ละชั่วหรือทำดี สิ่งไหนทำได้ง่ายกว่า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 13 เมษายน 2012.

  1. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    [๒๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เรากล่าวสัมมาวาจาเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาวาจาที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
    ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาวาจาของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ
    เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ
    [๒๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
    ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูด
    ส่อเสียด งดเว้นจากการพูดคำหยาบ งดเว้นจากการเจรจาเพ้อเจ้อ นี้ สัมมาวาจา
    ที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
    v v v v v v v v v v

    ไอ้ที่น้าภูติเอามาอ้างนั้นแหล่ะ เขาเรียกว่าศีลข้อห้าม
    มันเป็นสัมมาวาจา แต่เป็นสาสวะหรือโลกียะ

    สัมมาวาจา มีมากกว่านั้นอีก น้าภูติช่วยบอกหน่อยสิ
    ในมหาจัตตารีสุตรนั้นแหล่ะ น้าภูติไปอ่านแล้วมาอธิบายให้หน่อย
    เห็นชอบอ้างพุทธพจน์ให้เด็กงงเล่น
     
  2. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    น้าภูติจ๋า นักว่ายน้ำที่ว่ายท่ากบ ท่าผีเสื้อ หรือกรรเชียงเนี่ย
    มันต้องหัดว่ายน้ำให้เป็นก่อนมั้ยจ๊ะ แล้วไอ้คนที่ยังว่ายน้ำไม่เป็นเนี่ย
    เราจะเรียกมันว่า นักว่ายน้ำมั้ยจ๊ะ
    อันนี้หลวงพี่บอกว่า มันเป็นปัจจัตตังจ้า แต่หลวงพี่แกเกริ่นๆให้ฟังว่า
    ไอ้คนขับรถสิบล้อ ถ้ามันไม่ง่วงหรือหลับใน อีกหน่อยมันต้องได้สัมมาทิฐิ
    และเป็นอริยชนก่อนใครเลย

    ผมก็ว่างั้นครับ แต่อาจต่างกันหน่อยตรงที่ มันอ้างว่ามันมีสัมมาทิฐิ
    ถามว่าได้มาไง มันบอกมันอ่านเอาจากพุทธพจน์ พระไตรปิฎก
    เป็นโสดาบันแล้ว มองเห็นธรรมแล้วจะไปลองผิดลองถูกอะไรอีก
    ไอ้ที่ลองผิดลองถูก มันพวกโสดาตั้งเองแบบน้าภูติว่า

    อันที่จริงโสดาบันไม่ใช่ลองผิดลองถูก มันอยู่ที่การปฏิบัติ
    ที่ต้องอาศัยหลักของ สัมมาวายามะหรือความเพียรพยายาม
    ก็ลองดูตอนที่พระพุทธองค์ ทรมาณร่างกายตนเอง น้าภูติว่าลองผิดมั้ยล่ะ
    แล้วน้าภูมิว่า คนที่ทิฐิว่าการทรมาณร่างกายจะทำให้ตรัสรู้ น้าว่ามันเป็น
    มิจฉาทิฐิมั้ย
    น้าจ๋าจะหนูขอบังอาจบอกน้าหน่อยจ๊ะว่า สัมมาสมาธิคือการเกิดมรรคสมังคี
    ขององค์มรรคทั้งเจ็ดแล้วจ้า มรรคทั้งเจ็ดรวมเป็นหนึ่งเรียกว่า สัมมาสมาธิ
     
  3. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    น้าภูติคุยธรรมกับเด็ก น้าก็ให้ความเมตตาสงสารบ้างสิครับ
    อย่าใช้ศัพท์หรือบัญญัติที่ทำให้เด็กอย่างผม เหมือนกบในกะลาเลยครับ
    พูดกันแบบที่ผู้ใหญ่สอนเด็กนั้นแหล่ะครับ

    น้าภูติครับ น้าเข้าใจคำว่า "กายสังขารมั้ยครับ"

