ขอทราบครับว่าท่านใช้เวลาเท่าไหร่จนกว่าจะหายจากการปรามาสพระรัตนตรัย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 11 เมษายน 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ตรงสีแดงนี่ พี่เล่าปังพอจะบอกได้ไหมครับ ท่านทรงขณะที่โดนตี หรือก่อนหน้่า
    จริงๆก็ถามตรงๆว่า ท่านเห็นกรรมก่อนไหม
    ลึกลงอีกท่านแจ้งในกรรมของตนก่อนไหมครับ
     
  2. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,940
    ตามอรรถกถา แรกๆ นี่ไม่แจ้ง พอรู้ว่าจะมาดักตี ก็ เหาะหนีไปเลย
    เหาะหนีอยู่หลายครั้ง พระพุทธองค์จึงเตือนว่า "อย่าทำอะไรด้วยอาการ
    อาสวะ อนุสัยไม่สิ้น" จึงได้ตรวจญาณ ก็พบว่า เป็นเรื่องบุพกรรม

    จึงได้ยอมให้เขาตี จนร่างกายแหลกเหลว

    พอรวบรวมกายด้วยกำลังฌาณ ก็ตรวจใหม่ จึงพบว่า ไม่ได้แก้กรรมอะไรเลย
    ยังต้องโดนตีเช่นนี้อีกในวันข้างหน้า เรื่อยไป จึงได้เข้าเฝ้าทูลลาปรินิพพาน
     
  3. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    พอกลับมาพี่เค้าก็เรียนถามหลวงปู่บุดดาว่าทำไมลูกถึงเป็นยังงี้ ทำยังไงดี หลวงปู่บอกว่าให้
    ควรจะเอาหลักข้างบนไปใช้ให้มากๆนะ
    ส่วนที่ตอบกลับตัวให้เกิดทัศนคติที่เปนแง่บวกที่ใช้อยู่นั้นโดยใช้ตอนที่ความคิดเริ่มปรามาส ถือว่าทำได้ดีแล้ว ศรัทธาและความตั้งมั่นแห่งจิตจะได้ไม่ง่อนแง่น คนเรามันมีหลายมารมาก่อกวนเวลาจิตจะเิริ่มสงบไม่ก้ตอนกำลังทำความดีอยู่ การให้เหตุผลที่ดีตอบกลับตัวเอง ก้ทำให้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งความคิดที่ปรามาสทำให้เสียสมาธิได้ง่าย ฟุ้งซ่านง่ายยิ่งต้องปรามมันให้หนัก แต่ก้ต้องใช้เวลา เพราะกิเลสพวกมันรุ้ทันใจเรา แต่เราไม่ค่อยจะรู้ทันมัน เราก้เลยต้องเปนยังงี้ เพราะมันเก่งกว่า ให้ฝึกตามคติที่หลวงปู่บุดดาแนะนำไว้นะ...จะได้ไม่เสียเวลา
     
  4. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    อนุโมทนาทุกท่านครับ

    ผมมีวิธีแก้ความคิดปรามาสพระรัตนตรัย

    เมื่อกล่าวคำถวายพระพุทธ ให้ระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านต้องลำบากค้นหาธรรมจนสามารถหลุดพ้นด้วยตนเอง และยังเมตตาออกสั่งสอนสัตว์ทั้งหลายในทางที่ประเสริฐนี้ (ผมใช้นึกถึงภาพของพระพุทธรูปปางที่ผมสามารถนึกได้ชัดด้วย)

    เมื่อกล่าวคำถวายพระธรรม ให้ระลึกถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ที่ทำให้เราหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้จริง

    เมื่อกล่าวคำถวายพระสงฆ์ ให้ระลึกถึงพระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ที่เราเคารพศรัทธา ที่ท่านสามารถปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ จนหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ และยังเมตตาช่วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการออกสั่งสอนสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย (ผมใช้นึกถึงภาพของครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพด้วย)

    เมื่อไหร่ที่เราระลึกจนเข้าไปถึงในดวงจิตแล้ว การปรามาสจะไม่เกิด และจะเกิดอารมณ์ที่มีแต่สุขอิ่มเอิบปิติเมื่อระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    เจริญในธรรมครับ
     
  5. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +1,459
    กิเลสมันอยากปรามาสพระรัตนตรัย
    เราก็แก้มัน เราสรรเสริญพระรัตนตรัย แก้กิเลส
    กิเลสยิ่งปรามาสเท่าใด
    เรายิ่งต้องสรรเสริญให้มากกว่ามันครับ
    เราไม่ยอมมันล่ะกิเลสมันปรามาสมาสาม
    เราสรรเสริญไปสิบ แข่งกับกิเลสมันแบบนี้ล่ะครับ
     
  6. บุญน้อมนำ

    บุญน้อมนำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +101
    วางใจเป็นกลาง ไม่ยินดียินร้ายใดๆ สนใจตามดูแต่ตนเองและพิจารณาดู หาเหตุและผล และเพื่ออะไร แล้วได้อะไร แล้วทุกข์ไหม ..ลองทำดูนะคะ เพราะทุกอย่างมันก็เกิดที่ตัวเราเองนะแหละค่ะ
     
  7. blank123

    blank123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +229


    อะโหยยยย ปรามาสพระรัตนตรัยแค่เนี๊ยะอ่ะนะ
    จา วิตกจริตคิดมาก หั้ยดากอักเสบ ทำไมว้าาาา
    เฮ้ยยยย เรื่องจิ๊บ ๆ ว่ะ ไอ้นู๋

    ม่ะเชื่อ ดู สองลิ้งค์เนี๊ยะ

    ปรามาสชาดก

    ลามปาม

    อิอิ พูดแร้วจาหาว่าโม้ ตัวแม่อย่างเจ้
    โดนใบแดงข้อหา ปรามาส มาเป็นโหล
    ตรูยังม่ะลู้สึกระคายผิวเรยฮ่ะ
    แถม การปฏิบัติก็ก้าวหน้า ด้วยฮ่ะ โฮ่...โฮ่...[​IMG]


    นี่ ๆ รู้ป่ะ อะไรที่ทำให้ อิฉันก้าวไกลไกลได้ถึงเพียงนี้
    ม่ะใช่เพราะ อิฉันแอบยัดใต้โต๊ะติดสินบน สมณะโคดม
    จนเกิด สติแบ่บส้มหล่นพ้นเจตนา
    แล้วได้ เก้าอี้โสดาบัน มาครอบครอง หรอกน้าาาา


    แต่เป็นเพราะ อิฉันสำเหนียกกับคำว่า โยนิโสฯ
    และ รู้จักคุ้ยหา ความจริงในความเชื่อ มาใช้ประโยชน์ตะหากล่ะ


    จะแนะนำ อะไร ให้นะ ไอ้หนู
    เมื่อไร ก็ตามที่เกิดสภาวะจิต
    ที่ปรุงแต่งเป็นความคิดพวกนั้นขึ้นมา
    จง ใช้หลักอิทัปปัจจยตา
    มองหารากเหง้า ของ มโนกรรม ให้ดี
    ว่า กรรมเหล่านั้น มันเกิดขึ้นเพราะอะไรเป็นเหตปัจจัย
    เป็นความดูถูกดูถุยส์ที่ผุดวูบขึ้นมาในใจ
    หรือว่า เป็นข้อกังขาที่สงสัยใคร่รู้ กันแน่ ?


