คชสีห์๙บารมี๙บารมี๙แผ่นดินหลวงปู่หมุนเสก

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 30 สิงหาคม 2010.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    วันนี้จัดส่ง

    EI 6654 2946 1 TH อ่อนนุช

    EI 6654 2947 5 TH มาบตาพุด

    EI 6654 2948 9 TH รังสิต


    EI 6654 2950 1 TH จตุจักร

    EI 6654 2949 2 TH พุนพิน

    ขอบคุณครับ
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    พระผงสุพรรณ รุ่นจงอางศึก 2510 พิธีใหญ่ หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่

    ฉิมพลีหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เลี่ยมพลาสติคอย่างดี

    ให้บูชาองค์ละ 400 บาทค่าจัด
    ส่งEMS50บาทครับ


    [​IMG] [​IMG]
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    [​IMG]
    หลวงปู่ผาด อภินนฺโท หรือ พระครูมงคลสาธุวัตร วัดไร่
    ประวัติหลวงปู่ผาด อภินันโท วัดไร่
    หลวงปู่ผาด อภินนฺโท หรือ พระครูมงคลสาธุวัตร แห่งวัดไร่ ต.ศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง อายุ ๙๔ ปี ๗๓ พรรษา ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๕๙ บิดาชื่อนายเหนี่ยง ทองฟู มารดาชื่อนางแจ๋ว ทองฟู ท่านมีพี่น้องร่วมบิดา-มารดากันเป็นชายทั้งหมด โดยท่านเป็นคนกลาง

    ในวัยเด็กท่านศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนประชาบาลวัดยางมณี จนจบชั้น ป.๔ ท่านได้รับเมตตาจาก ท่านเจ้าคุณรัตนมุนี อัตทัสสีมหาเถระ วัดชีโพน ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในสมัยนั้น และเป็นศิษย์ของ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ รับท่านเข้าไว้เป็นศิษย์ในสำนักเรียนของวัดชีโพน โดยได้ศึกษาพระปริยัติธรรม และกรรมฐานจากพระอาจารย์โดยละเอียดชัดแจ้ง

    ต่อมาเมื่อท่านอายุครบบวช จึงได้เข้ารับการอุปสมบท ณ วัดยางมณี เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๘๑ โดยมีหลวงพ่อปลื้ม วัดช้าง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อชวน วัดยางมณี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อแทน วัดกำแพง เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    หลังจากท่านอุปสมบทแล้ว ท่านได้เดินทางมาศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ และศึกษาวิชาธรรมกายจาก หลวงพ่อสด หรือ ท่านเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี วัดปากน้ำภาษีเจริญ ธนบุรี จนท่านบรรลุวิชาเข้าถึงดวงธรรมกาย และได้รับการยืนยันรับรองจากปากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ว่า “แสงแห่งพระธรรมกายนั้น ถ้าหยุดถูกที่แล้วจะสว่างไสวยิ่งกว่าพระอาทิตย์สักร้อยดวงมารวมกัน ถ้าใครยังไม่เชื่อให้ถามพระจากอ่างทององค์นี้ดู เพราะท่านสำเร็จธรรมกายขั้นสูงสุดแล้ว” พูดพลางหลวงพ่อสดก็ชี้มือมาที่หลวงปู่ผาด ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพระหนุ่มอยู่
    นอกจากนี้หลวงปู่ผาด ยังเรียนวิชาสำคัญจากพระเกจิสายอ่างทอง เช่น เรียนทำผงวิเศษจากหลวงพ่อภู วัดดอนรัก เรียนทำเบี้ยแก้ เสกปรอท จากหลวงพ่อพัก วัดโบสถ์ เรียนทำตะกรุดโบสถ์ลั่นจากหลวงปู่คำ วัดโพธิ์แก้ว

    ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดไร่ และตั้งสำนักอบรมวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางวิชาธรรมกายของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ

    อย่างไรก็ตาม แม้ทุกวันนี้หลวงปู่จะมีอายุกาลเข้าวัยชราภาพมากแล้ว แต่ท่านก็ยังคงอารมณ์อยู่ในวิปัสสนาญาณชั้นสูงอยู่ทุกขณะจิต ฉันอาหารได้มาก และดี ยังแข็งแรง มีความจำดีเลิศ ไม่หลงลืม ไม่ยินดียินร้ายในสมบัติของโลกทุกชนิด ไม่ยึดติด ไม่สะสม จำวัดกลางศาลาใหญ่ใกล้เมรุเผาศพ เมื่อคราวน้ำท่วมอ่างทองครั้งใหญ่ น้ำเอ่อล้นท่วมทุกที่ แต่ที่ศาลาใหญ่ ที่ท่านจำวัด ซึ่งสูงกว่าพื้นถนนไม่ถึงฟุต สายน้ำกลับวกไปไม่ท่วมถึง เคยมีพระสงฆ์ผู้รู้ทางในบอกไว้ในหมู่นักปฏิบัติหลังจากมากราบหลวงปู่ผาดว่า “พระอรหันต์นั้นหาไม่ยาก ในยุคนี้หาก อยากกราบพระอรหันต์ก็ต้องรีบไปกราบหลวงปู่ผาด ที่วัดไร่ อ่างทองให้ได้เชียว”


    ในด้านการปลุกเสกพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง หลวงปู่นั่งอธิษฐานจิตแบบลืมตาเสก คือว่าคาถาเป่าไปเรื่อย ๆ ซึ่งผู้รู้บอกว่า การลืมตาเสกเป็นการเสกแบบเปิดโลก แบบเดียวกับ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก คือ เปิดหนทางทุกอย่าง เปิดโภคทรัพย์ เปิดทางชีวิต มีอภิญญาจิต คุณวิเศษ ผู้หยั่งรู้วาระจิตคน เล่ากันว่า แม้แต่เทวดา ยังมาฝากตัวเป็นศิษย์และกระแสจิตท่านเทียบเท่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต พระอรหันต์กลางกรุงแห่งวัดเทพศิรินทร์ฯ

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลเจ้าของบทความอย่างสูงครับ



    เหรียญรุ่น๒ หลวงปู่ผาด วัดไร่ อ่างทอง สภาพสวยเดิมครับ

    ให้บูชา 700 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    หลวงพ่อชม วัดกู่พระโกน่า

    เชิญเข้าไปอ่านประวัติท่านได้ตามนี้ครับ

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลเจ้าของบทความอย่างสูงครับ


    ประวัติหลวงปู่ชม - บ้านหนองแสน


    หรียญ รุ่น.1 รุ่นสร้างโบสถ์ เนื้อเหลืองกะไหล่นิเกิ้ล..สุดยอดแห้งประสบการณ์(เหรียญสวยมากๆๆ)...หนึ่งในดวงใจ ของชาวอำเภอสุวรรณภูมิ..lหรือ ชาวต.หนองแสน อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ซึ้งใครมีเหรียญรุ่นนี้ ต่างก็หวงแหนกันทั้งนั้น (ทำไม่ถึงเรียกว่า รุ่น เครืองบินตก เพราะครั้งหนึ่งมีนายทหารท่าน หนึงประสปอุบติเหตุในการฝึกบิน แต่เครื่องยนต์เกิดการขัดของในขณะบินทำให้เครื่องบินตกลง สู้พื้นดิน แต่นายทหารท่านนี้หอ้ยเหรียญหลวงปู่ กับไม่ได้รับอันตรายหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด นับว่าเป็นปาฎิหาย์ริอย่างยิ่้งกับนายทหารท่านนี้เป็นอย่างมาก ครั้งหนึงสมัยที่หลวงปู่มีชีวิตอยู่ หลวงปู่แหวน สูจิณโณ ยังมาจำพรรษาอูย่วัดกู่พระโนาเพื่อศึกษาวิชาต่างๆ กับหลวงปู่ตั้ง 1 พรรษา (คำบอกเล่าจากคุณ ตา - ยาย นะครับ).......เหรียญ รุ่น นี้ ทั้งบล็อคนิยมหน้าหนุ่ม-หรือหน้าแก่ต่างก็มีประสปกาณ์มากเหลือเกิน ครับ...*****((((...รออีกไม่นานครับ จะรวบรวมประวัติของหลวงปู่อยา่งเป็นทางมาให้อ่านกันครับ...)))))****..... นี้คือคำบอกเล่า ของหลวงปู่จันดี เกสาโร วัดป่าหินเกิ้งวิปัสสนา ต.บ้านแฮด จ. ข่อนแก่น...( ในขณะนั้นหลวงปู่ยังเป็นสามเณรอยู่ ที่ได้ติดตาม หลวงปู่มั่น - หลวงปู่ชม - หลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่ขาว....) หลวงปู่จันทร์ดี ท่านกล่าวอย่างยินดี พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า

    " เคยไปอยู่เขาพระวิหารกับพระอาจารย์มั่น นอกจากนั้นท่านยังพาไปอยู่ที่อื่นๆ กับท่านทั้งสองอีก คือ ที่เขาพนมรุ้ง ถ้ำขาม ถ้ำส่องดาวและไปพม่าด้วยกันก็เคย เวลาไปอยู่กับท่านนั้น ก็ถือเป็นครูบาอาจารย์ปฏิบัติบำรุงท่านเป็นอย่างดี"

