เมื่อมุสลิมเค้านำพระไตรปิฎกไปเปรียบเทียบ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย binlaart, 4 กรกฎาคม 2007.

  1. binlaart

    binlaart สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    คนมุสลิมเค้าว่าอย่างนี้ แต่เราเองที่เป็นชาวพุทธ ไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกเลยซักที ขอความรู้จากผู้รู้หน่อยครับ

    พระไตรปิฎก กับการ การกำเนิดโลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาวและมนุษย์

    ** อัคคัญญสูตร ** เป็นพระสูตร หรือ สุตตันตะปิฎก ที่ตถาคตได้สอนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สามเณร 2 รูป ผู้เป็นพราหมณ์ ซึ่งมีส่วนของคำสอนของตถาคตที่แสดงให้เห็นถึง ** การกำเนิดสรรพสิ่งต่าง ๆ ** ในธรรมชาติ เช่น การกำเนิดโลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาวและมนุษย์ รวมถึงวิวัฒนาการทางด้านสังคมในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ด้วย

    เนื่องจากมีสาระเนื้อหาที่ค่อนข้างยาว ผมจึงขอตัดทอน พระสูตร ** อัคคัญญสูตร ** เฉพาะส่วนที่กำลังพิจารณาอยู่เท่านั้นนะครับ

    ส่วนหนึ่งของ** อัคคัญญสูตร ** มีใจความว่า.....

    ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิดในชั้น **อาภัสสรพรหม** สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้จะกลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่โดยมาก เหล่าสัตว์พากันจฺติจากชั้นอาภัสสรพรหมลงมาเป็นอย่างนี้ และสัตว์นั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ก็แหละ** สมัยนั้นจักรวาลทั้งสิ้นนี้แลเป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนแลไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฎ ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ยังไม่ปรากฎ กลางวันกลางคืนก็ยังไม่ปรากฎ ** เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ยังไม่ปรากฎ ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฎเพศชายและเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฎ สัตว์ทั้งหลาย ถึงซึ่งอันนับเพียงว่าสัตว์เท่านั้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา โดยล่วงระยะกาลยืดยาวช้านาน ** เกิดง้วนดินลอยอยู่บนน้ำทั่วไป ** ได้ปรากฎแก่สัตว์เหล่านั้นเหมือนนมสดที่บุคคลเคี่ยวให้งวด แล้วตั้งไว้ให้เย็นจับเป็นฝาอยู่ข้างบน ฉะนั้นง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสีกลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี ฉะนั้น มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็กอันหาโทษมิได้ ฉะนั้น ฯ

    ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลนพูดว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย นี่จักเป็นอะไร แล้วเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อเขาเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว เขาจึงเกิดความอยากขึ้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้สัตว์พวกอื่นก็พากันกระทำตามอย่างสัตว์นั้นเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อสัตว์เหล่านั้นพากันเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงเกิดความอยากขึ้น ต่อมาสัตว์เหล่านั้นพยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือแล้วบริโภค

    ดูกรเสฏฐะและภารทวาชะ ในคราวที่พวกสัตว์พยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือแล้วบริโภคอยู่นั้น **เมื่อรัศมีกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไปแล้ว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏ เมื่อดวงดาวนักษัตรปรากฏแล้ว กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏ ** เมื่อกลางคืนและกลางวันปรากฏแล้ว เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏ เมื่อเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนปรากฏอยู่ ฤดูและปีก็ปรากฏ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ** ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล โลกนี้จึงกลับเจริญขึ้นมาอีก ฯ **
    ** อัคคัญญสูตร ** ที่ผมนำมาเสนอข้างต้นนั้น ผมเชื่อว่าคนไทยพุทธ ** ผู้มีความรู้ หรือ นักศึกษา ** ที่เคยเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่นั้นจะยังไม่เคยได้อ่านหรือเคยได้ศึกษากัน ดังจะเห็นได้ว่าพระสูตร ใน ** อัคคัญญสูตร ** เท่าที่ผมอ่านและวิเคราะห์ได้นั้น มีสาระความเป็นจริง ** ต่างไปจาก ** องค์ความรู้หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ที่เกี่ยวกับ มวลสสารปฐมภูมิ(Primordial Matter)และการกำเนิดของจักรวาล อย่างมาก เลยหล่ะครับ
    และถ้าเราอ่านวิเคราะห์อย่างพิจารณาแล้วจะเห็นว่า ตถาคตได้บอกสิ่งเหล่านี้ไว้ใน** อัคคัญญสูตร ** ดังนี้ครับ
    1.แต่เริ่มแรกนั้น มนุษย์ เป็นเทพอยู่ในชั้น **อาภัสสรพรหม** เกิดและดำรงอยู่ก่อนโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
    2.จักรวาลนี้เต็มไปด้วยน้ำหรือ มหาสมุทร แผ่ออกไปอย่างสุดสายตา
    3.แล้วแผ่นดินก็ลอยขึ้นมาบนมหาสมุทร และผืนแผ่นดินแบนราบ หรือ โลกมีสัณฐานแบน!! นั่นเอง
    4.ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กลางวันและกลางคืน ไม่ได้เกิดจากการหมุนของโลกรอบตัวเอง หรือการโคจรตามจักรราศี

    ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ** อัคคัญญสูตร ** ที่ตถาคตแสดงนั้น ผิดไปจากหลักหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ นั่นเอง
    หากคุณ **คนไทยพุทธ** ได้ศึกษาคำสั่งสอนของตถาคตในพระไตรปิฎกให้ดี แล้วใช้ ** สติปัญญาหรือองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ** ที่เรามีอยู่วิเคราะห์ให้ดีอย่างละเอียดถี่ถ้วน อย่างที่ใจเป็นธรรมแล้วหล่ะก็ เราจะพบว่า หากเป็นเรื่องความรู้ของ ** โลกหรือความจริงในธรรมชาติ ** นั้น ตถาคตจะตอบปัญหาแบบ ** ไม่ชี้ชัดหรือยืนยันในแง่เดียว ** แต่ตถาคตจะตอบปัญหา ** แบบหลายแง่ หรือตอบแบบมีเงื่อนไข ** ส่วนสาเหตุมาจากอะไรนั้น ?? ผมเชื่อว่าคุณ **คนไทยพุทธ** คงจะทราบดี แต่แล้วตถาคตก็พลาดอีกจนได้...

    เราพบว่าใน ** มหาปรินิพพานสูตร** ซึ่งเป็นพระสูตรหนึ่งในพระสุตตันตะปิฎก เป็นบันทึกช่วงสุดท้ายของตถาคต ที่เสด็จดำเนินออกจากเมืองไพศาลีไปอัมพลัฏฐิกาและผ่านหลายเมืองก่อนที่จะปลงสังขารที่เวฬุวคามนั้น ตถาคตได้ยืนยันสภาพที่ตั้งของผืนแผ่นดิน หรือ โลกของเรานั้นว่า ** โลกของเราในปัจจุบันนั้นลอยอยู่บนน้ำหรือ บนมหาสมุทร ** ดังเช่นที่ตถาคตเคยได้กล่าวไว้ในพระสูตร ** อัคคัญญสูตร ** อย่างชัดเจน และตถาคตก็ได้บอกถึงสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวเมื่อพระอานนท์เขามาทูลถามดังนี้

    เนื่องจากมีสาระเนื้อหาที่ค่อนข้างยาว ผมจึงขอตัดทอน พระสูตร **มหาปรินิพพานสูตร ** เฉพาะส่วนที่กำลังพิจารณาอยู่เท่านั้นนะครับ

    ส่วนหนึ่งของ ** มหาปรินิพพานสูตร** มีใจความว่า

    ครั้งนั้น พระอานนท์ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ เหตุไม่เคยมีมามีขึ้น แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้ แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้จริงๆ ความ ขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัยสำหรับให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏฯ

    ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ เหตุไม่เคยมีมา มีขึ้น แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้ แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้จริงๆ ความขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย สำหรับให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพระอานนท์ เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการเหล่านี้แล เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ

    ๘ ประการเป็นไฉน ฯ

    ดูกรอานนท์ **มหาปฐพีนี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาศ สมัยที่ลมใหญ่พัด เมื่อลมใหญ่พัดอยู่ ย่อมยังน้ำให้ไหว น้ำไหวแล้ว ย่อมยังแผ่นดินให้ไหว**
    อันนี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยข้อที่หนึ่ง เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏฯ

    อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิต หรือว่าเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เขาเจริญปฐวีสัญญาเพียงเล็กน้อย เจริญอาโปสัญญาอย่างแรงกล้า เขาย่อมยังแผ่นดินนี้ให้สะเทือนสะท้าน หวั่นไหวได้ อันนี้เป็นปัจจัยข้อที่สอง เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏฯ

    อีกประการหนึ่ง เมื่อใดพระโพธิสัตว์จุติจากชั้นดุสิต มีสติสัมปชัญญะ ลงสู่พระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่สาม เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏฯ

    อีกประการหนึ่ง เมื่อใดพระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ ประสูติจากพระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่สี่ เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏฯ

    อีกประการหนึ่ง เมื่อใดพระตถาคตตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ห้า เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏฯ

    อีกประการหนึ่ง เมื่อใดพระตถาคตให้อนุตรธรรมจักรเป็นไป เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่หก เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏฯ

    อีกประการหนึ่ง เมื่อใดพระตถาคตมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงปลงอายุสังขาร เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่เจ็ด เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏฯ

    อีกประการหนึ่ง เมื่อใดพระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่แปด เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏฯ
    ดูกรอานนท์ เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการ เหล่านี้แล เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏฯ

    ผมขออนุญาตทบทวนสาเหตุของแผ่ดินไหวตามหลักวิทยาศาสตร์ อีกครั้งนะครับ
    แต่ตถาคตกลับตอบคำถามของพระอานนท์ในเรื่องสาเหตุของแผ่นดินไหวว่า **มหาปฐพีนี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาศ สมัยที่ลมใหญ่พัด เมื่อลมใหญ่พัดอยู่ ย่อมยังน้ำให้ไหว น้ำไหวแล้ว ย่อมยังแผ่นดินให้ไหว**

    ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ** มหาปรินิพพานสูตร ** ที่ตถาคตตอบคำถามของพระอานนท์ในเรื่องสาเหตุของแผ่นดินไหวนั้น ผิดไปจากหลักความเป็นจริงหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ นั่นเอง
    พระไตรปิฎก กับ การกำเนิดชีวิต ( ภาคที่ 2 )

    ในตอนต้นของพระสูตร** อัคคัญญสูตร ** นั้น เราพบว่าตถาคตได้สั่งสอนสามเณรเสฏฐะและภารทวาชะ ซึ่งถูกพวกพราหมณ์ดูถูกว่า

    พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นเลวทราม พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็นวรรณะดำ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม พวกสมณะที่มีศีรษะโล้น เป็นพวกคฤหบดี เป็นพวกดำ เป็นพวกเกิดจากเท้าของพรหม ตถาคตจึงตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ตามที่ปรากฎอยู่แล คือ นางพราหมณี ทั้งหลายของพวกพราหมณ์ มีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดอยู่บ้าง ให้ลูกกินนมอยู่บ้าง อันที่จริง พวกพราหมณ์เหล่านั้น ก็ล้วนแต่เกิดจากช่องคลอดของนางพราหมณี

    หากเราจะวิเคราะห์ในมุมมองของการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตตามหลักชีววิทยาให้ดีแล้วหล่ะก็ เราจะพบว่า แท้จริงแล้วตถาคตนั้นสอนว่า มนุษย์ทุกคนย่อมเกิดมาแต่มารดาซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น หาได้เกิดหรือวิวัฒนาการ(Evolution)มาจากสิ่งอื่นใดไม่ แต่คำสอนของตถาคตที่ตรงนี้นั้น นายชาร์ลส์ ดาร์วินเองก็คงจะต้องเถียงหัวชนฝาว่า ไม่จริ๊ง ไม่จริง เป็นแน่แท้ แต่ก็ช่างเถอะครับ นั่นไม่เกี่ยวกับประเด็นของเรา ประเด็นที่เราจะกล่าวถึงนั้นอยู่ที่ว่า ในพุทธศาสนามีคำสอนที่เกี่ยวกับรูปแบบหรือชนิดของการเกิด ของสัตว์ที่ไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ดังนี้ครับ

    กำเนิด 4 หรือโยนิ 4 คือ รูปแบบหรือชนิดของการเกิด ของสัตว์ที่ไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ย่อมมี ที่ที่อาศัยเกิด แตกต่างกัน แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

    1.สัตว์เกิดในครรภ์ (ชลาพุชะ) มีตัวผู้ ตัวเมีย ปฏิสนธิแล้วคลอดออกมาเป็นตัวจากครรภ์มารดา เช่น คน วัว สุนัข แมว หนู ปลาโลมา
    2.สัตว์เกิดในไข่ (อัณฑชะ) คือ ออกไข่เป็นฟองก่อนแล้วจึงฟักเป็นตัว เช่น นก เป็ด ไก่ งู จิ้งจก ตุ๊กแก จระเข้
    3. สัตว์เกิดในเมือกในไคล (สังเสทชะ) คือ เกิดในของที่ชื้นแฉะสกปรก ขยายและแพร่ออกไปเอง เช่น หนอนบางชนิด เรือด ไร
    4.สัตว์เกิดผุดขึ้นเหมือนแสงสว่าง (โอปปาติกะ) เช่น เทพ เทวดา เปรต ยักษ์ สัตว์นรก ไม่มีซาก

    ตามหลักชีววิทยาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังไม่พบว่าสิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้นเองในธรรมชาติ ดังเช่น สัตว์เกิดในเมือกในไคล (สังเสทชะ)ตามที่ตถาคตบอกนั้นได้เลย

    และสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่มีขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยที่สกปรกดังเช่นที่ตถาคตว่านั้น จะมีวิธีขยายพันธุ์หรือสืบพันธุ์ได้ 2 แบบ คือ แบบอาศัยเพศ(Sexual) กับ ไม่อาศัยเพศ(Nonsexual) เท่านั้น

    นั่นคือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์นั้นจะเป็นหนอนหรือตัวอะไรก็แล้วแต่ มันก็ย่อมไม่พ้นหลักความจริงทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าวไปได้เลย

    ดังนั้นจึงสรุปได้ว่ากำเนิด 4 หรือโยนิ 4ที่ตถาคตสอนนั้น ผิดไปจากหลักวิชาชีววิทยา หรือหลักวิทยาศาสตร์ นั่นเอง
    คุณ **คนไทยพุทธ ** ครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความเชื่อว่า มนุษย์ที่พระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงสร้างเขาขึ้นมานั้น ทุกคนล้วนมีความสามารถและโอกาสในการคิด ไตร่ตรอง ใช้สติปัญญาของตนเองได้เท่าเทียมหรือใกล้เคียงกันทุกคนนั่นแหละครับ หากเขาคนนั้นไม่ถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบของคนสติปัญญาไม่สมประกอบ ปัญญาอ่อน หรือไร้ความสามารถในการคิด ด้วยการกำหนดจากพระองค์ ดังนั้นในทุกวันที่เรามีชีวิต มีลมหายใจอยู่นี้ เราก็ไม่ควรจะให้ความคิดหรือทฤษฎีของคนหนึ่ง คนใด ที่เขาเป็นเพียงมนุษย์สามัญธรรมดาเฉกเช่นเดียวกับเรามาเป็น**ผู้นำในความคิดของเรา** หรือที่ร้ายกว่านั้น เขาคนนั้นเป็นคน **ครอบงำ และปิดกั้น ** ความคิดของเราลงเสียอย่างสิ้นเชิง

    คุณ **คนไทยพุทธ ** ครับ ผมคิดว่า ** ความศรัทธาหรือความเชื่อ ** นั้นต้องตั้งอยู่บน **พื้นฐานของความถูกต้องและความเป็นจริง** ที่ผ่านกระบวนการคิดและไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้วและถูกต้องด้วยนะครับ ไม่ใช่ความศรัทธาหรือความเชื่อ แบบที่ขอไปที ศรัทธาตามบรรพบุรุษ หรือ เป็นอะไรที่ง่าย ๆ เสียอย่างนั้น เราต้องยอมรับว่า ความเป็นจริงในบนโลกใบนี้มีเพียงสองอย่างเท่านั้นนะครับ
    อย่างแรกก็คือ ความจริงที่มีค่าความจริง **เป็นจริง ** หรือความจริงที่เป็น**สัจธรรม และเป็น สัจนิรันดร์**
    อย่างที่สอง ก็คือ ความจริงที่มีค่าความจริง **เป็นเท็จ ** หรือเป็นสิ่งที่โกหกหลอกหลวง ให้เราหลงผิดไปจาก ** สัจธรรม หรือ ทางนำที่ถูกต้อง ** ซึ่งทำให้เราต้องเสียโอกาสดี ดี ให้กับชีวิตของเราและครอบครัวทั้งในโลกนี้และโลกหน้าไป อย่างน่าเสียดายยิ่ง

