปที่จุดจันทร์

    เสี้ยวแยกจากกันตรงต้นไม้ใหญ่ของเขาลูกโน้น...หรือไปสอบถามความเป็นมาของ.เมือง มี

    สุข..ว่าเขาขึ้นมาทำอะไรที่เขาลูกนี้ในคืนนั้น..และมากับใคร....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2012
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    .............ปรากฏการณ์ดวงจันทร์เสี้ยวแยกจากกัน............




    ......................ผู้เขียนขอเล่าเรื่องปรากฏการณ์ดวงจันทร์เสี้ยวแยกจากกัน..ที่มีผู้พบเห็น

    แล้วได้เกิดเหตุการณ์อะไรกับเขาขึ้น..เพื่อประกอบเรื่องเล่านี้ให้ชวนติดตามและมีอรรถรส

    ขึ้น......

    ......................ตามเรื่องเล่าได้ทราบแล้วว่า..เมื่อฤดูหนาวปลายปี พ.ศ.2466...เมือง มีสุข

    ได้พบปรากฏการณ์นี้ขึ้น.....และในฤดูหนาวปลายปี พ.ศ.2546 กาเผือกและไก่ตุ๋นได้พบปรากฏการณ์

    นี้

    ......................แต่สิ่งที่จะเล่านี้เป็นปรากฏการณ์จันทร์เสี้ยวแยกจากกันในวันที่ 4 ธันวาคม

    2539..ซึ่งเพื่อนของผู้เขียนเป็นคนเล่าให้ฟัง..ต่อมาผู้เขียนก็ได้เดินทางไปดูปรากฏการณ์นั้นภายหลัง

    จากที่เขาเล่าให้ฟัง....

    ......................เรื่องมีอยู่ว่า..เพื่อนของผู้เขียน..เขามีแฟนอยู่แล้ว..และกำหนดจะแต่งงานกับ

    แฟนของเขา...และได้แจกการ์ดเชิญแก่ผู้มีเกียรติไปหมดแล้ว...

    ......................ระหว่างนั้นเขาได้เกิดไปชอบพอกับหญิงสาวคนหนึ่ง..ซึ่งหญิงสาวผู้นั้นก็มีแฟน

    แล้วเช่นกัน...แต่ทั้งเขาและเธอต่างก็ปิดบัง..เรื่องที่มีแฟนกันไว้....และคบหาเที่ยวเตร่กันไปตาม

    ประสาคนรักกัน...

    .......................มาวันหนึ่งฝ่ายเพื่อนผู้เขียนเกิดรู้เรื่องว่า..หญิงสาวที่คบอยู่มีแฟนอยู่แล้ว...ก็รู้สึก

    โกรธไม่อยากคบหากับหญิงผู้นั้นอีกต่อไป...และขอเลิกยุ่งเกี่ยว..แต่จะไปส่งในที่ที่เธอยากไป....

    ปรากฏว่าหญิงผู้นั้นรักเพื่อนของผู้เขียนมาก...เธอไปซื้อยาอะไรไม่รู้เป็นกำ ๆมือ...แล้วจะกินต่อหน้า

    เพื่อนผู้เขียนหากทิ้งเธอไป....

    .......................สรุปเพื่อนผู้เขียนเลยต้องคบกับเธอต่อไป..แล้วพาเธอหนีจากแฟนของเธอ...ไป

    อยู่บ้านญาติของเพื่อนผู้เขียน...ระหว่างเพื่อนผู้เขียนไม่อยู่..ญาติผู้นั้นจึงได้บอกกับเธอว่า...เพื่อนผู้

    เขียนมีแฟนแล้วและกำลังจะแต่งงาน...

    .......................พอเพื่อนผู้เขียนกลับมาหาเธอ...เธอก็นิ่งเงียบ..แบบว่า"เสียใจอย่างมาก"...ที่

    เหตุการณ์กลับมาเป็นเช่นนี้...เธอเงียบเสียจนน่ากลัว....เพื่อนผู้เขียนเมื่อทราบว่าเธอรู้เรื่องแล้ว..ก็พา

    เธอหนีต่อไป...........

    .......................จนกระทั่งมาถึงคือวันที่ 4 ธันวาคม 2539 เขาขับรถพาเธอมาที่ปั๊มน้ำมันเพิ่ง

    กำลังสร้างใหม่แห่งหนึ่ง...บนถนนสายตาคลี-ตากฟ้า...และจอดรถนอนอยู่ใกล้ห้องน้ำของปั๊ม...ซึ่ง

    ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของห้องน้ำห่างไปราวครึ่งกิโลเมตร..มีภูเขาสูงลูกหนึ่งตั้งตะหง่านอยู่....

    .......................เพื่อนของผู้เขียนบอกว่า..เขาคิดว่า..เขาจะตัดสินใจอย่างไรดี...วันพรุ่งนี้จะเป็น

    อย่างไร...จะต้องหนีไปอย่างนี้ตลอดชีวิตหรือ...ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นี้ก็มีปรากฎการณ์ที่หลังเขา

    ลูกนั้นเกิดขึ้น....

    .......................มีแสงสว่างดังสีทองพุ่งกระจายขึ้นมาจากหลังเขา...เขาคิดว่า...มีงาน

    อะไรหรือที่หลังเขาจึงมีแสงสว่างพุ่งออกมา....เขาจึงหยุดดูแสงที่พุ่งกระจายจากหลังเขาขึ้น

    มา....แสงนั้นสว่างขึ้นเรื่อย ๆ..และก็ปรากฎมีสามเหลี่ยมชายธงสีทองผุดออกมาจากหลัง

    เขา..สองชายขนาบเขาไว้ด้านหลัง...

    .......................ต่อมาสามเหลี่ยมชายธงก็ผุดขึ้นเรื่อย ๆจนลอยขึ้นเห็นเป็นดวงจันทร์เสี้ยว

    ดวงใหญ่อยู่หลังเขานั้น...ดวงจันทร์เสี้ยวลอยขึ้น..แต่ตรงกลางของจันทร์เสี้ยวนั้นขาดออก

    จากกันหรือแยกจากกัน..เป็นเงามืด....เขาตกใจจึงเพ่งดูว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น....ก็เห็น

    ต้นไม้ใหญ่ผ่ากลางจันทร์เสี้ยวนั้น..แล้วพุ่มไม้ลอยอยู่กลางวงจันทร์ด้านใน.....

    .....................เพื่อนผู้เขียนบอกว่าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย..แต่มันสวยงามมาก........แต่

    แล้วปรากฎการณ์นี้...ทำให้เขาคิดได้ทันทีเสมือนดวงจันทร์เสี้ยวมาบอก.......ดวงจันทร์เทียบ

    ได้กับความรักของคนสองคน...เมื่อดวงจันทร์ถูกตัดแยกจากกัน....ย่อมหมายถึงความรัก

    ของเขาสิ้นสุดลงแล้ว.....เขาและเธอคงต้องเลิกกันแน่...เป็นทางออกที่เสมือนดวงจันทร์บอก

    เหตุ....เขาหันไปมองหน้าเธอที่อยู่ในรถ..อย่างอาลัยอาวรณ์...และรู้ถึงเหตุผลว่า "เขาทั้งสอง

    คนมาพบกันอย่างผิดที่ผิดทาง...พบกันอย่างบิดเบือน....ของไม่จริงย่อมอยู่ไม่

    นาน"..........

    .....................เขาไม่ยอมปลุกเธอขึ้นมาดูเหตุการณ์ของจันทร์เสี้ยวนั้น...แต่ได้บอกกับเธอ

    ว่า..เขาจะไปส่งเธอที่บ้านพ่อแม่...แล้วจะติดต่อไปหาอีกที......

    .....................ซึ่งหลังจากเขาไปส่งเธอแล้ว...เขาไม่สามารถติดต่อเธอได้...แต่ทราบภาย

    หลังว่า..แฟนและญาติพี่น้องของเธอได้พาเธอหนีไปอยู่ป่าละอู...ซึ่งเพื่อนของผู้เขียนก็ไมรู้ว่า

    อยู่ที่ใด.....

    ......................หลังจากนั้นเพื่อนของผู้เขียนก็แต่งงานกับแฟนของตน..และก็ทราบว่า...

    หญิงคนนั้นก็แต่งงานกับแฟนของเธอ....และไม่เคยพบเจอกันอีกเลยนับแต่..คืนวันที่ดวง

    จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน.............

    ......................เรื่องที่เขาเล่าให้ผู้เขียนฟัง...ผู้เขียนไม่ออกความเห็น...แต่สิ่งที่ต้องไป

    พิสูจน์คือ...สถานที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน...ผู้เขียนไปเปิดดูปฏิทินพบว่า..ในคืนวันนั้นเป็น

    "คืนข้างแรม..."...........ผู้เขียนไปดูสถานที่ตอนกลางวันและพบว่า...เขาลูกนั้นอยู่ทางทิศ

    ตะวันออกเฉียงเหนือของปั๊ม.....

    .......................และคืนข้างแรมคืนหนึ่ง...ผู้เขียนก็ได้ไปสังเกตุการณ์คนเดียวด้วยเกรง

    เหมือนกันว่าไปคู่แล้วอาจต้องแยกจากกัน.....ผู้เขียนพบว่า.."ดวงจันทร์เสี้ยวนั้นขึ้นหลังยอด

    เขาลูกนั้นจริง ๆ ...และได้แยกจากกันที่ต้นไม้ต้นนั้นบนยอดเขา....จึงเชื่อในสิ่งที่เขาพูด......

    ........................ปัจจุบันนี้ปั๊มนั้นยังเปิดอยู่...มีร้าน 7-11 เปิดคู่กับปั๊มเป็นปั๊ม ปตท.มีอยู่

    ปั๊มเดียวตั้งอยู่บนถนนสายตาคลี-ตากฟ้า...ถ้าไปจากตาคลีปั๊มจะอยู่ซ้ายมือ......ก็ลองไป

    พิสูจน์จุดจันทร์เสี้ยวแยกจากกันดู....เพราะท่านจะได้รับรู้ปรากฏการณ์เหมือน...เมือง มีสุข..

    กาเผือกและไก่ตุ๋น..และเพื่อนของผู้เขียน..ร่วมทั้งผู้เขียนด้วย..(แต่ปัจจุบันนี้ไม่รับรองว่าดวง

    จันทร์เสี้ยวข้างแรมดวงนั้นจะขึ้นตรงเป๊ะกับต้นไม้ต้นนั้นหรือเปล่า......เพราะการโคจร

    ของดวงจันทร์ไม่แน่นอนครับ).....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2012
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    .ตอนที่ 104 เรื่องเล่าของแสงประหลาดบนยอดเขาสูง.




    ....................รุ่งเช้ากาเผือกตัดสินใจที่จะยังไม่ไปสถานที่ที่จุดจันทร์

    เสี้ยวแยกจากกันบนเขาลูกนั้น...แต่เขาได้สังเกตและจดจำต้นไม้ที่ผ่า

    ดวงจันทร์เสี้ยวออกเป็นสองซีกบนภูเขาลูกนั้นไว้...กาเผือกลงจากเขา

    พร้อมกับไก่ตุ๋น..เขาโทรศัพท์ติดต่อพวงผกาที่อยู่ที่โรงแรมให้มาบ้านคุณ

    ยาย....

