ละชั่วหรือทำดี สิ่งไหนทำได้ง่ายกว่า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 13 เมษายน 2012.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ู^
    ^
    หลานรัก กำลังจะบอกน้าภูตเป็นนัยๆหรือเปล่าว่าไม่ใช่ปุถุชนแล้ว
    จึงทำให้คนอย่างน้าภูต"ที่ยังต้องสดับ ยังต้องกระทำให้ตื้น"
    เป็นมึนไปกับคำตอบ ที่หลานรักตอบมา หรืออาจสูงเกินไปก็ได้
    แล้วแบบนี้หละ ใช่แบบที่หลานรักตอบจากภูมิธรรมอันสูงสงใช่หรือไม่?
    หรือน้าภูตไม่เข้าใจเอง น้าภูตก็ลองพยายามทำความเข้าใจแล้วนะว่าไม่ใช่คำตอบ

    V
    v
    ู^
    ^
    แบบนี้หรือหลานรักที่เรียกว่าตอบ
    แบบนี้ชาวบ้านเค้าเรียกว่าอยากพูดในสิ่งตนเองอยากพูดใช่หรือไม่?
    ส่วนผลที่ตามมาจากการที่มรรคสมังคีนั้น หาอ่านเอาเองได้
    ที่น้าภูตถามไปนั้น ถ้ามีภูมธรรมชั้นสูงย่อมตอบได้อยู่แล้ว ไม่ออกนอกประเด็น
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    หลานรักคนเก่ง

    ศีลคือ ข้อห้ามทางกายเท่านั้น การละอกุศลทางกาย วาจา ใจไม่เกี่ยวกับศีล

    ปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส ไม่มีสิทธิ์ เริ่มปฏิบัติมรรคมีองค์แปด
    ต้องเป็นอริยบุคคลระดับแรกเท่านั้นจึงจะเริ่มได้ใช่หรือไม่?
    ตอบด้วยว่าใช่เพราะอะไร? ไม่ใช่เพราะอะไร?


    การจัดเข้าหมวดหมู่นั้น เพื่อค้นหาง่ายเท่านั้น

    น้าก็บอกแล้วว่าการสร้างกุศลขึ้นที่จิต ล้วนเป็นศีลที่เป็นเบื้องต้นของสิกขาทั้งสิ้น

    หลานรักกำลังจะบอกใช่มั้ยว่า ศีล กับ สัมมาวาจาเป็นคนละเรื่องกัน
    หลานรัก ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะลื่นเหลือล้น กะล่อนเหลือหลาย


    ^
    ^

    หลานรัก ที่เป็นศิษย์รักของพระพุทธองค์
    แต่กลับกล้ายัดคำว่า"มิจฉาทิฐิให้อาจารย์อันเป็นที่รัก
    ตอนนี้กำลังคุยเรื่องศีลสิกขาแล้วใช่มั้ยจ๊ะ
    คงไม่ใช่สัมมาวาจาอย่างที่หลานรักต้องการนะ

    เพราะสัมมาวาจาที่เป็นมรรคของพระอริยะที่เป็นอนาสวะนั้น
    ไม่ใช่ศีลเสียแล้ว เพราะหลานรักต้องการแยกออกจากกันใช่หรือไม่?
    เมื่อต้องที่จะพูดเพื่อเอาชนะคะคานทางคำพูดเท่านั้น

    น้าเป็นครูสอนภาษาไม่ได้หรอก เพราะอาจจะได้.....ลูกศิษย์จอมกะล่อน
    หลานรักผู้เก่งภาษา รู้จักคำว่า "ให้ผลต่อขันธ์"นั้น คืออะไร?
    ถ้ายังไม่เข้าใจลึกซึ้งก็อย่างเดาสวดเลย ไม่เกี่ยวกับทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

    จะสนทนากับน้าภูตต้องใจเย็นๆ อย่าเอามันเข้าว่า จะเสียประโยชน์
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    [๒๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
    เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความงด ความเว้น
    ความเว้นขาด เจตนางดเว้น จากวจีทุจริตทั้ง ๔ ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิต
    หาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมาวาจา
    ของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ

    ^
    ^
    หลานรักคนเก่งช่วยตอบให้ชื่นใจหน่อยสิว่า
    ระว่างอนาสวะกับสาสวะต่างกันตรงไหน?
    อย่าบอกนะว่า งดได้แล้วกับกำลังจะงดได้ หรือที่เรียกว่า"เจตนาจะงด"

    พระพุทธพจน์ชัดเจนไม่ต้องตีความใดๆ
    แต่มีศิษย์รักคนเก่งที่ชอบตีความตามชอบใจ

    [๒๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาที่ยังเป็นสาสวะ
    เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ เจตนางดเว้น


    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    หลานรัก หลานกำลังจะบอกน้าภูตใช่มั้ยว่า
    การที่คนเราที่ทำอะไรๆอยู่นั้น ล้วนเป็นสมาธิใช่หรือไม่?

    การขับรถสิบล้อไปให้ถึงปลายทางเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่?
    แล้วพวกคนที่กินเหล้าเมายา กลับให้ถึงบ้านด้วยความปลอดภัยเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่?

    หลานรักบอกเองว่าคนขับรถสิบล้อก็มีสัมมาทิฐิ
    ก็แสดงว่าคนขับรถสิบล้อเป็นพระโสดาบันแล้วใช่หรือไม่?

    แบบนี้คนกินหล้าเมายาก็มีสัมมาทิฐิด้วยใช่หรือไม่?
    เมื่อหลานรักบอกว่า ถ้าคนเรารู้จักทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง
    เขาก็เป็นนักภาวนาตัวยงเลยล่ะครับ

    แล้วขโมยขโจร นักฆ่า ตัดช่อง ย่องเบา ที่รู้จักหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่องหละ?
    เป็นนักภาวนาตัวยงกับเขาด้วยใช่หรือไม่?

    อย่าลืมว่า หลานรักชอบบอกว่า น้าภูตไม่เข้าใจคำตอบเอง
    ฉะนั้น ที่น้าภูตถามไปว่าใช่หรือไม่นั้น
    ถ้าใช่เพราะอะไร? ถ้าไม่ใช่เพราะอะไร?

    จะได้ไม่สับสนว่านั่นตอบไปหรือยัง
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    ว่าไงศิษย์รักของพระพุทธองค์ ที่เก่งเกินพระบรมศาสดาของตนเอง
    ถ้าวันหลังจะบัญญัติธรรมอะไรๆขึ้นมาเองตามชอบใจ
    หรือเป็นเพราะอยากจะโชว์ภูมิธรรมก็ไม่รู้ได้(อายหว่ะ)

    ก็หัดรู้จักเกรงใจคนอ่านบ้างก็ดีนะ
    ถามว่า สัมมาทิฐิคือรู้จักอริยสัจ๔ตามความเป็นจริงใช่หรือไม่?
    และแน่ใจนะว่า พระโสดาบันนั้นเอาแค่องค์เดียวก็พอ ที่เหลือไม่ต้อง
    นี่บัญญัติขึ้นมาเองใช่หรือไม่?
    แล้วไอ้ที่ว่าเอาแค่องค์เดียวก็พอนั้นหนะ สัมมาทิฐิมาจากไหน?
    อย่าบอกนะผุดขึ้นมาเองตามชอบใจเพียงรู้จักทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง
    หรืออ่านๆและจำๆเอาก็ได้ใช่หรือไม่?

    ถ้าอยากอวดรู้อะไร ที่เกินกว่าพระบรมศาสดาตรัสไว้แล้วละก้อ
    อย่าเอาพระสูตรมาแอบอ้างให้เห็นอีกเด็ดขาด
    นี่เป็นคำขาด สำหรับหลานรักที่เป็นศิษย์รักของพระพุทธองค์

    ทำไมจะต้องใช้สติระลึกรู้ที่สัมมาทิฐิหละ? เพราะอะไร? เมื่อเป็นสัมมาทิฐิไปแล้ว?
    สติที่จะจัดเป็นสัมมาสติได้นั้น ต้องระลึกอยู่ที่ไหน? คนเก่งที่ชอบบัญญัติธรรมเอง ตอบด้วย