    แล้วไอ้ทีหน้าบอกร่างกายเจ็บป่วยน่ะมันเป็นกายสังขารหรือเปล่าครับ
     
  4. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    593
    ค่าพลัง:
    +289
    ส่วนผมไม่รู้อะไรเลยเพราะว่า...ต่อให้ไม่ไปใส่ใจในกายขันธ์ทั้งหลาย อาทิ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอ็น กระดูก...และอื่นๆอีกมาก ต่อให้ไม่สนใจ มันก็ยังคงมีวันเสื่อมอยู่ดี ไม่ทำอะไรเลย นั่งมองดูมันหรือไม่มองดูมันยังไงๆ มันก็เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปอยู่ดี และสิ่งอื่นๆทั้งที่มีจิตครองและไม่มีจิตครอง ต่อให้ไม่ไปสนใจใยดีกับมัน มันก้อเกิดขึ้นและดับไปอยู่ดีแต่ระยะเวลาอาจเร็วหรือช้าแตกต่างกัน ผมก็เลยไม่รู้ว่าเมื่อไปถือเอาว่านั่นตัวเราหรือไม่ถือเอาว่านั่นเป็นตัวเรา หรือ จะถือเอาว่าตัวเรานี้มาจากมหาภูตรูป ๔ สุดท้ายก็ไม่อาจหยุดการเคลื่อนไปของมันได้อยู่ดีคือ ไม่ว่าจะเอาจิตหรือไม่เอาจิต เรียกบ้านๆว่า สนใจกับไม่สนใจ มันก็เป็นไปตามนั้นอยู่ดี แล้วทำไมเราต้องสนใจมันด้วยละและที่เราสนใจมันจริงๆ มันคืออะไรกันแน่ อันนี้ผมก็ไม่รู้หรอกเพียงแค่อยากกล่าวอะไรบางอย่างเท่านั้น
     
  5. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    นี่คือเหตุ ที่ต้องเฝ้าดูจิต เพื่อให้เป็นหนทางที่จะไม่กลับมาเกิดอีก

    เพราะร่างกายนี้แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถหยุดยั้งได้

    ถึงจะสนใจ หรือ ไม่สนใจ ร่างกายก็แปรเปลี่ยนอยู่เช่นนั้น

    แต่หากไม่กลับมาเกิดอีก ความแปรปวนก็ไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีแล้วซึ่งตัวตน

    การแยก กาย ใจ จิต เพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อการไม่กลับมาเกิดอีก

    สาธุครับ
     
  6. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    593
    ค่าพลัง:
    +289
    เลือกได้ด้วยเหรอ หมายถึง คนส่วนใหญ่นี่เลือกได้ด้วยเหรอ ทำไมถึงคิดว่าที่เฝ้าดูอยู่นี่คือจิตละ ก็ในเมื่อบอกให้ดูร่างกาย ความแปรปรวนของร่างกายมันเกี่ยวกันด้วยเหรอ กับ จิตใจ และเมื่อแยกกายกับจิตได้แล้วจะไม่มาเกิดอีก ใครเป็นผู้รับรองในถ้อยคำนี้เหรอครับ หรือ เดาส่งกันอีกละ แล้วทำไมถึงคิดว่าเพียงแค่แยกกายกับจิตได้ก็จะไม่ต้องมาเกิด บอกอะไรให้นะครับ แค่คิดก็ไกลแล้วละ การแยกได้หรือไม่ได้ก็ไม่ใช่เหตุของการเกิดหรือไม่เกิดเลย เพราะความจริงไม่ใช่เรื่องที่สิ่งต่างๆจะมีเฉพาะสิ่งนั้นสิ่งนี้อย่างเดียวแล้วจึงเกิดขึ้นเป็นได้ ไม่ใช่มีแต่มหาภูตรูปเท่านั้น หรือไม่ใช่มีแต่จิตเท่านั้น หรือจะขยายโดยละเอียดคือ ไม่ได้ประกอบโดยธาตุอันเดียวเท่านั้น จึงเกิดมีขึ้นในสิ่งต่างๆได้ การคิดถอยหลังแบบอนุมานเอาว่านิพพานธาตุ เป็นดังนั้นแล้ว เกรงว่ามันจะไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่ เพราะมันเป็นสัญญาตามตำราว่า เป็นหนึ่งเดียว มีองค์ประกอบอย่างเดียว แยกจากสิ่งต่างๆแล้วสิ้น ในความเป็นจริงคือ เป็นเพียงอุดมคติความคิดที่ปุถุชนสร้างเอาไว้หลอกตนเอง เพราะความจริงมันอาจไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ การเกิดขึ้นมีอยู่ของสิ่งนั้นๆ แต่นะ...ผมก็กล่าวได้เพียงบางส่วนเท่านั้น...ส่วนอื่นๆขอสงวนเอาความสงสัยไว้พิจารณาธรรมและเก็บไว้ถามพระอริยะเจ้าหากท่านทั้งหลายยังคงอยู่ในโลกใบนี้อยู่...
    สาธุคั๊บ
     