    พระนักปฏิบัติ สมัยก่อน นิยมเดินธุดงค์ การเดินธุดงค์สมัยนั้นเป็นการเดินดงจริงๆ เพราะไม่มีถนน ไม่มีทางเดินเหมือนปัจจุบัน ต้องเดินไปตามทางที่สัตว์ป่าเดิน ทั้งป่าก็ทึบ ขนาดเดินเข้าปในป่าแล้วจะไม่เห็นแสงตะวันเลย

    หลวงปู่ เล่าต่อไปว่า ในช่วงนั้น ในช่วงนั้นหลวงปู่มั่นท่านพาธุดงค์ไปถึงถ้ำขาม อยู่ในเขตอำเภอพรรณานิคม จังหวักสกลนคร ณที่นี้ ก็ได้พบกับ หลวงปู่ชม,หลวงปู่เสาร์ และ
    หลวงปู่ขาว

    ที่ถ้ำขามแห่งนี้ หลวงปู่ชม,หลวงปู่เสาร์ และ หลวงปู่ขาว ทุกองค์ต่างก็รอหลวงปู่มั่น อยู่ สาเหตุก็คือต้องการไปธุดงค์ที่ฝั่งลาวด้วยกันนั่นเอง

    จากนั้นก็แวะไป เยี่ยม พระมหาปาน เจ้าอาวาสวัดโคกเรือในฝั่งลาว เพราะท่านได้ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ พอไปถึงโคกเรือในฝั่งลาว ก็ได้รับฟังคำบอกเล่าจาก พระมหาปานว่า "มีคนแตกตื่นเหล็กไหลที่ถ้ำสระบัว ในเขตภูเขาควาย และทำอันตรายผู้คนมามากต่อมากแล้ว สำหรับผู้ที่ไปตัดเอาเหล็กไหล"

    เหล็กไหลที่ถ้ำสระบัว บนภูเขาควายนั้น หลวงปู่จันทร์ดี ท่านได้เคยไปเห็นแล้วครั้งหนึ่ง สมัยเป็นเณรน้อนที่ไปกับท่านอาจารย์ทั้ง 5

    บัด นี้ หลวงปู่จันทร์ดี ได้กลับมาถิ่นเดิมอีกครั้ง แต่ในการมาครั้งนี้ผิดกับครั้งก่อน เพราะมีพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานมาด้วย และท่านมาเพื่อปราบสิ่งลี้ลับบนภูเขาควายโดยเฉพาะ ....
    หลวงปู่จันทร์ดี เกสาโว เล่าถึงการเดินธุดงค์ไปกับ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ และ หลวงปู่ชม เพื่อข้ามไปฝั่งประเทศลาว เพื่อไปดูเหล็กไหล ที่ถ้ำสระบัวประเทศลาวว่า " กลุ่มของพระอาจารยืเสาร์เดินธุดงค์ไปจากเมืองไทย ได้ลงมติว่า ขืนปล่อยให้มีเหล็กไหลปรากฏอยู่เช่นนี้ ก็คงจะทำลายต่อผู่ที่โลภโมโทสันอยู่ตลอดไป จึงเดินทางไปถ้ำสระบัว ที่๓เขาควาย เพื่อไปดูเหตุการณ์และตัดไฟแต่ต้นลม" ท่านกล่าว

    การ เดินทางไปภูเขาควายครั้งนี้ ระหว่างทาง หลวงปู่จันทร์ดี ขณะนั้นยังเป็นสามเณร ก็ได้เล่าเรื่องราวการตัดเหล็กไหล และการเสียชีวิตของพระอาจารย์ทั้ง 5 ให้หลวงปู่มั่นฟัง หลวงปู่มั่นท่านได้แต่หัวเราะและบอกทางหลวงปู่จันทร์ดีว่า " เณรน้อยเอ๋ย อันว่าเหล็กไหลนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสห้ามไว้ว่า อย่าได้พยายามไปค้นหา เพราะมันเป็นเรื่องปัญหาอจินไตย"

    "คำว่าปัญหาอจินไตย หมายความว่าอย่างไรครับ" หลวงปู่จันทร์ดีถามพระอาจารย์มั่น

    "ความ หมายของคำว่า ปัญหาอจินไตย คือ ห้ามมิให้คิดค้นหาขอสรุปของเหล็กไหล ถ้าอยากรู้ข้อเท็จจริงของเรื่องราว ก็ไปค้นหาอ่านใน โลกธรรมสูตร อังคุตรนิกาย พระไตรปิฏก เล่มที่ 35 เถิด " หลวงปู่มั่นกล่าวตอบ

    พอ ถึงถ้ำสระบัว หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ และ หลวงปู่ชม ต่างก็ทำพิธีเตรียมตัดเหล็กไหล โดยในขณะนั้น พระมหาปาน ได้น้ำน้ำผึ้งทาตามบริเวณถ้ำที่เหล็กไหลติดอยู่ ลักษณะการทาน้ำผึ้งของท่านทำอาการคล้ายๆการฉาบปูน คือทาจนผนังเยิ้มไปด้วยน้ำผึ้ง จากนั้นหลวงปู่เสาร์ก็ใช้เทียนชัยเล่มใหญ่มาก หนักประมาณ 32 บาท ไส้เทียน 108 เส้น ลนไปรอบๆปุ่มเหล็กไหล 3 รอบ จากนั้นก็หยุดลนไฟ แล้วนั่งทำพิธีบริกรรมภาวนาต่อ




    ทันใดนั้น คล้ายมีเสียงดังหนักๆ ถูกลากหรือเคลื่อนตัวมากับพื้นหินถึงขนาดทำให้พื้นถ้ำสั่นสะเทือน และมีเสียงดังเอี๊ยดๆและเสียงดังยาวเยือกเย็นเฉียบไปถึงสันหลัง ดังออกมาด้วยเป็นระยะ จนกระทั่งเสียงเคลื่อนครืดๆมาถึงเหล็กไหล

    ปรากฏว่าปุ่มเหล็กไหลเยิ้มออก คล้ายยางมะตอยทะลัก และเหมือนกับหัวงูแลบลิ้นสองแฉก ออกมาให้เห็นอยู่แวบๆ

    หลวง ปู่เสาร์ท่านพุดว่า "ที่เจ้าสำแดงร่างปรากฏออกมาแบบนี้ ไม่เป็นสิ่งดีงามเลย ทำให้ทุกคนตระหนกตกใจกลัว และมีอาการเหมือนเป็นศัตรูกัน อันพวกเราที่มานี้ ก็เพียงต้องการอยากจะช่วยผู่ที่โลภโมโทสัน ไม่ให้มีอันตราย พวกเราไม่ต้องการให้มีการตายเกิดขึ้นอีก"


    พอ หลวงปู่เสาร์พูดจบ หัวงูอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็หยุดนิ่งแต่ยังคงแลบลิ้นสองแฉกอยู่แปลบๆตามเดิม โดยไม่ได้ล้ำหน้าออกมา ดังนั้นหลวงปู่เสาร์จึงนำเทียนชัยไปลนอีกครั้ง ปรากฏว่าปุ่มเหล็กไหลได้เยิ้มไหลลงมาที่โถลายครามเคลือบ ซึ่ง หลวงปู่ชมท่านได้บรรจุน้ำผึ้งไว้ครึ่งโถ ถือรองรับคอยที่อยู่แล้ว

    หลวง ปู่มั่นและพระมหาปาน ซึ่งนั่งสวดอยู่รอบๆ ก้ได้ลุกขึ้นมาพร้อมกัน โดยหลวงปู่มั่น ใช้ใบหญ้าคา ซึ่งผ่านการปลุกเสกมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ นำไปตัดเหล็กไหลที่กำลังย้อยลงมากินน้ำผึ้ง

    พอ หลวงปู่มั่น นำใบหญ้าคา ลงไปจรดที่ตัวเหล็กไหลเท่านั้น ปรากฏว่าเหล็กไหลขาด คล้ายๆกับเราเอามีดคมๆ ไปปาดที่หนังสติ๊กอย่างไรอย่างนั้นแหละ คือไหลขาดตกลงถึงโถเคลือบ ปรากฏว่าโถในมือของหลวงปู่ชม กระเด็นหลุดจากมือ ตกลงไปยังพื้นถ้ำ น้ำผึ้งกระจายหกเลอะพื้นถ้ำ ท่านกลางน้ำผึ้งที่แตกกระจาย หลวงปู่เสาร์ได้เดินไปหยับก้อนเหล็กไหลใส่ลงในย่ามของท่าน ส่วนกลุ่มเหล็กไหลที่เหลือก็ดีดผึงกลับคืนผนังถ้ำ จนผนังถ้ำแตกร้าว เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงฟ้าผ่า แผ่นดินแทบถล่มทลาย จากนั้นก้เงีบยสนิทไปเหมือนเดิม

    หลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่ชม ก้เริ่มทำพิตัดเหล็กไหลต่อและได้ทำพิธีเหมือนครั้งแรกคือการตัดแต่ละครั้ง โถเคลือบที่บรรจุน้ำผึ้งจะต้องกระเด็นหลุด จากมือ หลวงปู่ชม ทุกครั้ง แต่โถเคลือบใบนั้นก็ไม่มีวี่แววจะแตก และ หลวงปู่เสาร์ ก็เดินไปหยิบก้อนเหล็กไหลที่ตัดได้มาใส่ย่ามทุกครั้ง

    การกระทำพิของ กลุ่มพระธุดงค์ คล้ายผ่านการวางแผนมาแล้ว เป็นอย่างดี คือพระอาจารย์ทุกองค์ ต่างก้ทำหน้าที่ของท่านในแต่ละหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และในขณะทำพิธีจะไม่มีการพูดคุยกันเลย ท่านกระทำเช่นนั้นถึง 6 ครั้ง ตัดกันจนปุ่มที่เห็นขนาดเท่าตุ่มฆ้องนั้น เรียบหายไปกับผนัง ท่านจึงหยุดทำพิธี จึงเป็นอันว่าสิ้นสุดกันที สำหรับเหล็กไหลที่ถ้ำสระบัว ภูเขาควาย ประเทศลาว...