    แล้วทำไมสัมมาวายามะต้องไปเพียรระลึกรู้ที่สัมมาทิฐิด้วยหละ?
    เป็นสัมมาทิฐิไปแล้วไม่ใช่หรือ? งง
    สัมมาวายามะนั้นเป็นการเพียรประคองจิต ให้ละอกุศล และสร้างกุศลที่สัมมาทิฐิหรือ? งง
    หลานรัก ตรงนี้สำคัญมาก ต้องตอบชัดๆด้วย อย่าออกนอกประเด็นนะคนเก่ง
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    ถ้าจะลอกตำรามาตอบ ไม่ต้องตอบก็ได้ไม่มีใครว่า....หรอก
    อวัยวะภายในที่กำลังทำหน้าที่ของตนเองอยู่นั้น ใช่กายสังขารหรือไม่?
    แล้วใครสั่งให้มันทำงานหละ? อย่างบอกนะว่าจิตสั่ง มันจึงจะยอมทำงาน?

    หลานรัก หลานกำลังเข้าสู่โหมดต้องการชนะโดยไม่เอาเหตุผลเลยนะ
    ลองกินมาจนอิ่มแป่ชนิดยัดยังไงก็ยัดไม่ลงอีกแล้ว
    ลองให้จิตสั่งกายดูสิว่าจะยอมตักอาหารใส่ปากอีกหรือเปล่า?
    กายสังขารก็คือธาตุผสมปรุงแต่งกันขึ้นมาตามกำลัง ซึ่งมีชีวิตเป็นปัจจัย

    กายสังขารในส่วนที่เป็นปัจจัยที่เป็นไปตามหน้าที่ของตนนั้น ควบคุมไม่ได้
    ต้องแยกออกจาก ปัจจัยที่เข้ามาปรุงแต่ง ที่จิตควบคุมได้ออกจากกัน

    เพราะมีชีวิตเป็นปัจจัย ความเป็นไปจึงเกิดขึ้นที่จิตเนื่องจาก กิเลส กรรม วิบากใช่หรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ..............ผมคงตอบไม่ได้อยู่แล้วว่าใช่หรือเปล่า...แต่ทุกข์ควรกำหนดรู้เพราะบางที่ เราจะหลงลืมหรือไม่รู้ว่า ที่เราประสพอยู่ เสพ เสวยอยู่ คือทุกข์...คือ ปัญจุปาทานักขันธิ์ ขันธิ์5และ อุปาทานขันธิ์5......:cool:
     
  8. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    น้าภูติครับ น้าไปเอาอะไรมาตัดแปะครับ คำตอบของผมที่เอามาอ้างอิงน่ะ
    น้าภูติสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วนะครับ

    คำตอบผมด้านบนเป็น คำตอบในส่วนที่น้าถามผมเรื่อง
    ทางเดินของอริยะนะครับ นี่เป็นส่วนที่อธิบายเพิ่มเติม

    น้าภูติครับส่วนไหนที่ผมเห็นว่า ไม่คุยธรรมกันแบบตรงไปตรงมา
    ผมก็ขอผ่านนะครับ
     
  9. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    กุศลและอกุศล มันเกิดที่ใจครับน้า
    เอาง่ายๆก่อนเพราะรู้สึกว่า แม้กระทั้งคำว่ากิเลส น้าก็ยังไม่เข้าใจ
    กิเลสน้าเข้าใจว่าอะไรครับ พระอนาคาก็ยังมีกิเลสนะครับ

    ปุถุชนไม่สามารถปฏิบัติ อริยะมรรค ให้เกิดมรรคสมังคีได้เพราะ
    การปฏิบัติมรรคมีองค์แปดจะต้องอาศัย สัมมาทิฐิเป็นประธาน
    เป็นตัวนำ(ไปดูในมหาจัตตารี) ดังนั้นปุถุชนต้องปฏิบัติเรื่อง
    ทาน ศีล ภาวนา(สติ)ให้เกิดสัมมาทิฐิเสียก่อน
    ศีลกับสัมมาวาจาโลกียะ เป็นเรื่องเดียวกัน
    เพียงแต่สัมมาวาจา มีข้อควรปฏิบัติเพิ่มเข้ามา

