จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    สมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัย จะเสด็จมาหลังกึ่งพุทธกาล มิใช่ ๕,๐๐๐ ปี

    ต้องขอขอบพระคุณ ท่าน “พลน้อย”
    พระไตรปิฏกกัณฐ์ที่ ๓/๒๐ พระศรีอารย์ คือพระจักรพรรดิกึ่งพระศาสนานี้ น่าจะเป็น ยุคศิวิไล ที่จะถึงนี้


    ใบลาน : พระศรีอารย์เทศนา ๒๐กัณฐ์
    โดย : ธวัช เฟื่องประภัสสร์ ป.๙ สำนักวัดเบญจมบพิตร
    ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา : นายรวล รุ่งเรืองธรรม พ.ศ.๒๔๙๘ (สงวนลิขสิทธิ์)
    สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์อักษรเจริญทัศน์
    ๑๙๕ เสาชิงช้า ถ.บำรุงเมือง พระนคร กรุงเทพฯ
    พระศรีอารย์กัณฐ์ที่๓
    มิตตกถา การคบเพื่อน
    สตฺโถ ปสวโต มิตฺตํ มาตา มิตฺตํ สเก ฆเร
    สหาโย อตฺถชาตสฺส โหติ มิตฺตํ ปุนปฺปุนํ
    สยํ กตานิ ปุญฺญานิ ตํ มิตฺตํ สมฺปรายิกนฺติ
    บัด นี้ จะแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องพระศรีอารย์ ต่อจากกัณฐ์ก่อน เพื่อเป็นเครื่องเจริญศรัทธาประดับปัญญาแห่งท่านทั้งหลาย ก็การที่ท่านมาประชุมกันฟังธรรมในวันนี้ ก็ได้ชื่อว่าได้กระทำคุณงามความดีหรือที่เรียกว่าบุญกุศล อันนับว่าเป็นเพื่อนที่ดี สามารถติดตามท่านไปในภพหน้า
    ธรรมดา คนเราจะอยู่แต่โดยลำพังในโลกไม่ได้ เพราะต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นอันว่า จะต้องช่วยกันทำการงาน ซึ่งคนๆเดียวไม่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ หรืองานบางอย่างต้องอาศัยกำลังคนหลายคนช่วยกันทำ เช่นการปลูกบ้านสร้างเรือนเป็นต้น ต้องอาศัยความช่วยเหลือของคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง จึงจะสำเร็จได้ (จบตอน ๑)



    อนึ่ง ตามธรรมดาของคน ย่อมมีการขาดตกบกพร่องด้วยวัสดุสิ่งของเครื่องใช้ ในบางครั้งบางคราวต้องมีการหยิบยืมกันใช้สอย หรือบางคราวก็บกพร่องด้วยสติปัญญาวิชาความรู้ ซึ่งอาจจะทำงานพลั้งพลาดบ้างในบางกาลบางขณะ ต้องอาศัยผู้อื่นคอยเตือนสติบ้าง เหตุเหล่านี้แล เป็นปัจจัยให้คนทั้งหลายต้องคบหาสมาคม เอื้อเฟื้อเจือจาน ผูกไมตรีจิตในกันและกัน เพื่อได้อาศัยกันในคราวที่ต้องการ



    แต่ บุคคลทุกๆคนย่อมมีอัธยาศัยและนิสสัยใจคอแตกต่างกัน มีความคิดและปัญญาความประพฤติไม่เหมือนกัน บางคนก็มีใจหนักแน่นอดทน บางคนก็โกรธง่าย แต่คงแบ่งได้สั้นๆเป็น๒ประเภท คือ ที่เป็นพาลสันดานชั่วร้ายที่เรียกว่า “ปาปชน”ประเภทหนึ่ง เป็นคนดีมีสันดานสงบเรียบร้อย ประพฤติกาย วาจา ใจ ตามทำนองคลองธรรม ที่เรียกว่า “กัลยาณชน”ประเภทหนึ่ง


    ก็ แหละ การคบหาสมาคมซึ่งกันและกันนั้น ย่อมเป็นปัจจัยให้นิสสัยสืบเนื่องติดต่อกันได้ ถ้าคบคนชั่ว ย่อมมีคนชั่วเป็นคติ ดังนัยเทศนาว่า ยํ เว สวติ ตาทิโส คบคนเช่นไรย่อมเป็นเหมือนคนนั้น ดังนี้ การคบคนชั่วย่อมเป็นมลทิน พาตัวให้มัวหมอง ปราศจากประโยชน์ที่จะพึงได้พึงถึง มักจะชักชวนในสิ่งที่ผิด ประกอบการทุจริตต่างๆ หรือแม้ไม่ถึงเช่นนั้น อันบุคคลผู้สมาคมหรือดำเนินตามรอยคนพาล ย่อมได้รับการครหานินทา เช่นว่า เราจะไม่เป็นคนเสพสุรายาเมาเป็นความจริง แต่ไปเดินตามคนเสพสุรายาเมาเข้า ย่อมมีอาการให้มหาชนลงสันนิษฐานว่า เราเป็นคนเช่นนั้นด้วย ยากที่จะพิสูจน์ตัวให้บริสุทธิ์ได้ ท่านจึงมีอุปมาไว้ว่า เหมือนด้วยใบไม้ที่ห่อของเน่า มีปลาร้าเป็นต้น แม้จะไม่ติดเปื้อนเปรอะก็คงมีกลิ่นเหม็นติดอยู่ เพราะฉะนั้น บุคคลจึงไม่ควรคบหาคนพาล ดังคำว่า อเสวนา จ พาลานํ ความไม่คบหาซึ่งคนพาลเป็นมงคลอันสูงสุด ดังนี้ (จบตอน ๒)



    ส่วน การคบหาสมาคมกับด้วยกัลยาณชนคนดี มีความประพฤติสงบเสงี่ยมเรียบร้อยนั้นย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ เพราะบุคคลผู้เป็นสัตบุรุษเช่นนั้น อาจสามารถจะแนะนำสั่งสอนชักชวนให้ปฏิบัติดำเนินไปในปฏิปทาอันเป็นทางมาแห่ง ความดีความชอบเป็นลำดับไป หรือว่าบางคาบบางสมัย เราจะพลั้งเผลอปราศจากสติ ทำความชั่วอย่างใดอย่างหนึ่ง สัตบุรุษนั้นอาจตักเตือนให้รู้สึกและละเว้นเสีย กลับดำเนินในทางที่ถูกได้ โดยที่สุดแม้จะทำดีให้เสมอเหมือนเขาไม่ได้ ก็ยังได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นผู้คบสัตบุรุษ ซึ่งท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนใบไม้หรือกระดาษที่ห่อกฤษณาหรือกะลำพัก แม้จะไม่มีเนื้อไม้ของหอมติดมาเลย ก็คงมีกลิ่นหอมติดมาบ้าง เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะเลือกคบหาสมาคมด้วยธีรชนบัณฑิตชาติ แม้นักปรารชญ์ก็สรรเสริญไว้ว่า ความคบหาสมาคมซึ่งบัณฑิต เป็นอุดมมงคลอีกประการหนึ่ง