    ทรายกลายเป็นน้ำ

    หลวงปู่ จันทร์ดี เล่าถึงการเดินธุดงค์ของท่านต่อไปว่า 'ตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 ถึง 2481หลังจากธุดงค์ไปเอาเหล็กไหลที่ถ้ำสระบัว ที่ภูเขาควายแล้ว ก็ได้ไปเขากระทิงที่ประเทศลาวเช่นกัน จากนั้นก็ข้ามมาฝั่งไทย ไปที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ช่วงนั้นอาตมายังเป็นเณรอยู่ พระอาจารย์มั่นอายุ 60 กว่าปี ส่วนพระอาจารย์เสาร์แก่กว่า ท่านเป็นพระอาจารย์ของ ท่านอาจารย์มั่นอีกที"

    ช่วงเดินธุดงค์ที่ทุ่งกุลาร้องไห้นั้น พบเหตุอัศจรรย์อันน่าประหลาดใจ หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า


    ทุ่งกุลาร้องไห้ ในสมัยที่แห้งเล้งมาก เป็นทุ่งกว้างใหญ่ของภาคอีสาน มีเนื้อที่ติดต่อหลาย
    จังหวัด ได้แก่ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ...

    'การ พบนั้น พบหลายอย่างและหลายแห่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์มั่น ซึ่งอาตมาเรียกท่านว่า พระอาจารย์มั่น,พระอาจารย์ชม และพระอาจารย์แหวน" และมีอุบาสกอุบาสิกามาเยอะเลย และทุ่งกุลาร้องไห้ ตอนไป ไปทางอำเภอจตุรพักตร์พิมาน ทางบ้านเกาะ ไม่มีน้ำกิน แห้งแล้งมาก หลวงปู่เป็นเณร ไปเอาน้ำที่ไหนก็ไม่มี มีแต่ปลักควาย มีแต่ดินกับทราย"

    พอ ไปถึงไม่มีน้ำก็กลับมาเพราะไม่มีน้ำ และได้บอกกับพระอาจารย์มั่นว่า 'ไม่มีน้ำ ไม่รู้จะไปเอาที่ไหน" พระอาจารย์เสาร์ได้ยิน ท่านจึงไปเอาเอง เอาบาตรไปด้วย พอท่านกลับมานั่ง น้ะกระฉอกเต็มบาตรเลย อุบาสก อุบาสิกาก็ได้ดิน พระก็ได้กิน อาตมาก็ได้กิน

    พอไปให้พระอาจารย์ชมกิน ท่านก็ว่า "ไม่กินหรอก มันเป็นทรายทั้งนั้น" พอพระอาจารย์ชมพูดจบก็กลับกลายเป็นทรายในทันที อาตมาเห็นกับตา เดี๋ยวนี้พยานยังมีอยู่ หลวงปู่ท่านกล่าวยืนยันอย่างหนักแน่น********


    พวกเปรตอสุรกายพวกนี้ สูบกินเลือด ชอบกินเลือดเนื้อ ภาษาไทยว่า เปตร ภาษาลาวว่าปอบ

    แต่ปอบนี่ถ้าจะเข้าคน มันจะบอกว่าเป็นคนนั้นเป็นคนนี้ เป็นนาย ก เป็น นาย ข เป็น นาย ค
    หมอ ผีเขาก็ใช้คาถาไล่ไปจากร่างคนที่เข้าสิง อาตมาก็เคยไปไล่ผีปอบ ไปไล่ให้ญาติโยมเขาที่บ้านเหล่าใหญ่ บ้านหนองไฮ บ้านป่าหมอ บ้านอื่นๆอีก

    ปัจจุบัน ยังไปไล่อยู่เยอะ ยังมีอยู่ ไล่คนไหนก็หายไป มันไม่เข้าคนอีก มันมีวิธีของมันเยอะแยะจะอธิบายที่นี่ไม่ได้หรอก พอมันออหปากว่า เป็นนาย ก ก็จะไปรักษาให้หาย คือไปชำระออกเสีย มีของอะไรก็เอาไปทิ้งเสีย ก็ไม่ขายหน้าชาวบ้านเขาอีกต่อไป

    ถ้าคนไหนเป็ฯผีปอบ ถ้ารู้ว่าเป็นหรือเข้าคนไปแล้ว ถ้าไม่ไปรักษาตัวเองให้หาย ชาวบ้านเขาจะเนรเทศ ให้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อื่น

    "ใน สมัยรัชกาลที่ 5 ถ้ามีคนเป็นปอบ เขาจะเอาไปไว้ที่บ้านโคกทะโร่ อยู่ในอำเภอหนึ่ง แห่งจังหวัดร้อยเอ็ด จนชาวบ้านเขาเรียกหมู่บ้านนั้นว่า บ้านโคกทะโร่ผีปอบ คนไหนเป็นผีปอบ ทางการเขาจะจับเอาไปไว้รวมกัน คนสผ่านไปทางนั้นก็ตาย ถ้าไม่มีวิฃาแก่กล้า "

    ทางการเอาพวกที่เป็ฯผีปอบนี้ต้านศึกฮ่อ เพราะสมัยนั้นมีศึกฮ่อ มีอาจารย์ชมเป็นอาจารย์เก่ง ก็ยังต้องเอาพวกนี้มาเป็นเพื่อน ในระหว่าง
    การเดินขายควายไปทางปักษ์ใต้ เพราะพวกนี้คาถาอาคมเก่ง*********


    เหรียญรุ่นประสบการณ์ของหลวงปู่ สภาพผ่านการบูชาและเหรียญรุ่น๑สวยเดิมๆครับ

    เหรียญเล็กยุคแรกนั้นมีประสบการณ์สูงเป็นที่สแวงหาของคนในพื้นที่ครับ

    (ปิดรายการ)

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2012
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    เหรียญหลวงปู่มั่น พระอาจรย์ฝั่น อธิฐานจิต กะไหล่ทองสวยเดิมๆครับหายาก