    .....................กาเผือกนั้นได้รับรู้เรื่องราวเพิ่มเติมก่อนขึ้นเขานั้น

    ว่า..."โนรี นรา"ที่พวงผกาบอกว่าเป็นคนเมืองใต้นั้นคือคนจังหวัดใด..ก็ได้รับ

    คำตอบว่า....."นางฟังจากคุณยายว่านางเป็นคนเมืองสุราษฎร์ธานี"...กา

    เผือกจึงรู้ตัวว่า...."ภารกิจต่อไป..เขาจะต้องไปที่สุราษฎร์ธานี...เพื่อตามหา..

    โนรี นราที่เขาเชื่อว่านางต้องตายไปนานแล้ว..และหลุมศพของนางอยู่ที่ใด...

    ซึ่งเขาจะต้องค้นหาให้พบเพื่อนำขวดแก้วทรงมะม่วงไปไว้ในโลงศพของ

    นาง"......

    ....................เมื่อพวงผกามาถึงและอยู่พร้อมหน้ากันกับคุณยายมั่น......

    กาเผือกจึงเริ่มถาม

    ............................"วันนั้นพวงผกาเล่าผมฟังว่า..ตอนยายอายุ 7 ขวบ

    เมือง มีสุขได้ให้แหวนกับยายไว้และบอกว่า..จะมีคนสวมแหวนแบบนี้มาพร้อม

    กับขวดแก้วทรงมะม่วงเพื่อตามหาสถานที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน...ให้ยายสวม

    แหวนให้เขาเห็น..แล้วบอกคำพูดปริศนาแก่เขา..เกี่ยวกับสถานที่จันทร์เสี้ยว

    แยกจากกัน.......และคุณยายก็บอกว่าสถานที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกันมันเป็น

    ปรากฎการณ์ในคืนฤดูหนาว.......ตอนนี้ผมเห็นสถานที่นั้นแล้ว....มันคือภูเขา

    อีกลูกหนึ่งซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก..และในยามดึกจะมีดวงจันทร์เสี้ยวขึ้นจาก

    หลังเขา..ผ่านต้นไม้บนยอดเขา..และต้นไม้ต้นนั้นคือจุดที่ทำให้จันทร์เสี้ยว

    แยกจากกัน...แต่ผมจะยังไม่ไปที่นั่น...เพราะผมยังแคลงใจอยู่ว่าในคืนนั้น..

    เมือง มีสุข..ขึ้นไปบนเขาสูงนั้นทำไม....เขาไปกับใคร..เป็นโนรี นราใช่ไหม

    ครับ....คุณยายเคยเห็นนางไม่ใช่หรือ...พวงผกาเคยบอกว่า..คุณยายบอกนาง

    มากับเสียงขลุ่ยที่เป่าได้ไพเราะมาก"

    ....................คุณยายมั่นนั่งนิ่งแล้วมองหน้าหลานสาว..แล้วจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"โนรี นรา นางมากับเสียงเพลงขลุ่ยที่ไพเราะจริงๆ..

    นางเป็นคนสวยงามผุดผ่องและเยือกเย็น...ยายพบนางจริงๆ..เมือง มีสุขเป็น

    คนพานางมา...แล้วบอกว่า หากเป็นคืนจันทร์เพ็ญ...เขาจะต้องพานาง

    หลบไปจากผู้คน...ยายไม่รู้ว่าเขาพานางไปไหน....แต่คืนจันทร์เพ็ญคืน

    หนึ่งในฤดูหนาว....ยายและผู้คนในหมู่บ้าน..ต่างก็ได้ยินเสียงเพลงขลุ่ย

    อันไพเราะเยือกเย็นลอยมาตามสายลม....ผู้คนในหมู่บ้านยืนสงบนิ่ง..และ

    พยายามเงี่ยหูฟังว่าเสียงเพลงขลุ่ยมาจากทิศใด....ในที่สุดก็จับทางเสียงขลุ่ย

    ออกว่า.มันมาจากยอดเขาสูงที่ เมือง มีสุข เคยควบม้าขึ้นไปสู่กับดวง

    อาทิตย์....ผู้คนในหมู่บ้านจึงแหงนมองไปที่ยอดเขา..ในคืนจันทร์เพ็ญ

    นั้น............คนในหมู่บ้านต่างเห็นแสงประหลาดสีทองและเหลืองอร่าม

    ที่งามและเยือกเย็นเหมือนกับดวงจันทร์เพ็ญแผ่รัศมีกระจายอยู่บนยอด

    เขา.....แสงนั้นและเสียงขลุ่ยช่างเย็นตาและเย็นใจกล่อมให้พวกเรามี

    ความสุขเหลือเกิน...จนบัดนี้ยายและคนในหมู่บ้านยังไม่รู้ว่าคือแสงของ

    อะไรบนยอดเขานั้น.....แสงนั้นเปล่งประกายโต้ล้อ..กับแสงของดวง

    จันทร์เพ็ญบนท้องฟ้า..อย่างสวยงาม"

    .....................กาเผือก ไก่ตุ๋นและพวงผกา......ต่างนิ่งอึ้งที่ได้รับรู้เรื่อง

    ราวและเหตุการณ์แปลกประหลาด..แม้แต่พวงผกาหลานคุณยายมั่นก็ยังไม่เคย

    ได้ยินได้ฟังเรื่องนี้จากคุณยายมั่นเลย...คุณยายมั่นเพิ่งเล่าให้พวกเขาฟังเป็น

    ครั้งแรก.....

    .....................กาเผือกเริ่มครุ่นคิดว่า..มันมีอะไรอยู่บนยอดเขา...แล้ว

    ทำไมเฉพาะในคืนจันทร์เพ็ญ...เมือง มีสุขจึงต้องพาโนรี นราหลบผู้คนไปเสีย

    ที่อื่น...แล้วแสงอะไรเล่าที่เปล่งประกายสว่างบนยอดเขานั้น...เสียงขลุ่ยนั้นน่า

    จะบ่งบอกที่ที่อยู่ของโนรี...โนรีนางต้องอยู่บนยอดเขานั้นแน่นอน...และผู้ที่พา

    นางขึ้นไปก็ต้องเป็น เมือง มีสุข.....ทั้งคู่มีความลับอะไรหรือจึงเปิดเผยไม่

    ได้.....

    .....................กาเผือกคิดต่อไปว่า "คืนวันพระจันทร์เต็มดวง"...

    กับ..."คืนวันจันทร์เสี้ยว"...มันแตกต่างกัน...เมือง มีสุข ..ค้นพบสถานที่จันทร์

    เสี้ยวแยกจากกันในคืนจันทร์แรม....แล้วคืนนั้นมีเสียงขลุ่ยดังขึ้นไหม..เกิด

    อะไรขึ้นบนยอดเขาสูงนั้น....

    .....................กาเผือกครุ่นคิดว่า.."หากเขายังประมวลเหตุการณ์บนยอด

    เขาสูงในคืนวันที่เมือง มีสุขเห็นจันทร์เสี้ยวแยกจากกันไม่ได้...เขาไม่ควรจะขึ้น

    ไปยังสถานที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน"....."และในคืนวันจันทร์เพ็ญมีแสง

    ประหลาดอะไรที่เกิดขึ้นบนยอดเขาสูง..ในระหว่างที่โนรีและเมือง มีสุขอยู่บน

    ยอดเขาสูงนั้น...เขาน่าที่จะสืบให้ได้ความก่อนที่จะผลีผลามทำอะไร....บางที

    เรื่องราวของเมืองและโนรีอาจมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนมากกว่า..ที่ตัวหนังสือที่

    เมือง มีสุขเขียนเอาไว้....เพราะดูแล้วเขาถึงขนาดแยกขวดแก้วที่มีความหมาย

    ต่อเมืองพม่าออกจากกัน..และปล่อยขวดลอยน้ำจากเมืองน่านไปจนถึงเมือง

    ชัยนาท...มันก็น่าจะมีอะไรที่ลึกลับยิ่งใหญ่สำหรับเขาซ่อนอยู่"...............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mk.jpg
      mk.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.7 KB
      เปิดดู:
      78
    • Qki1A_397908-02.jpg
      Qki1A_397908-02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.3 KB
      เปิดดู:
      78
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2012
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................กาเผือกหากเขามาอยู่ในสมัยนั้น..และพบกับ "โนรี นรา" ......ตอนกลางคืน

    ในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ หรือ"วันจันทร์เพ็ญ" เหมือนกับพี่เณรและภูผา..แล้วปรากฎเหตุการณ์ที่...โนรี

    นรามีแสงสว่างสีทองดุจจันทร์เพ็ญออกจากร่างกายอย่างสวยงามและสว่างไสว..งามเยือกเย็นผุดผ่อง

    ดุจจันทร์เพ็ญ....เขาคงสิ้นสงสัยทันทีว่า..ในคืนที่คุณยายมั่นหรือชาวบ้าน..พบเห็นแสงประหลาดสี

    ทองเหลืองอร่ามสว่างไสวดุจจันทร์เพ็ญ..ในคืนที่จันทร์เพ็ญหรือพระจันทร์เต็มดวงบนยอดเขาสูง...

    เพราะสามารถเดาเหตุการณ์ได้เลยว่า.."โนรี นราจะต้องขึ้นไปอยู่บนยอดเขาสูงนั้น..และต้องอยู่กับ

    เมือง มีสุขผู้ที่พานางมาจากแดนใต้..และนางเป็นคนเป่าขลุ่ยที่สะกดคนที่ได้ยินเพลงขลุ่ยนี้ให้ลืม

    ทุกข์..เกิดความสุขประหลาดขึ้นมาภายในใจ"

    ....................เรื่องราวของแสงประหลาดยังคงเป็นเรื่องลึกลับที่ทั้งคุณยายมั่นและคนในหมู่บ้านคา

    ใจมาถึง 80 ปีได้แล้ว..ว่าแสงประหลาดที่เกิดขึ้นบนยอดเขาสูงวันคืนวันเพ็ญ คือ แสงอะไรและเกิด

    จากอะไร......"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..ช่างเป็นเรื่องลึกลับและชวนให้ติดตามเหลือเกิน"

    ....................กาเผือก..คุณยายมั่นและคนในหมู่บ้านไม่มีทางรู้เรื่องแสงประหลาด..แต่ "เมือง มี

    สุข"เล่า..เขาจะไม่รู้เรื่องราวเชียวหรือ..."เพราะเขาบอกกับคุณยายมั่นฟังเองว่า...หากเป็นคืน

    จันทร์เพ็ญ..เขาจะต้องพานางหลบไปจากผู้คน"..คำพูดนี้..น่าจะสื่อให้เห็นถึงจะต้องมีเรื่องราว

    บางอย่างเกิดขึ้นกับ..โนรีในคืนจันทร์เพ็ญ...เมือง มีสุข..จึงจำเป็นต้องพาโนรีหลบผู้คนไม่ให้ใคร

    เห็น..นอกจากตัวเขาเองซึ่งเคยเห็นนางในร่างนี้มาแล้ว...เขาจึงเกรงกลัวที่ผู้คนจะมาพบเห็นนางในร่าง

    นี้ "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"..

    .....................กาเผือกเริ่มอ่านใจ.."เมือง มีสุข" บุรุษผู้ล่วงลับที่เขียนตัวหนังสือไว้เพียงสอง

    ผืน...แต่กลับมีอำนาจดึงดูดตัวเขาให้ติดตามและทำหน้าที่ให้เขาถึงเมืองน่านแห่งนี้....