    ส่วนในตอนนี้คุณ ** คนไทยพุทธ ** คนไหนหรือใครจะยึดมั่นในความจริงแบบไหนนั้น ก็สุดแท้แต่ท่านนะครับ แต่คุณ **คนไทยพุทธ ** กรุณาคิดและพิจารณา ในสิ่งที่ผมนำเสนอมาแล้วข้างต้น และที่จะนำเสนอต่อไปในอนาคต ให้ดี ดี และด้วยใจเป็นธรรม ไม่อคติ ผมเชื่อว่าสักวันคุณก็จะพบ ** ทางออก แล้วเดินไปสู่ทางเดินที่ถูกต้อง ** อย่างแน่นอนครับ อินชาอัลลอฮฺ( หากพระองค์อัลลอฮฺ ทรงประสงค์)
    พระไตรปิฎก กับ การพัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์มารดา

    **คนไทยพุทธ** ส่วนใหญ่ยกย่องตถาคตว่าเป็น ** โลกวิทูและสัพพัญญู ** ด้วยเชื่อมั่นในตถาคตว่าเป็นผู้ **ตรัสรู้ รู้แจ้ง เห็นจริง** ในธรรมหรือธรรมชาติ ทุกโลกอย่างถ่องแท้ อย่างมากมาย โดยเปรียบเทียบ ** สิ่งที่ตถาคตรู้นั้นมีมากดังใบไม้ในป่า แต่ที่รู้แล้วนำมาสอนชาวพุทธนั้นมีนิดเดียว ดังใบไม้ในกำมือ**

    ครับ นั่นมันเป็นความคิดของคนเมื่อประมาณ 2,500 ปีที่แล้วมาเท่านั้นแหละครับ เพราะคนในสมัยนั้นการเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติหรือการเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ของสสาร พลังงานและสิ่งมีชีวิตในโลกและจักรวาล ของมนุษย์ในสมัยนั้นมีน้อยมาก หรือเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีความรู้เลยก็ว่าได้

    แต่มา ณ วันนี้ วิทยาการทางด้านวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า การเรียนรู้ความจริงในธรรมชาติของมนุษย์มีมากขึ้น จนเปรียบได้ว่าองค์ความรู้ในวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนั้นเหมือน ***ใบไม้แห่งความจริง ***ที่มากล้นเหลือคณานับ ซึ่งจะไม่เหมือนหรือแตกต่างกับ**ใบไม้ในกำมือของตถาคต ** อย่างชัดเจน และจะไม่เหมือนกันอีกต่อไป.....

    ครับ สำหรับเรื่องการพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในครรภ์ มารดานั้น ตถาคตตรัสไว้ในสุตตันตะปิฎก สังยุตตนิกาย ใน ยักขสังยุตต์ ประมวลเรื่องยักษ์

    ** อินทกสูตร ** พระสูตรนี้ อินทกยักษ์ ได้ถามถึงปัญหาที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในครรภ์มารดา ** คนไทยพุทธ**ส่วนใหญ่ถูกสอนว่า พระสูตรนี้ตรงตามแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ยืนยันตรงตามนั้นทุกประการ ??

    ตถาคตอธิบายเรื่องการพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในครรภ์ มารดาให้อินทกยักษ์ฟังสรุปได้ใจความว่า

    เบื้องแรกเกิดมี
     
  2. s4430309

    s4430309 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +403
    ทำไมต้องเอาเรื่องราวของสองศาสนามาเปรียบเทียบกันค่ะ
     
  3. APIRAT

    APIRAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +3,220
    สงสัยเหมือนกัน

    คำถาม 1.มีเหตุผลอะไรที่พระเจ้าต้องสร้างจักรวาลและโลก มนุษย์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตบนดาวโลกดวงนี้
    2.ทำไมพระเจ้าต้องสร้างความทุกข์ ความเจ็บปวด ความเจ็บป่วย ความหิว และความตายแก่มนุษย์และสัตว์ติดมาด้วย จะสร้างให้มนุษย์มีแต่คนดี ๆ มีความสุขเท่าเทียมกันไม่ได้หรือ
    3.ทำไมพระเจ้าต้องสร้างให้คนต่างเชื้อชาติ ผิวพรรณ แล้วก็รบราฆ่าฟันกันเอง ทรงมีพระประสงค์อันใด
    4.ถ้าพระเจ้ามีจริงบันดาลทุกสิ่งได้จริง ทำไมท่านไม่บันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีไปหมดในเมื่อเชื่อว่าท่านมีอำนาจทำได้ เพราะปัญหาของโลกมีมากมายในปัจจุบัน เช่นปัญหาโลกร้อน สงคราม โรคร้าย ความอดอยาก เป็นต้น
    5.จากกระทู้ข้างต้น คิดว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้นพัฒนาไม่ถึงความรู้ของพระพุทธเจ้าต่างหาก จึงเทียบกันไม่ได้
    6.โดยส่วนตัวเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง(พระเจ้าคือสิ่งที่เป็นเช่นนั้นในธรรมชาติ) แต่พระพุทธเจ้าคือผู้ที่สามารถค้นพบหนทางที่จะออกพ้นจากการควบคุมของพระเจ้าได้ด้วยพระองค์เองต่างหาก และทรงเป็นต้นแบบให้แก่มนุษย์ทั้งหลายได้เดินตามท่าน ถ้าไม่เดินท่านก็ไม่ว่ากะไร ไม่เป็นบาป แต่เราก็ยังต้องตกอยู่ในอำนาจของพระเจ้า คือ เวียนว่ายตายเกิดต่อไป
     
  4. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,596
    ค่าพลัง:
    +6,346
    เพราะว่าต้องการมนุษย์ที่ดีงามครับ โดยผ่านด่านที่ผู้คนกำหนดเงื่อนไขเอาไว้
     
  5. montri_p

    montri_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +467
    จะไม่มีการเปรียบเทียบให้เกิดการกระทบกัน ไม่โต้แย้งให้เกิดปัญหา และมันก็จะหาข้อสิ้นสุดไม่ได้
    ถ้าศรัทธาสิ่งใดแล้ว นำพาชีวิตให้มีความสุขทั้งของตนเอง และคนที่เรารัก
    ไม่ทำร้ายและเอาเปรียบซึ่งกันและกัน เห็นใจเอื้อเฟื้อกัน ที่เราเรียกว่ามนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ก็คงอยู่อย่างมีความสุขโดยปราศจากการทำร้ายและฆ่ากัน
    สิ่งนั้นน่าจะเป็นทางเลือกที่ควรจะปฏิบัติ ในเมื่อมนุษย์มีหลากหลายความคิด แล้วจิตใจมนุษย์ส่วนใหญ่หยาบ และเห็นแก่ตัว ก็ควรมีสิ่งยึดเหนี่ยวเพื่อไม่ให้คนบนโลกนี้อยู่กันอย่างป่าเถื่อนไม่ใช่หรือครับ
     
  6. montri_p

    montri_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +467
    มนตรี

    จะไม่มีการเปรียบเทียบให้เกิดการกระทบกัน ไม่โต้แย้งให้เกิดปัญหา และมันก็จะหาข้อสิ้นสุดไม่ได้
    ถ้าศรัทธาสิ่งใดแล้ว นำพาชีวิตให้มีความสุขทั้งของตนเอง และคนที่เรารัก
    ไม่ทำร้ายและเอาเปรียบซึ่งกันและกัน เห็นใจเอื้อเฟื้อกัน ที่เราเรียกว่ามนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ก็คงอยู่อย่างมีความสุขโดยปราศจากการทำร้ายและฆ่ากัน
    สิ่งนั้นน่าจะเป็นทางเลือกที่ควรจะปฏิบัติ ในเมื่อมนุษย์มีหลากหลายความคิด แล้วจิตใจมนุษย์ส่วนใหญ่หยาบ และเห็นแก่ตัว ก็ควรมีสิ่งยึดเหนี่ยวเพื่อไม่ให้คนบนโลกนี้อยู่กันอย่างป่าเถื่อนไม่ใช่หรือครับ
     
