การเข้าถึงหลักชัยแห่งพระโพธิสัตย์เจ้าต้องผ่านปราการต่างดั่งที่ประสบพบมา

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย emperron, 19 มิถุนายน 2012.

  1. emperron

    emperron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +432
    พระบรมครูพระธรรมเทพโลกอุดรทั้ง 36 องค์ ท่านทรงเป็นพระธรรมานุบาลของ พระมหาโพธิสัตย์ทั้ง16 พระองค์ โดยมีหน้าที่สำคัญคือสืบต่องานพระศาสนาใน 2500 ปีหลังโดยมีพระธรรมเทพโลกอุดรทั้ง36เป็นผู้ดูแล พระบรมครูพระธรรมเทพโลกอุดรมี 36 องค์อันมีรายชื่อดังนี้

    หลวงปู่พระบรมครูพระธรรมเทพโลกอุดรนั้นมีทั้งหมด 36 รูป (พระธรรมทูตทั้ง9สาย) อันมีพระโสณะมหาเถระเป็นพระอาวุโสที่สุด พระมหาเถระเหล่านี้รับสัจจะกับพระมหากัสสปะมหาเถระเจ้าว่าจะดูแลพระพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปี ดังนั้นพระมหาเถระทั้ง 36 จึงต้องรักษาธาตุสังขารเอาไว้ในโลกมนุษย์ โปรดสรรพสัตว์ตามความสามารถแต่ยุคอรหันมีแค่ 2500 ปีดังนั้น ใน2500 ปีหลังเป็นยุคของพระโพธิสัตว์ ในการรับสัจจะของพระมหาเถระทั้ง 36 รูปทำให้พระโพธิสัตว์ 16 รูปต้องลงมาจุติในโลกมนุษย์ เพื่อเกิดมาเป็นศิษย์ก็คือสามเณรที่ติดตามท่านพระมหาเถระทั้ง 36 รูปแบ่งเป็น 9 สาย สามเณรทั้ง 16 ล้วนเป็นพระโพธิสัตย์ชั้นสูงอันมี

    1. พระสถานปราปจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    2. พระมัญชูศรีจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    3. พระสมันตภัตรจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    4. พระกิษิตครรถ์จักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    5. พระวัชชิระปาณีจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์

    ท่านทั้ง 5 คือปรมาจารณ์ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ทั้ง 8 และยังมีพระมหาโพธิสัตว์อีก11องค์ที่อาสาลงมาช่วยคือ

    1. พระรามะมหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    2. พระธรรมราชมหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    3. พระธรรมสามีมหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    4. พระนารทะมหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    5. พระรังสีหมุนีนาทมหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    6. พระเทวะเทพมหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    7. พระนรสีห์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    8. พระติสสะมหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    9. พระสุมังคละมหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    10. พระมหาปัญญามหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์
    11. พระปรัชญาเทวะมหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์


    รวมเป็นทั้งหมด 16 องค์ ที่จุติลงมาโปรดใน2500ปีหลังและลงมาสร้างบารมีในโลกมนุษย์และสั่งสอนพระโพธิสัตว์รุ่นต่อไป เพราะไม่ใช่มีเพียง 16 องค์เท่านั้นแต่มีพระโพธิสัตว์อีกมากที่ลงมาจุติแต่บำเพ็ญบารมีให้เต็มบริบูรณ์ โดยมีพระโพธิสัตว์ทั้ง 16 เป็นแกนนำในโลกมนุษย์
    1 ใน 5 ศิษย์เอก หรือศิษย์ในดง ของพระบรมครูพระธรรมเทพโลกอุดรมี 5 พระองค์คือ
    1. พระสถานปราปจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์ก็คือหลวงปู่ตีนโต
    2. พระมัญชูศรีจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์ก็คือหลวงปู่เณรนิรนาม
    3. พระสมันตภัตรจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์ก็คือหลวงปู่เณรคำ
    4. พระกิษิตครรถ์จักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์ก็คือหลวงปู่เณรแก้ว
    5. พระวัชระปราณีจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์ก็คือปู่สิงขร
    ศิษย์เอกทั้ง 5 พระองค์ จะทำหน้าที่ดูแลงานแทนหลวงปู่ใหญ่ โดยจะเวียนกันเป็นประธานตุลาการ และจะทำงานร่วมกับพระตุลา ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับพุทธทำนาย และพระมหาตุลาซึ่งก็คือพระโพธิสัตว์ที่จะลงมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอันใกล้ คือพระศรีอาริยะเมตไตรโพธิสัตว์
    โลกธรรมอันลี้ลับของแดนพุทธภูมิในโลกมนุษย์ คือเขตแดนภูเขาควายประเทศลาวเป็นทางเข้าใหญ่ ซึ่งจริงๆแล้วคืออีกมิติภพหนึ่งที่แฝงเร้นอยู่ในมิติของโลกมนุษย์ เป็นดินแดนทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์ใครที่ไม่ได้รับอนุญาติจะไม่สามารถเข้าไปสู่มิติลี้ลับนี้ได้
    ดินแดนแห่งนี้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 5 ส่วนการปกครอง โดยมีศิษย์เอกทั้ง 5 เป็นผู้ควบคุมดูแลในแต่ละส่วน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • korat.jpg
      korat.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      843
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2012
  2. emperron