    .....................กาเผือกชวนพวงผกานั่งรถมอเตอร์ไซด์วิบากที่เขาเพิ่งได้เป็นเจ้าของ..แล้วขับขี่พา

    พวงผกาไปที่บริเวณเชิงเขาสูง..โดยปล่อยให้ไก่ตุ๋นนอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน...

    .....................เมื่อมาถึงเขาสูง...เขาขับรถวนรอบเขาสูง..และจอดรถบอกพร้อมกับลงจากรถและ

    บอกพวงผกาว่า

    ............................"ก่อนที่ เมือง มีสุข จะขี่ม้าขึ้นไปบนยอดเขาสูง..เขาควบม้าสีนิลวนรอบ

    เขา...แล้วเขาขี่ม้าปี่นขึ้นเขา...ด้านไหนครับ"

    ......................พวงผกาส่วยหน้าแล้วเอ่ยตอบ

    ............................"ไม่มีใครรู้หรอกพี่..นอกจากสายพิณที่นางขึ้นเขามากับม้าสีนิล..ตามภาพที่

    นางวาดไว้ในพิพิธภัณฑ์นั่นแหละ"

    ......................กาเผือกมองไปยังเขาแล้วเอ่ยต่อ

    ............................"แปลกจัง..แม้แต่ทางขึ้นเขาของเขา..ยังไม่มีใครล่วงรู้"

    ............................"แล้วเมื่อวาน..พี่ขึ้นมากับพี่ไก่ตุ๋นอย่างไร"

    ............................"เดินตรงที่เดินได้..แล้วก็ปี่นไต่ขึ้นไป..แต่เหนื่อยมาก"

    ............................"บนเขาลูกนี้...คิดว่า..ไม่มีใครอยากขึ้นมา"

    ............................"เพราะอะไรหรือ"

    ............................"ก็เพราะมันไม่มีอะไรให้ดูนะสิพี่...นอกจากแสงประหลาดในคืนนั้นที่ผู้คน

    อยากขึ้นมาดูเพื่อพิสูจน์ว่าคือ..แสงอะไร..แต่ผู้คนก็ไม่กล้าขึ้นมา...ก็คงมีพวกพี่นี่แหละที่กล้าขึ้นมา...

    ถ้าจะบ้าบิ่นเหมือนเขาคนนั้น"

    ....................กาเผือกหัวเราะก่อนตอบ

    ............................"เขาคนนั้น..ก็คือ คุณตา(เมือง มีสุข)ของพวงผกาไม่ใช่หรือ"

    ............................"ก็จริงอยู่...แต่ไม่เคยมีใครในครอบครัวหนูเป็นเช่นนี้"

    ....................กาเผือกมองไปที่เขาที่เป็นสถานที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน..จึงได้เอ่ยขึ้น

    ............................"ผมว่า..เราไปวนรอบเขาลูกโน้นกันดีกว่า..จะได้หาทางดูว่าขึ้นทางไหน"

    .....................ว่าแล้วกาเผือกก็ขับรถพาพวงผกามาที่เขาอีกลูกหนึ่ง...ไม่นานรถก็มาวนรอบเขา

    ลูกนั้น...ทั้งคู่ก็เดินสำรวจดูทางที่สามารถจะขึ้นเขาได้...

    .....................พวงผกาจึงเอ่ยถาม

    ............................."ถ้าพี่ได้ขวดแก้วอีกซีกหนึ่ง..แล้วพี่จะทำอย่างไรต่อไป"

    ............................."คงแยกทางกับเจ้าไก่ตุ๋น...เพราะพี่จะขับรถคันนี้..ไปที่สถานที่รถไฟที่ใกล้

    ที่สุดแล้วนำรถคันนี้ขึ้นรถไฟ...เข้ากรุงเทพ..แล้วต่อไปที่เมืองสุราษฎร์.."

    .....................พวงผกาฟังแล้วรู้สึกท้อ...พลางเอ่ยถาม

    .............................."พี่จะทำตามหนังสือ..ของ ตาเมือง มีสุข จริง ๆหรือ"

    .............................."มาถึงขนาดนี้แล้ว...ล้มเลิกได้อย่างไร"

    .............................."ดูพี่กาเผือกแล้ว...จะเหมือนเจ้านกกาเผือกตัวที่เขาเล่าว่ามันบินตามขวด

    แก้ว..หลังจากที่ เมือง มีสุข จมน้ำไปแล้วจริง ๆ"

    .....................กาเผือกสะดุ้งและหยุดคิดพลางหัวเราะก่อนตอบ

    .............................."ผมเป็นคนนะครับ...ไม่ใช่นก"

    .............................."ก็นั่นนะสิพี่...เจ้านกตัวนั้นปานนี้มันตายไปนานแล้ว..แต่หลังมันตาย

    แล้วสิพี่..มันเกิดเป็นพี่หรือเปล่า"

    .....................กาเผือกนิ่งแล้วคิดแล้วฟังพวงผกาเอ่ยต่อ

    ..............................."เขาเล่ากันว่า..เจ้านกกาเผือกตัวนั้น..มันฟังคำสั่งอะไรจาก เมือง มีสุข..

    แล้วมันก็ตามขวดแก้วไป...นกตัวนั้นอาจจะตาย....แล้วขวดแก้วนั้นแม่น้ำน่านก็อาจจะซ่อนขวดแก้วไว้

    ใต้น้ำรอ..เจ้านกตัวนั้นมาเกิด...แล้วมาเกิดเป็นพี่..แม่น้ำจึงส่งขวดแก้วมาให้พี่ทำหน้าที่ต่อไง"

    .....................คราวนี้กาเผือกสงบนิ่งคิดตามอย่างพินิจพิจารณา..ว่า...เรื่องราวมันน่าจะเป็น

    อย่างที่พวงผกาเล่าหรือเปล่า...เพราะถ้าเป็นเรื่องในอดีตของนกกาเผือก...นั้นเขาทำตามคำสั่งของ

    เมือง มีสุขก่อนที่จะจมน้ำหายไปอยู่แล้ว.....แต่ถ้าเป็นเรื่องปัจจุบันเขาทำตามหนังสือที่เมือง มีสุข

    เขียนไว้.........

    .....................กาเผือกก็ยังมีความคิดว่าที่เขามาทำหน้าที่นี้...เขามาตามตัวหนังสือที่เมือง มีสุข

    เขียน...แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า..บางที่เขาอาจเป็นเจ้านกตัวนั้นกลับชาติมาเกิดจริง ๆ...เพราะมี

    บางสิ่งบางอย่างบอกเหตุแก่เขา...เช่น ตอนที่เขาเห็นนกกาเผือกบินโฉบดึงร่างเมือง มีสุขใน

    แม่น้ำน่าน..แล้วภาพนั้นหายไป...และแม้แต่ที่เขาได้มาเห็นภาพที่สายพิณวาดไว้ใน

    พิพิธภัณฑ์..เกี่ยวกับที่เมือง ช่วยนกกาเผือกเอาไว้...เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่า.."เขาคือนกตัว

    นั้นจริง ๆ"...............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2012
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    .....................กาเผือกเดินคิดไปพร้อมกับพวงผการอบ ๆเขา..กาเผือกพิจารณาได้ทันที

    ภูเขาที่สูงชันเช่นนี้...ยากที่ผู้หญิงที่มีโครงร่างบอบบางจะไต่ขึ้นมาได้.......ดังนั้น เมือง มีสุข จะต้อง

    ขึ้นมาบนยอดเขาที่เป็นสถานที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกันเพียงคนเดียว...และน่าจะปีนป่ายขึ้นมาใน

    ตอนกลางวัน....

    .....................กาเผือกและพวงผกา..ชายหนุ่มเดินเคียงข้างกัน..ดูแล้วช่างเหมือนกับแฟนหรือคู่

    รักกันอย่างเหมาะเจาะ...แต่เขาและเธอจะมีใจให้กันในด้านความรักหรือไม่..ไม่อาจคาดเดาได้.....

    .....................ตะวันแห่งเมืองน่านคอย ๆลับจากบ่ายไปสู่เย็น...บรรยากาศความหนาวเย็นเริ่มปก

    คลุม.....กาเผือกหันไปมองดวงอาทิตย์ลูกสีแดงส้มอันสวยงามยามกำลังจะตกดิน..พลางสะกิดให้พวง

    ผกาดู...

    ............................."เห็นดวงตะวันกำลังตกดินไหม"

    .....................พวงผกาหันหน้ามองไปทางทิศตะวันตกตามกาเผือกที่กำลังจ้องมองดู..พลางเอ่ย

    ขึ้นอย่างหยอกล้อ

    ............................."ทำไม..พี่ชายไม่เคยเห็นตะวันกำลังจะตกดินหรือไง...ที่ชัยนาทน่ากลัวจะ

    ไม่มีดู"

    ............................."มี...แต่วิ่งตามมันไม่ทัน" กาเผือกปล่อยมุขขำบ้าง

    ............................."โอโห...ท่าทางดวงตะวันที่เมืองชัยนาทมันคงวิ่ง..ไม่ค่อยๆลอยเออระเหย

    แบบเมืองน่านมั้ง" พวงผกาตอบแย้งอย่างไม่ยอมแพ้

    ............................."มันก็ลอยต่ำลงเหมือนเมืองน่านนั่นแหละ...แต่รถมอเตอร์ไซด์เสียงเครื่อง

    เรือจ้างที่เจ้าไก่ตุ๋นมันขับ...มันใช้คลานไปบนถนน" กาเผือกเอ่ยถึงสมรรถนะรถที่บ้าน

    .....................พวงผกาหัวเราะชอบใจที่กาเผือกบอกรถของเขาใช้คลานบนถนน..ด้วยเธอนึกภาพ

    แล้วมันคงคลานเหมือนเต่าหรือวิ่งช้ามาก...เธอจึงเอ่ยต่อ

    ............................"พี่ชายได้เจ้ามอเตอร์ไซด์วิบากสีแดงคันนี้..คงจะวิ่งแข่งกับดวงตะวันได้กระ

    มั้งถ้ากลับไปชัยนาท...แต่เวลาขี่ทำไมถึงชอบเบรครถจัง" ประโยคหลังเธอแซวแบบลองเชิงที่เมื่อตอน

    นั่งค่อมเจ้ามอเตอร์ไซด์วิบากคันนี้แล้วกาเผือกเหยียบเบรครถทีไรน่าอกของพวงผกาก็จะชนหลังของกา

    เผือกทุกครั้ง...เธอแกล้งคิดเล่น ๆว่าท่าทางกาเผือกจะชอบแตะอั้งผู้หญิงหรือเปล่า...

    .....................กาเผือกได้ยินประโยคก็เข้าใจความหมายถึงกับน่าแดง..และหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น

    ............................"กลางทุ่งดินมันขรุขระอย่างนี้ถ้าไปไว ๆไม่เบรคเลยกลัวคนนั่งหลังตกรถ

    หรอก...อย่าคิดอกุศล"

    ............................"เฮ้อ...นั่งซ้อนท้ายรถคันนี้มีแต่ขาดทุน..สงสัยต้องเลิกนั่ง"

    ............................"พูดอย่างนี้..จะเดินกลับใช่ไหม"

    ............................"หนาว ๆ อย่างนี้เดินกลับให้โง่หรือพี่ชาย..เสียฟอร์มหมด"

    .....................ว่าแล้วทั้งคู่ก็หัวเราะชอบใจอย่างอารมณ์ดี...พวงผกานั้นปกติเธอเป็นคนเรียบร้อย

    ไม่ช่างพูดเท่าไร..แต่เมื่อเธอมาใกล้ชิดกับกาเผือกและไก่ตุ๋น..และฟังเรื่องราวการสืบหาค้นหาของพวก

    เขาแล้ว..เธอรู้สึกสนุกสนานไปกับพวกเขา..และดีใจที่กาเผือกพาเธอมาสำรวจเขาทั้งสองลูก...เพราะ

    เธอเองไม่เคยมีใครพามาทั้งที่เธอเองก็อยากรู้อยากเห็นเรื่องราวในอดีตของคุณตาเธอ(เมือง มีสุข)..