    อนึ่ง คำว่ามิตรและสหายเป็นคำมาคู่กัน แต่ท่านมุ่งอัตถะต่างกัน กล่าวโดยสาธารณนัย ชนผู้ประพฤติร่วมกัน เช่นทำหน้าที่การงานและอยู่ร่วมกัน ไม่ถึงแก่การรักใคร่กัน ท่านเรียกว่าสหายบ้าง อมาตย์บ้าง ชนผู้รักใคร่สนิทสนม ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน จะอยู่ร่วมกันหรือไม่ก็ตาม ท่านเรียกว่ามิตร


    มิตรมีหลายประเภท ที่เป็นภายในก็มี ภายนอกก็มี ดังพระพุทธภาษิตคาถา ซึ่งยกไว้ ณ เบื้องต้นว่า
    สตฺโถ ปสวโต มิตฺตํ มาตา มิตฺตํ สเก ฆเร
    สหาโย อตฺถชาตสฺส โหติ มิตฺตํ ปุนปฺปุนํ
    สยํ กตานิ ปุญฺญานิ ตํ มิตฺตํ สมฺปรายิกนฺติ
    ความ ว่า หมู่เกวียนเป็นมิตรของคนเดินทาง มารดาเป็นมิตรในเรือนของตน สหายเป็นมิตรของคนมีธุระเกิดขึ้นเนืองๆ บุญทั้งหลายที่ทำไว้แล้วด้วยตนเป็นมิตรติดเนื่องในภพเบื้องหน้า ดังนี้ (จบตอน ๓)



    คน ผู้เดินทางเมื่อขาดมิตรย่อมรู้สึกอ้างว้างเปลี่ยวใจ เมื่อได้พบหมู่เกวียนในระหว่างทางย่อมยินดี หรือผู้เดินทางไกลจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหมดกำลัง เมื่อได้นั่งเกวียนบรรเทาความกรากกรำและทำให้ปลอดภัยอันตราย ก็จัดได้ว่าหมู่เกวียนเป็นมิตร เพราะยังประโยชน์กิจให้สำเร็จได้


    บรรดา อันโตชนผู้ร่วมกิจการอันสนิท ท่านยกเอามารดาเป็นมิตรอย่างสำคัญ เมื่อมารดาอยู่ด้วย ช่วยทำกิจตามส่วนที่ควรจัดทำ ทั้งเป็นผู้อุปถัมภ์บุตรธิดาในกรณียทุกอย่าง เหตุนั้น ท่านจึงขนานนามมารดาว่าเป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ และเป็นอาหุเนยยบุคคล แต่มิตรประเภทนี้ มีกำลังช่วยเหลือเพียงภายใน



    ชน ผู้เป็นเพื่อนร่วมการงาน ท่านเรียกเพียงสหาย ต่อเป็นผู้มีเมตตาสนิทสนมไว้วางใจกันได้ ในสมัยที่มีธุระเกิดขึ้นก็ช่วยขวนขวายในกิจนั้นๆจนสำเร็จลุล่วงไปอย่างนี้ จึงสมควรเรียกว่ามิตร แต่ก็เป็นมิตรภายนอก



    บุญ ทั้งส่วนเหตุและส่วนผลอันสำเร็จด้วยทาน ศีล ภาวนา ที่บุคคลบำเพ็ญอยู่แล้ว ย่อมติดตามไปเป็นอุปถัมภกปัจจัย ให้ได้รับความสำราญชื่นบานในสุคติภพยิ่งๆขึ้นไป จัดเป็นมิตรภายในที่ให้ผลยั่งยืนถึงภายหน้า (จบตอน ๓)



    บรรดา มิตรเหล่านั้น มิตรภายนอกทั่วไปอาจเป็นมิตรได้ทั้งชั่วและดี เพราะยังขึ้นอยู่แก่คน ถ้ามิตรชั่วก็เรียกว่าปาปมิตร ถ้ามิตรดีก็เรียกว่ากัลยาณมิตร ความเป็นผู้มีปาปมิตรย่อมเป็นไปเพื่อความเสียหายอย่างใหญ่ ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตรย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างมหันต์ เหตุนั้น บัณฑิตท่านจึงสอนไว้ให้เว้นมิตรชั่วเสียให้ห่างไกล เหมือนคนเดินทางเว้นทางที่มีภัยอันตราย และพึงเข้าหามิตรดี เหมือนมารดาไม่ทิ้งบุตร ฉะนั้น


    ก็ แหละ บุคคลแม้จะได้กัลยาณมิตรแล้วก็ตาม แต่ถ้ามีจิตปฏิพัทธ์ มุ่งมั่นอนุเคราะห์จนเกินไป กล่าวคือพะวงแต่ในกิจธุระของมิตรสหายส่วนเดียว ไม่แลเหลียวถึงการจะบำเพ็ญประโยชน์ตน ก็เป็นผลทำตนให้เสื่อมจากคุณที่จะพึงได้พึงถึง มิหนำ ถ้ามุ่งอนุเคราะห์มิตรสหายในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก็อาจยังประโยชน์ส่วนน้อยและประโยชน์ส่วนรวมให้เสียได้ อันเป็นภัยแก่ส่วนย่อยและส่วนรวม เพราะฉะนั้น ทางที่ดีจึงสมควรที่บุคคลจะพึงทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งแก่ตน และทั้งแก่คนเป็นมิตรสหายตลอดถึงส่วนรวมร่วมกันไป จึงจะเป็นความดีงามในข้อนี้ ทั้งนี้ ก็เพราะเห็นในสันถวไมตรีนั้นว่าเป็นภัย จึงไม่มุ่งแต่จะสงเคราะห์มิตรสหายโดยฆ่าประโยชน์เสีย


    ก็แหละ คำที่ว่า ยังประโยชน์ให้เสื่อมนั้น ท่านหมายถึงประโยชน์ทั้ง๓ คือ
    ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในปัจจุบัน๑ สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในภายหน้า๑ และปรมัตถประโยชน์ คือประโยชน์อย่างยิ่ง๑ (จบตอน ๔)