  7. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เหตุที่ผมกล้ากล่าว เพราะการปรุงแต่งประกอบด้วย กาย๑ ใจ๑ จิต๑ นั่นเอง

    เมื่อการปรุงแต่งไม่เกิดขึ้น ความอาลัยอาวรณ์ต่อการมีชีวิตย่อมไม่มี

    เมื่อไม่มีเชื้อแห่งการเกิด ย่อมเกิดขึ้นมาไม่ได้ ฉนั้น

    ส่วนที่คุณครุ่นคิดสงสัยอยู่นั้น เป็นเพียงการปรุงแต่งครับ

    สาธุครับ
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    หลานรัก จะเปลี่ยนมาอีกกี่ล๊อกอิน แต่นิสัยถาวรคงเปลี่ยนยากเนอะ
    เอาแต่จะถามหรืออยากพูดในส่วนที่ตนเองอยากจะพูดเท่านั้น
    ไม่เคยคิดจะตอบที่น้าภูตถามไปบ้างเลยนะ
    รู้สึกว่ากำลังเอาเปรียบน้าภูตตามนิสัยถาวรอยู่หรือเปล่า?

    คนอะไรเก่งกว่าเกินพระพุทธองค์เสียอีก
    พระพุทธพจน์ก็ทรงตรัสไว้ชัดๆว่า สัมมาทิฐิเป็นไฉน? มีสองอย่าง
    ในส่วนสาสวะให้ผลต่อขันธ์ ยังจะยัดให้เป็นศีลอยู่นั้นแหละ

    ขนาดพระพุทธพจน์ตรัสชัดๆ ยังจะเบียงประเด็นไปได้
    แล้วยังจะมาใช้ให้น้าภูตอธิบายพระสูตรอีกหรือ
    พระพุทธพจน์ในพระสูตรชัดๆขนาดว่าไม่ต้องตีความแล้ว
    หลานรักยังจะให้เป็นแค่ศีล แบบนี้แล้วหลานรักยังจะฟังใครอีกหละ

    อย่ามัวหลงอยู่กับตำราที่เพิ่มเติมเสริมแต่ง ที่มีมาในภายหลัง
    กับความคิดที่ตกผลึก อันได้จากการอ่านอยู่เลย
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    หลานรักสอนไม่รู้จักจำ อย่าอ้างหลวงพี่ ท่านมาแก้อรรถเองไม่ได้
    เฮ้อ!!! ถ้าคิดจะตอบแบบเล่นลิ้นกะลาวน สู้อย่าตอบเสียดีกว่า
    เห็นชอบอ้างแต่อะไรๆก็สัมมาทิฐิ และใครๆ ก็มีสัมามาทิฐิ แม้คนขับรถสิบล้อ
    ถ้ามันได้ง่ายขนาดนั้น ก็ควรจะบอกหรืออธิบายได้สิ ไม่ต้องมาอ้างปัจจัตตังหรอก



    เหรอหลานรัก ก็หลานรักเป็นแบบนั้นอยู่ไม่ใช่หรือ?
    ก็หลานรักพูดเองว่าได้สัมมาทิฐิ
    โดยไม่ต้องลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามาก่อนเลยมิใช่หรือ?


    อ้าวหลานรัก ตอนนี้มีสัมมาวายามะได้แล้วหรือ มาจากไหนอะ?
    แล้วเอาองค์แห่งสัมมาสติไปไว้ตรงไหนหละ? เดี๋ยวไม่ครบองค์นะ
    จะเป็นพระโสดาบันที่ถูกต้องไม่ได้ เป็นได้แค่โสดาตราตั้งเท่านั้น


    ใช่หลานรัก เป็นมิจฉาทิฐิ แต่น้าภูตไม่ได้คิดเห็นเช่นนั้น
    เพราะพระพุทธองค์ทรงมีความเห็นเป็นอย่างนั้นในขณะนั้น
    พระพุทธองค์ยังไม่ได้ทรงเชื่อเสียทีเดียว เป็นเพียงการคันหา
    เมื่อลองนำมาสมาทานให้เต็มที่ดูแล้ว เห็นว่าไม่ใช่ พระพุทธองค์ก็ทรงละเสีย
    เหตุเพราะระลึกถึงสมัยที่เป็นราชกุมารนั้น เคยได้รับความสุขอันปราศจากอามีสจากการทำสมาธิ