    รวมทั้งผู้หญิงลึกลับที่มากับเสียงขลุ่ยอันแปลกประหลาดนามว่า "โนรี นรา"..............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2012
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    .....................กาเผือกพาพวงผกานั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์วิบากที่ซื้อมาใช้เฉพาะ

    กิจ...ขับผ่านไปบนถนนขรุขระเพื่อแข่งกับดวงตะวันยามเย็นที่กำลังจะตกดิน..เวลากลางวันสั้นกลาง

    คืนยาว..คือลักษณะของบรรยากาศในฤดูหนาว..เสียงเครื่องรถมอเตอร์ไซด์คำรามลั่นสนั่นทุ่ง..ไก่ตุ๋น

    ได้ยินเสียงก็รู้ว่า...พี่ชายและพวงผกาที่ขับเจ้ารถคันนั้นไปสำรวจเขากำลังจะมา.....

    ....................พอกาเผือกมาถึงยังไม่ลงจากรถ..เมื่อเห็นไก่ตุ๋นก็ได้เอ่ยปากตามที่คิดไว้ทันที

    ............................."เดี๋ยวกูจะข้ามไปชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่ฝั่งเมืองน่าน..มึงจะกินอะไรบ้าง

    เดี๋ยวกูซื้อมาฝาก"

    ............................."อะไรก็ได้...แต่มึงกลับมาไว ๆก็แล้วกัน" ไก่ตุ๋นพูดพร้อมกับแปลกใจที่พวง

    ผกาไม่ได้ลงจากรถ...

    ............................."อยู่บ้านดี ๆ ละพี่ไก่ตุ๋น..วันนี้หนูหยุดไม่ไปโรงแรมแล้ว..ให้ลำเพยอยู่

    แทน" เป็นคำพูดของพวงผกาที่หันหลังมาตะโกนบอกขณะที่รถกำลังวิ่งออกไป

    .....................ไก่ตุ๋นมองดูทั้งคู่พลางเห็นความสนิทสนมของคนทั้งสอง..ก็พอจะคาดการณ์อะไร

    บางอย่างจึงบ่นขึ้นพร้อมกับเกาหัวแก๊ก ๆ

    ............................."สงสัยมาเมืองน่านคราวนี้...กูจะได้พี่สะใภ้รุ่นน้องกูกลับชัยนาทซะ

    มั๊ง"

    ......................กาเผือกขับรถข้ามสะพานและจอดรถ..พลางชี้มือไปที่เสาหนึ่งของสะพานพลาง

    เอ่ยถาม

    .............................."เสาต้นนั้นใช่ไหม..ที่เมือง มีสุขจมหายไปในน้ำตามภาพวาดพิพิธภัณฑ์"

    .............................."ใช่แล้วพี่ชาย..."

    .....................กาเผือกพยามศึกษารายละเอียด..ของเมือง มีสุข..เพื่อทำความเข้าใจ...ว่าเขา

    ควรจะกำหนดทำสิ่งใดต่อมา

    .............................."แล้วจวนเจ้าเมืองน่านหลังเดิมอยู่ไกลจากที่นี่มากไหม"

    .............................."ไม่มากหรอก..แต่ถ้าจะให้พาไปวันนี้ไม่เอาหรอก"

    .............................."ทำไมหรือ..." กาเผือกถามเหตุผล

    .............................."หิวก๊วยเตี๋ยว...หนาว..และใกล้มืดมากแล้วพี่ชาย"

    .............................."ก็ได้ไปทานก๊วยเตี๋ยวกันก่อนแล้วซื้อไปฝากคนที่บ้านก็แล้วกัน" ว่าแล้ว

    ทั้งคู่ก็นั่งรถข้ามสะพานเข้าไปในตลาดทันที

    .....................กาเผือกไม่ระแวงหรือคิดว่าใครจะจำเขาได้..ด้วยยามมืดเช่นนี้คงไม่มีใครสังเกตุตัว

    เขา...ระหว่างขับรถเขาตะโกนถามพวงผกา

    .............................."คุณยายมั่น..จำหน้าตาของโนรี นราได้ไหม"

    .............................."ไม่รู้เหมือนกัน...ถามทำไมหรือ" พวงผกาถามกลับอย่างสงสัย

    .............................."พี่อยากวาดภาพของนางขึ้นมาดู....เพื่อเวลาตามหานางที่

    สุราษฎร์..นำภาพไปถามหาคนในถิ่นนั้น..คงจะหาง่ายกว่าถามชื่อเฉย ๆนะ"

    กาเผือกบอกเหตุผล

    .............................."แต่คิดไปคิดมาหนูคาดว่าคุณยายน่าจะจำหน้าตาของนางได้นะ..

    เพราะมันมีเหตุที่คุณยายได้อยู่ใกล้ชิดกับนาง" พวงผกาเอ่ย

    ....................กาเผือกพอได้ยินเช่นนั้นเขารีบจอดรถ..พร้อมกับถามพวงผกาต่อทันที

    .............................."คุณยายไปใกล้ชิดกับนางได้อย่างไร...ในเมื่อนางอยู่กับเมือง มีสุขมา

    ตลอด"

    .............................."คุณยายเล่าว่า..ตอนที่เมือง มีสุขพานางมาบ้านหลังนั้น..ยายมีอายุราว

    7 ขวบ ...เมื่อยายเห็นนางที่มีรูปร่างน่าตาสวยงามเยือกเย็น..และผุดผ่อง..มันสะกดให้ยายจ้องมองดู

    นางอย่างไม่วางตา..แต่แล้วก็มีปรากฎการณ์บางอย่างเกิดขึ้น"

    ....................คราวนี้กาเผือกลงจากรถและหันจ้องหน้าพวงผกา...เพื่อที่จะฟังเธอเล่าอย่าง

    ตั้งใจ...พลางเอ่ยถาม

    ............................"มีปรากฎการณ์อะไรเกิดขึ้นกับนางหรือ"

    ............................"คุณยายบอกว่า..ใกล้ตัวยายมีต้นดอกทานตะวันอยู่ราว 15 ต้น..ที่

    ดอกของมันคอตกเพราะไม่มีแสงอาทิตย์ส่องเนื่องจากเป็นยามใกล้ค่ำ..พอนางเดินมาใกล้

    คุณยายปรากฎว่าเจ้าดอกทานตะวันทั้ง 15 ต้นมันค่อย ๆชูดอกของมันขึ้น...แล้วดอกมันก็หัน

    หน้ามาทางนางอย่างพร้อมเพรียงกัน...โดยไม่ทราบสาเหตุ....นางและคุณยายต่างหันมา

    ทางดอกทานตะวัน..เมื่อนางเห็นว่าคุณยายเห็นเหตุการณ์..นางก้มหน้ามาหาคุณยายแล้ว

    บอกว่า...หนูจ๋า..หนูเห็นแล้วอย่าบอกเล่าให้ใครฟังนะจ๊ะ"

    ....................กาเผือกมีแววตาที่ตื่นตระหนก..เมื่อฟังพวงผกาเล่า..เขาเริ่มคิดว่าโนรีน่าจะ

    มีอะไรที่ส่อเค้าว่านางไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน..และจะต้องมีอะไรที่เกี่ยวพันกับดอก

    ทานตะวันนั้น........พลางเขานึกถึงสร้อยข้อมือลายดอกทานตะวันที่อยู่ในขวดแก้ว....แล้วจึง

    เอ่ยขึ้น

    ............................"เสียงขลุ่ยเอ่ย...แสงสว่างบนยอดเขาสูงเอ่ย...มาดอกทานตะวัน

    อีก....ผมไม่เข้าใจและลำดับเรื่องราวไม่ถูกจริงๆ"

    ....................พวงผกาเห็นสีหน้าของกาเผือกเป็นกังวลจึงเอ่ยบอกบางอย่างขึ้น

    ............................"แล้วพี่รู้ไหมว่า..ทำไมที่พิพิธภัณฑ์จึงไม่มีเรื่องราวของโนรี นรา

    บันทึกไว้เลย"

    ............................"นั่นซิ..พี่ก็สงสัยอยู่เหมือนกัน"

    ............................"ยังมีเรื่องแปลกอีกทีตัวหนังสือที่เขียนไว้ในผืนผ้า..หนูคิดมานานว่ามัน

    หมายถึงอะไร"

    ............................"ตัวหนังสือตอนไหนหรือ" กาเผือกพูดพร้อมกับหยิบผืนผ้าที่เมือง มีสุขเขียน

    ไว้มากลางให้พวงผกาดู.....พวงผกาจึงชี้มือมาที่ผ้าผืนแรกแล้วอ่านให้กาเผือกฟัง..

    ............................"....แต่หากนางเกิดเป็นดั่งเม็ดทรายน้ำลึกที่นางปรารถนา..แม่ได้

    โปรดรับนางไว้เพื่ออยู่กับข้าตลอดกาล...."..............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ............................"พี่คิดว่า..คำพูดมันตรง ๆอยู่แล้ว..เพราะพี่ก็เคยถกกับเจ้าไก่ตุ๋นตอนที่เปิด

    อ่านตัวหนังสือนี้ครั้งแรก...แต่คิดว่ามันต้องมีเบื้องหลังที่เกิดการปรารถนาเป็นคำพูดออกมาให้เมือง มี

    สุขทราบว่า..โนรีนางปรารถนาที่จะเป็นทรายน้ำลึก..เพราะเหตุใด"

    .....................ก็ต้องย้อนกลับไปทบทวนเรื่องราวในตอนที่ 86 อยู่อย่างทรายน้ำลึกที่ไม่มีใคร

    เหยียบย่ำ..ในหน้าที่34..ที่โนรีนางได้เดินไปที่ชายหาดกับโมลี พี่เณรและภูผา..และนางได้พบร่องรอย

    ของการเหยียบย่ำบนพื้นทราย..และการที่ทรายได้ถูกสายลมพัดพาไป...นางจึงเกิดแนวคิดว่า..ทราย

    บนบก..นั้นไม่มีสิ่งใดคุ้มครองกับถูกเหยียบย่ำและถูกนำพาไป..อันเป็นการถูกรบกวนอยู่ตลอด....นาง

    จึงคิดที่จะลงไปดูทรายใต้น้ำลึกของลำน้ำตาปี...จึงได้ดำว่ายลงไปดู...และนางก็พบว่าทรายที่อยู่ภาย

    ใต้น้ำลึกช่างสวยงาม..สงบเยือกเย็น..กระแสลมไม่อาจนำพาไปได้...และไม่มีใครสามารถเหยียบย่ำ

    ทรายน้ำลึกได้...การจะไปหาทรายน้ำลึกต้องก้มศีรษะแหวกว่ายไปใต้น้ำเข้าหาทรายเท่านั้น...นางจึง

    คิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่คุ้มครองทรายน้ำลึกให้ปลอดภัยจากการถูกรบกวน..ในที่สุดนางก็คิดได้ว่า..เพราะ

    ลำน้ำตาปีเป็นผู้ปกป้องพื้นทรายน้ำลึกเอาไว้...นางจึงเกิดแนวคิดทางปรัชญาขึ้น..และได้นั่งเป่าขลุ่ย

    อยู่ที่ทรายน้ำลึกอย่างมีความสุข...จนเมื่อเณรและภูผาดำแหวกว่ายไปหานางก็กลับได้ยินเสียงขลุ่ย

    ภายใต้น้ำลึกนั้น..และเห็นนางอยู่กับทรายใต้น้ำลึกอย่างมีความสุข..และในที่สุดนางก็เปรียบเทียบจิต

    ใจของคนก็ต้องมีสิ่งปกป้องคุ้มครองใจ..และนางก็คิดได้ว่า"ธรรมของพระพุทธองค์ คือ สิ่งที่ปกป้อง

    คุ้มครองจิตใจ"...นางจึงเริ่มใฝ่หาธรรมตามแนวทางพระพุทธองค์............