    ถ้า ความคิดนั้น มันเป็นเพียง ข้อกังขาที่สงสัยใคร่รู้
    มันก็ม่ะได้ทำให้โดน ธรณีสูบ แบ่บอิเถรเทวทัต หรอกนะ
    เฮ้ออ สังคมพุทธแท้แบ่บไทย ๆ นี่
    บางทีมันก็ชอบเอา คำว่า

    ปรามาสพระรัตนตรัย นั้นบาปหนา

    มา ยัดใส่หัวชาวบ้านแบ่บสุ่มสี่สุ่มห้า ว่ะ
    สุดท้าย พวกอิอ่อน เอ๊ย เยาวชนของชาติ
    แมร่ง เรยเกิด อุปทานขันทั้ง 5 แบ่บฝังจิตฝังใจ
    คิดว่า พระรัตนตรัยนั้นแตะต้อง มิได้
    ครั้นพอ มันเกิดอาการคับข้องใจ เกิดข้อสงสัยอะไรขึ้นมา
    เก๊าะเรยโดน ศรัทธาง่าว ๆ มันแว้งกัด งี้ไง


    อืม....ถ้าเมื่อไร ศรัทธามันมากล้นเกินพอดี
    คนเรามันก็มักจะ ตาบอด จนหลงลืม
    แล้วทำเป็น มองข้าม ตรรกะ
    และ ข้อเท็จจริง ได้เสมอแหล่ะนะ

    อืม...ถ้าเจ้บอกว่า

    สมณะโคดมนั้นหนา
    ชอบเดินตรีนเปล่า เที่ยวไปขอข้าวชาวบ้านเขากิน
    โดยไม่ยอมคิดจะทํามาหาแดร่ก


    อนึ่งถ้ามองโดยใช้ ตรรกะ และ ข้อเท็จจริง
    มาเป็นบรรทัดฐาน ในการพิณา
    มันใช่ตามที่เจ้พูดไหมล่ะ ?

    ถึงแม้ว่า แม้ว่า พวกพุทธมามกะจ๋า
    มันจะชอบบิดเบือน เอ๊ย ชอบมองโลกสวย
    แล้ว อวยศาสดาตัวเอง บอกว่า

    แต่ถึงไง ความจริง มันก็เป็นความจริง อยู่วันยังค่ำ ล่ะวะ
    เพียงแต่ ว่า พวกพุทธมามกะจา ทำใจยอมรับความจริงไม่ได้
    ในเรื่องที่ วีรบุรุษที่เคารพสุดดวงใจของพวกเขา
    เที่ยวเดินตรีนเปล่าไปขอข้าวชาวบ้านกิน( ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากขอทาน ไง )
    สุดท้ายก็เลย ต้องพยามหาความแตกต่างเพื่อเยียวยาอัตตาตัวเอง
    โดยการบัญญัติศัพท์แสง มาลดความแสลงหู
    เฟ้นหาเลือกใช้แต่คำพูดที่มันดูดีมีชาติตระกูล
    มาปลอบใจตัวเอง ยังงั้นนะ


    นี่ ๆ จะบอกให้ นะ
    ถ้า สิ่งที่เราคิด มันเป็น ข้อเท็จจริง (Fact)
    ก็อย่าไปวอรี่ให้ปวดกบาล เรยนักเรยว่ะ
    ขนาดเจ้เอง เวลาครึ้ม ๆ พอกรึ่ม ๆ
    ยัง นึกเล่น ๆ เลยว่ะ ว่า


    หากสมณะโคดม จับพลัดจับผลู
    ไป ขอทาน เอ๊ย ไปบิณฑบาตรโปรดเวไนยสัตว์
    (แถว ๆ อัฟกานิสถาน ที่พวกตาลีบัน มันอยู่)
    ถ้าไม่มีไอ้หน้าไหนมันเวทนา หยิบยื่นเศษข้าวเศษน้ำให้กิน
    ทั่นจาไปรับจ้างรีดนมแพะ หาเงินซื้ออหารกินไหมเนี่ย ?
    หรือว่า จะยอม งอมืองอตรีน ยอมอดข้าวดอกหนาชีวาวาย
    อาตมาจะยอมตาย 5 เพื่อ คงไว้ซึ่ง หนึ่งใน พุทธกิจ ล่ะหว่า ?
    น่าคิดเหมือนกันเนอะ ว่า อิพวก ออ-ระ-หัน เนี่ย
    มัน เข้าใจ คำว่า การปรับตัวตามยถาสภาวะ และ กาลเทศะ ป่ะ
    ไว้กรึ่ม ๆ ไปจุดธูปถาม สมณะโคดม ดีกว่าวุ้ย เหอะ ๆ


    ปอลิง
    เพื่อเห็น แก่ ไอ้หนู จขกท.
    แพล่มต่ออีกหน่อย ก็แระกัน ว่า
    ต่อ หั้ยสิ่งที่ไอ้หนู ทำ มันเป็นการปรามาส จิง ๆ อ่ะนะ

    ถ้า มองในแง่ของวิบาก ในส่วนที่ เจ้าทุกข์ จะมากระทำเอาคืนนั้น
    มันก็ไม่ได้น่ากลัวมากมาย หรอกจร้าาาาาา
    เพราะว่า เจ้าทุกข์ ในที่นี้ ทั่นเป็นถึงอรหันต์ เชียวนะ
    สมณโคดม ทั่นตาย5 เอ๊ย ดับขันธ์
    ตัด รัก โล๓ โกรธ หลง ไปแระนิ
    ทั่นคงไม่มา ดัดจริตเจ้าคิดเจ้าแค้น
    แล้ว กระทืบเท้าเร่า ๆ มาพื้นฝอยหาตะเข็บ
    สาปให้ใครโดนธรณีสูบ จนเสียเวลา หานิพพานของทั่นหรอกมั้ง