    ทิฏฐธัม มิกัตถประโยชน์นั้น อันผู้ศึกษาพึงทราบว่าท่านไม่ได้หมายเอาธรรม๔ประการ มีอุฏฐานสัมปทาเป็นต้น ว่าเป็นตัวประโยชน์ แท้จริงธรรม๔ประการนั้น เป็นปฏิปทาทางดำเนินให้บรรลุทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ต่างหาก เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อะไรเล่าเป็นตัวทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์
    ทิฏฐธัม มิกัตถประโยชน์นั้น ได้แก่ทรัพย์ ยศ ไมตรีซึ่งเป็นอิฏฐผล อันสามัญชนพึงปรารถนา ชนใดทำตนให้ได้บรรลุผลเหล่านี้ครบทั้ง๓เช่นนั้น จัดว่าตั้งตนได้ และได้ชื่อว่า ยึดไว้ได้ซึ่งทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ก็บุคคลที่จะได้บรรลุผลเช่นนั้น ต้องประกอบด้วยธรรม๔ประการ มีอุฏฐานสัมปทาเป็นต้น
    ส่วน สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในภายหน้านั้นได้แก่สมบัติ๒ประการ คือ มนุษย์สมบัติ๑ สวรรค์สมบัติ๑ สมบัติทั้ง๒ประการนี้ อันบุคคลจะพึงถึงก็เพราะประกอบด้วยธรรม๔ประการ มีสัทธาสัมปทาเป็นต้น

    ปรมัต ถประโยชน์ ประโยชน์อย่างยิ่งคือนิพพานสมบัติ ข้อปฏิบัติอันจะพึงเป็นไปเพื่อปรมัตถประโยชน์คือวิมุติมรรคผล สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้เป็นอเนกประการ มีนัยวิจิตรพิสดารต่างๆ แต่เมื่อจะย่นลงกล่าวแล้ว ได้แก่ข้อปฏิบัติ๓ประการคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    ข้อ ที่ยกเอาวิมติ ความหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงเป็นปรมัตถประโยชน์นั้น เพราะวิมุติเป็นคุณที่สุดแห่งพรหมจรรย์ จึงนับว่าเป็นประโยชน์อย่างสูง บุคคลหวังต่อประโยชน์คือวิมุตินั้น ต้องชำระกิเลสอย่างหยาบ ด้วยการศึกษาปฏิบัติในกองศีล, ต้องชำระกิเลสอย่างกลาง ด้วยการศึกษาปฏิบัติในกองสมาธิ, ต้องชำระกิเลสอย่างละเอียดที่เป็นอนุสัยเสีย ด้วยการศึกษาปฏิบัติในกองปัญญา
    เมื่อ ชำระจิตของตนให้ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง เช่นนั้นแล้ว ย่อมมีจิตผ่องใสไม่ขุ่นมัว ดุจน้ำอันใสสะอาดปราศจากมลทินฉะนั้น เมื่อปฏิบัติและหยั่งทราบชัดลงเช่นนั้น จิตย่อมหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เป็นสมุจเฉทประหาร บรรลุมรรคผลนิพพาน อันเป็นเอกันตบรมสุข โดยเหตุนี้ สีล สมาธิ ปัญญา จึงนับว่าเป็นข้อปฏิบัติส่วนปรมัตถปฏิปทา ด้วยประการฉะนี้. (จบตอน ๕)

    บัด นี้จะได้แสดงเรื่องพระศรีอารย์สืบต่อไป ดำเนินความว่า เมื่อมหายักษ์ได้สมาทานศีลอยู่ตราบเท่าอายุขัยแล้วก็กระทำกาลกิริยา ตายไปบังเกิดเป็นบุรุษคนหนึ่ง มีกำลังร่างกายแข็งแรง อาศัยอยู่ ณ เชิงเขาแห่งหนึ่ง หาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกผักพืชพรรณต่างๆ เขาที่บุรุษอาศัยอยู่นั้นก็เป็นเขาลูกเดียวกันกับเขาที่สมเด็จพระพุทธองค์ เคยเสด็จไปสรงน้ำ และได้ทรงตากผ้าชุบสรงไว้ และได้มีฝูงลิงพากันมาถ่ายมูตรคูถ ทำให้เปรอะเปื้อนนั่นเอง
    อเถ ก ทิวสํ อยู่มากาละวันหนึ่ง บุรุษอริยเมตไตรยนั้นได้ออกมาตรวจตราดูไร่แตงโมของตนซึ่งกำลังมีผลดกอยู่ เต็มไร่ ขณะที่ออกมายืนดูอยู่นั้นก็ได้เห็นฝูงลิงพากันมาลักแตงโมกินเป็นอาหาร บุรุษหนุ่มจึงวิ่งไล่กวดฝูงลิงเพื่อให้หนีไป
    บังเอิญ วันนั้น สมเด็จพระบรมศาสดามาถึงไร่แตงโมของบุรุษอริยเมตไตรย ประทับยืนอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง บุรุษหนุ่มได้วิ่งไล่ลิงไปถึงสถานที่ที่พระพุทธองค์ประทับยืนอยู่นั้น และได้เหยียบเอาพระฉายา เงาขององค์พระบรมศาสดาโดยมิทันได้สังเกต
    ครั้น บุรุษหนุ่มเหลียวไปเห็นพระพุทธองค์ก็เกิดมีความเลื่อมใสเป็นกำลัง ตรงเข้าไปถวายอภิวาทแล้วจึงนำแตงโมจากไร่ของตน๗ผลด้วยกัน น้อมนำเข้าไปถวายพระองค์ แต่ว่าแตงโมผลหนึ่งนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะมีรอยหนูเจาะกัดกินเสียก่อน
    เมื่อ พระพุทธเจ้าทรงรับผลแตงโมจากบุรุษหนุ่มอริยเมตไตรยแล้ว จึงได้ตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนบุรุษ กุศลผลทานที่ท่านได้นำเอาแตงโม๗ผลมาถวายแก่ตถาคตนี้ จะเป็นปัจจัยให้ท่านได้บังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชอันประเสริฐในระหว่าง กลางแห่งศาสนาของตถาคต และท่านจะได้ช่วยยกย่องศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไป ก็แต่ว่า ผลกรรมที่ท่านได้เหยียบเงาของตถาคตนั้นก็ดี ผลกรรมที่ท่านนำแตงโมไม่บริสุทธิ์ มีรอยหนูเจาะมาถวายตถาคตนั้นก็ดี ผลกรรมนั้นจะส่งให้ท่านบังเกิดเป็นมนุษย์มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ที่ศีรษะของท่านจะมีรอยแผลเป็น ดุจรอยหนูเจาะแตงโม ครั้นต่อมา ท่านจึงจะกลับมีผิวพรรณผ่องใส มีร่างกายงามผุดผ่องดุจสีทอง
    เมื่อ พระพุทธองค์ได้ตรัสพยากรณ์จบลงแล้ว ฝ่ายบุรุษหนุ่มศรีอริยเมตไตรยก็ได้สมาทานศีล อำนวนทานจนตราบเท่าอายุขัย ครั้นสิ้นชีพแล้วก็ได้ไปบังเกิดเป็นโอรสของพระราชา มีพระนามว่า “อชิตกุมาร” เมื่อ เจริญวัยก็ได้เล่าเรียนศิลปวิทยา แล้วได้ออกบรรพชาในสำนักของพระพุทธเจ้า ได้เรียนพระไตรปิฎกจนแตกฉานเชี่ยวชาญ และได้บำเพ็ญสมณธรรมอยู่จนตราบเท่าอายุขัย เมื่อแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ได้จุติไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเทวพิภพ
    ใน คัมภีร์อนาคตวงศ์ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อใกล้ศาสนาของพระบรมศาสดาของเราจะเสื่อมโทรม พระศรีอารย์บรมโพธิสัตว์จะได้จุติจากสวรรค์ลงมาเสวยพระชาติเป็นสมเด็จพระ จักรพรรดิ ช่วยยกย่องพระศาสนาให้รุ่งเรืองสืบต่อไป (จบตอน ๖)