    หลานรัก ในเมื่อกล้าบังอาจบอกน้าภูต
    น้าภูตขอถามก็แล้วกัน มรรคเกิดสมังคีกันตอนไหน?
    แล้วเป็นการสมังคีกันแบบไหน?
    แล้วที่บอกว่าวาจาดับๆตอนไหน? เพราะเห็นบอกว่า นั่งหลับตาไม่พูดสักแอะ
    หลานรักไม่รู้จริงๆหรือว่า บางคนที่นั่งหลับตาภาวนา แต่ยังพูดอยู่ตลอดเวลารู้หรือเปล่า?
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    หลานรัก ปรกติน้าภูตชอบอะไรที่ตรงไปตรงมา ถามมาตอบไปตามความเป็นจริง
    ไม่พยายามใช้ศัพท์แสงหรือบัญญัติอะไรที่ฟังดูแล้วเข้าใจได้ยากเลย
    แต่แบบหลานรัก เหมือนลูกบิลเลียดตกถังจาระบี แม้น้าภูตเองพยายามจะเช็ดจาระบีออกให้หมด
    ขนาดหมดจารีบีหมดแล้ว ยังต้องค่อยระมัดระวังเลย เผลอไม่ได้ เป็นกลิ้งหายไปไหนก็ไม่รู้ ล้อเล่น55+

    คำว่า"กายสังขาร"นั้น เป็นคำกว้างๆ ที่ชี้ให้เห็นว่า ถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ของกาย
    ต้องมาทำความเข้าใจอีกว่า สังขารที่มาปรุงแต่งกายอยู่นั้น
    เป็นสังขารแบบไหน แบบที่ควบคุมได้ หรือแบบควบคุมไม่ได้ ใช่หรือไม่?
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  11. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    593
    ค่าพลัง:
    +289
    เคยเห็นความปรุงแต่งแสดงตัวว่าไม่ปรุงแต่งไหมครับคุณโอ การที่จะไม่มีเชื้อไม่ใช่ว่าเพียงแค่มองเห็น จากข้อความนั้นค่อนข้างชัดเจนว่า เชื้อย่อมมีเมื่อไม่เห็นต้นเหตุ แต่ต้นเหตุที่คุณว่ามันเพียงการมองเห็นแล้ว มันจะดับเหตุนั้นได้ยังไง ผมไม่เคยครุ่นคิดกับเรื่องเหล่านี้หรอก เพียงแต่ก็มีความรุ้สึกดีที่อยากจะบอกคุณว่า เพียงแค่การเห็นหรือการแยกออกจากกันไม่ได้ทำให้มันหายไปได้เลยสักหน่อยเดียว ที่หลายๆคนพูดถึงคุณก็เพราะว่า คุณเข้าใจว่าถ้าเห็นเหตุนั้นแล้วเหตุนั้นจะดับลง ความเห็นคล้ายๆกันกับพวกที่เสนอบัญญัติว่า สติส้มหล่น ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่อาจเป็นไปได้ เพราะการเห็นก็คือการเห็น ส่วนการรู้มันอีกเรื่องหนึ่ง แต่คนที่รู้มันมีไม่มากไม่อาจจะมายืนกรานในสิ่งที่รู้ได้แบบตรงๆ เพราะว่าการรู้ไม่ใช่เรื่องของการมองเห็น สังเกตุไหมว่าทำไมคนที่รู้เขามักไม่พูดอะไรมากมาย แม้กระทั่งสิ่งที่ใครต่อใครติดอยู่ นั่นเพราะว่ามันตั้งอยู่บนความเสี่ยง เหมือนกับลุงขันธ์หรือใครต่อใครที่ดำรงตนรักษาความบริสุทธิ์แห่งจิตให้ก้าวล่วงผ่านความจริงที่มีมาแต่เนิ่นนานนั้น มันอาจส่งผลกับผู้คนมากมายที่ไม่ได้เข้าถึงความเป็นจริงก็จะกลายเป็นความหลงงมงาย ข้อนี้ผมทราบดีมานานแล้วว่ามันเป็นดาบสองคมสำหรับเขา มันจะเหนี่ยวรั้งเขาและทำให้คนอื่นๆ ต้องตกทุกข์ได้ยาก มันคนละแบบกับหลวงตาบัวนะเพราะเวลาหลวงตาบัวสอนนี่ท่านเหมือนจะเห็นตัวตนที่แท้จริงของเราเลย อย่าว่าแต่หลวงตาเลยพระอาจารย์สงบหรือหลวงพ่อสงบไม่ต้องเจอกันเลยแค่ข้อความบางอย่างท่านยังรู้เลยว่าเราคืออะไรติดอะไร อันนี้เราลองพิสูจน์มาแล้วหลายท่าน แต่ที่จะบอกกับคุณโอคือ เมื่อไหร่ที่จิตเห็นว่าไม่มีความปรุงแต่งด้วยความคิดเมื่อนั้นเป็นเหตุแห่งการติดขัด แต่มันจะต้องพิสูจน์เอาเองว่าที่เห็นว่าไม่ปรุงแต่งนั้นเกิดเพราะความคิดเห็นหรือเกิดเพราะความรู้หรือปัญญากันแน่ซึ่งมีวิธีพิสูจน์แน่นอนตามที่ครูบาอาจารย์หรือพระศาสดาทรงตรัสไว้ดีแล้ว แต่ที่แน่ๆ มันจะเอ่ยปากบอกใครเขาเรื่องเหล่านี้มันค่อยข้างรู้สึกกังวลอยู่พอสมควร หนึ่งคือ ไม่ได้สั่งสมบารมีมาเพื่อกล่าวกับเขาแบบนั้น สองไม่ได้สั่งสมบารมีมาเพื่อลบล้างคำของครูบาอาจารย์โดบเฉพาะอย่างยิ่งพระศาสดา สามไม่ได้สั่งสมบารมีมาเพื่อจะพิสูจน์ตนว่าตนคือสิ่งใด เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่สมควรไม่ได้ตั้งอยู่ด้วยสติ ด้วยธรรม ที่ว่าด้วยกรรมหรือการกระทำทั้งหลายเลย ผมขออธิบายโดยนัยให้คุณทราบว่า
    เหตุที่ผมกล้ากล่าว เพราะการปรุงแต่งประกอบด้วย กาย๑ ใจ๑ จิต๑ นั่นเอง