    ให้บูชาคู่กัน 3500 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    ประวัติหลวงพ่อชา
    พระโพธิญาณเถร นามเดิมว่า ชา ช่วงโชติ เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๑ ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ ๙ ตำบลธาตุ อำเภอ วารินชำราบ จังหวัด อุบลราชธานี ตามประวัติท่านมีจิตฝักใฝ่ธรรมมาแต่เด็กบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๗๔ ได้ ๓ พรรษา แล้วก็ลาสิกขาอุปสมบทเป็นภิกษุเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ออกศึกษาปริยัติต่างถิ่นโดยเริ่มที่วัดสวนสวรรค์ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี การที่ท่านบวชแต่เยาว์วัยยังผลให้ท่านมีโอกาสศึกษาเล่าเรียนทางโลกเพียงแค่ ชั้นประถมปีที่ ๑
    หลวงพ่อชาเป็นผู้สนใจธรรมมาก ท่านมีความปรารถนาอยากรู้แจ้งเห็นจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ จึงเริ่มศึกษาธรรมจากสำนักต่าง ๆ หลายสำนักระยะแรกในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๕-๒๔๘๖ ศึกษาปริยัติธรรมกับพระมหาแจ้ง วัดเค็งใหญ่ อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี และพระครูอรรถธรรมวิจารณ์ วัดหนองหลัก อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี ปี ๒๔๘๖ เมื่อโยมบิดาถึงแก่กรรม หลวงพ่อชาสิ้นภาระห่วงใย มองเห็นความเป็นอนิจจังของชีวิต หลังจากสอบนักธรรมเอกได้เกิดเบื่อหน่ายด้านปริยัติ พิจารณาว่าไม่ใช้ทางพ้นทุกข์ ประสงค์จะศึกษาด้านวิปัสสนาธุระบ้าง จึงออกธุดงค์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ เพื่อค้นหาอาจารย์ที่จะสอนด้านวิปัสสนาธุระ โดยระยะแรกมุ่งหน้าไปจังหวัดสระบุรี-ลพบุรี ที่ลพบุรีมุ่งตรงมาที่สำนักวัดป่าของหลวงพ่อเภา แต่น่าเสียดายที่หลวงพ่อเภามรณภาพเหลือแต่อาจารย์วันลูกศิษย์ จึงได้แต่ศึกษาระเบียบข้อปฏิบัติที่หลวงพ่อเภาวางไว้ และจากอาจารย์วัน อาจารย์ที่สำคัญอีกองค์หนึ่ง คืออาจารย์ชาวเขมร (ซึ่งธุดงค์จากเขมรมาไทย และมุ่งไปพม่า) เป็นผู้วางหลักแนวทางปฏิบัติโดยใช้หนังสือ บุพพสิกขาวรรณนาวินัยกถา ซึ่งแต่งโดยพระอมรมภิรักขิต (เกิด) ในคณะธรรมยุตินิกาย หลวงพ่อชาจึงได้ใช้หนังสือบุพพสิกขาวรรณนาวินัยกถา เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ในวัดหนองป่าพงและสาขามาจนทุก วันนี้
    ปี ๒๔๙๐ หลังจากจำพรรษาที่เขาวงกต อยู่ได้หนึ่งพรรษา ได้ทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) เป็นผู้มีคุณธรรมสูงทั้งเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนาธุระ มีประชาชนเคารพเลื่อมใสมาก จึงเดินทางมาที่วัดหนองผือนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนครวันแรกย่างเหยียบเข้าสำนัก เห็นบริเวณร่มรื่น ปฏิปทาของพระภิกษุเคร่งครัดเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธา หลวงปู่มั่นได้เทศนาสั่งสอนเกี่ยวกับหลักธรรม อาทิศีลนิเทศ ปัญญานิเทศ พละ ๕ อิทธิบาท ๔ ให้แก่หลวงพ่อชาและศิษย์จนเป็นที่พอหายสงสัย สิ่งที่น่าสังเกตคือหลวงปู่มั่นไม่มีความคิดที่จะให้หลวงพ่อชาแปลงนิกายเป็น ธรรมยุติกาย ท่านให้ข้อชี้แจ้งเป็นปรัชญาคมคายว่าในความเป็นภิกษุที่แท้จริงไม่ได้มี นิกาย ทั้งหมดคือพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ ดังคำกล่าวของหลวงปู่มั่นต่อหลวงพ่อชาว่า “ ไม่ต้องสงสัยนิกายทั้งสอง ” หลังจากฟังเทศน์จากหลวงปู่มั่น หลวงพ่อชามีจิตอิ่มเอิบ เป็นสมาธิ และได้ยึดคำสอนปฏิปทาของท่านไว้เป็นแนวปฏิบัติต่อไปองค์ที่ตรัสว่า “ ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน แล้วจึงสอนคนอื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตสกปรก ” ดังนั้นไม่ว่าจะทำกิจวัตรอันใด เช่น กวาดวัด จัดที่ฉันล้างบาตร นั่งสมาธิ ตักน้ำ ทำวัตร สวดมนต์ เดินจงกรม ในระหว่างวันพระถือเนสัชชิไม่นอนตลอดคืน หลวงพ่อชาลงมือทำเป็นตัวอย่างของศิษย์โดยถือหลักว่า “ สอนคนด้วยการทำให้ดู ทำเหมือนพูด พูดเหมือนทำ ” ดังนั้นศิษย์และญาติโยมจึงเกิดความเลื่อมใสเคารพยำเกรงในปฏิปทาที่หลวงพ่อ ดำเนินอยู่
    ในระยะแรกของการมาอยู่ป่าพงค่อนข้างลำบาก ชาวบ้าน ญาติโยมผู้ศรัทธาเข้ามาสร้างวัดเป็นกระท่อมเล็ก ๆ ให้ได้อาศัย ไข้ป่าชุกชุม เพราะเป็นป่าทึบ เมื่อเจ็บป่วยยารักษาก็หายาก โยมอุปัฏฐากยังน้อย อาหารการกินฝืดเคือง แต่กระนั้นหลวงพ่อก็ไม่เคยออกปากของญาติโยม แม้จะเลียบเคียงก็ยังไม่ยอมทำ ปล่อยให้ผู้พบเห็นพิจารณาด้วยตนเอง เดือนต่อมาเกิดสำนักชีขึ้นที่วัดเพื่อสนองคุณต่อโยมมารดาให้ได้ปฏิบัติธรรม โยมแม่พิมพ์จึงเป็นแม่ชีคนแรกของวัดหนองป่าพง และมีแม่ชีติดต่อกันมาถึงปัจจุบันเป็นจำนวนมากและทางวัดมีการแบ่งเขตสงฆ์เขต ชีไว้เรียบร้อยไม่ก้าวกายปะปนกัน
    วัดหนองป่าพงได้รับอนุญาตให้สร้างในปี ๒๕๑๓ ปี ๒๕๑๖ หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพงและได้รับสมณศักดิ์เป็นพระ ราชาคณะที่ “ พระโพธิญาณเถร ” ปี ๒๕๑๙ สิ้นเงิน ๕ ล้านบาท ปี ๒๕๒๐ ได้เดินทางไปประกาศสัจธรรมในภาคพื้นยุโรปเป็นครั้งแรกปี ๒๕๒๒ ได้เดินทางไปอังกฤษ อเมริกา คานาดา เพื่อประกาศสัจธรรม เป็นครั้งที่ ๒
    ปี ๒๕๒๕ หลวงพ่อชาอาพาธ เป็นโรคเกี่ยวกับสมอง มีอาการเวียนศีรษะความจำเสื่อม จนต้องผ่าตัดสมอง หลังจากการผ่าตัด ท่านไม่สามารถพูดได้เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องอาศัยพระภิกษุในวัดช่วยปรนนิบัติเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด การบริหารวัดทั้งหมดมอบให้อาจารย์เหลื่อมเป็นผู้รักษาการแทน
    หลวงพ่อชาถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๖

    วัดหนองป่าพง
    [​IMG] [​IMG]
    วัดหนองป่าพง เป็นวัดป่าฝ่ายอรัญวาสี ตั้งอยู่ที่ตำบลโนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เป็นสำนักปฎิบัติธรรมที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติอันสงบเงียบ มีบรรยากาศอันร่มรื่น เหมาะแก่การปฎิบัติธรรม สร้างโดยหลวงพ่อชา สุภทโท หรือ พระโพธิญาณเถระ
    ประวัติความเป็นมา
    ระหว่างที่มาอยู่วัดหนองป่าพง หลวงพ่อได้ยึดหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า " ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณธรรมสมควรเสียก่อน แล้วจึงสอนคนอื่นที่หลัง จึงจะไม่เป็นบัณฑิตสกปรก" ฉะนั้นไม่ว่าจะทำกิจวัตรอันใด เช่น การกวาดลานวัด จัดที่ฉัน ล้างบาตร นั่งสมาธิ ตักน้ำ ทำวัตร หลวงพ่อจะลงมือทำเป็นตัวอย่างของศิษย์โดยยึดหลักว่า "สอนคนด้วยการทำให้ดู ทำเหมือนพูดพูดเหมือนทำ" ดังนั้นศิษย์ และญาติโยมจึงเกิดความเคารพเลื่อมใสในปฏิปทาที่หลวงพ่อดำเนินอยู่

    ศิลปสถาปัตยกรรม
    นอกจากจะเป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมของพระธุดงค์กรรมฐานสายพระอาจาย์มั่น ภูริทตโต แล้ววัดหนองป่าพงยังเป็นที่สำคัญด้านสถาปัตยกรรม ผสมผสานระหว่างศิลปะอีสานกับศิลปะร่วมสมัย อาทิ การก่อสร้างโบสถ์ วิหาร พิพิธภัณฑ์ และเจดีย์ที่บรรจุอัฐิหลวงพ่อชา
    โบสถ์วัดหนองป่าพง
    เป็นอุโบสถอเนกประสงค์สมัยใหม่ที่เอื้อต่อประโยชน์ใช้สอย พื้นอุโบสถยกลอยจากพื้นดิน เบื้องล่างเป็นถังเก็บน้ำฝนตัดสิ่งประดับฟุ่งเฟื่อย อาทิ ช่อฟ้า ใบระกา ไม่มีผนังประตูหน้าต่าง สามารถจุคนได้จำนวนประมาณ 200 กว่าคน เสาอาคารและผนังประดับด้วยเครื่องปั้นดินเผา อีสานจากบ้านด่านเกวียนวิหาร เป็นลักษณะศิลปแบบอีสานเรียบง่ายแต่เน้นประโยชน์ใช้สอย สามารถจุประชาชนได้ เป็นนับพันคน
    เจดีย์บรรจุอัฐิหลวงพ่อชา
    มีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมอีสานกับ ล้านช้าง
    ความสำคัญต่อชุมชน
    วัดหนองป่าพงเป็นต้นแบบของวัดป่ากว่า 100 แห่งในประเทศไทย และอีกหลายแห่งในยุโรป ออสเตรเลีย และแคนาดา หลวงพ่อชาเป็นตัวอย่าง ของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้จะมีศาสนิกชนมากมายแต่ก็ไม่สร้าง ความแตกแยกให้เกิดนิกาย หรือเข้าไปพัวพันกับการเมืองจนเป็นเรื่อง แตกแยก วัดเน้นความเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ฟุ่งเฟือยหรือสะสม คงความเป็นพุทธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างแท้จริง หน้าที่หลักของ พระสงฆ์ คือ เป็นที่พึ่งทางจิตใจ อบรมสั่งสอนให้ศาสนิกชนปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา
    วัดหนองป่าพงมีเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ ประกอบด้วย โบสถ์ วิหาร พิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถระ กุฏิพยาบาลหลวงพ่อชา กุฎิพระ กุฎิแม่ชี กุฎิหลวงพ่อชา