  7. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ต่อไปพระศาสนาจะรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง เราจะคอยดูว่าต่อไปใครจะกล้าทำกับพระศาสนาแบบนี้อีกหรือไม่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ พระศาสนาก็ไม่ค่อยผุดผ่องแผ้วผาด แต่ต่อไปอีกไม่นานเชื่อว่าจะรุ่งเรืองเป็นอย่างที่สุดตามพระพุทธพยากรณ์ตามองค์สมเด็จพระพิชิตมารได้ตรัสไว้ ว่าพระศาสนาจะอยู่ได้ ครบ 5000ปี
     
  8. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763

    ที่จริงพระพุทธเจ้าเน้นเรื่องความพ้นทุกข์ และการทำที่สุดแห่งทุกข์
    ไม่ได้ให้คุยเรื่องธนูดอกที่ 2 3 4 5 ฯลฯ หรือเรื่องอจิณไตย หรือเรื่องอัพยากฤติ<O:p

    <O:p
    ตอบตามลำดับคร่าวๆ ตามความทรงจำ อิอิ
    <O:p
    <O:p
    **อัคคัญญสูตร **<O:p</O:p
    *การกำเนิดมนุษย์ วิทยาศาสตร์ยังกำหนดได้แค่สมมุติฐาน และเป็นสมมุติฐานที่เกิดขึ้นไม่นาน ยังสรุปไม่ได้ว่าเกิดมาจากลิงแน่หรือไม่ <O:p</O:p
    *ส่วนการกำเนิดโลกนั้น พอฟังได้ น่าสนใจ แต่ก็ยังไม่ฟันธง แค่เรื่องหลุมดำมีไม่มี ยังไม่สามารถสรุปได้ <O:p</O:p
    *ส่วนการกำเนิดมนุษย์นั้นในศาสนาพุทธ ยากมากที่จะรู้ ตีความได้ง่ายๆ เมื่อจิตละเอียด กายก็ละเอียดประณีตประดุจพรหม มีอายุขัยยาวนาน เมื่อจิตหยาบ กายก็หยาบไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน เพราะขาดสามัญสำนึก ง่ายๆ ก็คือศีล การกระทำประดุจสัตว์ จะทำให้กายหยาบ อายุประมาณ 10 ปี <O:p</O:p
    *แต่การกำเนิดจักรวาลในพุทธศาสนานั้น ทางวิทยาศาสตร์พยายามตีความอยู่ เพราะนักวิทยาศาสตร์หลายท่านยอมรับว่าพุทธศาสนามีความเป็นเหตุผลสูง ...ไม่แน่ใจว่าผู้เขียนคนนี้จะสรุปคำสอนของพระพุทธองค์มาถูก ช่างดูประหลาดมาก แผ่นดินแบนราบ ไม่ได้บอกว่าโลกแบนราบ


    **มหาปรินิพพานสูตร**<O:p</O:p
    มหาปฐพีนี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลมลมตั้งอยู่บนอากาศ สมัยที่ลมใหญ่พัด เมื่อลมใหญ่พัดอยู่ ย่อมยังน้ำให้ไหวน้ำไหวแล้ว ย่อมยังแผ่นดินให้ไหว - อันนี้เหมือนเคยอ่านอยู่บ้าง และมีผู้รู้เรื่องนี้ตอบไว้แล้ว ความสั่นสะเทือนไหวตามที่เข้าใจกันคือนึกถึงแผ่นดินไหว แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด ที่จริงเป็นแรงโลกธาตุสั่นสะเทือน ไม่ใช่แผ่นดินไหว จำไม่ค่อยได้แล้ว ลองไปค้นหาอ่านเอาเอง


    **อัคคัญญสูตร ** (ต่อ)<O:p</O:p
    ตามที่คุณผู้เขียนยกมา ดูเหมือนพระพุทธองค์จะทองสอนว่า มนุษย์ไม่ต่างกัน การยึดวรรณะนั้น ไม่ได้ทำให้ใครมีแดนเกิดพ้นไปจากช่องคลอดของมารดาไปได้ คืออย่าไปหลงตนว่าเป็นใหญ่<O:p</O:p
    การเกิดทั้ง 4 แบบ ที่คุณผู้เขียนสงสัย คือเรื่อง สัตว์เกิดในเมือกในไคล (สังเสทชะ) คือเกิดในของที่ชื้นแฉะสกปรก ขยายและแพร่ออกไปเองเช่นหนอนบางชนิด เรือด ไร เพราะคุณเชื่อว่า ตามหลักชีววิทยาแล้วนักวิทยาศาสตร์ยังไม่พบว่าสิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้นเองในธรรมชาติ ดังเช่นสัตว์เกิดในเมือกในไคล (สังเสทชะ)ตามที่ตถาคตบอกนั้นได้เลย
    *อย่าว่าแต่เมือกไคลเลย แค่น้ำธรรมดาตั้งทิ้งไว้ไม่นาน ตัวอะไรต่อมิอะไรขึ้นยุบยับ สัตว์ที่แบ่งตัวเองได้อีก มีสัตว์อะไรมากมายที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ตั้งชื่ออีกมาก


    ** [FONT=Tahoma]อินทกสูตร[/FONT] ** <O:p</O:p
    อันนี้ขี้เกียจตอบแล้ว ดิฉันว่าคุณผู้เขียน เขียนเอง ตีความเอง เออเอง โดยเล่นกับตัวหนังสือไป ในขณะที่วงการวิทยาศาสตร์เขาตื่นตะลึง เมื่อพยายามค้นหาว่าพระพุทธองค์กำลังบอกอะไร และตรงกับสิ่งที่เขาค้นพบได้อย่างไร

    (i)

    ใช้ความอดทนในการโพสต์ล่ม แก้ไขแล้วล่มมากๆ เว็บนี้
    ถ้าอ่านอะไรดูแปลกประหลาดเพราะพิมพ์ผิด กรุณาคาดเดากันเองค่ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2007
  9. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +3,069
    กรุณาบอกที่มา ของข้อความข้างต้นได้จะดีมากนะครับ
    คนอ่านจะได้ไม่สับสน นึกว่าคุณเขียนเอง
    และหากคุณเขียนข้อความนี้เอง
    ผมจะลบทันที เนื่องจากทำให้เกิดข้อพิพาท ระหว่างศาสนา

    ขอให้ทุกท่านอย่าโมทนา และอย่าเพิ่งเชื่อตาม
    เพราะพระพุทธเจ้า เก่งกว่านักวิทยาศาสตร์แบบเทียบไม่ได้
    นักวิทยาศาสตร์มันยังไม่พ้นทุกข์กันเลย
    สงสัยนักวิทยาศาสตร์ยังขาดใบไม้แห่งการพ้นทุกข์
     
  10. ผู้เดินทาง

    ผู้เดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +407
    เขาไปตีความเองแล้ววิจารณ์เอาเองครับ โดยพยายามจับผิดจากการตีความในความหมายของคำเอาเองแบบเบ็ดเสร็จ

    โดยหลักการศึกษาคำภีร์ที่รัดกุม ต้องศึกษาจากบาลีเป็นหลัก แล้วการแปลความต้องใช้ผู้มีความรู้อย่างลึกซึ้งทั้งในด้านภาษา และการเทียบเคียงกับธรรมชาติ ตามที่ผู้คนในสมัย 2500 ปีมาแล้วพอจะเข้าใจได้
    ลองคิดดู ถ้าสมมติว่าคุณมีความรู้เกี่ยวกับจักรวาลอย่างลึกซึ้ง คุณจะอธิบายให้ชาวบ้านที่เรียนจบแค่ ป6 พอที่เข้าใจภาพรวมของจักรวาล กำเนิดของจักวาล และกำเนิดของชีวิตได้อย่างไรในเวลาสั้นๆ แน่นอนคุณต้องใช้วิธีการอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบ แล้วชาวบ้านเขาจะเข้าใจได้อย่างที่คุณพยายามอุปมาอุปมัยให้เขาเห็นภาพหรือไม่

    ผู้รู้ย่อมเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทรงพยายามอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบให้คนในสมัยนั้นพอจะเห็นภาพรวมของจักรวาลได้บ้าง และจะต้องศึกษาความหมายของคำที่ทรงใช้จากบาลีเป็นหลัก
    ลองไปศึกษาคำสอนของอิสลามดูบ้าง แล้วหาดูว่าเขาสอนเรื่องโลกและจักรวาลไว้หรือไม่ สอนกำเนิดชีวิตไว้้หรือไม่ ถ้าสอนไว้แล้วตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันมากน้อยเพียงใด


     
  11. thank you

    thank you เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +1,747
    เคยเจอสมาชิกบางท่านเคยเตือนเรื่องมีคนต่างศาสนาเข้ามาคอยดูท่าทีเเละพยายามหาข้อขัดเเย้งกับพุทธ
    เพื่อสร้างความเสียศรัทธา เเละให้โน้มเอียงไปนับถือศาสนาอื่น
    เมื่อก่อนไม่เชื่อนะ เเต่ตอนนี่ชักตะหงิดๆเเล้วซิ
    เพราะอ่านไปเจอมา2รายเเล้ว
    เเต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวนะ ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี อันนี่ก็ได้ยินมานานนม
    ใครจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเถอะแต่คุณthank youคนหนึ่งละเกิดกี่ชาติขอเกิดเมืองไทยนับถือพุทธ
    แค่นี้ก็สุขหัวใจ.
     