    ดังนั้น จำเลยอย่าได้กังวลไปเรยจร้าาาา
    ถ้าจะกังวลเรื่องการ ปรามาส จงกังวล
    เรื่อง จาโดน มอดเวบ มันไล่แจกใบแบน
    เอ๊ย กังวล ในแง่ของ วิบาก ที่เกิดจากมโนกรรม
    ในส่วนที่ ตัวเองทำตัวเอง ดีกว่า อ่ะ


    อย่าว่าแต่ปรามาส สมณะโคดม เลยว่ะ
    ต่อหั้ย เป็นหมาขี้เรื้อน สักตัว ก็อย่าได้ทะลึ่งไปคิดดูถูกดูถุยส์
    เพราะมันเป็น อกุศลกรรม ทำบ่อย ๆ มันจะติดเป็นสันดาน
    แล้ว ผิดกฏมณเฑียรบาลของนักปฏิบัติ ว่ะ
    ( อันนี้น่ากัว ยิ่งกว่า ถูกธรณีสูบ แบ่บนางจิณจา อีกนะว้อย [​IMG])


    [​IMG]
     
  8. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ผมว่าไม่มีใครหนักเท่าองคุลีมาเเล้วละ ท่านยังเป็นพระอรหันเเล้วนิพพานสบายไปเเล้ว

    ผมให้คุณ จขกท ลอง วิปัสสนากรรมฐาน ดู คือการตั้งสติตลอดเวลา ให้เเยกคุณอีกคนเป็นคนมองตัวเองว่าทำอะไร พูดอะไร ดูกายกับใจ ตัวเองไป ดูการเกิดดับของมันไปครับ (ให้รู้ทัน ไม่ใช่รู้ตามความคิดนะครับ) เเล้วมันจะดับไปเองลองดู(เพราะ จิตมันต้องพึ่งสติอยู่ครับ) นี้เป็นการฝึกตัด กิเลส ด้วยนะมันต้องฝึก สติ สมาธิ เเล้วจะได้ปัญญาครับ
     
  9. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    คุณผู้หญิงข้างบนผมคิดว่าเข้าใจไรผิดรึเปล่าหนอ ''ท่านออกมาบิณฑบาตรเพื่อโปรดสัตว์" ก็ถูกตามนั่นเเละ

    ท่านไม่ได้ขออย่างเดียวเหมือน ขอทานทั่วไปนิครับ ท่านให้พรด้วย ทำบุญกับพระอง ไม่ได้เสียเปล่านะครับ ได้บุญเยอะมากด้วย
    เค้าบอกว่าทำบุญกับพระอหัน100อ งก็ ไม่เท่ากับพระพุทธเจ้า องเดียวนะ ส่วนเรื่องปราสมาส ยังไงก็ต้องขอขมานะ ส่วนจะได้โทษหรือไม่ก็อยู่ที่จิตว่าเศร้าหรือเปล่า รวมถึงคุณผู้หญิงด้วยนะ ผมว่าคุณยังไม่ค่อยสงบเท่าไร ได้เอาสติดูตัวเองหน่อยมั้ย เเล้วจะบอกให้ก่อนที่พระองจะไปบิณทบาตร พระองก็ต้องตรวจญาน ใช้ทิพจักษุ ดูทุกเช้าว่าจะไปโปรดใครได้บ้าง เพราะคน ความคิดไม่เหมือนกัน เหมือนกับบัว4เหล่าที่ต้องใช้ญานคิดก่อนว่าไปโปรดเเล้วผลจะได้ยังไง ญานดูตั้งเเต่ตนจนจบ ถึงจะไปโปรด นะครับ
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    คุณผู้หญิงข้างบน

    รู้จัก เนื้อนาบุญ ไหมๆๆๆๆๆๆๆ

    ท่านออกมาบิณฑบาตรเพื่อโปรดสัตว์

    สัตว์โลก ตัวไหน พลาดโอกาส ในการสร้าง บุญ ก็แล้วแต่ กรรม ของสัตว์โลก

    เข้าใจไหมๆๆๆๆๆๆๆๆ

    แต่สงสัย คงไม่เข้าใจ เพราะ ถึงได้โพสแบบนั้น ฮิๆ
     
  11. blank123

    blank123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +229
    [​IMG]

    ฮิ ๆ แหม ? ลู้จักสิจ๊ะ ไอ้ตัว เนื้อนาบุญ อ่ะ ทำไมจะไม่ลู้จักล่ะ ?
    เก๊าะเคยได้ยินเจ้าพวกสาวกสมณะโคดม มันชอบพร่ำเพ้อ
    ละเมอหา ไอ้ตัวเนื้อนาบุญกันหั้ยพล่านไปหมดเรยนิ
    มันเก๊าะต้อง เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา กันมั่งแหล่ะ
    นี่ครึ้ม ๆ ยังคิดเล่น ๆ เหมือนกันนะ ว่า
    ไอ้เจ้าตัว เนื่อนาบุญ เนี่ย คงจะมีราคาสูงจนสุดสอย
    คล้าย ๆ กับ เนื้อนาผืนน้อย ของ น้องอ้อย อาโออิ ซะละมั้ง
    สุภาพบุรุษทางธรรมทั้งหลาย ถึงกระสันอยากได้ กันจัง :'(


    ว่าแต่ถ้า หนูลู้จัก คำว่า เนื้อนาบุญ แล้ว
    หนูสำเหนียก กับ คำว่า หว่านพืชแล้วหวังผล มั่งไหมจ๊ะ
    ตรูเห็นนั่งฝันหวาน คร่ำครวญหา
    แต่คำว่า เนื้อนาบุญกันจิง จิ๊งงงงงง
    ถ้า อยากจะเจอ ไอ้ตัวเนื้อนาบุญ จิงๆอ่ะนะ
    เจ้จะแนะนำหั้ยเอาบุญ นะจ๊ะ
    ถ้า ใครก็ตาม เลิกกระทำตน
    เป็นคนจำพวก มือถือสากปากถือศีล ได้
    เด๋ว ไอ้ตัว เนื้อนาบุญ มันเก๊าะจะถลา
    วิ่งเข้ามาหาเองนั่นแหล่ะ ฮิ ๆ และ ฮิๆ