    [​IMG]
    หลวงปู่มั่น อาจารย์หลวงพ่อชา​
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]
    หลวงพ่อชา กับ พระฝรั่ง พระฝรั่งรูปแรก ท่านอาจารย์สุเมโท ​
    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลเจ้าของบทความอย่างสูงครับ www.kanlayanatam.com/special/Bio_LP_Cha.htm

    รูปเหมือนลอยองค์เนื้อนวะโลหะ หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ศิษย์ฺหลวงปู่มั่น

    ให้บูชา 1800 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2012
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    เหรียญหลวงพ่อรักษ์ วัดน้อยแสงจันทร์

    ให้บูชาคู่กัน550บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    [​IMG]


    ในปี 2514 หลวงพ่อสมภพ นำมวลสารทำวัตถุมงคล รุ่น 2
    ปี พ.ศ.2514 หลวงปู่เผือก พระปรมาจารย์แห่งวัดสาลีโขภิตาราม ได้คำนวณฤกษ์เห็นควรประกอบมหาพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งยวด สืบเนื่องมาแต่ “มหาฤกษ์” ที่ยากจะเกิดขึ้นในแต่ละคราว นั่นคือ "ฤกษ์มหาจักรจตุรงคสันนิบาต”
    อันได้แก่ ดาวจันทร์ ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ และดาวราหู ต่างเคลื่อนเข้าสถิตอยู่ในองค์เกณท์ราศีอันเป็น “มหาจักร” แห่งตน และจะปรากฎถึง 4 วาระด้วยกันตลอดไตรมาสพรรษาปี 2514 ซึ่งเหตุการณ์นี้ ทุก 200 ปีจะเกิดมีขึ้นครั้งหนึ่ง
    วาระมหามงคลที่จะ ถึงนั้น บรรดาผู้รู้ทั้งหลายไม่อาจปล่อยให้หลุดลอยได้ หลวงพ่อสาลีโขจึงกำหนดการจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อให้สมเวลาที่รอคอย ทั้งยังปรารถนาให้เป็น “ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต” ของท่านทีเดียว
    การสร้างอิทธิวัตถุของหลวงพ่อสาลีโขนั้นไม่เลยแม้สัก ครั้งเดียวที่จะใช้โลหะเปล่า ท่านเพียรพยายามยิ่งในการจารอักขระเลขยันต์สำคัญครอบคลุมสรรพวิชาทั้งมวลลง ในแผ่นโลหะ เน้นหนักในทุกๆสายวิชาทั้งคงกระพัน มหาอุด ชาตรี กำบังตน มหาลาภ มหานิยม เมตตา แคล้วคลาด กันภัยกันคุณไสย กันภูตผี
    วิชาเหล่านี้ท่าน เพียรจารเสกเป่า แต่ละอักขระแต่ละพระยันต์ ท่านจะบรรจงเขียนอย่างสวยงาม ปลุกเสกและลงถม นำไปหลอมเอามาลงใหม่ ซับซ้อนเช่นนี้อย่างน้อย ถึง 3 วาระด้วยกัน กระทั่งคราวหลอมเพื่อรีดปั๊มเหรียญ ช่างถึงกับตะลึงเมื่อแผ่นทองวิ่งวนอยู่ในเบ้าหลอม ไม่ยอมละลาย ได้ตักเก็บไว้เป็นหลักฐานจำนวนหลายสิบแผ่น
    แผ่นทองชนวนนับสิบกิโล แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริง และวิริยะอุตสาหะ อันหาได้ยากในพระอาจารย์สมัยปัจจุบัน ไม่ควรแปลกใจเลยที่บังเกิดปาฏิหาริย์แผ่นทองไม่ละลายเพราะ “ปราณ” ที่ท่านเป่าประจุย่อมสถิตแนบแน่นอยู่ในทุกอณูแผ่นทอง จนโลหะธาตุธรรมชาติทั้งมวลถูกแปรสภาพเป็น “ธาตุสำเร็จ” จากการตั้งธาตุ ปรุงธาตุ และหนุนธาตุทั้ง 4 ขึ้นมาจากจิตที่ทรงอภิญญา
    เฉพาะ “เตโชกสิณ” นั้น ท่านเชี่ยวชาญถึงขีดสุด
    มงคล วัตถุที่สร้างประกอบด้วย พระพุทธรูปสุโขทัย หน้านาง ขนาด 9 และ 5 นิ้ว พระพุทธนาคปรก ขนาด 9, 5 นิ้ว, พระสังกัจจายน์ ขนาด 9 นิ้ว, รูปหล่อหลวงปู่เผือก ขนาด 9 , 5 นิ้ว , พระนาคปรกแขวนคอ, รูปหล่อหลวงปู่เผือกขนาดแขวนคอ, เหรียญหลวงปู่เผือก รุ่น 2 พิมพ์ใหญ่ – เล็ก, เหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อสาลีโข รุ่น 2 ชนวนมวลสารทั้งหมดถูกนำมาประกอบพิธีปลุกเสกในวันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 เวลา 18.00 น. โดยพระคณาจารย์มากมาย มีหลวงปู่เผือกประทับทรง หลวงพ่อสาลีโขเป็นประธาน เมื่อแล้วเสร็จได้จุณเจิมสรรพวัสดุด้วยกระแจะหอม และสวดหนุนด้วยพระพุทธมนต์พิเศษ คือ บทยานี , บทภาณวาร , บทคาถาพัน และอิติปิโสรัตนมาลา ก่อนจะนำแผ่นโลหะทั้งปวงมาหล่อหลอมเป็นชนวนสัมฤทธิ์เพื่อนำไปสร้างเป็นองค์ พระต่อไป
    วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 เวลา 10.08 น. เป็นกำหนดจุดเทียนชัยในพิธีเททอง และเริ่มทำพิธีพุทธาภิเษก วันนี้หลวงพ่อสาลีโขถือเป็นวันสำคัญที่สุดของงาน เพราะเป็นการเชิญชนวนสัมฤทธิ์เข้าสู่เบ้าหลอมหล่อรวมกับโลหะมงคลอื่นๆ แล้วเททองลงหุ่นให้สำเร็จเป็นองค์พระ จากนั้นจึงประพรมน้ำพระพุทธมนต์ยังเบ้าหลอม
    ครั้นทุบหุ่นดินออกก็ อัญเชิญพระปฏิมาลงชุบน้ำศักดิ์สิทธ์จากสถานที่สำคัญเช่น น้ำสรงพระบรมธาตุ , น้ำเมืองเพชร, น้ำสระแก้ว, น้ำบ้านบางปืน ฯลฯ แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพานเชิงใบใหญ่เคล้าคละประโปรบด้วยเครื่องหอม กระแจะจันทน์ พร้อมด้วยการเรียกสูตรตั้งนามให้เป็นสิริ ท่ามกลางพิธีมหาพุทธปรมาภิเษก พระมหานาคทั้งสี่เจริญบทมหาจักรพรรดิราช และบทพุทธาภิเษก โดยมีรายนามพระมหาเถระผู้ทรงรัตตัญญู ภาพเข้าร่วมพิธี ดังนี้
    1. พระภัทรมุกมุนี (ชิต) วัดเขาเต่า ประจวบคีรีขันธ์
    2. หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย สุพรรณบุรี
    3. หลวงพ่อกุหลาบ วัดใหญ่สว่างอารมณ์ นนทบุรี
    4. หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ธนบุรี
    5. หลวงพ่อเจริญ วัดทองนพคุณ เพชรบุรี
    6. พระครูประกาศสมาธิคุณ วัดมหาธาตุ พระนคร
    7. หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู ลพบุรี
    8. หลวงพ่อโอด วัดจันเสน นครสวรรค์
    9. หลวงปู่ผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต ขอนแก่น
    10. หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช พระนครศรีอยุธยา
    11. หลวงพ่อมิ วัดสิงห์ ธนบุรี
    12. หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จันทบุรี
    13. หลวงพ่อปี้ วัดด่านลานหอย สุโขทัย
    14. หลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท
    15. หลวงพ่อทบ วัดชนแดน เพชรบูรณ์
    16. หลวงพ่อชื่น วัดตำหนักเหนือ นนทบุรี
    17. พระครูเมธีวรานุวัตร วัดมหาธาตุ พระนคร
    18. หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง นนทบุรี
    19. หลวงพ่อจัน วัดสระเกษ พระนคร
    20. หลวงพ่อสั้น วัดท่าอิฐ นนทบุรี
    21. หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ พระนครศรีอยุธยา
    22. หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม
    23. หลวงพ่อจันทร์ วัดโสธรวราราม ฉะเชิงเทรา
    24. หลวงปู่เส็ง วัดกัลยาณมิตร ธนบุรี
    25. หลวงพ่อทองสุข วัดสะพานสูง นนทบุรี
    วัน พฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2514 เวลา 16.00 น. พิธีมหามงคลสรงองค์พระให้สำเร็จเป็น “พระเครื่อง” โดยบริสุทธิ์บริบูรณ์ ปราศจากมลทินโทษใดๆ พระคณาจารย์ในงานเจริญบทมงคลจักรวาล , ชัยมงคลคาถา และทิพยมนต์
    วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2514 เวลา 09.00 น. ตรงกับวันมหาจักรจตุรงคสันนิบาตวันสุดท้าย เป็นวาระนัดผู้สั่งจองอิทธิวัตถุให้มารับการประสิทธิเมจากมือหลวงพ่อสาลีโข ด้วยตนเองจนถ้วนทั่วทุกตัวคน
    แลหาพิธีกรรมที่จัดทำอย่างมโหฬาร มหากาฬเยี่ยงนี้ในปัจจุบันแล้วใจหาย ด้วยหาไม่เจอยังไม่เท่าไร กลับประสบเพียงสุกเอาเผากินหลอกขายหลอกแขวนกันไปวันๆ ซึมเศร้าจนต้องมองหาเหรียญนี้มาแขวนแทนพระสมัยอินเตอร์เนต ค่อยอุ่นใจหน่อย
    ใคร หนาวใจแล้วอยากอุ่นอย่างผมต้องดิ้นรนหน่อยละ ที่ว่าหน่อยก็เพราะเหรียญหลวงปู่เผือกรุ่นสองนี้ยังพอหาได้ตามสนามทั่วไปใน ราคาเบาๆ ของปลอมผมยังไม่เคยเจอ แต่เขียนไปแล้วอาจเจอก็ได้ฉะนั้นให้รีบหา
    การันตี ด้วยหัวหลิมๆ (ที่เพื่อนชอบล้อ) ได้เลยว่าผมแขวนพระมาก็มาก ประทับใจจริงๆกับประสบการณ์ไม่กี่ชิ้น ยอมให้หมดใจว่าหลวงปู่เผือก เป็น 1 ในนั้นไม่สงสัยเพื่อนที่แขวนก็ยกนิ้วให้ว่าเยี่ยม
    แถมนิดนึงว่าเหรียญ รุ่นนี้ทุกเหรียญ จะมีคราบแป้งสีขาวอันเกิดจากผงวิเศษเกาะติดอยู่ ถ้ามีตกค้างอย่าไปแกะทิ้งเพราะเป็นของดี หากหลุดไปแล้ว เหลือคราบขาวไว้ ก็อย่าตกใจ มีทุกเหรียญแหละครับ
    เหรียญหลวงปู่เผือก รุ่น 2 หรือ รุ่นปี 14 ได้ขอให้หลวงพ่อสมภพ สร้างเหรียญและเนื้อผงมาให้ประชาชนและลูกศิษย์ต่างมาบูชากัน เหรียญและพระผงที่ท่านสร้าง คือ เหรียญหลวงปู่เผือกนั่งฐานสิงห์ เป็นรุ่น 2 หรือเรียกกันติดปากว่า รุ่นปี 14 เพราะสร้างปี 2514 จะเล็กกว่ารุ่นแรกเพียงเล็กน้อยพิธีใหญ่ พิธีนี้ทางวัดสาลีโขได้อันเชิญพระกิจิอาจารย์ต่างที่ดังรวมสมัยนั้นมาปลุก เสก ก็ปลุกกันกว่าจะให้ลกศิษย์เช่าหากันไป
    ประสบการณ์ล่าสุดเหรียญหลวงปู่เผือก รุ่น 2 (วัดสาลีโขฯ)
    ชาย คนหนึ่งโดนยิงจากอริแต่ปืนไม่ลั่น3นัดซ้อนทีนี้เจ้าของปืน เห็นดังนั้น แต่ยังไม่ถอดใจจึงดิ่งตรงมาพร้อมด้วยมีดดาบมาฟันอีกแต่ คมนั้นหาได้ระบายตัวเขาไม่ทีนี้คนเริ่มมากันเยอะ คู่อรินั่น จึงเริ่มเผ่นหนีออกไปจากที่เกิดเหตุคนในเหตุการณ์ต่างสงสัยกันว่า ห้อยพระอะไร หรือมีของดีอะไรติดตัวปรากฏออกมาว่า "เขาได้ห้อยเหรียญหลวงปู่เผือก รุ่น๒ใหญ่ (นั่งบนอาสนะ)" เพียงองค์เดียวเท่านั้น นี่เป็นเพียงประสบการณ์บางส่วนของผู้ที่บูชาเหรียญหลวงปู่เพียงส่วนหนึ่งนะ ครับ