  12. binlaart

    binlaart สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    http://www.muslimthai.com/forum/index.php?topic=1443.0

    ผมเข้าไปเว็บ มุสลิมไทย เจอเข้า อ่านแล้วไม่ค่อยที่จะพอใจ แต่ไม่มีความรู้ทางศาสนาพอที่จะตอบเค้าไปได้
    ท่านใดมีความรู้ช่วยผมหน่อยครับ จักเป็นพระคุณยิ่ง
     
  13. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ผมตามไปอ่านแล้ว
    อ่านไม่หมด
    มีความคิดเห็นว่า
    เว็บพุทธศาสนา ก็ ควรที่ชาวพุทธ จะเข้ามาศึกษา
    เว็บมุสลิม ก็ ควรให้ชาวมุสลิม เขาไปศึกษา
    การกล่าวพาดพิงกัน เป็นเรื่องไม่ค่อยเหมาะสมนัก
    ไม่ว่าจะอยู่ในเว็บศาสนาใด

    ผมจึงอยากให้ทุกท่านในเว็บ ศึกษาศาสนาพุทธ
    ให้ถ่องแท้ แล้วจะเข้าใจว่า
    ไม่มีอะไรมาขัดแย้งหักล้าง พระธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

    การที่เราไปว่าศาสนาอื่นไม่เข้าใจศาสนาพุทธ
    กลับกัน เขาก็ว่าเราไม่เข้าใจศาสนาของเขา

    วิธีการเผยแผ่ศาสนาของพระพุทธเจ้า
    ท่านไม่ได้ไปปริภาษศาสนาใดๆ
    แต่ท่านทรงให้ปาฏิหาริย์ 3 ทำให้เขาเหล่านั้นศรัทธา
    แล้วจึงให้ธรรมอันเป็นของจริง จนผู้นั้นสามารถเข้าใจ
    ธรรม คือ ความจริงข้อนั้นได้ถึงขั้น หลุดพ้น

    ดังนั้นหากเราชาวพุทธ มีความหวังดีต่อชาวศาสนาอื่น
    จึงควรศึกษาพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    ปฏิบัติให้เข้าถึงความเป็นจริงแท้ ซะก่อน
    จากนั้นจึงทำตามอย่างพระพุทธเจ้า ให้ผู้คนหันมาศรัทธา
    แล้วจึงนำเอาธรรมอันจริงแท้ มาสงเคราะห์ให้เขาเห็นตามความเป็นจริง
     
  14. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ข้อปฏิบัติตัวเพื่อบรรลุธรรม และเพื่อเผยแผ่ธรรม

    เมื่อเขาใคร่ครวญเธอนั้นอยู่ ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า...
    ท่านผู้นี้ไม่มีธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งความประทุษร้าย
    ไม่มีจิต อันเป็นที่ตั้งแห่งธรรม คือ ความประทุษร้ายครอบงำ, เมื่อไม่รู้จะพึง กล่าวว่ารู้, เมื่อไม่เห็นจะพึงกล่าวว่าเห็น หรือสิ่งใดพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่ผู้อื่น พึงชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น ไม่มีเลย.

    อนึ่ง ท่านผู้นี้มีกายสมาจาร วจีสมาจาร เหมือนของบุคคลผู้ไม่ประทุษร้ายฉะนั้น
    ท่านผู้นี้แสดงธรรมใด ธรรมนั้นลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่หยั่งลงได้ด้วยความตรึก ละเอียด
    บัณฑิต พึงรู้ธรรมนั้นอันบุคคลผู้ประทุษร้ายแสดงไม่ได้โดยง่าย.

    เมื่อใด เขาใคร่ครวญเธออยู่ ย่อมเห็นแจ้งชัดว่า...
    เธอบริสุทธิ์จากธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งความประทุษร้าย

    เมื่อนั้นเขาย่อมใคร่ครวญเธอ ให้ยิ่งขึ้นไป ในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความหลงว่า...
    ท่านผู้นี้มีธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง
    มีจิตอันธรรม เป็นที่ตั้งแห่งความหลงครอบงำ, เมื่อไม่รู้พึงกล่าวว่ารู้, เมื่อไม่เห็นพึงกล่าวว่าเห็น หรือสิ่งใดพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล, เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่ผู้อื่น พึงชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นเช่นนั้น ได้หรือหนอ.

    เมื่อเขาใคร่ครวญเธอนั้นอยู่ ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า...
    ท่านผู้นี้ไม่มีธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง
    ไม่มีจิต อันธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความหลงครอบงำ, เมื่อไม่รู้จะพึงกล่าวว่ารู้, เมื่อไม่เห็นจะพึงกล่าวว่าเห็น หรือสิ่งใดพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่ผู้อื่น พึงชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นเช่นนั้น ไม่มีเลย.

    อนึ่ง ท่านผู้นี้มีกายสมาจาร วจีสมาจาร เหมือนของบุคคลผู้ไม่หลง
    ฉะนั้น ก็ท่านผู้นี้แสดงธรรมใด ธรรมนั้นลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่หยั่งลงได้ด้วยความตรึก ละเอียด
    บัณฑิตพึงรู้ ธรรมนั้นอันบุคคลผู้หลงพึงแสดงไม่ได้โดยง่าย

    เมื่อใด เขาใคร่ครวญเธออยู่ ย่อมเห็นแจ้งชัดว่า...
    เธอบริสุทธิ์จากธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง

    เมื่อนั้น เขาย่อมตั้งศรัทธาลงในเธอนั้นมั่นคง
    เขาเกิดศรัทธาแล้ว ย่อมเข้าไปใกล้
    เมื่อเข้าไปใกล้ ย่อมนั่งใกล้
    เมื่อนั่งใกล้ ย่อมเงี่ยโสตลง
    เขาเงี่ยโสตลงแล้ว ย่อมฟังธรรม
    ครั้นฟังแล้ว ย่อมทรงจำธรรม พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงไว้
    เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมควรแก่การเพ่ง
    เมื่อธรรมควรแก่การเพ่งมีอยู่ ย่อมเกิดฉันทะ
    เกิดฉันทะแล้ว ย่อมขะมักเขม้น
    ครั้นขะมักเขม้นแล้ว ย่อมเทียบเคียง
    ครั้นเทียบเคียงแล้ว ย่อมตั้งความเพียร
    เป็นผู้มีใจแน่วแน่ ย่อมทำปรมัตถสัจจะให้แจ้งชัดด้วยกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดปรมัตถสัจจะนั้นด้วยปัญญา

    ดูกรภารทวาชะ การตรัสรู้สัจจะย่อมมีได้ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล บุคคลย่อมตรัสรู้สัจจะได้ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้
    (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ หน้า ๔๕๕ ข้อที่ ๖๕๗ : โปรแกรมพระไตรปิฎก)



    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวการตั้งอยู่ในอรหัตตผล ด้วยการไปครั้งแรก
    เท่านั้นหามิได้ แต่การตั้งอยู่ในอรหัตตผลนั้น ย่อมมีได้ ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับ.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตั้งอยู่ ในอรหัตตผล ย่อมมีได้ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับอย่างไร?