    ส่วนเรื่องของสัมมาวาจาที่เป็นโลกุตตระนั้น เข้าใจในศีล
    แต่ไม่ยึด น้าภูติรู้จักกิเลสที่เรียกว่า ศีลพรตปรามาสมั้ยล่ะ
    น้าภูติครับ ความเห็นของผมอันไหน ที่น้าไม่ยอมรับก็ผ่านๆมันไปเถอะครับ
    ผมไม่ถือสาหรอกครับ
    แบบนี้ใจเย็นพอหรือยังครับ
     
  10. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การรู้เห็นทุกข์ ในทุกขณะจิต บ่งชี้ให้เห็นว่ามี"สติ"ที่ดีครับ

    การมีชีวิตก็เป็นทุกข์มากแล้วครับ ยิ่งประสพพบเจอในสิ่งที่ก่อให้เกิดทุกข์

    ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้นไปอีก แต่หากไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไปดับตั้งแต่ทุกข์ยังไม่เกิดขึ้น

    ย่อมไม่เป็นทุกข์ครับ ที่สุดแห่งกองทุกข์มีการปรุงแต่งเป็นพื้นฐานครับ

    สาธุครับ
     
  11. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    สงสัยน้าภูติเล่นผีถ้วยแก้วแหง่ๆ ถ้วยมันเลื่อนมาอยู่ตรง
    เจตนางดเว้นใช่มั้ย ล้อเล่นครับ อันไหนอธิบายพอเข้าใจก็จะอธิบาย
    อันไหนอธิบายแล้วไม่เข้าใจแถมจะมีรื่องตามมาก็ขอผ่านครับ
     
  12. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    ฟังใหม่นะครับ ที่ถามผมว่า สัมมาทิฐิเกิดได้ไง ผมก็บอกเป็นกลายๆ
    หรือเปรียบเทียบให้ฟัง แท้จริงแล้วมันก็เป็นเรื่องของสติและสมาธิล้วนๆ

    ผมไม่ได้บอกว่า คนขับสิบล้อมีสัมมาทิฐิ เพียงแต่ชี้ให้ดูว่า วิธีการหรือ
    งานของคนขับสิบล้อ ต้องใช้สติและสมาธิสูงครับ
    ถ้าคนขับสิบล้อ มีใจที่จะปฏิบัติธรรมหรือต้องการที่จะได้สัมมาทิฐิ
    คนขับสิบล้อย่อมต้องเกิดผลมากกว่าคนที่นั่งหลับตา แล้วบอกว่ากำลัง
    ภาวนาครับ
    คหนี้ บ๊าย บ่ายครับ!!


    อ้าว! แล้วไม่ต้องอธิบายความเลยหรือครับ
     
  13. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    ก็ผมบอกน้าตั้งแต่ต้นแล้วว่าอย่าตัดเอาพระสูตรมาเป็นท่อนๆ
    แล้วที่นี่ยังไงล่ะ เอามาย้อนว่าผมแปลกดีครับ

    ในองค์มรรคที่เป็นสัมมาทิฐิ องค์เดียวมันละสังโยชน์ได้สามตัวนะครับ
    มันไม่ใช่มีแค่สัมมาทิฐิ ในสัมมาทิฐิเป็นเหตุปัจจัยก็เกิดผลตามมาตั้งมากมาย
    ผมว่าเป็นน้าเองที่ต้องหัดเกรงใจ คนแสดงความเห็น มันเป็นเพียงความเห็น
    ส่วนตัว เข้าใจมั้ย ผมไม่ได้มาบังคับใครให้เชื่อตามผมน่ะบอกให้ก่อน
    ผมไม่ได้เอาพระสูตรมาแอบอ้างซะหน่อย น้าภูติเองที่เอาพระสูตรมาโพส
    ผมเห็นว่าเอามาไม่หมด ก็เลยบอกแค่นั้น ถ้าดูตามลักษณะผมว่า
    คนที่แอบอ้างน่าจะเป็นคนที่เอามาโพสเป็นท่อนๆมากกว่าครับ