    ....................แต่เรื่องเล่านี้..ยังไม่ไปถึงตอนที่ปลัดเมืองพบกับโนรีเลย...จึงคงต้องติดตามต่อไป

    ว่า..เมือง มีสุข ไปรับรู้เรื่องราวของความปรารถนาของโนรีตั้งแต่เมื่อไร...

    ....................พวงผกาพยักหน้ารับรู้ตามความเห็นของกาเผือก..แล้วทั้งคู่ก็หันมาเอ่ยถึงดอก

    ทานตะวัน..และสิ่งที่โนรีกำชับไม่ให้บอกเรื่องราวของดอกทานตะวันที่หันหน้าดอกเข้าหานาง.......

    ชายหญิงทั้งสองเพียงได้ยินเรื่องราวของดอกทานตะวันเพียงเท่านี้..ก็รู้สึกตื่นเต้นไปกับเรื่องราวความ

    ประหลาดของโนรี....โดยยังไม่เคยเห็นถึงตอนที่โนรี..เดินผ่านทุ่งดอกทานตะวันอันกว้างใหญ่

    ไพศาล..แล้วดอกทานตะวันทุกดอกกลับสะบัดหน้าดอกจากดวงตะวันเข้าหานางหมดทั้งท้องทุ่งเช่น

    เดียวกับที่เมือง มีสุขเห็นตอนหลวงปู่ศุขพาเขาไป........ถ้าเขาทั้งคู่พบเห็นคงเกิดอาการตื่นตะลึงจน

    อ้าปากตาค้างไปตามกัน....โนรีนราเป็นสิ่งที่ดึงดูดกาเผือกให้ค้นหาเรื่องราวของนางยิ่ง ๆขึ้นไป...

    ....................ในความเป็นจริงนั้นในตอนที่เขาเป็น"นกกาเผือกในอดีตนั้น..เขาเคยพบกับโนรี...

    และเคยบินเล่นฉวับเฉวียนเล่นไปกับนางรอบๆตัวนาง..ในตอนที่เมือง มีสุขพานางมาจากสุราษฎร์แล้ว

    ผ่านป่าใหญ่แถวลำน้ำตาปี..ที่กาเผือกอาศัยอยู่....และนางก็คุ้นเคยกับเจ้านกกาเผือกตัวนี้...เพราะหาก

    เจ้านกกาเผือกไม่รู้จักโนรี...และโนรีไม่รู้จักนกกาเผือก...เมือง มีสุขก็คงไม่สั่งให้เจ้านกกาเผือกนำขวด

    แก้วไปสู่นางหรอก"....

    .....................กาเผือกพาพวงผกา..กลับบ้านในตอนมืดหลังจากกินก๊วยเตี๋ยวกันเสร็จแล้ว....กา

    เผือกขับรถผ่านบรรยากาศหนาวเย็นเขารู้สึกหนาว...และก็เข้าใจว่า..สตรีผู้นั่งหลังเขาจะต้องหนาว

    มากกว่าเขาด้วยร่างกายที่บอบบาง....

    .....................ระหว่างขับรถเขาจึงเอามือซ้ายของเขาจับมือขวาและซ้ายของพวงผกามาโอบที่

    เอวของเขาเพื่อให้ไออุ่นในตัวของเขาส่งแผ่ไปที่นาง...พวงผกากอดกาเผือกแน่นด้วยความหนาว...

    และด้วยใจที่รู้สึกอะไรบางอย่างที่มีต่อชายผู้ขับรถผู้นี้...ซึ่งคงไม่แตกต่างจากกาเผือกเท่าไร...ที่ใกล้

    ผู้หญิงคนนี้แล้วไม่อยากห่างเธอ

    .....................ก็คงเป็นดังคำโบราณที่ว่า "ความคุ้นเคยระหว่างชายหญิงอาจก่อให้เกิดความ

    รักได้เสมอ"...........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................กาเผือกกลับมานอนพิจารณาถึงแสงประหลาดที่ปรากฎพร้อมเสียงขลุ่ยบน

    ยอดเขาสูงตามคำบอกเล่าของคุณยายมั่น..เมื่อมาถึงบ้าน..พร้อมกับพิจารณาตามคำบอกเล่า

    ของพวงผกา..ก็รู้สึกว่าโนรี นรา เป็นผู้หญิงลึกลับที่มีอะไรแอบแฝงอยู่ในตัวแน่นอน..ดอก

    ทานตะวันที่ชูดอกเขาหานาง

    ....................กาเผือกคิดถึงดวงตะวันที่ดอกทานตะวันหันหน้าดอกเข้าหาตามธรรมชาติ

    ของมัน...แสดงให้เห็นว่า..แสงสว่างของดวงตะวันเป็นตัวล่อให้ดอกทานตะวันหันหน้าดอก

    เข้าหาดวงตะวัน.....เมื่อพูดถึงแสงเขาก็เริ่มคิดไปถึงแสงสว่างบนยอดเขาสูงที่เกิดขึ้นพร้อม

    กับเสียงขลุ่ย....เสียงขลุ่ยเป็นสิ่งยืนยันตัวของโนรีอยู่แล้วว่านางต้องอยู่บนยอดเขาสูงนั้น...

    ดังนั้นแสงที่เป็นสีทองดุจดวงจันทร์เพ็ญที่คุณยายมั่นและคนในหมู่บ้านเห็นในคืนนั้น..น่าจะ

    เป็นแสงที่ออกมาจากตัวของโนรี...แต่ทำไมตอนที่ดอกทานตะวันหันหน้าดอกเข้าหางนาง..

    นางไม่มีแสงสว่างอยู่ในตัว...แล้วทำไมดอกทานตะวันจึงหันเข้าหานาง....กาเผือกคิดไม่ออก

    ในจุดนี้............ทั้ง ๆจะสันนิษฐานว่าแสงมาจากตัวโนรีแต่กลับพบว่าตอนดอกทานตะวันหัน

    หน้าดอกเข้าหานาง..นางไม่มีแสง......

    ....................กาเผือกไม่เคยรับรู้เรื่องราวของ "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" มาก่อนเลย....หากเขา

    รู้คุณลักษณะของผู้หญิงจันทร์เพ็ญเขาจะเข้าใจโดยตลอดทันทีว่า..โนรีคือผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่

    มีแสงจันทร์เพ็ญกระจายออกมาจากร่างกายของนางอยู่ตลอดเวลา..แต่ไม่มีใครสามารถเห็น

    ได้...นอกจากสัมผัส..กับแสงโดยไม่เห็นตัวแสง....และแสงนี้เมื่อกระจายถูกต้องผู้ใดจะทำให้

    ผู้นั้นรู้สึกเย็นกายเย็นใจและมีความสุขอย่างประหลาด.......แสงจันทร์เพ็ญจากตัวโนรีจะ

    ปรากฎขึ้นเมื่อนางได้สัมผัสกับดวงจันทร์เพ็ญขึ้น 15 ค่ำเท่านั้น...ประกายแสงจึงจะเจิดจ้า

    เรืองรองกระจายออกมาให้ผู้คนพบเห็นเเหมือนค่ำคืนวันนั้นในอดีต...เพราะดวงจันทร์เพ็ญ

    เหมือนกระจกเงาที่ส่องตัวโนรี..........ซึ่งนับจำนวนคนที่รู้ในเรื่องนี้ก็คือ แม่บันตา โมลี พ่อ

    เฒ่ามูซา พี่เณร และภูผา เท่านั้น...ส่วนเมือง มีสุขจะมารับรู้เมื่อไรก็คงต้องติดตาม..หลังจาก

    ที่เขาศึกษาธรรมกับหลวงปู่ศุขแล้วนั้นแหละ...

    ....................กาเผือกคิดไปคิดมา..ก็มาคิดถึงพวงผกา...ที่สาวน้อยผู้น่ารักผู้นี้ตะลอนไปกับเขา

    อย่างสนิทสนม...เขารู้สึกว่า "เธอเป็นคนน่ารัก"..คิดไปคิดมา..เขาก็ผงกศีรษะขึ้นมองไปที่ห้องนอน

    ของพวงผกา..ที่อยู่ห่างจากตัวเขาราว 10 เมตร..เนื่องจากบ้านหลังนี้ใหญ่มาก....

    ....................และเมื่อเห็นว่าห้องนอนของเธอไฟดับสนิทเขาก็ล้มตัวนอนลง..พลางคิดถึงใบหน้า

    ของเธอและตอนที่เธอโอบกอดด้านหลังเขาตอนนั่งซ้อนท้ายรถพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข...เจ้าไก่

    ตุ๋นซึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ รอบมองดูที่ใบหน้าของพี่ชายจากแสงชองดวงจันทร์เสี้ยว..ก็พอมองเห็นร่าง..ก็

    นึกรู้ทันทีว่า "ไอ้พี่ชายของตนกำลังคิดถึงสาวน้อยที่นอนอยู่ที่ห้องนั้น".....ไก่ตุ๋นจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ

    ............................."กูรู้นะมึงคิดอะไรอยู่..."

    ............................."อ้าว..มึงยังไม่หลับหรือ" กาเผือกอุทานเบา ๆอย่างตกใจ

    ............................."กูนอนไม่ค่อยหลับสักคืน..ตั้งแต่มาอยู่บ้านหลังนี้..เพราะมันใกล้เขาและ

    หนาวมากมึงรู้ไหม...ตอนนี้กูคิดถึงเตียงนอนที่โรงแรมเป็นที่สุด" ไก่ตุ๋นอธิบาย

    .............................."ยังไงก็ไปนอนที่โรงแรมไม่ได้เด็ดขาด...มึงไม่เห็นหรือว่ามีคนตามตัวเรา

    เยอะมาก"

    .............................."มึงนอนนี่..ท่าจะมีความสุขดีอยู่น่ะ..กูเห็นขนาดนอนมึงยังยิ้มน้อยยิ้ม

    ใหญ่" ไก่ตุ๋นกระแหนะกระแหนพี่ชาย

    .....................กาเผือกหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงพูด

    .............................."มึงนี่ตาดีจังนะ"

    .............................."นอกจากตาดี..แล้วกูยังใจดีอีก...เพราะใจกูรู้สึกว่ามึงกำลังตกหลุมรักพวง

    ผกาหลานคุณยายมั่น"

    .............................."มึงคิดมากไปหรือเปล่า..." กาเผือกบ่ายเบี่ยง

    .............................."กูแน่ใจ...และมึงคงล้มเลิกงานนี้ต่อไป...เพราะมึงจะโดนผีพวงผกา

    หลอกลอนมึงอยู่ในความทรงจำ...ฮะฮา"

    .............................."ไอ้บ้า..นอนเถอะมึง..พูดไปทั่ว"

    .....................กาเผือกว่าน้องชายแล้วหันหลังให้..พลางยิ้มหัวเราะเบา ๆก่อนจะหลับไปในคืนฤดู

    หนาว...แห่งความหวัง................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2012
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ...........ตอนที่ 105 ภาพวาดโนรี นราของกาเผือก...........