    ใน พระคัมภีร์ได้กล่าวต่อไปว่า ในกาลเมื่อพระศรีอารย์จะได้จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดเป็นสมเด็จพระเจ้า จักรพรรดิราชนั้น ท้าวเธอจะมาประทับอยู่ในปราสาทราชวังอันใหญ่โต ณ ปราสาทที่ท้าวเธอประทับอยู่นั้น จะมีเทวดา๕หมื่นองค์มาคอยพิทักษ์รักษา นอกจากพวกเทวดาแล้ว ยังมียักษ์อีก๕หมื่นตน พร้อมทั้งพระยานาคและพระยาครุฑ รวมทั้งบริวารอีกมากมาย ต่างก็จะพากันมาเฝ้าปราสาท
    พระราชวัง ของพระศรีอารย์นั้น จะมีประตู๘๐ประตู แต่ละประตูจะมีฝูงเทพยดาและยักษ์คอยเฝ้าอยู่ทุกๆประตู ประชาชนที่จะผ่านเข้าประตูพระราชวังของท้าวเธอได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ประพฤติแต่การสุจริต ส่วนผู้ที่ประพฤติทุจริตจะไม่สามารถผ่านเข้าไปภายในได้
    ใน บริเวณปราสาทนั้นเล่า ก็จะสว่างไสวไปด้วยดวงประทีป รุ่งเรืองด้วยแสงแก้ว๙ประการ กลางคืนกับกลางวันนั้นก็จะแลดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต่างกันแต่ว่าตอนกลางวันสว่างด้วยแสงอาทิตย์ ส่วนกลางคืนจะสว่างด้วยแสงจันทร์และแสงแก้วมณี เป็นที่น่าดูน่าชมยิ่งนัก
    เมื่อ พระศรีอารย์บรมโพธิสัตว์ประทับอยู่ในพระราชวังนั้น จะมีเทพบุตรนำเอาผลไม้ทิพย์มีรสอันโอชานำมาถวายพระองค์ ผลไม้นี้ ถ้าใครได้บริโภคแล้ว คนแก่ก็จะกลายเป็นหนุ่ม มีกำลังแข็งแรง แม้มีอายุมากแล้วก็จะดูประดุจมีอายุเพียง๒๐ปี และจะมีพระมหาเถระ๒๔รูป เดินทางมาจากทิศต่างๆ เพื่อเฝ้าถวายพรแด่สมเด็จพระศรีอารย์บรมจักรพรรดิ ท้าวเธอจะได้นำผลไม้ทิพย์ที่เทวดานำมาถวายพระองค์นั้น น้อมนำไปถวายแก่พระมหาเถระผู้เฒ่าที่มาเฝ้าพระองค์ พระเถระเหล่านั้น เมื่อฉันผลไม้แล้วก็จะรู้สึกง่วงนอนและนอนหลับไป ครั้นตื่นขึ้นก็จะรู้สึกว่าร่างกายของตนกลับแข็งแรงและมีผิวพรรณผุดผ่อง ประหนึ่งว่าเป็นพระภิกษุเมื่อแรกอุปสมบทได้เพียง๑พรรษาเท่านั้น เมื่อพระศรีอารย์นำผลไม้ถวายพระเถระแล้ว ก็จะได้นำเมล็ดผลไม้นั้นไปปลูกไว้ ณ ที่ดินริมปราสาท แล้วก็จะทรงรดน้ำที่เมล็ดนั้น
    ตสฺ มิ ง ขเณ ในขณะนั้น เมล็ดผลไม้ทิพย์นั้นก็จะงอกงามเจริญขึ้น แตกกิ่งก้านสาขา ออกดอกออกช่อ และผลเต็มไปทั้งต้น ฝูงประชาชนทั้งหลาย ก็จะพากันมาจากทิศต่างๆ แล้วเก็บผลไม้นั้นบริโภค คนแก่ก็จะกลับกลายเป็นคนหนุ่ม ผู้ที่มีผิวพรรณไม่งดงาม ก็จะกลับมีผิวพรรณงดงามผ่องใส คนที่เป็นโรคต่างๆหรือร่างกายอ่อนแอ ก็จะหายจากโรค กลับมีร่างกายแข็งแรง


    รอบปราสาทของพระองค์ จะมีต้นกัลปพฤกษ์ ๑,๖๐๐๐ ต้น อาณาเขตของปราสาทนั้นจะกว้างขวางหลายโยชน์ จะเป็นที่อยู่ของประชาชนพลเมือง ซึ่งล้วนแต่มีจิตใจเป็นกุศลทั้งหมด บ้านเมืองจะร่มเย็นเป็นสุขด้วยประการฉะนี้

    แนบพระไตรปิฏกกัณฐ์ที่ ๓/๒๐ พระศรีอารย์ ของจริงมาให้ดูด้วยครับ
    Last edited by Chang_oncb; 09-04-2012 at 06:29 AM.
     
  2. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    พระไตรปิฏกกัณฐ์ที่ ๓/๒๐ :พระศรีอารย์

    [​IMG] [​IMG]
     
  3. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
    ขอบคุณมาก เป็นครั้งแรกที่เจอคนยกพระไตรปิฎกแล้วไม่แถมกิเลส (โทสะ,โมหะ) ทุ่มใส่มาด้วย หลักฐานแน่นหนามาก

    รู้สึกได้กลิ่นทะแม่ง ๆ ขึ้นมาตงิด ๆ คงไม่ใช่คนที่คิดไว้หรอกมั้ง ? เหอ เหอ
     
  4. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    [​IMG]

    ปริศนาธรรมให้ขบคิด ทำไม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ จึงได้สร้างสมเด็จพระศรีอาริยะเมตตรัย และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมในคราวเดียวกัน เป็นเหรียญของขวัญวันคล้ายวันเกิดปีสุดท้าย ๒๕๓๕ แจกเป็นของขวัญผู้มาถวายสังฆทานที่ซอยสายลม ก่อนที่ท่านจะละสังขารในปีเดียวกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  5. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    [​IMG] วัดพระธาตุวาโย[​IMG] วัดท่าซุง[​IMG]
     