    สงสัยน้าจะไม่เข้าใจเรื่องสภาวะธรรม ความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนาม
    หรือขันธ์ห้า สัมมาทิฐิเป็นปัญญาเมื่อเกิดแล้วก็ดับแปรเปลี่ยนเป็นสัญญา
    ดังนั้นจึงต้องใช้สติหมั่นระลึกรู้

    สติที่จัดเป็นสัมมาสติได้ต้องระลึกรู้สัมมาทิฐิมาพิจารณาหรือวิปัสสนารูปนาม
    ตามความเป็นจริง หรือที่เรียกว่า สติปัฏฐาน
    ถ้าน้าพอเข้าใจเรื่องปฏิจสมุบาท น้าก็จะรู้ว่าทุกข์มันมีเหตุปัจจัยมาจาก
    รูปนาม ผัสสะต่างๆ ในวันหนึ่งเราได้รับผัสสะตั้งมากมาย ทุกข์มันก็ตามมา
    มากเช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องมั่นทำวิปัสสนา ซึ่งต้องใช้สติที่ต่อเนื่อง
    และการจะให้มีสติที่ต้องเนื่องมันต้องอาศัยความเพียร

    ความหมายของน้าที่บอกเพียรประคองจิตให้ละอกุศลและสร้างอกุศล
    นั้นก็คือ การหมั่นมีสติระลึกรู้สัมมาทิฐิไง ทั้งสติและสัมมาทิฐิเป็นกุศลล้วนๆ
     
  14. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    น้าภูติครับ น้าอย่าเอาเรื่องธาตุสี่ กับเรื่องสังขารมามั่วกันแบบนี้ซิครับ
    ไม่ใช่อะไรหรอกมันจะเป็นผลเสียกับน้าเองนะครับ

    อวัยวะภายในบางส่วนที่มันทำงานเอง มันก็เป็นเรื่องปฏิกิริยาของธาตุครับ
    มันไม่เกี่ยวกับสังขารขันธ์ที่เราว่า ที่อวัยวะมันทำงานของมันเองเพราะมันมีปัจจัยภายนอกทำครับ ไม่ใช่อยู่ดีๆมันก็ทำของมันเองได้

    น้าภูติครับ หัวใจที่มันเต้นๆอยู่เนี่ยถ้าไม่มีอ๊อกซิเจนหรืออากาศเข้าไป
    มันยังจะเต้นอยู่มั้ยครับ คิดซิคิด
    น้านี่ไม่รู้เรื่องเลย จิตมันเป็นสภาวะที่มีเหตุปัจจัยมาจากผัสสะ
    มันจะสั่งไม่สั่งมันอยู่ที่การปรุงแต่งหรือจิตสังขาร และกายสังขารมันก็เป็นผล
    ที่เกิดจากจิตสังขาร ถ้าจิตสังขารกำลังปรุงแต่งโทสะ จะให้กายสังขารเป็นผล
    จากโลภะ น้าเมาดินสอพองสงกรานต์หรือเปล่าครับ

    กายสังขารเกิดจากจิตสังขาร กายที่ไม่ได้เกิดจากจิตสังขาร
    เขาเรียกว่า ธาตุสี่

    ไม่ใช่ กิเลสเป็นปัจจัยให้เกิดชีวิต ชีวิตคือวิบาก
    กรรมคือความยึดมั่นถือมั่น
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    หลานรัก ถ้าต้องการสนทนาธรรม เพียงเพื่อคะนองปากเท่านั้น

    เดี๋ยวน้าภูตจัดให้ ตอนนี้เอาแค่ที่ได้ผ่านตา

    แล้วรู้สึกว่ามั่วเอาตามตำราที่อ่านและจำมาพูด

    น้าภูตก็จะจัดให้ก่อน ปกติน้าภูตชอบ(ขี้)เกรงใจเป็นพื้นฐาน

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    น้าภูตไม่แปลกใจเลย ทำไมหลานรักพูดแบบนกแก้วนกขุนทอง

    โดยไม่ดูเลยว่า ที่พูดสภาวะธรรมมานั้น เป็นการจำจากตำรามาพูด

    หลานรักระวังเกิดมาชาติหน้าจะเหมือนปลาที่สวยแต่รูปในพระสูตรหละ

    สัมมาทิฐิ คือความเห็นชอบ จัดเป็นหมวดปัญญาใช่หรือไม่?