    emperron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +432
    ส่วนที่1 .“ทะเลสาบมรกต ตำหนัก วังสราญรมณ์ อยู่ในประเทศพม่า มีพระมัญชูศรีจักพรรดิ์ มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์ก็หรือหลวงปู่เณรนิรนามเป็นผู้ควบคุมดูแล

    ทะเลสาบมรกต หรือบึงมรกต เป็นทะเลสาบกว้างใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาน้อยใหญ่และพืชพรรณไม้แปลกตา เป็นพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ ไปด้วยสายน้ำ แมกไม้ มีหมอกสีขาวลอยปกคลุมอยู่ตลอดปี บริเวณนี้มีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เป็นพิภพเชื่อมต่อระหว่างเทพและพรหม มีพลังฟ้าดินสถิตอยู่เป็นกระแสพลังทิพย์ เพราะสมัยก่อนอาณาบริเวณแห่งนี้เป็นอาณาบริเวณของเหล่าเทพและมารทั้งหลายลงมาบำเพ็ญเพียรภาวนา ไอพลังของเทพและมารจึงถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องและสะสมซึมแทรกอยู่ทุกอณูของ แผ่นดิน ผืนน้ำ และทุกๆโมเลกุลของอากาศธาตุ และพลังเทพและมารนั้นยังคงลอยวนเวียนประทะกันอยู่ตลอดเวลา บริเวณนี้จึงเป็นสถานที่ๆมีพลังรุนแรงมาก
    ผู้ที่ดูแลบริเวณนี้ได้มีแต่ พระมัญชูศรีจักพรรดิ์ มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์ก็หรือหลวงปู่เณรนิรนาม เท่านั้น เพราะพระองค์มีพลังของเทพและมาร ซึ่งเป็นพลังวิเศษที่สามารถดูซับได้ทั้งพลังของฝ่ายเทพและฝ่ายมาร อีกทั้งพระองค์ยังได้พลังวิเศษจากมณี7แสงที่บังเกิดมาพร้อมกับจักรวาล ซึ่งพระมหาจักรจักพรรดิ์ฝ่ายพญานาคราชเท่านั้นจึงจะสามารถเป็นผู้ได้ครอบครอง พลังแห่งมณี 7 แสง อันทรงอานุภาพมหาศาลนี้ได้ พลังมณี 7 แสงนี้ มีอานุภาพสามารถปรับพลังเทพและมาร ให้สมดุลย์ได้โดยใช้พลังปราณหมุนวนเพื่อปรับสภาวะ
    ในบึงมรกตนี้ มีพระตำหนักสราญรมณ์ ตั้งตระหง่านอยู่กลางบึง จะมีดอกบัวดอกใหญ่มหึมาสีชมพู ผุดขึ้นมากลางบึงจำนวน 3 ดอก ภายในพระตำหนัก ตามผนัง และเพดาน ถูกประดับด้วยเพชร พลอย อัญมณี มากมาย ที่ถูกจัดวางประดับตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง ส่องแสงระยิบระยับ ภายใต้ผืนน้ำของบึงมรกต มีหิน 7 สี วางสงบนิ่งอยู่ เพื่อคอยดูซับพลังของเทพและมารเอาไว้ ไม่ให้มีอานุภาพส่งผลไปรบกวนพลังงานกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าโลก
    ตำหนักสราญรมณ์ เป็นเขตหวงห้ามที่ถูกปิดอยู่ การที่จะเข้ามาถึงที่บึงมรกตได้นั้นต้องผ่านด่านหลายด่าน ทั้งด่านยักษ์ ด่านครุฑ และด่านนาค ซึ่งจะคอยทำหน้าที่อารักษ์ขาดินแดนบึงมรกตนี้ ผู้ที่เข้าไปได้จะต้องได้รับอนุญาตก่อนเท่านั้น โดยมากจะเป็น 18 พระตุลา และศิษย์ใกล้ชิด 12 องค์ ของพระมัญชูศรีจักพรรดิ์ มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์ เท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปภายในได้ เพราะศิษย์ใกล้ชิดของพระองค์จะใช้สถานที่แห่งนี้ฝึกพลัง ก่อนที่จะออกไปปฏิบัติภาระกิจ ศิษย์เอกของพระมัญชูศรีจักพรรดิ์ มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์มี 8 พระองค์ เป็นชาย 4 องค์ หญิง 4 องค์ 4 มหาสมณะ ฝ่ายชาย คือ พระไร้ทุกข์ พระไร้สุข พระไร้นาม และพระไร้ติ ทั้ง 4 องค์ ทำหน้าที่ควบคุมหอพระวินัย ส่วนศิษย์ฝ่ายหญิงนั้นจะถูกแยกออกไปอยู่ที่ตำหนักวังบุปผา ซึ่งเป็นป่าดอกไม้ ริมบึงมรกต ที่นั้นเป็นป่าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นาๆพันธ์ซึ่งออกดอกส่งกลิ่นหอมตลอดทั้งปี ตำหนักวังบุปผานี้จะมีนางแก้วของพระมัญชูศรีเป็นผู้ที่คอยควบคุมดูแลความเรียบร้อย