    สภาพเหรียญเดิมๆมีคราบแป้งผงพุทธคุณ ผิวเดิมขึ้นรุ้งครับ

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ


    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2012
  9. nu2581

    nu2581 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,184
    ค่าพลัง:
    +4,676
    มีแต่ของสุดยอดๆทั้งนั้นเลยท่านพี่
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว สิงห์บุรี

    อ่านประวัติปฎิปทาท่านได้ตามในเวปนี้ครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของข้อมูลอย่างสูงครับ


    www.konrakmeed.com/webboard/upload/lofiversion/index.php?t14190.html]

    เหรียญเสมาหลังสิงห์สภาพสวยเดิมๆครับ


    ให้บูชา 700 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    [​IMG]

    อ่านประวัติท่านได้ตามเวปนี้ครับ ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความและที่มาอย่างสูงครับ

    ประวัติและวัตถุมงคล หลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท

    เหรียญหลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    ล๊อคเก็ตกระดาษ หลวงปู่บุญฤทธิ์

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    ประวัติหลวงปู่ดี

    อ่านประวัติท่านได้ตามเวปนี้ครับ ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความและที่มาอย่างสูงครับ


    หลวงพ่อดี วัดพระรูป จ.สุพรรณบุรี

    เหรียญหลวงปู่ดี สภาพสวยเดิมๆ


    ให้
    บูชา 250 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ


    [​IMG]

    [​IMG]
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    เหรียญรุ่น๑โสฬสมหามงคล หลวงตาเปรื่อง วัดบางจาก นนทบุรี มีรอยจารด้านหน้าเหรียญเนื้อ

    ทองแดงผิวไฟ มี 2 เหรียญ


    ให้บูชาเหรียญละ250 บาทค่าจัดส่ง

    EMS 50
    บาทครับ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    จัดส่งวันนี้ครับ

    EI 6654 2759 3 TH หนองเรือ

    EI 6654 2760 2 TH ตราด

    ขอบคุณครับ
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    เหรียญรุ่น 1 หลวงพ่อแสวง วัดหนองอีดุก ตามประวัติเล่ากันว่าท่านเสก 10 ปี และ บางครั้ง

    เสกในป่าช้า มีประสบการณ์มหาอุตย์ โดยการทดลองยิง ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อกวย

    หลวงพ่อฤาษี

    ให้บูชา 650 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    ประวัติหลวงปู่สอ พันธุโล

    ชีวประวัติ และปฏิปทาของหลวงปู่สอ พันธุโล ( พระครูภาวนากิจโกศล ) วัดป่าบ้านหนองแสง ตำบลสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
    [​IMG]
    ชาติภูมิ
    หลวงปู่สอ พันธุโล นามสกุล ขันเงิน ท่านเกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 8 ปีระกา ตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2464 ที่บ้านทุ่งมน ตำบลทุ่งมน อำเภอลุมพุก ( คำเขื่อนแก้ว ) จังหวัดอุบลราชธานี ( ปัจจุบันคือจังหวัดยโสธร ) บิดาชื่อนายตา ขันเงิน มารดาชื่อนางขอ ขันเงิน มีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน 2 คน เป็นชายทั้งหมด คนแรกคือ หลวงปู่สอ พันธุโล คนที่สองคือ นายหมอ ขันเงิน ปัจจุบันอยู่ที่บ้านเดื่อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย หลวงปู่สอ พันธุโล สมัยที่ท่านเป็นฆราวาสนั้นเป็นคนที่ชอบสนุกสนาน ร่าเริง เข้ากับหมู่คณะได้ทุกคน ขณะเดียวกันก็ยังเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีความสามารถในการกล่าวกลอนสด ( ผญา ) ของคนอีสาน เป็นที่ชอบใจของผู้ฟังทำให้คนแปลกใจว่าทำไรหลวงปู่ จึงมีความสามารถมากเช่นนั้นจริงๆ ที่หลวงปู่สอ เรียนจบเพียงชั้น ป.3 แต่ถึงท่านจะชอบสนุกสนานรื่นเริง นิสัยประจำตัวอย่างหนึ่งของท่านที่มีอยู่โดยตลอด คือ ความอดทน ความขยันหมั่นเพียรซึ่งนับว่าเป็นคุณสมบัติอันสำคัญยิ่งที่ส่งผลให้การทำ ความเพียรของท่านในภายหลังจากอุปสมบทแล้วมีความเด็ดเดียวมั่นคงและเจริญก้าว หน้าไปโดยลำดับ