    เออ เห็นพวกพุทธมามกะจ๋ามันชอบ ดีดลูกคิดรางแก้ว
    คิดแต่ จำนวนเต็มบุญ จำนวนเต็มบาป กันซะเหลือเกิน
    เรยชักอยากลู้จังซะแระสิ ว่า

    ถ้าต้องเลือก ให้ก้อนข้าว เป็นทาน
    ให้กับคนได้แค่เพียงคนเดียว
    พวกทั่นทั้งหลาย จาเลือกให้ทาน กับใครกันหว่า
    ระหว่าง พระพุทธเจ้าที่กำลังยุรยาตร
    มาบิณฑบาตรโปรดเวไนยสัตว์
    ก๊ะ ขอทานสกปรกที่กำลังจะอดตายเพราะไม่มีอะไรแดร่ก

    แหม ? ถ้าอิฉันเลือกที่จะ ให้ก้อนข้าวเป็นทาน
    ให้กับ ขอทานสกปรก นั่น
    อิฉันจะเจ๊งบ๊ง เพราะ ไม่ดูตาม้าตาเรือ
    เลือกหว่านพืช ลงในเนื้อนาบุญ ที่ทุนหายกำไรหด ไหมเนี่ย ?


    เอ้า เอา ลิ้งค์นี้ มาฝาก
    ไอ้พวกชอบ หว่านพืชหวังผล ด้นด้นเสาะหา เนื้อนาบุญ อ่ะจ้ะ

    [​IMG]
     
  12. blank123

    blank123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +229
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]



    อืม...ถ้าคิดยังงั้น แล้วมันช่วยเยียวยาอัตตา
    และช่วย ค้ำถ่อศักศรีของเหล่าพุทธมามกะจ๋า อย่างพวกคุณ
    ให้รู้สึกดีขึ้นมาได้ ก็ขอเชิญ คิดงั้น ต่อไปเถอะจร้าาา
    หวังว่า คงจะอิ่มบุญกันจนอ้วกแตกอ้วกแตน กันไปข้างนึงเรยนะจ๊ะ
    ที่ออกมา ออก แถ-ลง การณ์ อ้างนู่นอ้างนี่
    จนสามารถรักษาหน้า ให้ ลูกพี่ ตัวเองได้น่ะ อิอิ


    แต่ไง ในสายตาของคนไม่มีสาดหนาอย่างอิฉัน นั้น
    มันก็ยังเห็นว่า

    ถ้า นิพพานกับ ก้อนหิน นั้น เหมือนกันแล้ว

    จะแปลกอะไรล่ะ ถ้า ....

    การบิณฑบาต กับ การขอทาน มันจะเหมือนกันน่ะ


    เพราะ ตาม สมมุติบัญญัติ ของ อิฉันน่ะ
    ถ้าใครก็ตาม หากไม่ได้ทำมาหารับประทาน
    แล้วยืนหยัดเลี้ยงตัวเอง ด้วยลำแข้ง
    เที่ยวเดินลอยชาย ขอข้าวขอน้ำ ชาวบ้านกินไปวัน ๆ น่ะ
    ยังไงซะ มันก็ไม่ต่างจาก ขอทาน หรอกจร้าาา
    ถึงแม้ว่า จะมีเครื่องแบ่บเท่ห์ ๆ อาทิ สบงจีวร
    มาช่วนสร้างเครดิต หั้ยมันดูขลังอลังการ ก็เหอะ



    อย่าลืม ดิ ตอนอยู่ที่ อังกฤษ
    หลวงพ่อชาก็ยังเคยถูกตำรวจจับ
    ด้วยข้อหาขอทาน ขณะออกบิณฑบาตเลยนะ
    เพราะว่า การขอทานถือเป็นเรื่องผิดกฏหมายที่นั่นนิ อิอิ :cool:


    ส่วน ไอ้เรื่องหั้ยศีลหั้ยพร ตอนออกบิณฑบาต เนี่ย
    มันเก๊าะคง คล้าย ๆ โปรโมชั่นเสริมของมือถือนั่นแหล่ะมั้ง
    ก็ประมาณเดียวกับ เวลาที่ วณิพกมันร้องเพลงหั้ยเราฟัง
    เวลาที่เราโยนเศษตังค์ หั้ยนั่นแหล่ะ
    แหม ? จะไปซาบซึ้งตรึงจิต อะไรกันนักหนาว้าาาา
    กะ ขี้ฟันสมณะ ที่แพล่ม ๆ หั้ยศีลหั้ยพรเนี่ย
    อย่างมากมันก็แค่ช่วยให้เรา ฮึกเหิมแป๊บ ๆ แค่นั้นแหล่ะ
    แตไม่ได้ช่วยให้เรากลายเป็น โสดาบัน ขึ้นมาได้หรอกนะ
    สมณะโคดม ม่เคย เลคเชอร์
    เรื่อง อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ หั้ยฟังมั่งหรือไงกันนะ


    ว่าแต่ สมณโคดมของพวกคุณเนี่ย
    เป็นพวกชอบส่งจิตออกนอกเที่ยวสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน
    หรือ ใส่ใจกับคนรอบข้างมากเกินไป หรือไงกันนะ
    ถึงได้ชอบไป สะแหล๋นแจ๋น เอ๊ย เข้าไป แทรกแซง
    ใช้ ทิพยจักษุ ไปยุ่มย่ามวุ่นวายกับชีวิตคนอื่น งี้นะ
    ช่างไม่รู้จัก มารยาททางสังคมซะมั่งเรย
    เฮ้ออ ทั่น ไม่สำเหนียกหรือไงกันนะ
    ว่า แค่ ขัน 5 ใบ ของตัวเอง ก็หนักจะตายหอง อยู่แระ
    ยังจะเที่ยวไปข้องแวะยุ่งเกี่ยว
    เที่ยวเอาขันชาวบ้านมาแบกไว้อี๊ก


    อุ๊ยต๊ายย นอกจากจะไม่ขอขมา แร้ว
    ยังเผลอหยิบเอา พระพุทธเจ้า
    มาเตะเล่นแทนลูกตะกร้ออีกแหน่ะ
    แล้วตรูจาโดนธรรมชาติลงโทษ
    ถูกเหล่าพุทธมามากะจ๋า กระทืบจนจมธรณี ด้วยไหมเนี่ย ? :'(
    แต่ ม่ะต้อง วิตกจริตคิดเป็นห่วง อิฉันหรอกนะ
    คนอย่าง อิฉันน่ะ ถ้าทำระยำอะไรไว้
    ก็กล้ารับผลของวิบากอยู่แระจร้าา
    แถม พอมานั่งดูจิตดูใจ ตัวเอง หลังตกเป็นจำเลยข้อหา ปรามาส เนี่ย
    ไงก็ยัง กินอิ่ม นอนหลับ กระฉับกระเฉง ฮ่ะ:cool:
    เอ๊ะ ว่าแต่ ถ้าตายไป ตรูจาเป็น
    เหมียน อิป้าข้างล่างนี้ไหมน้ออ
    แหม๊ ?น่าลองของพิก๊ล หุหุ
     