    เมื่อการปรุงแต่งไม่เกิดขึ้น ความอาลัยอาวรณ์ต่อการมีชีวิตย่อมไม่มี

    เมื่อไม่มีเชื้อแห่งการเกิด ย่อมเกิดขึ้นมาไม่ได้ ฉนั้น

    ส่วนที่คุณครุ่นคิดสงสัยอยู่นั้น เป็นเพียงการปรุงแต่งครับ
    ข้อความนี้มันถูกต้องตรงตามบัญญัติทุกประการเพียงแต่มันขาดการประสานระหว่างการมีกายมีองค์ประกอบใดบ้าง การมีใจมีองค์ประกอบใดบ้าง และแท้ที่จริงใจกับจิตก้อเป็นสิ่งเดียวกัน ความอาลัย ความสุข ความทุกข์ ไม่ได้เกิดที่กายแต่เกิดที่ใจหรือจิตนั่นเอง แต่เหตุของความรู้สึกแบบนั้นมันไม่ได้มีที่ตั้งเพราะสิ่งหนึ่งสองสิ่งหรือสามสิ่งตลอดจนหลายสิ่ง มันแล้วแต่โอกาสการเกิดขึ้นของเหตุต่างๆ ตามปัจจัยที่ได้รับรวมไปถึงที่สร้างขึ้น ดังนั้น เมื่อมองเห็นเหตุจะต้องรู้ว่าปัจจัยใดถูกสร้างขึ้นปัจจัยใดเป็นสิ่งที่มีของมันตามนั้นตามกระแส แล้วจึงสนใจว่าปัจจัยใดเท่านั้นที่จะเป็นเหตุที่ทำให้เข้าใจว่าความไม่ปรุงแต่งคือธรรมอันสูงสุด แต่เมื่อมองแล้วเข้าใจว่าความไม่ปรุงแต่งคือธรรมอันสูงสุดก็ยิ่งคล้ายกับคนหลอกตนเองเพราะ จิตในสภาวะทั่วไปหามีความไม่ปรุงแต่งไม่....พอดีกว่าเพราะ มันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ขอให้ท่านลองพิสูจน์ดูว่าสิ่งที่ท่านรู้นั้นเรียกว่า ความไม่ปรุงแต่งหรือการทำเกิดความไม่ปรุงแต่ง เท่านี้ก็พอสำหรับท่าน
    สาธุคั๊บ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 เมษายน 2012
  12. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณ เก่ง ไม่ลองที่ผมกล่าวเหรอครับ ถึงจะให้ผมทดลองที่คุณ เก่ง บอก