    ....................กาเผือกตื่นขึ้นมาตอนเช้า..เขาคิดว่าสิ่งที่เขาต้องทำเป็นอันดับแรกคือ การวาด

    ภาพของโนรี นรา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตามหานาง..ในตอนนำขวดแก้วไปให้นางที่หลุมฝังศพที่

    เขาเชื่อว่าระยะเวลาอันยาวนาน.โนรีจะต้องเสียชีวิตไปแล้วอย่างแน่นอน.............

    ....................การวาดภาพต้องเริ่มจากคำบอกเล่าของคุณยายมั่น..ดังนั้น หลังเสร็จสิ้นเรื่องส่วน

    ตัวที่ต้องทำแล้ว...เขาจึงมานั่งฟังคุณยายมั่นเล่าถึงลักษณะท่าทางและรูปหน้าของนางอันได้แก่ ตา หู

    จมูก ปาก คิ้ว..ทรงผม..และลักษณะพิเศษต่าง ๆ.

    ....................โดยพวงผกาในวันนี้จะต้องไปทำงานที่โรงแรม..กาเผือกจึงฝากพวงผกาให้ซื้อ

    กระดาษ..ดินสอ และสีระบายเพื่อเตรียมการณ์ในการวาดภาพของโนรี นรา

    .....................กาเผือกเตรียมกระดาษชั่วคราวไว้ร่างโครงหน้าและส่วนต่าง ๆตามคำบอกเล่าของ

    คุณยายเบื้องต้นพร้อมไก่ตุ๋น...เขากะว่า..เมื่อได้กระดาษ ดินสอ พร้อมสีระบายเขาจึงจะร่างมันขึ้น

    อย่างจริงจัง....

    ............................"ใบหน้าของนางขาวคล้ายคนญี่ปุ่น" เสียงคุณยายบอกกับกาเผือกเมื่อเห็น

    เขาเริ่มวาดโครงหน้า

    ............................"ต่อไปครับคุณยาย" กาเผือกเร่งคุณยาย

    ............................"คิ้วของนางสีดำสนิทตัดกับใบหน้า...โค้งเหมือนคันธนู"

    ............................"วาดสิ..คุณยายบอกแล้วไง" ไก่ตุ๋นเตือนกาเผือกขณะนั่งนึกรูปร่างของคิ้ว

    นาง.....

    ............................"นางมีหนังตาสองชั้น..เล็กเรียวดังตาหงส์..ดวงตาดำสนิท"

    ............................"ต่อไปครับคุณยาย"

    ............................"ปากของนางดังรูปกระจับเล็กบางสีชมพูอ่อน"

    ....................กาเผือกวาดร่างเค้าโครงหน้า..ให้ไก่ตุ๋นเห็น...เขาก็เริ่มคล้อยตามว่าโนรี นรา นาง

    เป็นผู้หญิงที่งดงามมาก...เขาจึงเพ่งพินิจมือที่กาเผือกตวัดดินสออย่างไม่วางตา........

    ............................."ผมของนาง..ไม่สั้นไม่ยาว..แค่ปิดลำคอด้านหลังของนางเท่านั้น" คุณ

    ยายยังคงบอกลักษณะต่อ

    ............................."แล้วอย่างไรต่อครับ คุณยาย"

    ............................."นางเป็นสาวรุ่นอายุราว 17 ถึง 18 ปี ..ผิวพรรณของนางผ่องใสมาก...

    อีกทั้งน้ำเสียงของนางก็ดูไพเราะและอ่อนโยน..ฟังแล้วยายชอบนางมาก"

    ............................."คุณยายแล้วขนตาของนางเป็นอย่างไรครับ" กาเผือกต้องการร่างขนตา

    ............................."สีดำโค้งงอน..สวยเด่น"

    ............................."โอโห..นางท่าจะเป็นคนที่สวยงดงามจริง ๆนะคุณยาย" ไก่ตุ๋นเอ่ยออก

    ความเห็น

    ............................."แน่นอนอยู่แล้ว...ยายไม่เคยพบเห็นใครที่สวยงามเยือกเย็น..เช่นกับนาง

    มาก่อนเลย...นางจะถือขลุ่ยด้วยมือขวา..ขลุ่ยของนางเป็นไผ่สีดำ...มีเสียงกังวานไพเราะมาก....ยาม

    นางเป่าเหมือนกับมีขลุ่ยหลาย ๆ เลาถูกเป่าออกมาพร้อมกัน"

    .....................กาเผือกร่างภาพเค้าหน้าคร่าว ๆ ก็ให้รู้สึกว่า โนรี นรา นางงามเพรียบพร้อมจริง

    ๆ....เขากะว่าเย็นนี้เขาจะวาดภาพใส่กระดาษวาดเขียน..แล้วลงสีน้ำ...และนำภาพติดตัวไปที่สุราษฎร์

    ธานี....

    .....................ไก่ตุ๋นบอกกาเผือกให้พาเขาไปดูที่เขาที่จุดจันทร์เสี้ยวแยกจากกันบ้าง...เพื่อเขาจะ

    มีความคิดอะไรดี ๆแนะนำกาเผือก....ดังนั้นกาเผือกจึงแนะนำให้ไก่ตุ๋นนำรถยนต์ออกเดินทางไป

    ภูเขา......

    .....................เมื่อถึงภูเขา..ไก่ตุ๋นได้เอ่ยขึ้น

    ............................."เฮ้ย..จะไหวไหมนี่...ดูท่าจะไม่มีทางขึ้นเลย"

    ............................."กูคิดว่าบางทีเราต้องปีนไต่ขึ้นไปวะ..เมื่อวานกูก็พยามมองหากับพวงผกา

    แล้ว" กาเผือกอธิบาย

    ............................."มันสูงชันเอามาก ๆเลย"

    ............................."เมือง มีสุข..เขาคิดละเอียดรอบคอบดีแล้ว..ของสำคัญเช่นนี้เขาต้อง

    รักษาไว้ในที่สูง....เผื่อมีใครติดตามเขามาตอนนั้นเช่น..พวกกองกำลังพม่า..เขาก็สามารถใช้ธนูในที่

    สูงยิงใส่พวกมันตกมาตายได้ง่าย...กูคิดว่าจุดจันทร์เสี้ยวแยกจากกันไม่ใช่ที่ฝังขวดแก้วอย่างเดียว....

    แต่จะต้องเป็นสมรภูมิรบของเขาด้วยอย่างแน่นอน"

    .............................."อะไรทำให้มึงคิดอย่างนั้น"

    .............................."การที่โนรี นราจากเขาไปไง...หากไม่มีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งโนรี

    นรา จะเดินทางกลับสุราษฎร์ธานีเพียงคนเดียวได้อย่างไร"

    .............................."ใครบอกมึงว่านางกลับคนเดียว"

    .............................."กูคาดเดาเอา...และนางจะต้องกลับเส้นทางน้ำของแม่น้ำน่าน...เช่น

    เดียวกับตอนที่เมือง มีสุขจากไปคราวนั้นอย่างแน่นอน"

    .............................."มึงนี่รู้ดีจริง..อย่างกับอยู่ในเหตุการณ์"

    .............................."มันสามารถคาดเดาได้...เพราะเขาโยนขวดแก้วที่เราได้มาตามน้ำ..เจ้า

    นกตัวนั้นก็จะต้องบินตามนางไปตามลำน้ำอย่างแน่นอน...เพียงแต่ว่า"

    .............................."เพียงแต่อะไร" ไก่ตุ๋นสงสัย

    .............................."โนรี..นางจะขึ้นบกที่สถานที่ใด..แล้วมุ่งหน้ากลับสุราษฎร์ธานี"

    .............................."ทำไมเราจึงคาดเดาว่านาง..กลับถึงสุราษฎร์...บางทีนางาจจะไปไม่ถึง

    อย่างที่เราคิดก็ได้" ไก่ตุ๋นทิ้งคำพูดไว้ให้กาเผือกขบคิด

    .............................."ถ้านางกลับไม่ถึงสุราษฎร์ธานีอย่างที่เราคิด...การค้นหาหลุมศพ

    ของนางคงเป็นเรื่องยาก..และเราก็อาจล้มเหลวอย่างแน่นอน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.7 KB
      เปิดดู:
      90
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................กาเผือกกลับมาบ้านคุณยายกับไก่ตุ๋นยามเย็น..เขาพบพวงผกานำของอุปกรณ์

    วาดภาพที่เขาฝากซื้อนำมาให้...พวงผกาจึงเอ่ยถาม

    ............................"พี่ให้คุณยายเล่ารูปร่างหน้าตาของโนรี..แล้วพี่ร่างหน้าตานางเป็นอย่างไร

    หรือ..ขอดูบ้างซิ"

    ....................กาเผือกเดินไปหยิบกระดาษร่างภาพโนรีมาให้พวงผกาดู...เธอพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็

    เอ่ยขึ้น

    ............................"แค่เค้าหน้าของนางยังสวยงามถึงปานนี้...หนูไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า...หน้า

    ตาของนางเป็นเช่นนี้...ถ้าพี่กาเผือกวาดภาพอย่างลงรูปจริงคงงามไม่น้อย..อย่างไรเสียพี่วาดภาพ

    ของนางให้หนูภาพหนึ่งนะพี่กาเผือก"

    ............................"ได้สิ...แล้วพี่จะวาดภาพของนางให้พวงผกาอีกภาพหนึ่ง"

    ....................ภาพที่พวงผกาขอร้องให้กาเผือกวาดรูปโนรีขึ้นนี้...โปรดจำไว้ครับ...ว่า

    มันจะมีค่ามีความหมายกับใครบางคน..(ตอนนี้ปกปิดไว้ก่อน)

    ............................"อย่างไรก่อนวาดภาพ..กูก็ขอกินข้าวก่อนล่ะ" ไก่ตุ๋นเอ่ยด้วยหิว

    .....................หลังจากนั้น..กาเผือกก็ตั้งกระดาษวาดภาพที่พวงผกาซื้อมาจากตลาดขึ้น...แล้ว

    เขาก็อาศัยดูแบบหน้าของโนรีจากกระดาษที่ร่างขึ้นเมื่อตอนเช้า...เขาบรรจงวาดภาพอย่างช้า......

    เหมือนกับ ต้องการให้โนรีในภาพนั้นมีจิตวิญญาณหรือมีชิวิตขึ้นมาจริง ๆ

    .....................พวงผกานั่งดูกาเผือกวาดภาพในขณะที่ไก้ตุ๋นเร่ไปดูบรรยากาศยามเย็นของทิวเขา

    ฝั่งตะวันออก...ไก่ตุ๋นคิดว่า.."ทำเช่นไรจึงจะปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเขาที่จุดจันทร์เสี้ยวแยกจากกันได้...