  13. blank123

    blank123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +229
    นางพราหมณ์ชอบด่าว่าพระ-ขอทาน
    หญิง นับถือพราหมณ์เห็นสมณะเดินบิณฑบาตมาทุกเช้า ชอบมาด่าพระว่า "สมณะโล้น ไม่ทำงาน ดีแต่ขอชาวบ้านกิน" เห็นขอทานมาขอก็ด่าว่า "มือเท้าดี ๆ ทำไมไม่รู้จักทำงาน" ทำอย่างนี้เป็นประจำ
    เมื่อตายไปตกนรกขุมอุจจาระ มีหนอนไต่ลำตัว ทุกข์ทรมาณมาก

     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    .................เจ้ นี่ มีวิจิกิจฉาเยอะ...:cool:
     
  15. blank123

    blank123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +229
    อิอิ ก็คงจะจิงมั้ง เพราะสมัยละอ่อน
    ก็มีคนเรียกเจ้ ว่า ด.ญ.จำไม อ่า เหอ...เหอ..
    แต่จะว่าไป ไอ้เรื่อง วิจิกิจฉา ข้อสงสัยทั้งหลายแหล่ เนี่ย
    ตั้งแต่เข้าสู่ วงการ ปฏิบัติธรรม มันก็หายไปเองนะ
    เจ้ไม่เคย สงสัยในพระรัตนตรัย
    ทว่า เจ้ ไม่เคยใส่ใจ ในพระรัตนตรัย ตะหาก จร้าาาาา
    ไม่เคยมีใครเคยสอนหรือไง ว่า

    รู้ แล้ว ได้อะไร ไม่รู้ แล้วได้อะไร เอิ๊ก ๆ


    นี่จะบอกอะไรให้นะ สำหรับเจ้ น่ะ
    ต่อให้เวรกรรมมีจิง มีเหตุหั้ยต้องหยิบยื่นก้อนข้าว
    เป็นทาน ก๊ะ สมณโคดม

    สภาวะจิตของเจ้ ก็มิได้เสร็จสมอารมณ์หมาย
    อิ่มบุญจนแทบอ้วก เหมือ พวกพุทธมามกะจ๋า หรอกนะจ๊ะ
    ความรู้สึกตอนนั้น มันคงไม่ต่างอะไร
    กับ เวลาที่เจ้ คิดจะหยิบยื่นก้อนข้าว
    ไปบรรเทาความหิว ให้กับลูกหมาข้างถนน มั้ง


    และ ถึงจะไม่ ใส่ใจ ในพระรัตนตรัย ยังไง
    แต่ เจ้ก็ ยอมรับ ใน นิยามทั้ง 3
    ( พีชนิยาม กรรมนิยาม และ ธรรมนิยาม ) เสมอว่ะ อิอิ


    เอ้า เอามาฝาก เกี่ยวกับ วิจิกิจฉา ของเจ้ เหอ...เหอ....


    ข้อความบางส่วนจากกาทู้

    เมื่อ คนไม่มีศาสนา ( พุทธตามทะเบียนบ้าน )..
    ริอ่าน.. มาเล่า เรื่องรากเหง้าของศาสนา ?




    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td colspan="2" align="left" bgcolor="#000000">
    </td></tr></tbody></table>​

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td> <table bgcolor="#444422" border="1" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td>
    • [​IMG]ความคิดเห็นที่ 18[​IMG][​IMG]

      จากที่เห็นหัวข้อกระทู้ของคุณ
      และได้ตามไปอ่านบทความของคุณแล้ว
      ทำให้ผมเกิดความรู้สึกสนุกในความคิดของคุณ
      คราวนี้ ผมก็เลยอยากจะลองเสนอความคิดของผมให้คุณลองดูมั่ง
      จากที่คุณพยายามจะบอกว่าตัวเองเหมือนเป็นคนไม่มีศาสนาคือเป็นพุทธในทะเบียนบ้านนั้น ผมจะลองมาวิเคราะห์ว่า ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น
      ผมขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่า ผมมันเป็นพวกวุฒิน้อย ด้อยการศึึกษา ไม่มีเกียรตินิยม ไม่ได้ร่ำเรียนเกี่ยวกับปรัชญา และศาสนา ไม่เคยเป็นตัวแทนโรงเรียนไปตอบปัญหาธรรมะ ไม่เคยบวชเรียน และไม่เคยถกปัญหาธรรมะกับพระอาจารย์ท่านใดมาก่อน
      แต่ผมจะวิเคราะห์ ตามความรู้สึกของผมล้วนๆ ซึ่งจะถูกใจใครหรือไม่ ผมไม่ทราบ
      ผมไม่รู้ว่า คุณนิยามคำว่าพุทธแท้กับพุทธเทียมเอาไว้อย่างไร
      แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นจริงๆก็คือ คุณมีมุมมองเกี่ยวกับคำว่า"ศาสนา"อย่างไร และทำไมคุณถึงมองไปอย่างนั้น
      จุดเริ่มต้นของทุกอย่างคือความ สงสัย
      เมื่อรู้มากขึ้นและได้ไตร่ตรองในความรู้นั้นมากขึ้น ก็จะเกิดคำถามมากขึ้น
      คำว่า"ทำไม"ผุดขึ้นในหัวตลอดเวลา
      และในเมื่อยังตอบคำถามของตัวเองไม่ได้ หรือตอบได้แต่ไม่เคลียร์ จึงได้เลือกยืนอยู่ในจุดที่เป็นตัวของตัวเอง
      จากนี้ไป ผมจะลอง"สิง" ความคิดของคุณดูนะครับ
      เมื่อเข้ามาอยู่ในความคิดของคุณ ผมเจอคำถามมากมาย
      แต่ผมชอบคำถามนี้ คือ"เราจะนับถือศาสนาไปทำไม?"
      เพราะคุณ ได้ลองวิเคราะห์ดูแล้ว ไม่ว่าคำสอนของศาสนาใดๆ
      คุณรู้สึกว่ามันไม่โดน
      เมื่อไม่โดน คุณก็มองคนในศาสนานั้นๆว่า นับถือกันไปได้อย่างไร
      ทำไม ถึงไม่มีความสงสัยใคร่รู้ เหมือนอย่างที่คุณเป็น
      จะให้พูดกันตรงๆเลยก็คือว่า คุณไม่เชื่อเกี่ยวกับ พระเจ้า หรือพระพุทธเจ้า
      คุณไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่ ถ้ามีจะมีไปทำไม
      จะสอนให้คนไปสวรรค์ไปนิพพาน จะไปทำไมสวรรค์ ไปทำไมนิพพาน
      นรก สวรรค์ นิพพาน มีจริงมั๊ย ถ้ามี มีได้ไง ใครสร้าง สร้างทำไม เพื่ออะไร
      คำถามทุกคำที่คุณมี ไม่เคยมีใครในโลก ให้เหตุผลจนทำให้คุณสามารถยอมรับได้
      ดังนั้น คุณจึงเลือกที่จะเชื่อตัวเอง ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับหนึ่งสมองสองมือเท่านั้น
      และถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็ไม่ได้มีประโยชน์หรือมีโทษใดๆกับชีวิตของคุณ
      อย่างที่สงสัยว่า"เราจะกราบพระไปทำไม"
      กราบเพื่ออะไร ท่านทำประโยชน์อะไรให้เรา ท่านนำพระธรรมมาสั่งสอนหรือ
      ถ้างั้นกราบเอดิสันมั่งสิ เพราะถ้าไม่มีเขาโลกของเราจะพัฒนามาจนถึงบัดนี้รึ
      เพราะ 99.99% ล้วนใช้ไฟฟ้าทั้งนั้น
      แต่คุณ อาจจะมองข้ามสิ่งหนึงไป
      ผมจะยังไม่บอกว่าอะไร แต่ผมขอบอกจากใจจริงว่าผมชอบความคิดคุณนะ
      อย่างน้อยคุณก็อยู่บนเส้นทางของคุณเอง
      ไม่ใช่อยู่ในศาสนาเดียวกัน แล้วมาถกเถียงกันเอง ว่าคำสอนใครถูก คำสอนใครผิด
      นับถือพระเจ้า หรือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันแท้ๆ ยังแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่่าย
      เป็นนิกายนู่นนี่ ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเป็นเช่นไร
      มันก็คงจะสมควรแล้วละ ที่คุณจะคิดด้านศาสนาแบบนี้