    คุณ เก่ง มองดูที่ตนเองสิครับ มีกายไหม มีใจไหม มีจิตไหม

    หากคุณ เก่ง เห็นจิต กับ ใจ เป็นสิ่งเดียวกัน ทำไมไม่เกิดพร้อมกันครับ

    หากกายไม่มี ใจไม่มี แล้วจิตจะอยู่อย่างไรครับ เมื่อแยกได้อย่างเด็ดขาดแล้ว

    จะเกิดมีสภาวะก็หาไม่ได้ครับ จิตยามที่อยู่นิ่งๆจะมีแต่ความว่างเปล่าครับ

    กายเกิดการกระทบ ใจเกิดความรู้สึก จิตรับรู้ความรู้สึก จึงเกิดการปรุงแต่ง

    หากไม่มีการปรุงแต่งเลยแม้แต่น้อย จะเป็นอย่างไรครับ

    ที่คุณ เก่ง กล่าวมา กล่าวถึงการปรุงแต่งที่ว่าไม่ปรุงแต่ง

    แค่มองเห็นจิตก็เข้าใจที่ผมกล่าวแล้วครับ เพราะเมื่อเห็นจิต จะเห็นใจด้วยครับ

    แล้วจึงเห็นต้นเหตุแห่งการปรุงแต่ง หากผมสามารถหยุดการปรุงแต่งได้เด็ดขาดแล้ว

    ผมก็ไม่มีกิจอันใดให้กระทำอีกครับ แต่ที่ผมเข้ามาบอกกล่าวนี้ เพื่อประโยชน์ครับ

    หากไม่เห็นประโยชน์คงต้องหยุดการสนทนาเพียงเท่านี้ครับ เพราะสนทนาต่อไป

    ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดครับ พระอาจารย์ทั้งหลายได้กล่าวเรื่อง"ใจ"ไว้มากมายครับ

    ไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวที่กล่าวถึงครับ ใจนี้เองที่เชื่อมโยงให้จิตยึดติดกาย

    สาธุครับ
     
  13. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากกายเกิดการกระทบ แต่ไร้ซึ่งความรู้สึก จิตจะรับรู้ในสิ่งใด

    หากกายเกิดการกระทบ มีความรู้สึกเกิดขึ้น แต่ไร้การรับรู้ความรู้สึก จะเป็นอย่างไร

    หากไม่มีกายให้เกิดการกระทบ ความรู้สึกจะเกิดได้อย่างไร จิตจะรับรู้ในสิ่งใด

    หากกาย ใจ จิต แยกจากกันอย่างถาวร จะเป็นอย่างไร

    สาธุครับ
     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ผู้ประกอบด้วยอวิชชาคือผู้ที่ไม่มีความรู้ สี่อย่างนั่นคืออริยสัจสี่ สิ ครับ...ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญ.......:cool:
     
  15. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" สัตว์โลกนี้ เกิดความเดือดร้อนแล้ว มีผัสสะบังหน้า ย่อมกล่าวซึ่งโรค นั้น โดยความเป็นตัวตน .........เขาสำคัญสิ่งใด โดยความเป็นประการใด แต่สิ่งนั้นย่อมเป็น โดยประการอื่นจากที่เขาสำคัญนั้น...สัตว์โลกที่ติดข้องอยู่ในภพ ถูกภพบังหน้าแล้ว มีภพโดยความเป็นอย่างอื่น จึงเพลิดเพลินยิ่งนักในภพนั้น...เขาเพลิดเพลินยิ่งนักในสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นภัย เขากลัวสิ่งใดสิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ....พรห์มจรรย์นี้ อันบุคคลย่อมประพฤติ ก็เพื่อละขาดซึ่งภพ สมณะหรือพราห์มเหล่าใด กล่าวความหลุดพ้นจากภพว่ามีได้ เพราะภพ เรากล่าวว่า สมณะหรือพราห์มทั้งปวงนั้น มิใช่ผู้หลุดพ้นจากภพ ถึงแม้สมณะพราห์มณ์เหล่าใด กล่าวความออกไปจากภพ ว่ามีได้เพราะวิภพ เรากล่าวว่า สมณะหรือพราห์มทั้งปวงนั้น ก็ยังสลัดภพออกไปไม่ได้ ก็ทุกข์นี้มีขึ้นเพราะอาศัย ซึ่งอุปธิ ทั้งปวง เพราะความสิ้นไปแห่งอุปาทานทั้งปวง ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ จึงไม่มี ท่านจงดูโลกนี้เถิด สัตว์ทั้งหลาย อันอวิชชาหนาแน่นบังหน้าแล้ว และว่า สัตว์ผู้ยินดีในภพอันเป็นแล้วนั้น ย่อมไม่เป็นผู้หลุดพ้นไปจากภพได้ ก้ภพทั้งหลายเหล่าหนึ่งเหล่าใด อันเป็นไปในที่หรือในเวลาทั้งปวง เพื่อ ความมี แห่งประโยชน์โดยประการทั้งปวง ภพทั้งหลายทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เมื่อ บุคคลเห็นอยู่ซึ่งข้อนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง อย่างนี้อยู่ เขาย่อมละภวตัณหาได้ และไม่เพลิดเพลินวิภวตัณหาด้วย ความดับเพราะความสำรอกไม่เหลือ (แห่งภพทั้งหลาย)เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาโดยประการทั้งปวงนั้นคือ นิพพาน...........ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับเย็นสนิทแล้ว เพราะไม่มีความยึดมั่น ภิกษุนั้น เป็นผู้ครอบงำมารได้แล้ว ชนะสงครามแล้ว ก้าวล่วงภพทั้งหลายทั้งปวงได้แล้ว เป็นผู้คงที่ (คือไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป) ดังนี้แล---(ข้อความนี้ เป็นพุทธอุทานที่ทรงเปล่งออกที่โคนต้นโพธิ์ที่เป็นที่ตรัสรู้ เมื่อ ตรัสรู้แล้วได้7 วัน)อุ.ขุ25/121/84 (อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  16. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    น้ารู้หรือเปล่าว่าปุถุชน รู้อะไรอยู่ในใจแล้วแกล้งลองภูมิถามคนอื่น
    พอได้คำตอบที่ไม่เหมือนกับของตน ก็จะแกล้งมึนว่า ไม่ใช่คำตอบ
    หนักไปกว่านั้นก็บอกว่า อีกฝ่ายยังไม่ตอบ ผมว่าวิธีนี้มันเก่าแล้วครับ