  6. imdee

    imdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +141
    อนุโมทนากับคุณภูทยานญาณ 2 คะ
    เห็นด้วยกับความคิดเห็น เมื่อก่อนดิฉันก็รู้สึกกลัวกับภัยพิบัติ แต่ตั้งแต่ฝากจิตไว้กับพระบรมธรรมบิดาและสมเด็จองค์ปฐม ก็มีกำลังใจและเพียรปฏิบัติอยู่ และเชื่อมั่นว่าถ้าเราเป็นคนดีจริงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมช่วยเหลือ และถ้าเราทำบุญมาไม่ถึงก็ยอมรับผลแห่งกรรมที่เราทำมา
     
  7. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    [​IMG] หน้าปก[​IMG]

    หนังสือฉบับนี้ กล่าวไว้ความว่า พระศรีอารยเมตไตรย จะเปิดเผยพระองค์ เพื่อปลอบประโลมสร้างขวัญกำลังใจให้กับมวลมนุษยชาติ หมายความว่า ณ บัดนี้ ท่านได้เสด็จมาแล้วแต่ยังไม่เปิดเผยพระองค์ รอให้มนุษยชาติ ได้เห็นภัยพิบัติถูกคัดเลือกให้เหลือเฉพาะผู้มีบุญ ผู้ที่ยังพอจะสอนธรรมะได้ และเกิดความศรัทธาในบุญ และกุศลอย่างแท้จริงเสียก่อน จึงจะเปิดเผยตัว ถ้าหากไม่พบกับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานแล้ว ศรัทธาจะไม่เกิด
     
  8. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    คำทำนาย : พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    คำทำนายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ถูกกล่าวอ้างเป็นคำกลอน โดยมีใจความดังนี้ ....

    คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
    ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
    พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร

    ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
    ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
    ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
    จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

    จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
    คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
    ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
    เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

    ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
    ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
    พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
    เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

    แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
    เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
    ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
    ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

    ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
    คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง
    จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
    ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

    ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
    จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
    คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
    ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ
     
  9. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    [​IMG]

    ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
    จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
    คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
    ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ

    คำทำนาย ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่อนสุดท้ายก็ได้มีการกล่าวถึง ศิวิไลซ์ หรือชาววิไลซ์ ของหลวงปู่โต พรหมรังสี กล่าวเอาไว้ชัดเจนเลยว่า เป็นยุคของชาววิไลซ์ หรือยุคของพระศรีอาริยเมตตรัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2012
  10. Santajitto

    Santajitto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +455
    จะกลัวไปใยกับภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึง โลกมันก็เป็นของมันแบบนี้มาไม่รู้จักกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว หัดเอามันมาชั่งกิโลมั่งก็ดีน่ะ "ช่างมัน" หัดปล่อยวางมันซะบ้าง ทุกอย่างมันก็เป็นวัฎจักรของมัน มนุษย์ทำร้ายธรรมชาติ ทำร้ายโลกมามากมายเหลือคณานับแล้ว ถึงเวลาที่โลกหรือธรรมชาติเอาคืนบ้าง ก็ยุติธรรมดี ส่วนมนุษย์ที่คิดว่าตนเองจะลำบาก การอยู่การกินลำบาก ซึ่งก็คงจะเป็นเช่นนั้น ก็คงต้องเริ่มต้น เปลี่ยนวิถีชีวิตและเปลี่ยนแปลงความคิดกันบ้าง ซึ่งก็ไม่มีอะไรยากมากมาย แค่ลดความเห็นแกตัวให้น้อยลง หัดกินง่าย อยู่ง่าย สวดมนต์ไหว้พระให้มากหน่อย ปฎิบัติสมาธิภาวนาบ้างยิ่งดี อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้มากๆเข้าไว้ (อันนี้เอาไว้เป็นเสบียงในภายหน้า) อย่าไปยึดติดกับชีวิตให้มากนัก เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา ส่วนใครที่พอมีกำลังก็เตรียมการป้องกัน หรือเตรียมตัวรับมือก็ว่ากันไป ส่วนคนที่ไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอ ก็เตรียมเท่าที่เตรียมได้ แต่ส่วนสำคัญที่ทุกคนต้องเตรียมก็คือ กำลังใจ(จิต) ต้องไม่ตก อะไรจะเกิดก็ต้องทำจิตทำใจ รับมือกับมันให้ๆได้ (ส่วนตัวผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า คนที่เข้ามาในเว็บซ์นี้ 90% เป็นคนมีศีล มีธรรม เมื่อคนมีศีลมีธรรม ศีล ธรรมก็จะรักษาผู้นั้น ให้ไปดี ไม่ตายโหง ตายห่าแน่นอน ) ดังนั้นเราอย่าเพิ่งตื่นตูมกันจนเกินไป มีสติให้มากเข้าไว้ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี .... สวัสดีครับ พี่น้องเว็บซ์พลังจิต
     
  11. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    <TABLE id=post6004639 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ภูทยานฌาน2<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6004639", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Mar 2012
    ข้อความ: 135
    พลังการให้คะแนน: 36 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_6004639 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->
    [​IMG]

    มีเรื่องเบาๆ มาเล่าสู่กันฟัง​


    เรื่อง ข้าพเจ้าอยากเป็นคนดี

    ที่เมื่อก่อนข้าพเจ้า นับตั้งแต่จำความได้ จิตของข้พเจ้าชอบที่จะไหลไปตามกระแสโลก
    เพราะมันดูท้าทายกับเราดี
    เพราะเป็นคนที่มีความมั่นใจตนเองสูง เชื่อตนเองกว่าคนอื่น หรือสิ่งใด
    แม้นกระทั่งคุณพ่อ คุณแม่ของตนเองก็ตาม

    เมื่อก่อนนั้นผมก็ทำแบบคนที่ส่วนใหญ่ที่กำลังทำกันอยู่นี้แหล่ะ!!!
    คือ...
    ไม่ค่อยทำบุญ ทำทาน
    ไม่ฟังเทศน์ ฟังธรรม
    ไม่สวดมนต์ ไหว้พระ
    ไม่รักษาศีล
    ไม่ทำภาวนา หรือทำสมาธิ
    ไม่สนใจจิตตนเอง ไม่สนใจจิตใจของผู้อื่น
    ไม่สนใจเรื่องศีลธรรม
    และก็ไม่ๆๆๆๆ (แค่นี้พอมั้ง)