      จากคุณ : cenyou [​IMG] [​IMG] - [ 23 ม.ค. 52 11:35:29 ] [​IMG]
    </td></tr></tbody></table></td> <td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"> <table bgcolor="#403e68" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td width="10">
    </td></tr></tbody></table></td></tr> <tr> <td colspan="2" align="left" bgcolor="#000000"> <table bgcolor="#403e68" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td width="10">
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>




    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td> <table bgcolor="#224444" border="1" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td>
    • [​IMG]ความคิดเห็นที่ 27[​IMG][​IMG]

      ถึง คุณ cenyou

      ดีใจจังที่คุณสนุกกับการขุดคุ้ยขี้เลื่อยในหัวของอิฉัน
      ( แสดงว่า คุณชอบของแปลก ? ^ - ^)
      ปกติ คนทั่วไป เขามักจะวิตกจริต
      กับ ตัวหนังสือที่อิฉันปรุงแต่งให้อ่านนะ

      อ่านความเห็นของคุณแล้วนางมารอย่างอิฉันก็ได้แต่อมยิ้มอ่ะ
      ประมาณว่า แหม๊ ไอ้หมอนี่มัน น้ำนิ่งไหลลึก จริงวุ๊ย
      ออกตัวเก่งซะด้วย สงสัยจะเป็นนักวิ่งทีมชาติ ^ - ^
      แถมยังมาเล่นบท นักจิตวิเคราะห์ กะตูอี๊ก

      เฮ้อ ทำเอาชักระแวงแฮะ
      สมัยสอบสัมภาษณ์เข้ามหาลัย
      เคยตอบคำถามในข้อสอบจิตวิทยา กวนตีนคนตรวจ
      จนถูกย้ายคณะอ่ะ เลยมักจะไม่ค่อยไว้ใจ
      ใน ทฤษฎีจิตวิเคราะห์เท่าไร

      แต่สารภาพตามตรง เลยว่า
      ความเห็นของคุณมันเฉียด ๆ จะ โดน เหมือนกันนะ
      แต่โชคดี ที่อิฉันไหวตัวทันเลยกระโดดหลบได้
      อิฉันมันพวก ปลาตายน้ำตื้น อ่ะเจ้าค่ะ แหะ ๆ
      ที่สำคัญ อิฉันคงกินข้าวสารเสกคลุกน้ำมนต์ด้วยมั้ง
      ผีกระหังที่ไหน เลยเข้ามาสิงในหัวไม่ได้ ^ - ^

      อืม... จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
      คือความ สงสัย จริง ๆ นั่นแหล่ะ
      เชื่อไหมล่ะ อิฉันเริ่มสงสัย ว่า เราจะนับถือศาสนาไปทำไม
      ตั้งแต่ยังไม่ได้ใส่คอซองเลยมั้ง
      แถม ตอน ป.4 อิฉันครึ้มถึงขนาดไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจในทุกศาสนา
      เลยคิดจะสถาปนาศาสนาใหม่ขึ้นมาซะงั้น
      มันเป็นความคิดขำ ๆ แบบเด็ก ๆ น่ะ
      แต่ถ้าผู้ใหญ่มาได้ยินเข้า
      เค้าคงไม่ขำด้วยมั้ง แล้วต้องดุอิฉันแหง๋ ๆ
      อิฉันจึงเรียนรู้ที่จะนั่งพนมมือแต้ไหว้
      แท่งหล่อทองเหลืองปลก ๆ ไง

      และพอโตขึ้นมาหน่อย ก็กลายมาเป็นเด็กหญิง จำไม
      แล้วก็ตัดสินใจไม่นับถือสักศาสนา ดีกว่า
      เพราะถือไว้นาน ๆ มันเมื่อย

      อิฉันเคยไม่เชื่อเกี่ยวกับ พระเจ้า หรือพระพุทธเจ้า
      เคยไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่ ถ้ามีจะมีไปทำไม
      จะสอนให้คนไปสวรรค์ไปนิพพาน
      จะไปทำไมสวรรค์ ไปทำไมนิพพาน
      นรก สวรรค์ นิพพาน มีจริงมั๊ย
      ถ้ามี มีได้ไง ใครสร้าง สร้างทำไม เพื่ออะไร