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรในธรรมวินัยนี้
    เกิดศรัทธาแล้ว ย่อมเข้าไปใกล้
    เมื่อเข้าไปใกล้ ย่อมนั่งใกล้
    เมื่อนั่งใกล้ ย่อมเงี่ยโสตลง
    เมื่อเงี่ยโสตลงแล้ว ย่อมฟังธรรม
    ครั้นฟังธรรม ย่อมทรงธรรมไว้ ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงไว้แล้ว
    เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมทนได้ซึ่งความพินิจ
    เมื่อธรรมทนความพินิจได้อยู่ ฉันทะย่อมเกิด
    เมื่อเกิดฉันทะแล้ว ย่อมอุตสาหะ
    ครั้นอุตสาหะแล้ว ย่อมไตร่ตรอง
    ครั้นไตร่ตรองแล้ว ย่อมตั้งความเพียร
    เมื่อมีตนส่งไปแล้ว ย่อมทำให้แจ้งชัดซึ่งบรมสัจจะด้วยกาย และย่อมแทงตลอดเห็นแจ้งบรมสัจจะนั้นด้วยปัญญา.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศรัทธาก็ดี การเข้าไปใกล้ก็ดี การนั่งใกล้ก็ดี การเงี่ยโสตลงก็ดี การฟังธรรมก็ดี ความพิจารณาเนื้อความก็ดี ธรรมอันทนได้ซึ่งความพินิจก็ดี ฉันทะก็ดี อุตสาหะก็ดี การไตร่ตรองก็ดี การตั้งความเพียรก็ดี
    ...นั้นๆ ไม่ได้มีแล้ว เธอทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาด ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติผิด

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษเหล่านี้ ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ ไกลเพียงไร.
    (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ หน้า ๑๘๑ ข้อที่ ๒๓๘ : โปรแกรมพระไตรปิฎก)

    *คัดมาบางส่วนนะครับ หาอ่านเพิ่มเติมได้ตามที่อยู่อ้างอิง

    (verygood) ธรรมของพระพุทธเจ้า สิ เย็นใจ แน่จริง
     
  15. รักกวนอิม

    รักกวนอิม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +58
    ก็คนเขียนมันมุสลิม ก็รู้อยู่ว่าเป็นพวกจ้องชอบทำลาย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะทำไปทำไม แล้วไอ้นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายที่อ้างเนี่ย แน่ใจแล้วเหรอว่าเขาถูก ผมว่าน่าจะลบกระทู้นี้นะ อ่านแล้วเซ็ง ผมว่าที่ตรงนี้มันเป็นที่ที่สงบดีแล้ว เอาออกไปเถอะ
    (nogood)
     
  16. nattachai

    nattachai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2005
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +462
    เรื่องนี้ผมไม่คิดจะเถียงกับอิสลามิกชน ที่มีสิทธิ์แสดงความเห็นในพระสูตรต่างๆในพระพุทธศาสนา ซึ่งองค์สมเด็จพระศาสดามิได้หวงห้ามให้คนนอกศาสนามาศึกษา แต่ผมอยากจะแสดงความคิดเห็น ให้เหล่าพุทธศาสนิกชน
    ด้วยกันอ่านมากกว่า สำหรับผู้ที่อ่านข้อความดังกล่าวแล้ว อาจจะเห็นการกล่าวอ้างอิงจากพระสูตรต่างๆ จนดูน่าเชื่อถือจนอาจทำให้ผู้อ่านไขว้เขว นอกจากนี้ผู้เขียนข้อสังเกตดังกล่าว ยังมีการผนวกความคิดเห็นส่วนตัวพร้อมสรุปเอา
    เอง และกล่าวจาบจ้วง ดูหมิ่นองค์พระบรมศาสดาอีกด้วย

    ในข้อสังเกตดังกล่าว ตัดทอนมาจากพระสูตรที่มีอยู่จริงในพระไตรปิฎกทั้งสิ้น ได้แก่

    1. อัคคัญญสูตร
    2. มหาปรินิพพานสูตร
    3. อินทกสูตร

    จากข้อสังเกตของผู้ให้ความคิดเห็นนะครับ แบ่งตามข้อสังเกตตามพระสูตรดังนี้

    อัคคัญญสูตร

    - ขอให้ทำความเข้าใจก่อนว่า พระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าตรัสแสดงกับสามเณร 2 รูนะครับ ดังนั้นภาษาที่ใช้กับเด็ก จึงต้องง่าย ไม่ซับซ้อนมาก และสามารถเปรียบเทียบเห็นได้ง่าย อีกทั้งทางพระพุทธศาสนาก็มีการเรียก "คุณสมบัติ" ใหญ่ๆ ของสิ่งต่างๆ มาเรียกแทนอยู่แล้ว เช่นคำว่า "ธาตุดิน" หมายถึง คุณสมบัติที่มีลักษณะแข็ง ไม่ยอมให้สิ่งอื่นมากินเนื้อที่ของมัน ซึ่งสิ่งนั้นอาจใช่ หรือ ไม่ใช่ดินก็ได้ เช่นเดียวกับ ที่เรียก"น้ำ" มิได้หมายถึงน้ำ แต่จะหมายถึง คุณสมบัติของน้ำ คือการอ่อนตัว ได้แต่เกาะกุมกันอยู่ รวมกันอยู่ มันจึงไหลไปได้ ไม่แยกจากกัน จนกว่าจะมีเหตุสุดวิสัย ส่วน "ลม" ก็มีคุณสมบัติ คือ ระเหยได้ เคลื่อนได้ ลอยได้ นั่นเอง

    ข้อสังเกตที่ 1. แต่เริ่มแรกนั้น มนุษย์ เป็นเทพอยู่ในชั้น **อาภัสสรพรหม** เกิดและดำรงอยู่ก่อนโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์

    - เข้าใจถูกต้องแล้วครับ จักรวาลนี้เกิดและดับมานับครั้งไม่ถ้วน สรรพสัตว์ล้วนเกิดและตาย วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าจะเกิดจักรวาลอีกกี่ครั้งก็ตาม ตราบใด ที่สัตว์ยังทำลายอวิชชาไม่ได้ ยังหลงผิด ก็ยังคงต้องอยู่ใน
    สังสารวัฏนี้ต่อไป

    ข้อสังเกตที่ 2. จักรวาลนี้เต็มไปด้วยน้ำหรือ มหาสมุทร แผ่ออกไปอย่างสุดสายตา

    - คำว่าจักรวาลในพระไตรปิฎก ผมว่าไม่น่าจะใช่คำเดียวกับคำว่า Universe ของฝรั่งครับ จริงๆแล้วน่าจะตรงกับคำว่า "Solar system" หรือ "สุริยจักรวาล" มากกว่า เพราะมีตรัสในจูฬนีสูตรว่า "ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่ง
    มีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์" ส่วนในพรหมนิมันตนิกสูตร พระองค์มีกล่าวถึงจักรวาลอื่น ซึ่งแสดงว่ามีจักรวาลมากกว่า 1

    ส่วนในประเด็นเรื่องน้ำ ดังที่อธิบายไว้ด้านบนครับ น่าจะหมาย
    ถึงสิ่งที่มีคุณสมบัติคล้ายน้ำ คือ การอ่อนตัว ได้แต่เกาะกุมกันอยู่ รวมกันอยู่ มันจึงไหลไปได้ ไม่แยกจากกัน จนกว่าจะมีเหตุสุดวิสัย ซึ่งในทางทฤษฎีกำเนิดสุริยจักรวาลก็มีอยู่ หลักๆ 3 ทฤษฏีด้วยกันคือ ทฤษฎีของคานท์และลาพลาส
    ทฤษฎีของเจมส์ ยีนส์ และ ทฤษฎีของเฟรด ฮอยส์ และฮานส์ อัลเฟน ซึ่ง 2 ใน 3 ทฤษฏี กล่าวว่าเริ่มต้นจากกลุ่มก๊าซ หดตัวหรือรวมตัวกัน กลายเป็นโลก พระอาทิตย์ ดาวเคราะห์ต่างๆ กลุ่มของก๊าซนั่นมีคุณสมบัติคือ การอ่อนตัว ได้
    แต่เกาะกุมกันอยู่ รวมกันอยู่ จึงไม่แปลกอะไรที่จะกล่าวอย่างให้เด็กๆเข้าใจง่ายๆ ว่าเต็มไปด้วยน้ำ

    ข้อสังเกตที่ 3. แล้วแผ่นดินก็ลอยขึ้นมาบนมหาสมุทร และผืนแผ่นดินแบนราบ หรือ โลกมีสัณฐานแบน!! นั่นเอง