    หลานรักการตอบว่าใช่เพราะอะไร? ไม่ใช่เพราะอะไร?

    นั่นคือการอธิบายความอย่างชัดเจน ไม่มีการซ่อนเงื่อนใดๆรู้หรือเปล่า?

    ความเห็นชอบ ก็ยังมีระดับในความเห็นชอบนั้น เช่นกัน

    หลานรัก ถ้าความเห็นชอบที่ยังเป็นสัญญาอยู่นั้น

    เค้าไม่เรียกว่าเห็นชอบแล้ว เค้าเรียกว่ารู้เห็นตามนั้นที่จำมา

    ถ้าเป็นปัญญาที่แท้จริงแล้ว ไม่ต้องจำ(สัญญา)อีกแล้ว

    เพราะรู้แล้วเข้าใจแล้ว ไม่ต้องมาจำ(สัญญา)ให้เสียเวลาอีกแล้ว

    เมื่อรู้แล้วเข้าใจแล้ว ยังจะต้องไประลึกรู้อีกทำไมใช่หรือไม่?

    และการระลึกรู้ที่จะเป็นสัมมาสติได้นั้น

    ต้องระลึกรู้ อยู่ที่กาย เวทนา จิตและธรรม จนระลึกรู้ได้แล้วเท่านั้น

    ไม่มีพระพุททธพจน์ที่ทรงตรัสให้ระลึกรู้อยู่ที่สัมมาทิฐิเลย หลานรัก

    ถ้าอยากจะเดาสวดอวดมั่ว ก็เคารพคนอ่านบ้างนะ หลานรักคนดี คนเก่ง

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    v
    v
    น้าภูตถามหลานรัก คนเก่งเรื่องสภาวะธรรมตอบว่า

    ^
    ^
    น้าภูตก็สงสัยว่าหลานรักนักปฏิบัติตัวยงตอบตรงไหน คำตอบที่ได้
    V
    V
    ^
    ^
    อูว์ได้ใจจริง ถามไปไหนมา? ตอบว่าสามวาสองศอก

    แถมศอกกลับน้าภูตอีกดอกว่า "สติไม่อยู่เนื้อกับตัว"

    ใช่!!! ของน้าภูต "สติอยู่ที่ฐาน" 55+

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    หลานรัก มาblack to basic ดีกว่านะ
    เริ่มที่น้าภูต เขียนบทความไว้ว่า อริยมรรคคือ "ทางเดินสู่ความเป็นอริยะ"
    แต่หลานรักผู้แน่นในตำราบอกว่า ต้องแปลว่า "ทางเดินของพระอริยะ"

    น้าภูตรู้สึกถามไปว่า(จากความจำ) ถ้าเป็น"ทางเดินของพระอริยะเท่านั้น"
    อย่างนั้นไปไหนก็ต้องเอาติดตัวไปด้วยสิ
    คำตอบที่ได้ กลับวกมาที่สัมมาทิฐิเป็นที่เริ่มต้นของพระโสดาบัน
    และอีกหลายคำตอบในตอนหลังๆอีกมากมายที่มารองรับทิฐิของตนเอง

    ทั้งที่พระพุทธองค์ท่านก็ทรงตรัสสั่งสอนชัดเจนแล้วว่า
    ใครอยากเป็นเป็นอริยบุคคลต้องเดินทางนี้ และเป็นทางเดียวเท่านั้น
    ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว เพื่อควาหลุดพ้นของสัตว์(ผู้ติดข้องในอารมณ์)ทั้งหลาย

    ชัดๆนะว่า สัตว์ที่ติดข้อง(ปุถุชน)ต้องเดินมาทางนี้ใช่หรือไม่?
    แต่หลานรักดันไพล่ให้เป็นเป็นทางเดินเฉพาะพระอริยะเท่านั้นที่เดินได้
    ยอมตัดสิทธิ์ของปุถุชนคนอึเหม็น ให้หมดสิทธิ์ที่จะเดินทางนี้ ทั้งที่มีทางเดียว