      แต่นั่นมันคำถามที่เคยสะสมไว้เมื่อนานมาแล้ว
      รู้ไหมทุกคำถามที่อิฉันเคยมี เคยสงสัยนั้น
      มันจบลงด้วยคำ สามพยางค์ ง่าย ๆ ที่เรียกว่า " อจินไตย " น่ะ
      ทุกคำถามจบลงเมื่อครึ่งปีก่อนมั้ง
      จบลงโดยที่ไม่รู้คำตอบ แต่เกิดคำถามกลับไปว่า
      รู้แล้วได้อะไร ไม่รู้แล้วได้อะไร
      ขวนขวายหาคำตอบไปแล้วมันทำให้พ้นทุกข์ได้ไหม

      น่าขำนะ อจินไตย ?
      เฮ้อ สมัยยังเด็ก คำ สามพยางค์นี้
      เคยถูกอิฉันมองด้วยความรู้สึกยิ้ม ๆหยัน ๆ
      และเรียกมันว่า ข้ออ้างของคนเขลา
      แต่ตอนนี้พอเดินจงกรมรอบโรงบาลบ่อย ๆ
      อวิชชาในหัวมันคงสึกกร่อน กระมัง
      เลยมองอะไร ๆ ได้กว้างขวางขึ้น
      ก็ในเมื่อ ทุกสิ่งทุกอย่างมัน ไม่มีอะไรเลย มาตั้งแต่ต้น
      ก็ในเมื่อ ทุกสิ่งล้วนปรุงแต่งขึ้นมา
      แล้ว อิฉันจะทะลึ่งสงสัยไปไยล่ะ

      ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพเรื่องของ การปฏิบัติ ที่อิฉันได้กระทำอยู่นั้น
      อิฉันก็ขอยกตัวอย่าง ว่า ธรรมะ ก็เหมือนเป็นผลไม้อร่อย ๆ
      (แบบลองกองก็แล้วกันเน๊าะ)
      สมัยเด็ก ๆ ใคร ๆ ก็พูดถึง ลองกองให้ฉันฟัง
      อิฉันจึง... เข้าใจ... ว่า ลองกองมันคล้าย ๆลางสาด

      แต่ถึงอย่างนั้น อิฉันก็ไม่เคย....เห็น...ลองกอง
      นึกยังไงก็ไม่มีภาพลองกอง จดจำไว้ในสัญญา
      จนกระทั่ง วันหนึ่งอิฉันเมื่อมีโอกาสได้เห็นมัน
      อิฉันจึงสามารถหลับตาแล้วนึกภาพมันออก
      แต่แค่ได้...เห็น... อิฉันก็แค่ระลึกได้ ถึง รูปของมันเท่านั้น
      แต่อิฉันก็ยังแยกไม่ออกอยู่ดี
      ว่า ลองกองมันต่างจากลางสาดตรงไหน

      จนเมื่อ อิฉันได้...ลิ้มรส...ลองกองนั่นแหล่ะ
      อิฉันจึง...รู้... ว่า อ้อ ลองกองมันเป็นงี้นี่เอง
      มันหวานอย่างนี้ หอมอย่างนี้ และมี...ยางเหนียว...ด้วย
      แต่น่าเสียดาย ความรู้ที่ว่า ลองกองเป็นยังไง
      มันเป็นเรื่องของ ปัจเจก ประมาณ ต้องกินเองจึงจะรู้เอง
      บรรยายให้ใครฟังเขาก็ไม่ ซาบซึ้งในรสชาดของมันหรอก
      ถ้าเขาไม่เคย เข้าใจ- เห็น - ลิ้มรส แล้วจะ รู้ ได้อย่างไร

      เจ้าตัวธรรม ก็คล้าย ๆ กันนั่นแหล่ะ
      สำหรับอิฉัน หลังจากได้ลิ้มรสพระธรรม แล้ว
      ตอนนี้อิฉันคิดว่า ตัวเองก็พอจะรู้ ( แบบงู ๆ ปลา ๆ ) อยู่บ้าง
      แต่มันก็แค่ผิว ๆ น่ะ ไม่ได้รู้ลึก รู้แจ้งเห็นจริง แบบพวก กูรู หรอกนะ
      เพียงแต่เมื่อได้ลองปฏิบัติแล้วเกิดติดใจมั้ง
      ก็เลย ปฏิบัติธรรมเล่น ๆ เป็นงานอดิเรก ก็แค่นั้น

      และอิฉันก็คิด ( เอาเอง) ว่า
      พระพุทธเจ้าคงไม่ดีใจเท่าไร
      ถ้าคนทั้งโลกเปลี่ยนใจมานับถือพุทธศาสนา
      ถ้าเรทติ้ง ยอดขาย พุทธมามกะ มันทะลุเป้า

      เก๊าะ ใครก็ไม่รู้นิ บอกว่า
      " ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา " มิใช่หรือ ?
      คุณอยากเห็น พระ(พุทธ)เจ้า ไหมล่ะ
      อิฉันไม่อยากเห็นหรอกนะ ก็ไม่รู้จะไปเฝ้าแหนไปทำไม
      เพียงแต่ พออิฉันได้เรียนรู้แนวทางการปฏิบัติที่ท่านทิ้งไว้ให้
      อิฉันลองทำดูแล้วบังเอิญมันถูกจริตเก๊าะเลยทำ ๆ เล่น ๆ ไปงั้นเองอ่ะ
      ( ก็แค่หลอยเอาแนวทางของพระพุทธเจ้ามาทำเล่น ๆ เป็นงานอดิเรกน่ะ )

      ส่วนเรื่องจะกราบพระกราบหลอดไฟไปทำไม นั้น
      ฉันไม่เคยสงสัยหรอกค่า แค่พยามทำความเข้าใจ
      เข้าใจว่า...จริต 6 ชนิด ในสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ( แต่ละคน ) มันไม่เหมือนกัน
      อืม...เจ้าพี่ชายนอกไส้แชมป์ตอบปัญหาพุทธศาสนา
      เคยสอนอิฉันไว้แล้วอิฉันเอาไปเมล์เม้าส์ให้ไอ้เด็กปัดยามันฟัง
      เมื่อเกือบสิบปีก่อนนะว่า

      -------------------------------------
      อืม... คำสอนหนึ่งที่เจ้าพี่ชายนอกใส้เขาเสี้ยมเอ๊ย สอนบี ก็คือ