    แต่อยู่มาวันหนึ่ง ไม่ทราบว่าจะด้วยผลกรรมมาครั้งในอดีต หรือว่าปัจจุบัน
    คือชีวิตของข้าพเจ้ามาถึงทางตัน ชีวิตล้มเหลว
    ล้มเหลวอะไรบ้าง เรามาดูกัน...
    คือล้มเหลวสามอย่างพร้อมกัน ได้แก่ การงาน การเงิน และความรัก
    แต่ถ้าเป็นคุณในขณะนั้น ก็ลองนั่งหลับตานึกกันเอาเอง
    คุณจะทำอย่างไร คุณจะคิดอย่างไร
    ตอนนั้นไม่ต้องมาพูดเรื่อง สติมาปัญญาเกิด
    เพราะแทบจะไม่มีอยู่ในหัวด้วยซ้ำไป
    พี่สติ พี่ปัญญาเวลานั้นมาถึงกันจริงๆ ไม่รู้ว่ามันไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันหมด

    เมื่อนาทีวิกฤติชีวิตมาถึง คิดว่าทุกคนก็ไม่น่าจะมีทางให้เลือกมากนัก
    นอกเสียจากสองทางนี้เท่านั้น ก็คือ
    หนึ่ง..เลือกไปทางมืดมนคือ กินเหล้าเมายา หรือปลิดชีวิตตนเอง
    สอง..เลือกไปทางสว่างคือ หันหน้าเข้าหาธรรมะ หรือปฎิบัติธรรม

    แต่ถ้าเป็นคุณหล่ะ! คุณจะเลือกทางไหน???

    แค่บางคนมีปัญหาเรื่องเดียวคือ หนึ่งในสามที่กล่าวมานี้ ก็แทบจะล้มทั้งยืนกันแล้ว
    โดยเฉพาะเรื่องของความรัก บางรายก็เสียผู้ เสียคน เห็นกันมามากตามสื่อ
    หรือบางท่านเลือกทำ เช่น ทำร้ายร่างกายคนรัก หรือฆ่าตนเอง ฆ่าคนที่ตนเองรัก
    และข้าพเจ้าจะบอกให้เอาบุญนะ

    สำหรับผู้ที่กำลังประสบปัญหาในชีวิตกันอยู่ ณ.ขณะนี้
    ขอให้ทุกท่านอดทน และเลือกข้อสองนะ
    เพราะเมื่อถึงนาทีวิกฤตินั้นมาถึงคุณ แต่ไม่ต้องไปตามหาสติปัญญากันหรอก
    และคนที่มักชอบเตือนคนอื่นๆว่า ขอให้มีสติก่อน แล้วพี่ปัญญาจะมาช่วยน่ะ มันนวนิยาย
    แต่ชีวิตจริงๆนั้นไม่เป็นอย่างนั้นเลย อันนั้นเป็นแค่บทฤษฎีแห่งชีวิตกันเท่านั้น

    นี่ข้าพเจ้าผ่านมาทั้งหมดแล้ว แถมระยะเวลาใกล้เคียงกันด้วย
    และตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังนั่งหัวเราะอยู่ในใจ (หัวเราะชีวิตตนเองที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป มองเห็นความเกิด-ดับของชีวิต)
    เดี๋ยวถ้าคุณผ่านนาทีวิกฤติแห่งชีวิตกันมาได้สักระยะนึงก่อน
    แล้วคุณก็จะหัวเราะแบบข้าพเจ้าเหมือนกัน
    ขอให้อดทน และเลือกปฎิบัติข้อที่สองนะ แต่ถ้าคุณไม่เลือก
    ดันไปเลือกทำข้อหนึ่ง คุณก็จะไม่มีโอกาสมานั่งหัวเราะกับสิ่งที่ผ่านมานะ
    จะบอกให้!

    ปล.แต่ครั้งแรกสุดข้าพเจ้าเลือกทำข้อหนึ่งนะ คือเลือกทางมืดมน คิดว่าตายแล้วจะได้จบสิ้นกันไป
    (เพิ่งมาทราบในภายหลังว่า กายตาย แต่จิตมิได้ตายตาม)
    แต่ไม่ทราบว่าอะไรมาดลจิต ดลใจให้ต้องเลือกไปทางสว่างแทน

    ชีวิตผ่านเหตุการณ์ความเป็น ความตายมาทั้งหมด(พร้อมกัน)
    และข้าพเจ้ารอดมาได้อย่างไร???

    และข้าพเจ้าว่ามันหนักยิ่งกว่าภัยพิบัติกันตอนนี้กันเสียอีกนะ
    นี่ขนาดภัยพิบัติยังไม่เกิดกันจริงๆนะ แค่หูได้ยินว่าจะเกิด ภัยพิบัติจะมา
    แต่ตายังไม่ได้เห็นกันจริงๆเลย
    ยังมีเวทนา หรือรู้สึกกันมากมายถึงขนาดนี้
    แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกันจริงๆ ตามที่หลายสำนักเขาทำนายกันไว้

    ถามว่า...จิตคุณพร้อมรับภัยพิบัติกันไหม๊?

    แต่ถ้าคนที่ไม่เคยฝึกจิตมาดี ตอบได้คำเดียวว่ารอดยาก
    (คำว่ารอดในที่นี้หมายถึงรอดทั้งโลกนี้ และโลกหน้า)

    ถึงร่างกายรอดปลอดภัย
    แต่ถามว่าจิตคุณรอดไหม๊? แต่ถ้ารอดก็ดีไป
    แต่ถ้าไม่รอด คือคุณเป็นบ้า เป็นบอกัน
    เพราะหูได้ยิน ตามองเห็นคนที่เรารักต้องมาสูญเสีย จากเราไปไม่มีวันหวนกลับ
    แล้วคุณจะทำใจยอมรับกันได้ไหม๊???
    (เอาไปคิดเป็นการบ้านนะ ไม่ใช่ให้แม่บ้าน พ่อบ้านคิดเล่นๆกันนะ)


    ถามว่าเอาเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้กับคนอื่นนั้น ไม่อายเขาหรือ???
    ตอบ...ว่าไม่อาย
    เพราะสิ่งที่ไม่ดีนั้นข้าพเจ้าหยุดกระทำทั้งหมดแล้ว
    แต่ถ้ายังไม่หยุดกระทำนั้นสิ! น่าอายกว่า
    และขอเล่าเรื่องนี้เพื่อเป็นธรรมาทาน เพื่อเป็นกำลังใจกันและกัน

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ยิ่งได้อ่านข้อความพี่ภู ยิ่งทำให้ส่วนลึกที่คิดไว้แจ่มชัดขึ้น

    ว่าผมกับพี่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกัน มีอะไรเหมือนๆกัน

    ดีใจครับที่ได้เจอพี่ภู

    ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ขอใ้ทุกท่านที่ได้อ่าน ดลให้ท่านมาทำจิตเกาะพระกันเถอะคับ

    ทางที่ดีทางที่ควรมาแล้ว
    รีบเปิดเข้ามาครับ

    สวัสดีครับ
     
  12. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    [​IMG][​IMG]