    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2012
  3. emperron

    emperron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +432
    ส่วนที่ 2. “ภูแซ” (โรงเรียน มหาวิทยาลัย พระโพธิสัตว์) ตำหนักท่องลม อยู่ฝั่งลาวติดประเทศเขมร พระวัชระปราณีจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตย์หรือปู่สิงขรเป็นผู้ควบคุมดูแล

    ภูแซ สถานที่เรียนธรรมชั้นสูง บรรยากาศของที่นี่จะเหมือนช่วงพลบค่ำตลอดเวลา อากาศเย็นสบาย สัปปายะ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมยิ่งนัก ภายในภูแซเป็นดินแดนต้องห้าม เพราะสถานที่แห่งนี้มีไว้เฉพาะผู้ที่มุ่งมั่นที่จะเดินตามรอยพระพุทธบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
    ผู้ที่จะเข้ามาศึกษาที่นี่ได้ต้องได้รับคัดเลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิหลายต่อหลายขั้น และเป็นผู้ถูกเลือกจากหลวงปู่ใหญ่ให้มาศึกษาธรรมที่นี่ เขาเหล่านั้นจะต้องพร้อมทั้งกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ และใจที่พร้อมจะเสียสละเพื่อสรรพสัตว์ ภูแซจึงเป็นเสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะสามารถก้าวย่างอย่างองอาจและสง่างามเพื่อเขามาเรียน
    บุคคลที่เป็นผู้ถูกเลือกให้เข้ามาศึกษาธรรมชั้นสูงที่ภูแซ จะต้องผ่านการคัดเลือกและทดสอบหลายต่อหลายขั้นกว่าจะได้มาศึกษาธรรมที่นี่
    ในการคัดเลือกผู้ที่มีความปรารถนาที่จะเป็นพระโพธิสัตว์นั้น จะดูจากความอดทน มั่นคง เด็ดเดี่ยวของใจที่ไม่สั่นคลอน คลาดเคลื่อน หรือเปลี่ยนแปลง ในการตัดสินใจที่จะเลือกก้าวเดินบนเส้นทางอันประเสริฐสูงสุดสายนี้
    ผู้ที่ถูกคัดเลือกจะต้องผ่านการทดสอบ โดยลงมาเกิด ๑,๐๐๐ชาติ เพื่อทดสอบบทเรียนชีวิตและใจที่มั่นคงไม่สั่นคลอนในความปรารถนาที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งใน ๑,๐๐๐ ชาติแรกนี้จะไม่มีรูปแบบหรือข้อกำหนดใดๆ แต่จะดูความมั่นคงของใจของผู้ที่ถูกทดสอบเป็นหลัก
    บทเรียนที่ต้องเรียนรู้จะจำเพาะเจาะจงลงไปเฉพาะคน ถ้าบุคคลผู้นั้นยังไม่ผ่านบทเรียนใดจนรู้แจ้ง จะต้องกลับไปเรียนรู้ในบทเรียนนั้นจนรู้แจ้งอย่างถ่องแท้ เข้าใจสัจธรรม เข้าถึงปัญญา และปล่อยวางความรู้สึกนั้นลงได้อย่างแท้จริง จึงจะถือว่าผ่านบทเรียนบทนั้นๆ
    หลังจากผ่านการทดสอบ ๑,๐๐๐ ชาติแรกไปแล้ว จะต้องถูกทดสอบซ้ำอีก ๑,๐๐๐ ชาติ แต่ในการทดสอบครั้งนี้จะเป็นการทดสอบแนวลึก เพราะจะมีรูปแบบและบทเรียนที่ถูกกำหนดมาให้ ผู้ถูกทดสอบจะต้องถูกเคี่ยวกรำอย่างหนัก ตามบทเรียนที่ได้ถูกกำหนดมา เพื่อทดสอบใจว่ายังคงหนักแน่นอยู่หรือไม่