    - ด้วยวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็ทราบแล้วว่า แผ่นดินของเราทุกวันนี้ ตั้งอยู่บนแมกมา คือหินที่หลอมเหลว นั่นหมายถึง แผ่นดินตั้งอยู่บนมหาสมุทรแมกมาขนาดใหญ่ เห็นได้ว่า พระองค์ทรงเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากๆ อีกทั้งไม่เห็นท่านกล่าวยืนยันตรงไหนว่าโลกแบน - อย่าอนุมานด้วยสติปัญญาของปุถุชนธรรมดาเลยครับ

    ข้อสังเกตที่ 4. ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กลางวันและกลางคืน ไม่ได้เกิดจากการหมุนของโลกรอบตัวเอง หรือการโคจรตามจักรราศี

    - อันนี้ ผู้สังเกตตั้งเอาเองมากกว่าครับ ท่านกล่าวว่า **เมื่อรัศมีกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไปแล้ว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏ เมื่อดวงดาวนักษัตร
    ปรากฏแล้ว กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏ ** ในพระไตรปิฎกมีกล่าวยืนยันว่า พระอาทิตย์มีมากกว่า 1 ซึ่งไม่ได้หมายถึงดวงอาทิตย์ที่อยู่ในระบบสุริยจักรวาลนี้เท่านั้นด้วย ดาวนักษัตรทั้งหลายก็คือดาวฤกษ์ เรียกได้อีกอย่างว่า ดวง
    อาทิตย์ เช่นกัน ดังนั้น ถ้าดวงอาทิตย์ ในที่นั้นๆ ไม่ปรากฎขึ้น จะเกิดเป็นกลุ่มดาวนักษัตรต่างๆได้อย่างไร พอดาวเคราะห์เย็นลง และโคจรรอบดวงอาทิตย์ จึงเห็นได้เป็นกลางคืนและกลางวัน

    ข้อสังเกตที่ 5. เราจะพบว่า แท้จริงแล้วตถาคตนั้นสอนว่า มนุษย์ทุกคนย่อมเกิดมาแต่มารดาซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น หาได้เกิดหรือวิวัฒนาการ (Evolution) มาจากสิ่งอื่นใดไม่

    - จุดประสงค์สำคัญในตอนนี้ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า วรรณะต่างๆ ล้วนเท่าเทียมกัน ซึ่งความเชื่อในสมัยนั้นกล่าวถึงการกำเนิดของวรรณะที่มาจากส่วนต่างๆของพระพรหม แต่พระองค์กลับชี้ให้เห็นถึงหลักความจริงใน
    ขณะนั้น ซึ่งพบเห็นและรับรู้ได้ทั่วไป ดังนั้นการสรุปของผู้ตั้งข้อสังเกตคือการคิดเองเออเอง และยัดเยียดความคิดของตนว่าเป็นความคิดของพระพุทธเจ้า ถ้าจะตีความตามอักษร พระองค์บอกว่าพราหมณ์เกิดจากแม่พราหมณ์ ระบบวรรณะ เพิ่งสร้างขึ้นมาหลังจากชาวอารยันมายึดครองแผ่นดินชมพูทวีป ยังไงก็ไม่เกิน 1 หมื่นปี ไม่เห็นมีการวิวัฒนาการใดๆในมนุษย์ช่วงนี้เลย

    ส่วน มหาปรินิพพานสูตรก็เช่นกัน

    ข้อสังเกตที่ 1. สรุปได้ว่า ** มหาปรินิพพานสูตร ** ที่ตถาคตตอบคำถามของพระอานนท์ในเรื่องสาเหตุของแผ่นดินไหวนั้น ผิดไปจากหลักความเป็นจริงหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ นั่นเอง

    - การสำรวจใต้โลกโดยการเจาะพื้นผิวดู ยังเจออยู่แค่ชั้นของเหลวเองครับ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็หมดหนทางพิสูจน์ต่อแล้ว พระพุทธองค์เห็นได้ไกลกว่านั้นมากมายนัก

    หากยังสงสัย ลองคิดเล่นๆ ว่ามีคน 2 คน ได้ผล
    มะพร้าวมาหนึ่งผล คนนึงได้มือฉีกกาบมะพร้าวออก ไปถึงกะลาก็แกะต่อไม่ได้ จึงสรุปว่า ในลูกมะพร้าวคือกะลาเป็นของแข็ง ที่กินไม่ได้ แต่คนอีกคนหนึ่ง มีมีดสับลงไป พบว่าข้างในมะพร้าวมีแบ่งเป็นชั้นๆ มีกาบ มีกะลา มีเนื้อและน้ำ สรุปได้ว่า ข้างในผลมะพร้าว คือเนื้อและน้ำ คิดว่าคนไหนถูกกว่ากันครับ ^_^ คิดต่อเอาเองละกันครับ

    ส่วน อินทกสูตร มีกล่าวเรื่องมนุษย์ในครรภ์ดังนี้นะครับ

    [๘๐๓] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะ
    จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น ๕ ปุ่ม
    (ปัญจสาขา) ต่อจากนั้น มีผมขนและเล็บ (เป็นต้น) เกิดขึ้น มารดา
    ของสัตว์ในครรภ์บริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอย่างใด สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์
    มารดา ก็ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยอาหารอย่างนั้นในครรภ์นั้น" ฯ


    ข้อสังเกตที่ 1. เราจะเห็นว่าถึงแม้ตถาคตจะแสดงให้อินทกยักษ์รู้ว่า ฆนา ปสาขา ชายนฺติ ความว่า ในสัปดาห์ที่ 5 เกิดปุ่ม ขึ้น 5 แห่ง เพื่อเป็นมือและเท้าอย่างละ 2 และเป็นศีรษะ 1 นั้น จึงยังเป็นการไม่ถูกต้องอยู่ดี ก็เพราะว่าแท้ที่
    จริงแล้ว ช่วงเวลาดังกล่าว ตัวอ่อน(Embryo)ของมนุษย์นั้นมีอวัยวะที่มีลักษณะคล้ายหางเป็นส่วนที่อยู่ถัดจากทวารหนัก ของตัวอ่อน(Embryo)ปรากฏเป็นปุ่มที่ 6 ให้เห็นอย่างชัดเจน

    [​IMG]

    - ต้องทำความเข้าใจกับคำว่าปุ่มนะครับ ในพจนานุกรมของราชบัณฑิตฯ ให้ความหมายของคำว่า ปุ่ม (น. ปม, ของที่นูนขึ้นจากพื้นเดิม เช่น ปุ่มฆ้อง.) จะเห็นว่า ปุ่มเป็นส่วนที่กำเนิดขึ้น จากพื้นผิวของเดิม ส่วนหางคือปลาย
    ของกระดูกสันหลังซึ่งมีอยู่แล้ว มิได้นูนขึ้นจากของเดิม ไม่เหมือนปลายอีกข้างของกระดูกสันหลัง ที่ปูดนูนขึ้นและพัฒนาเป็นศีรษะต่อไป ดังนั้นส่วนหางจึงมิอาจนับว่าเป็นปุ่มได้ ต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่หางมีการพัฒนายืดยาวออก
    มาจากพื้นเดิมขึ้นเรื่อยๆ จึงอาจนับว่าเป็นปุ่มได้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ครับ

    ข้อสังเกตเรื่องกำเนิด 4 นั้น

    ผู้ตั้งข้อสังเกต ตัดมาจากคำถาม 108 ที่มีผู้ถามพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ซึ่งท่านตอบตามเต็มว่า

    24. กำเนิด 4 และภูมิ 3 คืออะไร กราบเรียนพระอาจารย์กรุณาอธิบายและยกตัวอย่าง
    กำเนิด 4 หรือโยนิ 4 คือ รูปแบบหรือชนิดของการเกิด
    1.สัตว์เกิดในครรภ์ (ชลาพุชะ) มีตัวผู้ ตัวเมีย ปฏิสนธิแล้วคลอดออกมาเป็นตัวจากครรภ์มารดา เช่น คน วัว สุนัข แมว หนู ปลาโลมา
    2.สัตว์เกิดในไข่ (อัณฑชะ) คือ ออกไข่เป็นฟองก่อนแล้วจึงฟักเป็นตัว เช่น นก เป็ด ไก่ งู จิ้งจก ตุ๊กแก จระเข้
    *** 3.สัตว์เกิดในเมือกในไคล (สังเสทชะ) คือ เกิดในของที่ชื้นแฉะสกปรก ขยายและแพร่ออกไปเอง เช่น หนอนบางชนิด ไวรัส เรือด ไร
    4.สัตว์เกิดผุดขึ้นเหมือนแสงสว่าง (โอปปาติกะ) เช่น เทพ เทวดา เปรต ยักษ์ สัตว์นรก ไม่มีซาก