    ครองฆราวาสวิสัย
    เมื่อครั้งที่ใช้ชีวิตฆราวาสอยู่นั้น เมื่ออายุได้ประมาณ 20 ปีเศษ หลวงปู่ได้แต่งงานกับนางบับ ซึ่งเป็นหญิงสาวชาวบ้านเดียวกันนั่นเอง หลังจากแต่งงานมีครอบครัวแล้วความรับผิดชอบทุกอย่างก็ตกอยู่กับท่าน เพราะท่านเป็นหัวหน้าครอบครัวจะต้องตื่นแต่เช้าขยันทำการงาน หนักเอาเบาสู้โดยหวังจะให้ภรรยา และลูกๆ มีความสุข บางครั้งต้องเดินทางรอนแรมไปต่างจังหวัดเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว หลายครั้งเมื่อกลับมาถึงบ้านก็มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับภรรยาบ้าง ตามประสาของฆราวาสเหมือนลิ้นกับฟันที่ต้องกระทบกันอยู่ทุกวัน
    ในช่วงมีครอบครัวนี้ ท่านมีบุตร 3 คน ดังนี้คือ

    1. นางอ่าง ขันเงิน ปัจจุบันอยู่บ้านหนองแสง ตำบลสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
    2. เป็นผู้ชาย ( ไม่ทราบนาม ) ปัจจุบันได้เสียชีวิตแล้ว
    3. นางนาง ขันเงิน ปัจจุบันอยู่บ้านหนองแสง ตำบลสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร

    สาเหตุแห่งการออกบวช
    ความคิดครั้งแรกก่อนแต่งงานท่านคิดว่าชีวิตจะมีความสุขมีความราบรื่น แต่สุดท้ายก็คิดได้ตามหลักสัจจะธรรม ว่าการมีครอบครัวเป็นการทำให้หมดอิสรภาพแทบทุกอย่าง ต้องแบกภาระมากมายจิตใจก็หมกมุ่นอยู่แต่ในเรื่องของฆราวาสวิสัยในกิจการงาน จนไม่มีเวลาเป็นของตนเอง ชีวิตมีแต่ความทรมานเร่าร้อนเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับฆราวาสโดยทั่วไปมากนัก นอกจากผู้มีบุญบารมีเก่าที่เคยสั่งสมมาในอดีตชาติเท่านั้น หลวงปู่ได้ตัดสินใจบอกความประสงค์ของท่านต่อภรรยาว่าท่านปรารถนาจะออกบวช เพราะรู้สึกเบื่อหน่ายต่อการครองเรือนแต่ภรรยาของท่านก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากอยู่ในระหว่างการสร้างเนื้อสร้างตัว และลูกก็เล็กอยู่ หลวงปู่ไม่ละความพยายามเมื่อมีโอกาสก็ขออนุญาตออกบวชอยู่เสมอ จนภรรยาของท่านต้องยินยอมแต่มีข้อแม้ว่าต้องออกบวชเพียง 15 วันเท่านั้น
    การบวชครั้งแรก
    ในปี พ.ศ.2496 ขณะอายุของหลวงปู่ได้ 32 ปี ท่านได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เป็นครั้งแรก ณ พัทธสีมา วัดสร่างโศรก ( วัดศรีธรรมาราม ) ตำบลในเมือง อำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระครูปลัดบุญสิงห์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสังฆ์รักษ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาสาย เป็นอนุสาวนจารย์ ได้รับฉายาว่า พันธุโล หลวงปู่สอ พันธุโล ได้เล่าว่าท่านมีความสุขใจ และมีความพอใจมากที่ได้บวชสมความตั้งใจ ทำให้มีความปลอดโปร่ง เหมือนบุคคลที่เป็นโรคแล้วหายจากโรค เหมือนบุคคลที่ถูกขุมขังแล้วหลุดพ้นจากที่คุม ขังจิตใจมีความสงบเยือกเย็น มองเห็นชีวิตแห่งการบวชเป็นทางที่จะแสวงหาความสุขได้อย่างแท้จริง ในการบวชครั้งนี้ หลวงปู่สอ ท่านพยายามที่จะทำตามกำหนดเวลาของภรรยาคือ บวช 15วัน แต่ในขณะที่บวชอยู่นั้นมีความรู้สึกสบายกายสบายจิต คิดว่าจะบวชให้นานที่สุด และท่านก็ได้ขอผัดผ่อนภรรยาเรื่อยมา สุดท้ายเมื่อครบ 15วัน ท่านก็ไม่ได้สึกตามที่ภรรยากำหนดไว้ จึงทำให้ท่านได้อยู่ในเพศพรหมจรรย์ และปฏิบัติธรรมเพื่อความสงบสันติแห่งใจเรื่อยมาถึง 2 พรรษา ในปี พ.ศ.2496 ซึ่งเป็นพรรษาแรก หลวงปู่สอ ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านหนองแสง ตำบลสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ ( ปัจจุบันอยู่วัดป่าบ้านนาคูณ ) เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้แนะนำ สั่งสอนข้อวัตรปฏิบัติ ตลอดถึงในการอบรมด้านสมาธิภาวนา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความและที่มาอย่างสูงครับ

    www.luangphorjedkasatra.com/content-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A51-4-1520-24660-1

    ล็อคเก็ตหลวงปู่สอ หลังหลวงพ่อเจ็ดกษตัิย์พร้อมรูปถ่าย

    (ปิดรายการ)


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2012
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    พระครูวิบูลอาจารคุณ" หรือ "หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ" อดีตเจ้าอาวาสวัดม่วงเจริญธรรม ต.หัวตะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองอ่างทอง มีชื่อเสียงโด่งดัง วิทยาคมเข้มขลัง ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2522 ที่วัดนางใน (ธัมมิการาม) มีพระครูสุนทรศีลคุณ (หลวงพ่อชม) เจ้าอาวาสวัดนางใน เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2527 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดม่วง พ.ศ.2529 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลหัวตะ พาน พ.ศ.2530 สอบได้นักธรรมชั้นเอก
    หลวงพ่อเกษม มีความชำนาญด้านเทศนาปาฐกถาธรรม พ.ศ. 2534 ดำรงตำแหน่ง พระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2542 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอวิเศษชัยชาญ บั้นปลายชีวิต หลวงพ่อเกษม มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2544 สิริอายุได้ 56 ปี
    นับเนื่องจนถึงปัจจุบัน สังขารหลวงพ่อเกษม ยังไม่เน่าเปื่อยเป็นที่น่าอัศจรรย์ และได้บรรจุไว้ในโลงแก้ว ตั้งให้สาธุชนได้กราบไหว้สักการะ ณ บริเวณวิหารแก้ว วัดม่วงเจริญธรรม กล่าวได้ว่า วัตถุมงคลของหลวงพ่อเกษมทุกรุ่น ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากบรรดาเซียนพระเครื่องและนักสะสมเหรียญเป็นจำนวนมาก

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความและที่มาอย่างสูงครับ

    รูปถ่ายหลวงพ่อเกษม วัดม่วง ยุคต้นๆเลี่ยมเก่า ท่านริเริ่มสร้า้งพระองค์ใหญ่ที่อ่างทอง


    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    เหรียญพระคันธราษฎร์ ๒๐ ปีธนาคารศรีนคร ครูบาอาจารย์สายอีสานร่วมอธิฐานหลายท่าน

    หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่โต๊ะและอีกหลายท่าน เหรียญสภาพสวยเดิมๆ ผิวปีกแมลงทับ

    เหรียญสร้า้งปี ๒๕๑๓ ๔๐ ปีล่วงมาแล้วครับ

    ให้บูชา 500 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,209
    ค่าพลัง:
    +21,324
    [​IMG]

    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่ธีร์ เขมจารี


    วัดมิ่งเมืองพัฒนาราม (วัดภูเวียงวนาราม)
    ต.ภูเวียง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น



    ๏ อัตโนประวัติ

    “พระมงคลวราจารย์” หรือ “หลวงปู่ธีร์ เขมจารี” อดีตเจ้าอาวาสวัดมิ่งเมืองพัฒนาราม (วัดภูเวียงวนาราม) บ้านนาก้านเหลือง ต.ภูเวียง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังทางด้านเครื่องรางของขลัง และวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ ท่านมีนามเดิมว่า ธีร์ คำใสขาว เกิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พุทธศักราช 2453 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 7 ปีจอ ณ บ้านกระจาย ต.น้ำคำ (ต.หนองหมื่นถ่าน ในปัจจุบัน) อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายจันทา และนางบับ คำใสขาว


    ๏ การศึกษาเบื้องต้น

    ในช่วงวัยเยาว์ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนหนังสือไทย ก.ข. ที่โรงเรียนบ้านกอก ต่อมาย้ายกลับมาเรียนที่โรงเรียนบ้านกระจาย อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3


    ๏ การบรรพชาและอุปสมบท

    เมื่ออายุครบ 16 ปี นายธีร์ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ.2469 ณ วัดโพธิ์ศรี บ้านกระจาย อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด โดยมีพระใบฎีกาหล้า เจ้าคณะอำเภอสุวรรณภูมิ เป็นพระอุปัชฌาย์