    Wittayapon
    ยิ่งได้อ่านข้อความพี่ภู ยิ่งทำให้ส่วนลึกที่คิดไว้แจ่มชัดขึ้น

    ว่าผมกับพี่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกัน มีอะไรเหมือนๆกัน

    ดีใจครับที่ได้เจอพี่ภู

    ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ขอใ้ทุกท่านที่ได้อ่าน ดลให้ท่านมาทำจิตเกาะพระกันเถอะคับ

    ทางที่ดีทางที่ควรมาแล้ว
    รีบเปิดเข้ามาครับ

    สวัสดีครับ

    ขอโมทนา สาธุ จิตอันเป็นกุศล เป็นกำลังใจอีก ๑ แรง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2012
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    สวัสดีครับทุกๆดวงจิต
    และยินดีต้อนรับดวงจิตลูกหลานของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    กระทู้นี้เกิดขึ้นเพราะความศรัทธาในพระพุทธเจ้า และคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยแท้จริง
    และด้วยจิตอันบริสุทธิ์ ที่มีมากกว่าความเชื่อ
    กระผมและเพื่อนๆสมาชิกพร้อมแล้ว ที่จะมาช่วยยกระดับจิต
    เพราะผมมองเห็นคนที่ตั้งใจปฎิบัติมีจำนวนไม่น้อย
    และมีบางคนพร้อมที่จะยกแล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นตรงไหน

    วันนี้ผมมีโอกาสมาตามเก็บดวงจิต และพร้อมช่วยยกระดับจิตของท่าน
    โดยเฉพาะจิตที่พร้อมที่จะยกขึ้นเป็นอริยบุคคล

    การปฎิบัติธรรมจะต้องมีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน
    และถือโอกาสนี้สำหรับจิตที่พร้อมยกขึ้นเป็นพระโสดาบัน
    เพราะต่อไปนี้ฯ
    คำว่า "พระนิพพาน" มิได้อยู่ไกลเกินอ้อม ตามที่ทุกคนเข้าใจกัน

    แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า ผมเป็นผู้รับรองดวงจิตของท่านใด
    แต่จะช่วยชี้แนะแนวทางในการปฎิบัติให้ถูกต้อง และชัดเจน
    เพราะผู้ที่มีสิทธิ์รับรองดวงจิตของท่านโดยตรงได้นั้นก็คือ พระพุทธเจ้าเท่านั้น จะเป็นพระองค์ใดก็ได้
    จะมารับรองให้ผู้ปฎิบัติในภายหลัง ตามนิมิต หรือตามปรากฎอื่นๆ
    และผู้ปฎิบัติเท่านั้นจะเป็นผู้รู้เอง เห็นเอง แต่ถ้าผู้ปฎิบัติกันจริงๆจังๆ ท่านก็จะได้รับของจริงๆตอบแทน

    สำหรับผู้ปฎิบัติกำลังใจยังไม่พอ หรือปฎิบัติแบบหวานเจี๊ยบ!!!
    อันนี้เราก็คงไม่ว่ากันนะ ไม่ต้องอายกัน
    แต่ถ้ากำลังใจ หรือบุญ หรือบารมีของผู้ปฎิบัติมีมากพอแล้ว บุญนั้นจะนำท่านปฎิบัติแบบเข้มข้นกันได้ในภายหลังเอง

    ปล.สำหรับดวงจิตที่พร้อมยกขึ้นเป็นพระโสดาบันนั้น
    กรุณาแจ้งความจำนง(PM)ไปที่ผม หรือครูเพ็ญnatthapatpun หรือคุณดชน.dutchanee หรือท่านอื่นที่กำลังช่วยตอบจิตเกาะพระกันอยู่นี้ฯ
    เพราะผู้ปฎิบัติบางท่านไม่ต้องการที่จะเปิดเผย หรือเปิดเผยก็ได้ตามแต่จิตของตนเอง

    แต่ในเบื้องต้นครูเพ็ญจะส่งแบบฟอร์มสำหรับดวงจิตที่พร้อมยกขึ้นเป็นพระโสดาบัน ในกระทู้นี้กันต่อไปฯ
    ทำบุญภายในไม่ต้องมัวอายกันอีกต่อไปแล้ว
    การทำบาปเป็นสิ่งที่น่าอายที่สุด ก็ยังถูกเปิดเผยกันทั่วไป

    ผมและเพื่อนสมาชิกจิตเกาะพระ ได้รวมตัวกันหลายสิบคนแล้ว
    และกำลังจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะพวกเราพยายามช่วยกันยกจิตซึ่งกันและกันภายในเป็นหลักตามปกติกันอยู่แล้ว
    และพวกเราจะดูแลจิตกันแบบพี่ๆน้องๆ ไม่ว่าท่านจะมาจากทางทิศไหน
    กลุ่มสมาชิกจิตเกาะพระ เกาะพระนิพพานยินดีต้อนรับทุกๆท่าน

    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
    ภูทยานฌาน2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 เมษายน 2012
  14. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะพี่ภู คุณเพ็ญ คุณดชน รบกวนถามนิดนึงค่ะ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตเราจะสามารถยกขึ้นได้ในระดับไหน แต่สำหรับตัวเองคงทำไปเรื่อยๆๆเพียงแต่ตอนนี้พระที่จิตเกาะอยู่ไม่สามารถเห็นเป็นองค์ ได้แต่แต่เห็นองค์ใสใส แต่จะเป็นประกายหรือไม่ก็แล้วแต่จิตที่ต้องการ ตอนนี้พยายามปล่อยเห็นอย่างไรก็ได้ เท่านั้นค่ะ
     
  15. ตาลเดี่ยว

    ตาลเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +425
    อนุโมทนาสาธุครับคุณภู และขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่นำสิ่งดีๆมีประโยชน์มาฝากเพื่อนๆสมาชิก สำหรับผมเตรียมกายเตรียมใจไว้พร้อมเสมอ เพราะไม่รู้จะหนีไปไหน บ้านก็อยู่ห่างจากทะเลเพียง10-20ก.ม.เท่านั้นเอง คงให้สิ่งศักดิ์สิทธ์เป็นผู้เลือกว่าจะให้อยู่ต่อหรือให้ไปเพราะคนเราเกิดมาต้องตายทุกคน เพียงแต่ก่อนตายเราทำความดีหรือสร้า้งบุญกุศลพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วก็ไม่มีอะไรน่ากลัว:cool:
     
  16. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    ต้นไม้นั้นชื่อว่า "กากระทิง"