    ไม่ทราบว่าจะตัดคำว่า ไวรัส ออกทำไมครับ ถ้าเจตนายกคำพูดท่านมา ทำไมไม่ยกมาให้หมดครับ ไวรัสไม่มีไข่ ไม่ได้เกิดขึ้นเอง ไม่ได้เกิดในครรภ์มารดา แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ตัวท่านผู้ตั้งข้อสังเกต ก็ยังไม่แน่ใจความเชื่อของตัวท่านเอง ไม่แน่ใจในสิ่งที่ท่านตั้งใจให้คนอื่นเชื่อตาม จึงจำต้องตัดบางคำทิ้งไป สมควรกลับไปทบทวนการกระทำของตนเอง ที่หลอกลวงแม้กระทั่งตนเองและผู้อื่น

    ทั้ง 3 พระสูตรที่กล่าวมา ล้วนเป็นจริงตามหลักธรรมชาติ ที่พระสัพพัญญูทรงรู้แจ้ง ดังเช่นที่พระองค์ทรงกล่าวว่ามีมากดังใบไม้ในป่า คำว่า "ใบไม้แห่งความจริง" ที่ผู้ตั้งข้อสังเกตกล่าวอ้าง ยังเป็นส่วนน้อยนิด และมีอีกมากที่ต้องรอการพิสูจน์ บางใบก็ถูกพิสูจน์แล้ว ว่าเป็นใบไม้จอมปลอม ที่หลอกลวงผู้คนมาหลายสมัย โดยเชื่อสืบๆกันมา ไม่รู้จักหาเหตุผลของสิ่งนั้นๆ และไม่ยอมรับความเป็นจริง

    อย่างไรก็ดี ใบไม้ในป่าทั้งหมด พระองค์ไม่ทรงเห็น
    ประโยชน์ใดๆที่จะมาทรงสั่งสอนแก่เหล่าสาวก เพราะด้วยสติปัญญาที่แตกต่างกัน ปัญหาคำถามต่างๆ จะตามมาอีกมากมายไม่รู้จบสิ้น เพียงแค่ "ใบไม้ในกำมือ" ซึ่งเป็นหลักธรรมที่พาให้มนุษย์ทุกผู้ทุกนามล่วงพ้นวัฎสังสารอันยาวนาน พระองค์ยังทรงต้องสอนตราบจนกระทั่งวันสุดท้ายแห่งการดำรงขันธ์ก่อนปรินิพพาน เพราะ ใบไม้ในกำมือนี้เอง ที่ทำให้ผู้คนมากมาย รู้และยอมรับ ตามหลักความเป็นจริงแห่งธรรมชาติและล่วงความทุกข์ทั้งปวงได้ มีให้ผู้คนทุกชาติและศาสนารอการพิสูจน์

    "ธรรมของพระตถาคตกล่าวไว้ดีแล้ว ท่านจงมาดูเถิด"
     
  17. nattachai

    nattachai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2005
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +462
    หมายเหตุ: ข้อความดังกล่าวข้างต้น เป็นความคิดเห็นส่วนตัว เจตนาเพื่อแก้คำกล่าวจาบจ้วงองค์พระบรมศาสดาจากบุคคลต่างศาสนา ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาดจากการตีความแก้ในครั้งนี้ กระผมกราบขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ด้วยครับ

    และอ้างอิง คุณสมบัติของน้ำ ดิน และ ลม จาก ปรมัตถสภาวธรรม โดยท่านพุทธทาสภิกขุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2007
  18. su37berkut

    su37berkut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    422
    ค่าพลัง:
    +1,121
    สิ่งที่เริ่มต้นจากสงคราม และการทำลายล้าง
    ย่อมไม่บริสุทธิ์ และดับไป เช่นที่เป็นมา
    .....
    ไม่มีความสงสัยใดๆหลงเหลืออยู่ ต่อพระธรรมของพระพุทธองค์
     
  19. kunmeng

    kunmeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,383
    ค่าพลัง:
    +395
    รู้สึกเศร้าใจจนอยากน้ำตาไหล คนเราแต่ละคนน่าสงสารและเวทนาเป็นที่สุดในโลกนี้ไม่มีศาสนาไหนจะเป็นสัจจธรรมความจริงเท่าศาสนาพุทธ ไม่เคยบังคับให้ใครมาเชื่อแต่ใหพิสูจน์เอง ทุกคนต้องรู้ด้วยตัวเองพระองค์ไม่เคยบอกให้ใคร๐มาเชื่อคำสอนของพระองค์คนที่บังอาจเขียนลบหลู่พระพุทธองค์มันไม่ใช่ใครอื่น มันก็คือผู้หลงอยู่ในอวิิชชา ในโลกมืดของมัน มันทำเหมือนผู้รู้จริงแต่ที่จริงมันไม่รู้อะไรเลย จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสดาของศาสนาพุทธแต่พระองค์ทรงเป็นแก่นแท้ของทุกศาสนา แต่เพราะคนหัวดำๆทั้งหลายมาบิดเบือนความจริงจากแหล่งที่มาให้เพี้ยนจนเกิดเป็นศาสนาต่างๆขึ้นมาแล้วสมมติตัวเองเป็นพระเจ้า มีลัทธินี่ นู้นมากมาย ชักจูงพวกด้อยปัญญาทั้งหลายให้เข้าพวก เราอยากถามคนเขียนกระทู้นี้ว่า ในศาสนาของคุณสอนอะไรบ้าง สอนเรื่องมิติของจิตมั้ย สอนเรื่องเครื่องยนต์ของกรรมหรือไม่ คุณรู้จักคำว่า .นิวทรัล หรือไม่ฉันขอแนะนำให้คุณถอนตัวเองจากสิ่งสมมติทั้งหลาย ลองนั่งหลับตาในบรรยากาศสบายๆแล้วถามตัวเองอย่างมีสติที่สุดว่าเหตุผลกลใด ปัจจัยอะไรที่ทำให้คุณต้องมานั่งนับถือศาสนาของคุณ แค่คำถามแรกคุณก็ตกม้าตายแล้วเพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่าคุณไม่มีวันที่จะหาคำตอบที่แท้จริงของคำถามนี้ได้ ความจริงมันก็คือความจริง ความจริงที่แท้จริงจะไม่มีวันถูกถ่ายทอดโดยคนหัวดำๆเด็ดขาดคุณเป็นได้เพียงคนที่พยายามทำตัวเป็นผู้รู้ ความจริงแล้วในสมอง ของคุณมันว่างเปล่าไร้ความจริง ฉันจะบอกอะไรให้คุณรู้ไว้ ฉันเข้าไปศึกษาเกือบทุกศาสนาเพื่อหาแก่นของคำสอนโดยไม่เคยสนใจผู้นำของแต่ละศาสนาไหนเลยเพราะฉันไม่เชื่อว่าพวกนั้นคือผู้รู้ ฉันเชื่อตัวเอง เพราะคิดว่าความศักดิ์สิทธ์ิคือตัวเราเอง พระเจ้าที่แท้จริงก็คือตัวเราเองนี่แหละคือความจริงที่สุดแล้ว คุณต้องหาตรรกะในคำพูดของฉัน แต่ฉันมั่นใจในตัวเองอย่างที่สุดแล้วว่าฉันปลอดพ้นจากการถูกจูงแล้วอย่างสิ้นเชิงเมื่อไรที่เราเกิดความศรัทธาในตัวเองได้อย่างที่สุด เราจะได้คำตอบของทุกๆอย่างในโลกใบนี้แล้วคุณจะได้เลิกปรามาสความดีสูงสุดเสียที
     
  20. kunmeng

    kunmeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,383
    ค่าพลัง:
    +395
    สิ่งที่วิเศษที่สุดคือทำตัวเองให้มีศรัทธา จงคิดจะได้ไม่ต้องคิด เพราะไม่คิดเรื่องคคิดจึงมีมากมาย อย่าสร้างเรือนจำขังตัวเอง ผู้ให้โลก โลกให้ตอบแทน
     

แชร์หน้านี้

Loading...