    พระพุทธพจน์ชัดเจน ขนาดที่ไม่ต้องตีความใดๆ
    พระพุทธองค์ทรงชี้เหตุความหลุดพ้น หลุดพ้นแล้วไม่ต้องพกมรรคไปด้วย
    ส่วนหลานรักพยายามชี้ให้เห็นแต่ที่เกิดเป็นผลแล้ว เพราะแบกมรรคไปด้วย

    เมื่อพูดถึงตรงนี่ขอรวมเรื่องที่หลานรักกล่าวหาน้าภูตว่า
    ชอบยกพระสูตรเพียงบางส่วน ทำให้คนอ่านสับสน
    หลานรักก็ยกตัวอยากมหาจัตตารีสกสูตรมาว่ากล่าว

    เรื่องนี้ ถ้าคนอ่านเป็นผู้ที่มีใจเป็นธรรม ไม่มีอคตินำก็จะเห็นชัดว่า
    ที่น้าภูตเมื่อกล่าวถึงพระพุทธพจน์มารับรองกับบทความตนเองนั้น
    มักบอกที่มาที่ไปให้รู้ว่าอยู่ในสูตร เพื่อง่ายต่อการค้นหาเพื่อไปอ่านพระสูตรเต็มๆ

    ถ้ายกพระพุทธพจน์ในพระสูตรมารับรองโดยตรง ก็จะคัดเฉพาะในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ
    พร้อมทั้งทำลิ้งค์ เพื่อให้ตามไปอ่านว่า น้าภูตยกเมฆมาเองตามชอบใจหรือไม่?

    โดยเฉพาะในมหาจัตตารีสกสูตรนั้น ขึ้นต้นในพระสูตร
    พระพุทธองค์ทรงเน้นชัดๆว่า "สัมมาสมาธิ"เป็นใหญ่เป็นประธานของการเข้าถึง
    โดยพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    ย่อมเชื่อได้ว่า มีทั้งภิกษุที่เป็นพระอริยะบุคคลและภิกษุที่กำลังศึกษาอยู่ใช่หรือไม่?

    แต่หลานรักก็พยายามบิดเบือนว่า "ต้องเป็นของพระอริยะเท่านั้น"
    แต่ก็ยังเปิดทางให้ตนเองอีกว่า พระพุทธองค์ทรงสอน ทั้งสัมมาและมิจฉา
    ส่วนสัมมายังถูกแบ่งแยกเป็นพวกอนาสวะ กับสาสวะ ว่าสอนไม่เหมือนกัน

    น้าภูตสงสัยจริงจริงๆว่า มันต่างกันตรงไหนระหว่างอนาสวะกับสาสวะ
    อนาสวะนั้น เป็นพวกผ่านพ้นเรียบร้อยแล้ว เพราะทำตามคำสั่งสอนนั้น
    ส่วนสาสวะนั้น กำลังพยายามทำตามคำสอนนั้น เพื่อจะผ่านพ้นไปให้ได้ใช่หรือไม่์?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน


    ปล.เดี๋ยวบ่ายๆจะมาต่อซี่รี่ย์ของหลานรัก ที่อ้างว่าเป็นศิษย์รักของ..แต่คิดจะล้ม....
     
  19. แท้กลาง

    แท้กลาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +2
    ไม่ใช่ในมหาจัตตารีพระพุทธเจ้าทรงสอน อริยมรรคมีองค์แปดกับ
    บรรดาอริยสาวก
    พระองค์ไม่ได้อย่างนั้นซะหน่อย น้าภูติอย่ามั่วบิดเบือนพุทธพจน์

    พระพุทธองค์กล่าวว่า "สัมมาทิฐิของพระอริยะ"
    และพระพุทธองค์ยังกล่าวอีกว่า
    " องค์มรรคทั้งเจ็ดสัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน "

    ดูจากคำตรัสนี้แล้วก็หมายความว่า การจะปฏิบัติมรรคมีองค์แปดย่อมต้องมี
    สัมมาทิฐิเสียก่อน และผู้มีสัมมาทิฐิก็ได้ชื่อว่าพระอริยะ ดังนั้นปุถุชนย่อม
    ต้องปฏิบัติให้ได้มาซึ่ง สัมมาทิฐิเสียก่อน