    มันไม่หมูเลย..สำหรับเขาที่มีน้ำหนักตัวค่อนข้างมาก...ไม่เหมือนกาเผือกที่ผอมบางและสูง....แต่

    อย่างไรก็ตาม..กาเผือกก็ยังไม่คิดที่จะปีนป่ายขึ้นไปเหมือนกับว่า..เขารออะไรบางอย่างอยู่"

    ....................กาเผือกใช้ดินสอร่างภาพและเขียนภาพอย่างแผ่วเบา...ดวงตาของเขานิ่งสงบ..

    อยู่กับพื้นกระดาษตรงหน้า...ซึ่งมันเป็นเสน่ห์ของความตั้งมั่น..ที่พวงผกาเธอลอบมองดูดวงตา..เขา

    ขณะวาดก็ให้รู้สึกชื่นชม...นางไม่ยอมลุกขยับตัวออกจากกาเผือกเลย.....

    ....................จนดวงตะวันตกดินอากาศหนาวเย็นเริ่มปกคุม....กาเผือกจุดเทียนราว 5 เล่ม.....

    ส่องสว่างไปที่ภาพที่เขาวาด...ทั้ง ๆที่แสงไฟฟ้าที่บ้านหลังนั้นก็มีอยู่...แต่กาเผือกปฏิเสธแสงไฟฟ้า

    จากบ้าน...เขาอ่านว่า "แสงเทียนที่ส่องตอนวาดภาพสร้างสมาธิและความตั้งมั่นให้แก่เขาดีกว่า...แสง

    ไฟฟ้า..ที่ส่องสว่าง"

    .....................มันคงเป็นอารมณ์ของแต่ละคน..ที่จะสร้างอารมณ์ในการวาดภาพเช่นไร...กาเผือก

    มองว่า.."แสงเทียนที่ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่..และพัดไปมาตามสายลม...มันเป็นสิ่งกระตุ้นที่ดูแล้ว

    เหมือนกับภาพที่เขาวาดมีชีวิตจริง...เป็นภาพที่เคลื่อนที่ได้..ไปตามแสงเทียนที่ถูกลมพัดไป

    มา".......

    .....................พวงผกาเอง..เธอไม่มีใครมาวาดภาพให้ดูเช่นนี้มาก่อนอยู่แล้ว..เธอก็เกิดความ

    เพลิดเพลินไปกับวิธีการการวาดภาพของเขา....

    .....................แสงเทียนที่ล้อมรอบชายหญิงคู่นั้น...ให้แสงไปไกลจนถึงไก่ตุ๋นที่กำลังเดินขึ้น

    บ้าน...เขาเพ่งสังเกต...ก็เห็นความโรแมนติกของชายหญิงที่รักกันคู่หนึ่ง..อยู่ภายในวงล้อมของแสง

    เทียนที่ส่องสว่างปลิวไปกับสายลมโบกไปมา...โดยมีแผ่นกระดาษวาดภาพตั้งเอียง 45 องศาอยู่ด้าน

    หน้า...ชายและหญิงคู่นั้นอยู่หลังกระดาษนั้น..และจ้องมองดูภาพเป็นตาเดียวกัน.........ดูแล้วสวย

    งามด้วยพฤติการณ์และทำให้มีความสุขที่เห็นภาพนี้.......

    ....................ทำให้ไก่ตุ๋นนั่งลงกอดเข่าเฝ้ามองดูสังเกตุเขาทั้งคู่อยู่ห่าง ๆ...สายลมเย็นพัดผ่าน

    เข้ามา...เขารู้สึกหนาวไม่เท่าไร..ด้วยร่างกายที่มีไขมันสะสมอยู่...แต่เมื่อมองไปที่ชายหญิงคู่นั้น..ก็

    เห็นพวงผกาซุกตัวไปใกล้ ๆกาเผือก...ดูเธอคงหนาวและหาไออุ่นเพื่อบรรเทาความหนาว...........

    .....................กาเผือกวาดภาพจวนเสร็จเขาบอกพวงผกาว่า..

    ............................"พรุ่งนี้พี่จะระบายสี..ให้สวยเชียว..แล้วพวงผกาเอาเก็บใส่กรอบไว้ก่อนก็

    ได้..."

    ............................"พี่พูดจริงหรือ" เธอมองดูภาพ

    ............................"จริงสิ.....ความจริงก็น่าสงสารโนรีที่นางไม่มีภาพของนางอยู่ในเมืองน่าน

    เลย"

    ............................"จริงอย่างที่พี่พูด...แต่ถ้าภาพนี้ไปอยูที่พิพิธภัณฑ์เมื่อไร..คนเมืองน่านคง

    ฮือฮากันอีก"

    ............................"ทำไมหรือ" กาเผือกถามอย่างสงสัย

    ............................"ก็ไม่มีใครรู้ว่านางเป็นใครนะสิ...เมื่อคนดูก็ต้องถามหาตัวนางและประวัติ

    ของนาง...แล้วใครจะมาเขียนบรรยายให้ดู"

    ............................"จริงสิ....นางเป็นคนอย่างไรนะ..อยากรู้จัง...และอยากรู้ว่าพวกเขาทั้งสอง

    คน(กาเผือกหมายถึงเมืองและโนรี)ไปรักใคร่ชอบพอกันตั้งแต่เมื่อไร"

    ............................"ชอบรู้เรื่องราวความรักของคนอื่นจังนะ...เรื่องของตัวเองทำไมไม่

    อยากรู้" พวงผกาพูดพร้อมกับลุกเดินหนี

    ............................"ว่าไงนะ" กาเผือกถามด้วยงง

    ....................คำพูดของพวงผกาเป็นคำพูดที่แกมหยอกล้อ...เหมือนลองใช้คำพูดไปกระแทก

    หัวใจ..ของใครบ้างคนให้รับรู้เรื่องประหลาด ๆ ทางความรักของตนเองบ้าง....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2012
  16. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,687
    ค่าพลัง:
    +12,591
    "หลวงพ่ออุตตมะ" เป็นนิตยโพธิสัตว์นะครับ ไปลองหาๆดู
     
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ............อนุโมทนาครับ.."เป็นความรู้พิเศษที่นอกเหนือจากพระไตรปิฏกกล่าวไว้ครับ"....ไม่

    มีบันทึกเรื่องพระดำรัสของพระพุทธองค์รับรองไว้เช่นในพระไตรปิฎก.......

    ............ความรู้พิเศษที่นอกเหนือจากพระไตรปิฎก..ไม่ใช่ว่าไม่มีอยู่จริง....เป็นสิ่งที่มีอยู่

    จริง....แต่เมื่อกล่าวออกไปแล้ว...เราไม่อยู่ในฐานะที่จะรับรองสิ่งที่กล่าวนั้นได้ครับ.......บาง

    ครั้งการถ่ายทอดทางการเขียน..ถ้านอกเหนือจากพระไตรปิฎกรับรองไว้แล้ว..ผมจะระมัด

    ระวังเป็นพิเศษครับ...เพราะให้คุณและให้โทษได้ทั้งตัวผู้เขียนและผู้อ่าน....

    ............เรื่องราวของหลวงพ่ออุตตมะนั้น...ได้ยินได้ฟังมา 3 เรื่องครับ

    ............เรื่องแรก..เป็นเรื่องที่หลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลี..ให้การต้อนรับหลวงพ่ออุตตมะซึ่ง

    เป็นพระอาวุโสน้อยกว่าหลวงปู่โต๊ะอย่างน้อบน้อม...เมื่อคราวหลวงพ่ออุตตมะมาหาท่าน...

    แล้วหลวงปู่โต๊ะเรียกหลวงพ่ออุตตมะว่า"พระอาจารย์"....แล้วทั้งสองรูปก็เข้าไปสนทนาในกุฏิ

    หลวงปู่โต๊ะเป็นเวลานานกว่าหลวงพ่ออุตตมะจะกลับออกมา......

    ............ก็เป็นเรื่องที่ตั้งข้อสังเกตในพฤติการณ์ว่า..หากหลวงพ่ออุตตมะไม่มีบารมีธรรมสูง

    ส่ง..หลวงปู่โต๊ะคงไม่น้อบน้อบและเรียกว่า"พระอาจารย์"

    ............เรื่องที่สอง..เป็นเรื่องที่คราวหนึ่งหลวงพ่ออุตตมะไปงานพิธีพุทธาภิเษกที่หนึ่ง...

    และหลวงพ่อพุธ ฐานิโยได้พบเจอกับหลวงพ่ออุตตมะ...หลวงพ่อพุธที่นับได้ว่าเป็นพระ

    อรหันต์รูปหนึ่งของแดนอิสานได้คลานเข้าไปหา..แล้วก้มลงกราบคารวะอย่างน้อบน้อม..แล้ว

    เปล่งวาจากล่าวออกมาอย่างยินดี..ว่าเป็นบุญที่ได้มีโอกาสได้กราบ....."........."ใน

    อนาคต.......

    ............ก็พิจารณาจากเหตุการณ์ดูครับว่า..ถ้าหลวงพ่ออุตตมะไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะ

    ได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแล้ว...หลวงพ่อพุธพระอรหันต์จะก้มลงกราบหลวงพ่อท่านอย่าง

    น้อบน้อมคารวะอย่างสูงหรือ...........

    ............เรื่องที่สาม..เป็นเรื่องที่มีเศรษฐีบ้านหนึ่ง..ไม่รู้ว่าถูกเทพหรือวิญญาณร้ายรบกวนจน

    อยู่ไม่ได้..แต่ก็ยังไม่มีที่ไป...ได้นำเรื่องราวไปขอบารมีหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ...ที่ทั้งเก่ง

    และมีบารมีอีกทั้งมีครูบาอาจารย์ที่เป็นเทพชั้นสูงมากมาย..ให้ช่วยเหลือขับสิ่งไม่ดีให้ออก

    จากบ้าน......หลวงปู่หงษ์นั่งทางในตรวจดูแล้วก็บอกกับเศรษฐีคนนั้นว่า..คนที่มีบารมีที่จะ

    ช่วยได้คือ "หลวงพ่ออุตตมะ..ให้เดินทางไปหาท่าน"

    .............ซึ่งท่านเศรษฐีก็เดินทางไปกราบขอความช่วยเหลือจากหลวงพ่ออุตตมะ...หลวง

    พ่ออุตตมะนั่งทางในดู...ก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร..และได้ให้การช่วยเหลือได้โดยสำเร็จ

    .............ก็มาตั้งขอสังเกตเรื่อง"บารมี"....การช่วยเหลือคนทางลัดเช่นเข้างาน...หรือช่วย

    ให้พ้นผิด ฯลฯ....ก็อาศัยคนมีบารมีในการช่วยเหลือพูดขอร้อง..คนที่ถูกขอก็เกรงในบารมีก็

    ช่วยเหลือให้เป็นผลไป...

    ............."บารมี"..ในทางธรรมก็คือบุญบารมี..แล้วน่าจะเป็นบารมี 30 ทัศที่ต้องเร่งบำเพ็ญ

    เพียรกันให้เต็ม

    .............จะเห็นว่า"หลวงปู่หงษ์ท่านรู้ว่าบารมีของหลวงพ่ออุตตมะสูงส่ง....สามารถเจรจา

    กับพวกเทพหรือพวกวิญญาณร้ายในบ้านที่ก่อกวนเศรษฐีได้"....ท่านจึงแนะนำให้ไปหาหลวง

    พ่ออุตตมะ

    .............ก็บารมีของหลวงพ่ออุตตมะเป็นบารมีของหน่อพุทธภูมิอันสูงส่ง...มีหรือที่หลวงปู่

    หงษ์จะไม่รับรู้ว่า"หลวงพ่ออุตตมะต่อไปภายภาคหน้าท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์

    หนึ่ง"..ดังนั้นบารมีเช่นนี้เพียงบอกกล่าวแก่เทพหรือวิญญาณที่รบกวน..เขาก็เชื่อฟังแต่โดย

    ดี....