    [​IMG] พระศรีอารย์อุ้มบาตร [​IMG] สมเด็จองค์ปฐม

    ปริศนาธรรมข้อที่ ๒ พระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษึลิงดำ ได้สร้างวิหารสมเด็จองค์ปฐมเอาไว้ ที่วัดท่าซุง ตรงข้ามกับวิหารสมเด็จองค์ปฐม เป็นวิหารของสมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัย หน้าวิหารของสมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัย ปลูกต้นไม้ชนิดหนึ่ง ชื่อว่า “กากระทิง” เป็นต้นไม้ที่อยู่ในพุทธพยากรณ์ และสมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัย จะต้องตรัสรู้ที่ใต้ต้น “กากระทิง” เหตุใดหลวงพ่อพระราชพรหมยานจึงได้สร้างวิหารเอาไว้เคียงคู่กัน เหตุใดพระราชพรหมยานจึงได้ปลูกต้นไม้ ชนิดนี้เอาไว้หน้าวิหาร หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านรู้ ท่านเห็น แต่ไม่ใช่หน้าที่ที่ท่านจะชี้แจง หรืออธิบาย เป็นเรื่องของคนที่มีหน้าที่ จะมาเป็นผู้อธิบาย อย่างนั้นหรือไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2012
  17. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ถ้าผมพูดจะเชื่อมั้ยว่า กรรมนั้นจัดสรรค์ไว้แล้ว ต่อให้รวยล้นฟ้า มีที่ทางดีๆกว่าคนจนๆ แต่อย่าลืมนะว่ากรรมไม่ได้วัดที่รวยหรือจน คนที่กรรมเลือกไว้แล้วหนีแค่ไหนก็ไม่ลอดหรอกครับ ส่วนคนที่กรรมเค้าไม่เลือก อยู่เฉยๆก็ลอดครับ แทนที่จะพะวงกันจนเสียสติ รวมสมาธิปัญญา แล้วใช้ชีวิตต่อไป ทำงานทำหน้าที่ อย่าให้เสียงานเสียการ ทำบุญทำกุศลต่อไป ลดกรรมเลวลง ถ้าถึงเวลาคนที่จะลอด บุญหรือกรรมดีจะมีระบบพาให้ลอดเอง
     
  18. buddy0

    buddy0 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +142
    สาธุค่ะ คุณตาลเดี่ยว. เราอยู่กรุงเทพ เขาก็ว่ากรุงเทพโดนแน่ คิดเหมือนคุณตาลเดี่ยว หลบได้ก็หลบหลบไม่ได้ก็แล้วแต่พระจัดสรรค่ะ
     
  19. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    [​IMG]

    เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ท่านอาจจะไม่รู้ตัวของท่านเองเลยว่า ท่านได้ใช้ปัญญาในการพิจารณา ด้วยเหตุด้วยผล แล้ว ท้ายที่สุดท่านได้ใช้จิตของท่านเป็นตัวเลือกเส้นทาง ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ขอโมทนา สาธุด้วย ครับ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นั่นแหล่ะ! สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นี้จะนำพาดวงจิตยกแบบโดยมิรู้ตัว
    และคุณจะรู้สึกตัวไปทีละน้อยๆว่าดวงจิตของตนเองนั้น อยู่ที่ไหน
    ก็ต่อเมื่อจิตยิ่งละเอียดมากเท่าไหร่ คุณก็สามารถรู้ว่าจิตของคุณนั้นอยู่ที่ไหน
    กำลังทำอะไร เพราะตัวชี้วัดอยู่ที่สติคุณนั่นไง

    ผู้ปฎิบัติทุกท่านจำเป็นจะต้องรู้ ว่าดวงจิตของท่านอยู่ที่ไหน อย่างไร
    แต่ผู้ปฎิบัติใหม่ๆนั้นจะยังไม่ทราบว่าดวงจิตของตนนั้นอยู่ที่ไหน
    แต่จะรู้ก็ต่อเมื่อจิตละเอียดมากขึ้น หรือสติกับจิตรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวโน้นแหล่ะ! คุณจะเห็นชัดเจนขึ้น

    ตอนนี้จิตคุณเริ่มมีความละเอียดมากยิ่งๆขึ้นไปแล้วนะ ทำไปๆ
    ทำจิตเกาะพระให้มาก ให้บ่อยว่านี้อีก และอีกไม่นานจิตคุณก็จะจับ หรือเกาะพระได้โดยอัตโนมัติ
    เพราะเมื่อจิตเกาะพระได้โดยอัตโนมัติกันแล้ว จิตเขาจะทำงานของเขาได้เอง
    คือเราไม่ต้องไปกำหนดเหมือนอย่างทีแรก แต่เราจะมีแค่สติไว้คอยตามดู ตามรู้จิต ด้วยใจเป็นกลางแค่นั้นก็พอ
    ด้วยใจเป็นกลางนะ(ขอเน้น)
    เพราะผู้ปฎิบัติธรรมมักหลงคำนี้กันมาก เห็นธรรมดาๆนี่แหล่ะ _แต่ปฎิบัติกันจริงๆ เมื่อเราหลับตากันไปแล้ว เห็นหลงทางกันเยอะ จะเป็นกรรมฐานกองไหนก็ช่าง
    แต่จิตเกาะพระนั้นทำสมาธิโดยหลับตาก็ได้ หรือจะไม่หลับตาก็ได้ ตามสะดวก และมีจุดเด่นก็คือ จิตรวมไว หรือทำให้จิตเป็นสมาธิได้โดยง่ายดาย

    จิตเกาะพระนี้เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน อาจจะบวกกสินเพิ่มนิดนึง
    แต่ก็อย่าไปสนใจชื่อมากนัก ขอให้สนใจการปฎิบัติมากๆ และทำจิตเราให้นิ่งสงบมากที่สุดก็พอแล้ว

    ส่วนผู้ปฎิบัติไม่แน่ใจในศีลตนเองนั้นก็มีเยอะแยะ แต่ไม่ค่อยเข้าใจกัน
    ขออย่าได้กังวลใจไปเลย ขอให้ทำจิตเกาะพระได้แนบสนิทกันแล้ว
    เมื่อจิตนิ่ง จิตละเอียด ทั้งสติและก็ศีลก็จะมาเอง
    แต่ในเบื้องต้นเราจะต้องอาศัยสติให้เกิดบ่อยๆก่อน จิตถึงจะนิ่งสงบ
    เมื่อจิตนิ่งสงบ หรือจิตละเอียดขึ้นไปแล้ว เราก็จะรู้ตัวเองว่าศีลของตนนั้นอยู่ในระดับใด
    เพราะศีลจะละเอียดไปตามจิตใจของตนเอง

    ผู้ปฎิบัติอย่ามัวรอแต่ศีลให้ครบกันก่อน เพราะส่วนใหญ่ไม่เคยมีใครศีลครบ 100%ก่อนการปฎิบัติกันหรอก
    จิตทรงสมาธิ จิตทรงฌานนี้จะช่วยชำระกิเลสตนเอง และศีลก็จะละเอียด หรือศีลจะครบบริฐุรณ์ไปเองสักวันนึง
     

แชร์หน้านี้

Loading...