    ไม่ได้เก่งเกินพุทธองค์ ถ้าเปรียบเป็นศิษย์ก็เหมือนเป็นศิษย์รัก
    เพราะเข้าใจที่พุทธองค์สอน ไม่ทำให้พระองค์ต้องเสียเวลา

    น้าภูติเล่นอธิบายพระธรรมเหมือน ซีล็อกมาจากตำรา
    อย่างน้าภูติเป็นครูสอนภาษาไม่ได้หรอกครับ

    แล้วที่เราคุยกันมันอยู่ในส่วนขององค์มรรคที่เรียกสัมมาวาจานะครับ
    น้าภูติเข้าใจคำว่าผลขันธ์หรือเปล่า มันก็เหมือนทำดีได้ดี
    ทำชั่วได้ชั่ว
    แล้วมาว่าผมยัดไปอยู่เรื่องศีล สงสัยน้าภูติไม่รู้จัก "ไตรสิกขา" ล่ะมั้ง
    ไอ้ที่เรากำลังคุยกันอยู่น่ะ เข้าเรียกว่า ศีลสิกขานะจ๊ะ

    น้าอ่านมหาจัตตารีฯไม่หมดพระสุตรนี่นา มันยังมี สัมมาวาจาที่เป็น
    อนาสวะอีก น้าภูติเล่นอ่านท่อนเดียว แล้วยกเอาท่อนนั้นมาตอบ
    ในลักษณะซีล็อกมาทั้งดุ้น

    น้าภูติอย่าหาว่าเด็กลามปามริอาจสอนผู้ใหญ่ ในมหาจัตตารีฯ
    น้าภูติต้องทำความเข้าใจกับ สิ่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวทั้งสามอย่าง
    คือ มิจฉาหนึ่งและสัมมาอีกสอง ทั้งสามนี้มันช่วยอธิบายความให้กันและกัน
     
  17. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    แหม่ครับ ขอโปรฯครูบาอาจารย์หน่อยก็ไม่ได้ นี่ดีน่ะยังไม่ได้ออกชื่อ
    ถ้าขื่นออกชื่อไปล่ะก็ คงมีอาการความดันหรือหัวใจวายเป็นแน่

    น้าคิดว่า คนที่กำลังขับสิบล้อกับคนที่นั่งเฉยๆแล้วบอกว่ากำลังภาวนา
    น้าภูติว่าการขับสิบล้อให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัย มันง่ายกว่าการนั่ง
    ภาวนาหรือครับ