    สรุปก็คือพระอริยะองค์ใดอยากหลุดพ้นไปนิพพาน ให้เดินทางนี้ ก็คืออริยมรรค
    มีองค์แปด จึงต้องเรียกว่าทางเดินของอริยะ

    ส่วนปุถุชนต้องปฏิบัติ ในเรื่องทาน ศีลและภาวนา(สติ)เพื่อให้ได้สัมมาทิฐิ
    แบบนี้จึงเรียกว่า ทางเดินไปสู่อริยะ
    ใครจะไปตัดสิทธิ์ครับ เพียงแต่ไม่อยากให้ปุถุชนบางคนที่ชอบมักง่าย
    เขามีทางให้เดินไม่เดิน ชอบไปทางลัด ไม่รู้หรอกว่า มันมีอึตัวเอง
    ที่แอบมาขี้ทิ้งไว้ด้วยความมักง่ายเลยเหยียบไปโดยไม่รู้ตัว

    พระพุทธองค์ท่านทรงให้ปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอนครับ
    อรหันต์ไม่มีการสอบเทียบพาสชั้นนะครับ อริยชนทั้งสี่ระดับ
    เขามีสังโยชน์เป็นเครื่องกำหนด ไม่ใช่มีความรู้ความจำในเรื่องมรรค
    เป็นเครื่องกำหนดน่ะน้าภูติ

    น้าเนี่ยเข้าใจหรือเปล่าว่า อริยชนมีสี่ระดับ แล้วอริยชนที่ไหนเขาแบกมรรค
    ไอ้ที่อยู่บนหลังอริยชนนอกจากพระอรหันต์ ที่ต้องแบกอยู่มันเป็น
    กิเลสสังโยชน์ มันอยู่ที่อริยชนระดับไหนแบกมากแบกน้อย

    น้าพูดกันดีๆอย่ามั่วใส่ความ ใครให้แบกมรรค
    ประโยคนี้ผมงงครับ ในมหาจัตตารีฯ สัมมาทิฐิเป็นใหญ่เป็นประธาน
    ไม่ใช่สัมมาสมาธินะครับ

    แล้วการที่น้าเอาเรื่อง ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าสาวกตัวเองว่า ภิกษุนี่
    น้าไปคิดตามความเป็นจริงซิว่า มันจะมีอาจารย์ที่ไหนต้องมายกย่อง
    ลูกศิษย์ตัวเอง จะดูสาระมันต้องดูที่เนื้อหาที่พระองค์ทรงสอนครับ

    ตัวอย่างก็มีให้ดู ครูสอนเด็กประถม ท่านก็เรียกเด็กป.1กับเด็กป.6ว่า
    เด็กๆหรือไม่ก็นักเรียน
    ผมไม่เคยได้ยินว่า ครูเรียกเด็กป.1ว่าเด็กๆแล้วเรียก
    เด็กป.6ว่า นักเรียนป.6เลยครับ

    หรือไม่ก็ อาจารย์ที่สอนตามมหาวิทยาลัย ท่านก็เรียกนักศึกษาป.ตรี ป.โท
    ว่า นักศึกษาเหมือนกัน .. คิดซิครับคิด
    น้าภูติครับ ง่ายๆและสั้นๆครับ พระพุทธองค์ยกเอา มิจฉาหนึ่ง
    และสัมมาอีกสอง ขึ้นมาเพื่อสอนเพี่อให้เปรียบเทียบให้รู้และไม่ให้ไป
    ยึดมั่นในมิจฉาและสัมมาที่เป็นสาสวะ อย่าลืมครับถึงแม้สาวก
    ที่พระองค์ทรงสอนจะมีสัมมาทิฐิแล้ว แต่ยังมีกิเลสหรือสังโยชน์บางตัว
    อยู่นะครับ ในมหาจัตตารีฯ เป็นคำสอนที่ดับสังโยชน์ทั้งหมด
    หมายความว่าปฏิบัติอริยมรรคมีองค์แปดจนได้สัมมาญาณจนเป็น
    สัมมาวิมุติหรือเรียกว่าอรหันต์นั้นแหล่ะครับ
     
  20. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    :'( เหมือนเดิม
     

แชร์หน้านี้

Loading...