      ชีวิตคนเราย่อมแตกต่างกันไป
      บางคนอ่อนไหวราวใบไม้
      บางคนแข็งแกร่งกว่าใครๆ
      บางคนแล้วแต่ใจให้นำพา
      หากพบเจอคนที่อ่อนแอ
      จงอย่าแค่มองเห็นว่าไร้ค่า
      จงพยุงเพื่อฉุดเขาลุกขึ้นมา
      วันหนึ่งข้างหน้าเขาอาจเติบโต

      เพราะงี้มั้ง บีเลยซึมซับความคิดดี ๆ อย่างนี้ ของพี่เขามาด้วย
      ( นอกจากจะซึมซับไอ้นิสัยประเภท มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก น่ะนะ )
      ถึงได้บอกไงว่า สี่ปีที่เล่นเนตมา บีอ่อนโยนกับคนรอบข้างขึ้นแยะ
      จากที่เคยคิดว่า คนเรามันต้องยืนด้วยขาตัวเอง
      ในเมื่อเราสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้
      โดยไม่จำเป็นต้องมีอะไรมายึดเหนี่ยวจิตใจ คนอื่นก็ควรต้องทำได้

      พอเขาทำไม่ได้ เราก็จะมองเขาแบบ อะไรน่ะ
      ทำไมทำไม่ได้ มันยากตรงไหนวะ
      ถึงแม้ จะรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่าบุคคล
      ว่าคนเรามาจากเบ้าหลอมที่ต่างกัน แต่บางครั้งมันก็ยังไม่เข้าใจนะ

      แต่เดี๋ยวนี้บีก็เริ่มเข้าใจชาวบ้านมากขึ้น
      ยอมรับในความแตกต่างทางจิตใจของคนได้มากขึ้น
      พร้อม ๆ กับ เรียนรู้ว่า คนทุกคนมันไม่ใช่ว่า
      จะเกิดมาโชคดี อึดได้กับทุกสถานการณ์
      หรือทนต่อสภาวะร้อนเป็นไฟ และหนาวเหน็บ รอบข้างได้แบบเรา

      บางคนอาจเข้มแข็ง พอที่จะกระโดด ออกจากเปลือกที่ห่อหุ้มตัวเองได้
      แต่ก้อยังมีคนอีกมากมายที่ต้องซ่อนตัวอยู่ในเปลือกตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
      ในเมื่อเราโชคดีเกิดมาเข้มแข็ง
      แล้วก็ควรช่วยคนอื่นที่เขาเข้มแข็งน้อยกว่าเราบ้าง เท่าที่จะทำได้
      บางครั้งคำปลอบประโลม ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ของเรา
      ก็มีค่ามากมายในสายตาเขาเหมือนกัน
      เหมือนคนอยู่กลางทะเลทรายน่ะ
      น้ำเพียงหยดเดียวก็มีความหมายสำหรับเขา
      ประมาณว่า

      คุณเหมือนบัวบาน เพียงคุณแย้มกลีบยิ้ม
      สายฝนก็ปรอยลงอาบรดหัวใจอันเดียวดายของผมจนเปียกปอน
      อะไรทำนองนั้นมั้ง ต๊าย มะพูดดีกว่า อิอิ
      ------------------------------



      เฮ้อ สิบปีผ่านไป นู๋บีคนนี้ก็ยังเหมือนเดิมนะแหล่ะ
      เพียงแต่ประสบการณ์หลาย ๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
      มันทำให้เธอคิดว่า
      ศาสนาเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยว จิตใจ จริงอย่างที่หนังสือเรียนสมัยมัธยมมันบอกไว้
      แต่ถ้าหลับหูหลับตา ศรัทธาและยึดเหนี่ยว มันไว้โดยไม่ระวัง
      มันจะกลายเป็น ยึดติดได้นะนั่นแหล่ะสาเหตุแห่งทุกข์ล่ะ




      อืม.....คำพูดหนึ่งในหนังสือ หนึ่งนาทีไร้สาระ ที่อิฉันชอบมาก คือ
      -----------------------------
      เหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้คนนับถือศาสนา คือ
      เพราะมันเป็นโอกาสดี ที่ทำให้เขาหลีกเลี่ยงศาสนาได้
      โดยไม่ต้องรู้สึกละอายใจ

      ความเชื่อทางศาสนาก็แค่นิ้วที่ชี้ไปที่ดวงจันทร์เท่านั้น

      แต่ผู้นับถือศาสนาหลายคนไม่เคยมองเลยไปกว่านิ้วมือ
      บ้างก็ง่วนอยู่กับการดูดนิ้วเล่น
      บางคนถึงกับใช้นิ้วควักลูกตาตัวเอง
      มีน้อยคนนักที่จะละจากนิ้วมือ
      แล้วมองไปยังสิ่งที่มันชี้ให้ดู
      ----------------------------

      ไง ? อ่านแล้ว เห็น อะไรมั่งไหมล่ะ ?
      และเมื่อคุณบอกจากใจจริงว่า
      คุณชอบความคิดของอิฉัน

      อิฉันก็ขอบอก(อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ) เช่นกันว่า
      อิฉันดีใจมั่ก ๆ ที่คุณให้เกียรติมาชี้แนะอิฉันในกระทู้นี้
      เฮ้อ มันเนิ่นนานนักหนาแล้ว
      ที่อิฉันไม่ค่อยพบเจอกับสิ่งมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยพุทธจริตแบบคุณ
      อย่างน้อยการที่คุณได้อ่านสิ่งที่อิฉันเขียน
      และ อิฉันได้มานั่งเม้าส์ให้คุณฟัง
      มันก็แสดงว่า เรามี กรรม ต่อกัน จริงไหม ? ^ - ^


      จากคุณ : นู๋บี - บัวเหล่าที่ 5 [​IMG] [​IMG] - [ 25 ม.ค. 52 10:30:23 ] [​IMG]
    </td></tr></tbody></table></td> <td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"> <table bgcolor="#403e68" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td width="10">
    </td></tr></tbody></table></td></tr> <tr> <td colspan="2" align="left" bgcolor="#000000"> <table bgcolor="#403e68" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td width="10">
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2012
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    แร๊งงงงง แต่จืด
    จำใจเรียกเจ้ ผมว่าคำคงไปตามจำริด เนื้อในพอเข้าใจได้บ้าง แต่ไม่เอาหรอก
    เปรียบซะยู่ยี่ ตัวแดงๆบรรทัดแรก รู้แล้วได้ไม่รู้ ไม่รู้ได้รู้
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...