    จะบอกให้ครับ คนขับสิบล้อน่ะ ถ้าเขารู้จักการทำหน้าที่โดยไม่ขาดตกบกพร่อง
    เขาก็เป็นนักภาวนาตัวยงเลยล่ะครับ
    อย่าลืมครับ ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ได้มีแค่ ตาเถร ยายชีนะครับ
    อย่างเราก็ปฏิบัติได้ การทำงานชนิดใจจดจอกับงานเขาก็เรียก
    การปฏิบัติธรรมครับน้า
    ถ้าน้าภูติว่าการขับสิบล้อที่ผมกล่าวข้างต้น ไม่ใช่การปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน
    ผมก็ว่าตามนั้น แต่ถ้าเอาตามครูบาอาจารย์ที่กล่าวว่า
    การทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม ก็ไม่ใช่อย่างที่น้าพูด
    แหม่ว่อย! เป็นแค่โสดาจะเอามรรคสักกี่องค์ เอาแค่สัมมาทิฐิไปองค์เดียวก็พอแล้ว

    นี่แหล่ะผมถึงบอกว่า อริยมรรคมีองค์แปดเป็นทางเดินของอริยะ
    ผู้ที่มีสัมมาทิฐิแล้วก็เปรียบเหมือนเป็นอริยะเบื้องต้น แต่อริยะเบื้องต้น
    หรือโสดาหรือเหล่าเสขะต่างๆ ยังต้องปฏิบัติให้เกิดมรรคสมังคีอีกครับ

    และหลักการปฏิบัติเบื้องต้นของอริยะก็คือ
    การใช้สติระลึกรู้สัมมาทิฐิโดยอาศัยความเพียร
    สติที่ไประลึกรู้สัมมาทิฐิเรียกว่า...... สัมมาสติ
    ความเพียรในการระลึกรู้สัมมาทิฐิเรียกว่า..... สัมมาวายามะ

    แบบนี้แหล่ะครับ เหมือนกับที่น้ากล่าวหาผม
    "คิดเอง เออเอง"
    ผมเห็นพูดกันให้เกร่อในเว็บนี้ เรื่องมรรคสมังคี
    อันนี้ซิครับ ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นคนขับสิบล้อ หรือตาเถรยายชี

    น้าภูติไม่รู้หรอกหรือครับ เมื่อเกิดมรรคสมังคีแล้วสิ่งที่ตามมา
    ก็คือสัมมาญาณและสัมมาวิมุติ ปัญญาสองตัวหลังนี้เมื่อเกิดกับใคร
    เขาเรียกบุคคลตนนั้นว่า พระอรหันต์นะครับ
    ผมรู้แค่นี้ เดี๋ยวจะมาหาว่าผม เป็นอรหันต์ตั้งเอง อายไอ้หนูโอเด็ดมันครับ
     
  18. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    การกระทำใดๆที่ออกมาในรูปของกายเขาเรียก "กายสังขาร"
    และ ลักษณะความหมายของกายสังขารก็คือ การกระทำอันเกิดจากจิต
    ไปบ่งการกายให้กระทำการใดๆตามแต่ การปรุงแต่งของจิต หรือเรียกว่า
    จิตสังขาร

    การควบคุมหมายถึง เมื่อเกิดจิตสังขารขึ้น ก็ใช้สติควบคุมจิตสังขาร
    ให้ดับลง ไม่สามารถไปบ่งการกายให้เกิดเป็น กายสังขารครับ

    ส่วนที่น้าบอก ผมขน เล็บฟัน มันงอกเอง มันไม่จริงครับ
    ธาตุย่อมเป็นธาตุ ที่มันเพิ่มขึ้น มันเกิดจาก กายสังขารเช่นกัน
    คือ จิตไปสั่งกายให้เอาธาตุในลักษณะการ ดื่มกินเข้าไปเพื่มให้
    กับร่างกาย เมื่อร่างกายขาดความสมดุลย์ในปัจจุบัน กินเข้าไป
    มันก็เพิ่มหรือขยาย ใช้ไปหรือเอาออกมันก็ลด

    สรุปผม ขน เล็บ ฟัน มันไม่ได้เพิ่มของมันเอง
    เมื่อเราเอาเข้าไปมันก็เพิ่มตามเหตุปัจจัย
    และเหตุปัจจัยหลักก็คือ จิตสั่งให้กายตักอาหารใส่ปากครับน้า
     
  19. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ทุกข์เกิดขึ้นเพราะยึดติดเหตุ(ทุกข์) เหตุเกิดขึ้นจากการปรุงแต่ง(สมุทัย)

    ไม่ก่อให้เกิดการปรุงแต่ง(นิโรธ) ด้วยการแยก กาย ใจ จิต(มรรค)

    นี่ใช่อริยสัจสี่ไหมครับ คุณ paetrix สนทนาเชิงธรรมครับ

    สาธุครับ
     
  20. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาสาธุครับ คุณ @ sookjai

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...