    ด้วยจิตใจที่ฝักใฝ่ในการศึกษาพระปริยัติธรรม จึงย้ายไปอยู่จำพรรษาที่วัดราศีไศล บ้านฟ้าเลื่อม ต.หน่อม อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด โดยมีครูบาเฒ่าหรือหลวงปู่ญาครูโส ธมฺมปาโล เป็นพระอาจารย์ใหญ่ และพระอาจารย์เมืองกับพระอาจารย์สอน เป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดวิชาความรู้ สวดมนต์น้อย มนต์กลาง มนต์หลวง และมูลกัจจายน์

    กระทั่งอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2472 ณ พัทธสีมาวัดราษีไศล บ้านฟ้าเลื่อม ต.หน่อม อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด โดยมีครูบาเฒ่าหรือหลวงปู่ญาครูโส ธมฺมปาโล เป็นพระอุปัชฌาย์


    ๏ การศึกษาพระปริยัติธรรม

    ภายหลังอุปสมบทแล้ว ท่านได้ขอย้ายไปอยู่จำพรรษาที่วัดบ้านพันขาง ต.บ้านเขวา อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อศึกษามูลกัจจายน์

    พ.ศ.2475 ศึกษาบาลีไวยากรณ์ ที่วัดบ้านเค็งใหญ่ อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี

    พ.ศ.2477 ย้ายไปเรียนนักธรรมบาลี ที่วัดบางกะจะ ต.สำเภาล่ม จ.พระนครศรีอยุธยา

    พ.ศ.2478 ย้ายไปอยู่ที่วัดหงส์รัตนาราม ต.วัดอรุณ อ.บางกอกใหญ่ จ.ธนบุรี

    พ.ศ.2479 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นโท และสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค

    พ.ศ.2481 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก ที่สำนักเรียนวัดศรีนวล อ.เมือง จ.ขอนแก่น


    ๏ มาพำนักจำพรรษาที่วัดโพธิ์ศรี

    อย่างไรก็ตาม เมื่อการศึกษาพระปริยัติธรรมชั้นสูงไม่สำเร็จตามความตั้งใจไว้แต่เดิม ประจวบกับกลับมาเยี่ยม และรักษาพยาบาลโยมบิดา-โยมมารดาบังเกิดเกล้า

    ท่านจึงได้มุ่งความเพียรในการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ได้นำเอาวิชาความรู้แขนงต่างๆ ที่เคยร่ำเรียนออกมาใช้ในทางปฏิบัติ ทั้งการสอน การปกครอง การสาธารณูปการ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทั้งหมดล้วนแต่เป็นงานที่จำเป็นต้องทำและรับผิดชอบมากขึ้น

    พ.ศ.2482 ได้รับมอบหมายจากพระราชสารธรรมมุนี อดีตเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น ให้ไปอยู่ที่วัดโพธิ์ศรี บ้านท่อน ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น เพื่อพัฒนาวัดโพธิ์ศรีให้เจริญรุ่งเรือง

    พ.ศ.2485 ได้รับแต่งตั้งเป็นฐานานุกรมของเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น และเป็นกรรมการตรวจสอบประโยคนักธรรมสนามหลวง


    ๏ งานด้านสาธารณูปการ

    พ.ศ.2482-2490 บูรณะอุโบสถเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมและสร้างใหม่จนแล้วเสร็จ สร้างกุฏิ และเสนาสนะอื่นๆ ที่วัดโพธิ์ศรี บ้านท่อน ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น

    พ.ศ.2494-2500 บูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ชัย อ.ภูเวียง สร้างกุฏิ 5 หลัง โรงเรียนพระปริยัติธรรม ศาลาการเปรียญและปรับปรุงบริเวณวัด

    พ.ศ.2500 หลวงปู่ธีร์ได้มาสร้างวัดแห่งใหม่ในบริเวณป่าไม้ของชุมชนตั้งชื่อว่า วัดภูเวียงวนาราม ต่อมา พ.ศ.2505 ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า วัดมิ่งเมืองพัฒนาราม จนถึงปัจจุบัน

    พ.ศ.2520 ได้รับการยกเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างจากกรมการศาสนา ได้พัฒนาวัดสร้างถาวรวัตถุ กุฏิ อุโบสถ ศาลาการเปรียญ อาคารเรียน กำแพงวัด และพิพิธภัณฑสถาน ตามลำดับ


    ๏ ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์

    พ.ศ.2482-2491 เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรี บ้านท่อน อ.เมืองขอนแก่น

    พ.ศ.2491-2493 เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง บ้านกงกลาง อ.หนองเรือ

    พ.ศ.2492 เป็นเจ้าคณะตำบลโนนทันเขต 2

    พ.ศ.2494 เป็นพระอุปัชฌาย์ และเจ้าคณะอำเภอภูเวียง

    พ.ศ.2500 เป็นเจ้าอาวาสวัดมิ่งเมืองพัฒนาราม จนถึงปัจจุบัน

    พ.ศ.2540 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอภูเวียง


    ๏ ลำดับสมณศักดิ์

    พ.ศ.2485 ได้รับแต่งตั้งพระฐานานุกรมของพระราชสารมุนี อดีตเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น

    พ.ศ.2495 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท

    พ.ศ.2505 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก

    พ.ศ.2512 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ

    พ.ศ.2544 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระมงคลวราจารย์”


    ๏ การสร้างพระเครื่องวัตถุมงคล

    พระเครื่องวัตถุมงคลของหลวงปู่ธีร์เป็นที่โด่งดัง ท่านได้สร้างตะกรุด นั่งแผ่เมตตาโดยการเขียนลงยันต์ ตะกรุด ในแผ่นทอง ผ้า แผ่นหินหรือกระเบื้อง รวมทั้งการฟั่นปลุกเสกด้ายสายสิญจน์เพื่อผูกแขนและคอ เด็กผู้ใหญ่ทั้งหญิงและชายทุกวัย หรือนำไปติดเสาติดฝาเรือนชาน ร้านค้า รถยนต์พาหนะ หรือฝังไว้ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อป้องกันอาถรรพ์ภูตผีปีศาจ ขณะเดียวกัน หลวงปู่ยังเสกน้ำพระพุทธมนต์มอบให้ผู้เจ็บป่วยเป็นไข้ที่มาพึ่ง บารมีธรรมได้นำไปดื่มกินหรืออาบ เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ

    ในยามว่างของหลวงปู่ธีร์ ท่านมักจะทุ่มเทชีวิตจิตใจทั้งชีวิตในการสะสมพระเครื่อง ทั้งพระรุ่นเก่า พระใหม่ พระบูชา พระพุทธรูปปางต่างๆ โดยจะนั่งพินิจพิเคราะห์และเก็บสะสมไว้จนนับไม่ถ้วน รวมไปถึงของเก่าของโบราณวัตถุต่างๆ มากมาย ที่เป็นมรดกอารยธรรมภูเวียง อาทิ ระฆัง ฆ้อง หม้อ จาน ถ้วย โถ โอ ชาม ขันหมาก ถาด ไหดิน หิน เงินทอง สำริด จนต้องมีการสร้างเก็บไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ในที่สุด

    หลวงปู่ธีร์ได้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างอันดีงามแก่บรรดาคณะสงฆ์ และคณะศิษยานุศิษย์ ดังเช่น การตื่นเวลาตี 4 ทำวัตรภาวนาสาธยายพุทธมนต์ แผ่เมตตาเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ตี 5 ตีสัญญาณระฆัง ทำวัตรร่วมกับพระภิกษุ-สามเณร ก่อนออกรับบิณฑบาต ดังนี้แล

    [​IMG]
    หลวงปู่ธีร์ เขมจารี


    ๏ การมรณภาพ

    หลวงปู่ธีร์ เขมจารี ได้ละสังขารด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา 24.00 น. ของวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2549 ณ โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น หลังเข้ารับการรักษาอาการโรคปอดติดเชื้อ มาตั้งแต่ช่วงกลางปี พ.ศ.2549 วงการสงฆ์ต้องสูญเสียพระเถระรูปสำคัญผู้บำเพ็ญคุณูปการต่อชาวเมืองขอนแก่นมา อย่างยาวนาน ด้วยความอุตสาหวิริยะ เหลือทิ้งไว้แต่ผลงานอันทรงคุณค่าที่อุทิศให้แด่พระพุทธศาสนา เป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำไว้เบื้องหลัง

    ทั้งนี้ ทางวัดและคณะศิษยานุศิษย์ได้จัดงานบำเพ็ญกุศล ณ ศาลาการเปรียญวัดมิ่งเมืองพัฒนา อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น และตั้งศพให้ญาติโยมทั่วไปได้กราบไหว้ พร้อมทั้งสวดพระอภิธรรมศพ จนครบ 100 วัน ก่อนทำพิธีพระราชทานเพลิงศพต่อไป ทุกวันนี้แม้สังขารหลวงปู่ธีร์จะดับสูญ แต่คุณงามความดียังคงปรากฏไพศาล



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 1 คอลัมน์ มงคลข่าวสด
    วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5869


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความและที่มาอย่างสูงครับ


    แหนบหลวงปู่ธีร์

    ให้บูชาคู่กัน 400 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...