    .............สมัยหลวงปู่หงษ์ยังแข็งแรงอยู่..ท่านเคยให้คนขับรถพาท่านไปกราบหลวงพ่อ

    อุตตมะ...แต่เมื่อไปแล้วไม่พบท่าน...หลวงปู่หงษ์ได้นำปัจจัยของท่านบูชา"ประคำของหลวง

    พ่ออุตตมะมารักษาไว้เป็นที่ระลึกครับ"

    .............."จะบอกว่า.."หลวงพ่ออุตตมะ..คือ "พระรามพุทธเจ้า"..ก็ไม่มีพระไตรปิฎกหรือ

    พระดำรัสของพระพุทธองค์รับรองไว้ครับ..แต่เป็นความรู้พิเศษที่ต้องพิจารณาครับ.....สาธุ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2012
  18. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,687
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ขอบคุณครับ แล้วหลวงปู่ต้นบุญ ติกขปัญโญ ละครับ อ่านจากประวัติท่านเป็นนิตยโพธิสัตว์องค์หนึ่งเหมือนกัน อยู่ภูแซท่านก็เป็นปรมาจารย์องค์หนึ่งแล้ว ผมอยากทราบว่าท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าที่มีชื่อว่าอะไร
     
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ...........ยังไม่ทราบประวัติของท่านเพียงพอครับ...เคยอ่านเรื่องท่านที่คุณ

    ภัธกานต์หรือคุณโจเขียนไว้ในหนังสือครับ......

    ...........แต่เรื่องราวที่นอกจากพระไตรปิฎกบันทึกไว้..เราสองคน(ผมกับท่าน)ต้อง

    ร่วมกันพิจารณาให้รอบคอบนะครับ....

    ...........เรื่องนอกพระไตรปิฎกอีกเรื่องคือ "พระธาตุ" ..ไม่มีบ่งบอกไว้ในพระ

    ไตรปิฎกว่า......"ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วกระดูกหรือเส้นเกศาจะกลายเป็น

    พระธาตุ"

    ...........และไม่มีเขียนบอกไว้ว่ารูปพรรณสัณฐานของพระธาตุแต่ละองค์ เช่น พระ

    สีวลีเป็นเช่นใด...พระโมคัลลานะเป็นเช่นใด ฯลฯ

    ...........แต่เป็นเรื่องที่เราอาศัยการศึกษาแนวทางความเป็นจริงที่..หลวงปู่..หลวง

    พ่อที่ท่านถือว่า"เป็นพระอรหันต์...มรณภาพประชุมเพลิงแล้ว..แล้วปรากฎอัฐธาตุ

    กลายเป็นผลึกแก้วที่เรียกว่าพระธาตุ...เราจึงเชื่อว่า"พระอรหันต์เมื่อเผาแล้วกระดูก

    ท่านจะกลายเป็นพระธาตุ"

    ...........และในแง่ของรูปพรรณสัณฐานของพระอรหันต์ในอดีตก็อาศัยรู้จากพระ

    ผู้ทรงญาณตรวจดูทางญาณแล้วนำมาบอกเล่ากันต่อ ๆ ไปครับ...."..........นี่ก็คือ

    ความรู้พิเศษนอกพระไตรปิฎกครับ(พิจารณามหาพิจารณาครับ)........
     
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................วันรุ่งขึ้นกาเผือกนำภาพที่วาดมาระบายสี..ในขณะที่พวงผกาเดินทางไปทำ

    งานที่โรงแรม...ไก่ตุ๋นนั่งมองดูพี่ชายระบายสีอย่างแผ่วเบา..เส้นผมสีดำที่ระบายในภาพตัดกับใบหน้า

    ขาวผุดผ่องของโนรี...ไก่ตุ๋นนั้นเพ่งมองอย่างชื่นชมในฝีมือของพี่ชายตนที่เก่งในหลาย ๆ ทาง....

    .....................ในความหลังของสองพี่น้องในตอนเรียนอยู่ที่กรุงเทพทั้งคู่เคยเป็นนักดนตรี..และ

    เล่นดนตรีด้วยกัน...ไก่ตุ๋นนั่งอยู่ในตำแหน่งมือกลองเคาะให้จังหวะ..ส่วนกาเผือกนั้นเป็นมือกีตาร์และมี

    เพื่อนที่เล่นเบส..และเครื่องดนตรีอื่นประกอบกัน..เขาเล่นเพลงไปทำนองเพลงสากล..และเพลงสตริ

    งทั่วไป...ต่อมาเมื่อเรียนจบก็เลิกเล่นยุบวงดนตรี..มาเล่นดนตรีไทย..เพลงไทยเดิมกับแม่และน้อง ๆ

    ของเขา...ซึ่งเป็นครอบครัวตระกูลดนตรีไทย......

    ....................กาเผือกนอกจากเล่นดนตรีแล้วยังเป็นนักซ่อมคันเบ็ด..ซ่อมเครื่องบินวิทยุบังคับที่

    หลายคนเล่นแล้วเครื่องบินเกิดโหม่งโลก...ก็นำมาให้กาเผือกซ่อมแซมได้จนใช้การได้ดี....ดังนั้นเขา

    จึงเป็นคนใจเย็นและละเอียดรอบคอบเมื่อจับงานเหล่านี้..โดยเฉพาะวาดภาพก็คืองานถนัดอีก

    อย่างหนึ่งของเขา.....

    ....................ไก่ตุ๋นมองดูภาพแล้วเขารู้สึกว่า"อยากพบโนรี นราจริง ๆ..ในชีวิตเขาไม่เคย

    เห็นภาพหญิงไหนที่งามเช่นนี้มาก่อนเลย...เขารู้สึกเย็นจิตเย็นใจและมีอารมณ์ที่สงบนิ่ง"....ก็

    คงไม่แตกต่างจากกาเผือกเท่าไรนัก...จนในที่สุดภาพอันงดงามของโนรี นรา ผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญแห่งแดนใต้ก็เสร็จเรียบร้อย...

    .....................กาเผือกและไก่ตุ๋นนำภาพเดินตรงไปหาคุณยายซึ่งนั่งรับลมหนาวอยู่

    ............................."คุณยายครับเป็นยังไงบ้างครับ..สำหรับรูปนี้"

    ............................."งดงามเยือกเย็นและเหมือนนางอย่างมากเลยทีเดียว" คุณยายพูดจากใจ

    ............................."ภาพนี้ผมจะให้คุณยายและพวงผกาไว้เป็นที่ระลึก...ตอนเย็นผมจะออกไป

    ซื้อกรอบรูปมาใส่...และมาให้คุณยาย......แล้วผมจะวาดภาพเหมือนอีกรูปหนึ่งไว้ติดตัวผมเพื่อตามหา

    นาง"

    ....................คุณยายฟังกาเผือกพูดแล้วหัวเราะผงาบ ๆ ทำให้กาเผือกสงสัยจึงเอ่ยถาม

    ............................"คุณยายขำอะไรหรือครับ"

    ............................"ก็ขำที่หลานชายพูดนั่นแหละที่ว่า...จะนำภาพนี้ไปตามหานาง....ยายพบ

    นางเมื่อตอนอายุ 7 ขวบในขณะที่นางมีอายุราว 17-18 ปี..ตอนนี้ยายอายุเท่าไรแล้วหลานชาย....

    นางไม่น่ามีชิวิตอยู่บนโลกนี้หรอก"

    .....................กาเผือกรีบอธิบาย

    ............................"ผมคิดว่า..หลุมศพของนางน่าจะมีรูปของนางติดไว้...ถ้าผมนำรูปนี้ไป

    เทียบเคียงก็อาจพบหลุมศพของนางได้นะครับ"

    ............................"ก็จริงอย่างที่หลานชายบอก"

    .....................คุณยายดูรูปอย่างชื่นชมและรูปไปที่ใบหน้าของนางก่อนส่งคืนกาเผือก

    .....................เวลาผ่านไปจนเย็นพวงผกากลับมาถึงบ้านกาเผือกจึงเอาภาพให้ดูพร้อมกับชวนไป

    ตลาดเพื่อหาร้านใส่กรอบภาพวาดนี้...และเมื่อพวงผกาเห็นภาพนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งเบิกตาโพลงและอุทาน

    เบา ๆ

    ............................"งามจริง ๆ..พี่ชาย...แล้วตกลงจะให้หนูไว้ก่อนจริง ๆหรือ"

    ............................"ใช่ซิ...พี่บอกกับคุณยายแล้ว....ไปเหอะไปหาร้านใส่กรอบในตลาด

    กัน"

    .....................พวงผกาม้วนกระดาษภาพวาด........เป็นม้วนกลมแล้วถือไว้...กาเผือกกระทืบคัน

    สตาร์ทรถมอเตอร์ไซด์คู่ใจ..เสียงเครื่องรถดังกระหึ่มลั่นใต้ถุนบ้าน..พวงผกานั่งคร่อมท้ายเสร็จกาเผือก

    ก็ขับรถออกไปทันที.....ทิ้งไก่ตุ๋นยืนมองทั้งคู่พลางเอ่ยรำพึงรำพันอย่างเบา ๆ

    ............................"ไม่รอดซะแล้วมึงไอ้กาเผือก...เป็นเขยบ้านคุณยายแน่นอน"

    .....................กาเผือกตะบึงรถไปตามทางผ่านต้นดอกทานตะวันกลุ่มหนึ่งก็ให้คิดถึงสร้อยข้อมือ

    เส้นนั้นว่ามันมีความหมายอะไร..จึงต้องทำสร้อยเป็นรูปดอกทานตะวัน...และช่างทองที่ไหนช่างมี

    ฝีมือละเอียดถึงขนาดทำดอกทานตะวันได้เหมือนมาก......กาเผือกร้องบอกพวงผกาให้ดูดอก

    ทานตะวัน....นางดูพร้อมกับเอ่ยถาม

    ............................"เรียกให้ดูดอกทานตะวันทำไมพี่ชาย"

    ............................"ก็จะถามว่า..เกิดมาเคยเดินผ่านดอกทานตะวันเหมือนโนรีไหม"

    .....................เธอยิ้มพลางแล้วเอ่ยตอบ

    ............................"เคยเดินผ่านเหมือนกัน...แต่ดอกทานตะวันมันไม่ชูดอกมาหาหนูหรอก...

    แต่ดอกมันยิ่งก้มหน้าลงดิน...เพราะทนดูความสวยของหนูไม่ได้"

    .....................กาเผือกฟังแล้วหัวเราะอย่างขัน...แล้วจึงพูดขึ้น

    ............................"พี่ว่ามันไม่ก้มหน้าลงดินอย่างเดียวนะ...มันคงสอื้นร่ำไห้ไปด้วย...ที่เกิดมา

    อาภัพเห็นความสวยของน้องพวงผกาไม่ได้"

    .....................กาเผือกพูดจบก็สร้างรอยยิ้มอันสุขสันต์ให้กับสาวน้อยที่นั่งซ้อนท้ายรถอย่างไม่รู้

    จบ...............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...