    เมื่อผ่าน ๒,๐๐๐ ชาตินี้แล้ว ยังต้องถูกทดสอบอีก ๑๐ ชาติ รวมเป็น ๒,๐๑๐ ชาติ เพื่อดูว่าจะมีกำลังใจที่แรงกล้าเพียงใดในความปรารถนาที่จะเป็นพระโพธิสัตว์
    ซึ่งกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางของความปรารถนาแห่งโพธิญาณสายนี้ ยังต้องผ่านการทดสอบกำลังใจอันแข็งแกร่งอีกมากมายนัก เพราะก่อนที่จะได้รับพุทธพยากรณ์ ว่าจักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล จนได้ชื่อว่า นิตยโพธิสัตว์ ผู้เที่ยงต่อการตรัสรู้ ผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้น จะต้องตั้งใจมั่น
    เริ่มแรก พระโพธิสัตว์นั้นดำริไว้ในใจที่จะเป็นพระพุทธเจ้า คือ นึกอย่างเดียวหรือมโนปณิธาน ยังไม่เปล่งวาจา ปรารถนาใช้เวลาถึง ๗ อสงไขย เรียกช่วงนี้ว่าพระบารมีตอนต้น แต่ยังไม่มีการบำเพ็ญบารมี ๑๐
    ช่วงที่สอง พระโพธิสัตว์นั้นเปล่งวาจาปรารถนาว่า “จักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลให้จงได้” แล้วก็บำเพ็ญพระบารมี ๑๐ พร้อมกับเปล่งวาจาหรือ วจีปณิธาน ปรารถนาพุทธภูมิในทุกๆชาติที่เกิดมาใช้เวลา ๙ อสงไขย เรียกช่วงนี้ว่าพระบารมีตอนกลาง ซึ่งมีการพบเห็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์
    ช่วงที่สามพระโพธิสัตว์นั้นได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า “จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน” เป็นพระนิตยโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีต่อเนื่องนานอีก ๔ อสงไขยแสนมหากัป เรียกช่วงนี้ว่าพระบารมีตอนปลาย
    รวมเวลาทั้ง ๓ ช่วง นาน ๒๐ อสงไขยกับอีกหนึ่งแสนมหากัปนี้เป็นระยะเวลาของพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ
    ในส่วนของพระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะ คิดในใจ ๑๔ อสงไขย เปล่งวาจา ๑๘ อสงไขย บำเพ็ญบารมีนับแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ ๘ อสงไขยแสนมหากัป รวม ๔๐ อสงไขยกับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป
    พระพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะ คิดในใจ ๒๘ อสงไขย เปล่งวาจา ๓๖ อสงไขย บำเพ็ญบารมีนับแต่พุทธพยากรณ์ ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป รวม ๘๐ อสงไขยกับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัปพอดี

    ซึ่งในเบื้องต้นนั้นถ้าผู้ใดมีใจที่มั่นคง เด็ดเดี่ยว ไม่คลอนแคลนในความปรารถนาที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ถึง ๒,๐๑๐ ชาติ จะถือว่าผู้นั้นได้ผ่านการทดสอบเบื้องต้น และมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปเรียนในสถานที่แห่งนี้ได้ ในการทดสอบจะมีผู้ทรงคุณวุฒิของภูแซดูแลและตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา เมื่อผ่านการคัดเลือกให้เข้ามาในภูแซจะเริ่มมาเรียนเบื้องต้นที่ขั้นวงไม้ และไล่ตามลำดับขั้นขึ้นไปเรื่อยๆ
    ลำดับขั้นหรือวงมีทั้งหมด ๖ วง คือ วงไม้ วงเหล็ก วงเงิน วงทอง วงคำ วงแก้ว เมื่อผู้เรียนสอบผ่านเกณฑ์จะถูกเลื่อนชั้นให้ขึ้นเรียนในวงที่สูงขึ้นไป
    เมื่อเข้ามาเรียนในลำดับขั้นของวงแต่ละวงนั้น การเรียนจะเน้นในการเลือกที่จะปฏิบัติ โดยนักเรียนแต่ละคนจะต้องเลือกวางแผนที่จะลงไปเรียนรู้เหล่าสรรพสัตว์ โดยจะมีอาจารย์คอยให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิด ในการเลือกเรียนรู้นั้น จะต้องเลือกยุคสมัยและเลือกสิ่งที่จะลงไปเรียนรู้ด้วย โดยจะเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์ประเสริฐคือมนุษย์ ไปจนถึง เทพ พรหม และสรรพสัตว์ทั่วจักรวาล เพื่อฝึกความอดทน การตัดสินใจแก้ปัญหา เรียนรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ จนรู้แจ้งในความมีความเป็นไปของสรรพสัตว์ทั้งปวง ในส่วนของภูแซนี้ พระวัชระปราณีจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์หรือปู่สิงขรจะเป็นผู้ควบคุมดูแลทั้งหมด

    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2012
  4. emperron

    emperron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +432
    ส่วนที่ 3.“มหามณเฑียร” ตำหนัก เย็น แถบสามเหลี่ยมทองคำ พระสมันตภัตรจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตย์หรือหลวงปู่เณรคำเป็นผู้ควบคุมดูแล
    มหามณเฑียร เป็นดินแดนห้วงห้าม ตั้งอยู่กลางบึงน้ำล้อมรอบ เป็นอาณาบริเวณของพลังฝ่ายเทพ เป็นสถานที่สำคัญในการประชุมประสานงานต่างๆอันเป็นกิจสำคัญในการสืบทอดและเผยแผ่พระศาสนา ของ พระคณาจารย์ พระจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตย์ ทั้ง 5 องค์ , 18 พระตุลา และพระมหาโพธิสัตว์ รวมถึงพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายงาน ในกิจการงานสำคัญต่างๆของพระศาสนา

    ส่วนที่ 4. “เชียงตุง” ตำหนัก วารีทิพย์ แถบเชียงตุง เชียงรุ้ง พระกิษิตครรถ์จักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์หรือหลวงปู่เณรแก้วเป็นผู้ควบคุมดูแล

    ส่วนที่5. “12 ปันนา” ตำหนักวังวน แถบ 12 ปันนา คุณหมิง ธิเบต พระสถานปราปจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตย์ พระปิณโทพารัทวาชะหรือ หลวงปู่ตีนโตเป็นผู้ควบคุมดูแล

    นอกจากหน้าที่ในการควบคุมดูแลและปกครองอาณาบริเวณในส่วนต่างๆแล้ว ทั้ง 5 พระองค์ยังทำหน้าที่เป็นพระคณาจารย์ ฝ่ายสอน ของเหล่าพระโพธิสัตว์ในภูแซอีกด้วย
    1. พระสถานปราปจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์เป็นประธานฝ่ายวิริยธิกะ
    2. พระมัญชูศรีจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์ เป็นประธานฝ่ายปัญญาธิกะ
    3. พระสมันตภัตรจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์ เป็นประธานฝ่ายบุญญาฤทธิ์
    4. พระกิษิตครรถ์จักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์เป็นประธานฝ่ายสัทธาธิกะ
    5. พระวัชชิระปาณีจักพรรดิ์มหาพรหมเทวะราชโพธิสัตว์หรือปู่สิงขรเป็นประธานฝ่ายพุทธะ
    โดยประธานทั้ง 5 พระองค์จะเวียนกันเป็นประธานฝ่าย และจะดำรงตำแหน่งพิเศษ คือ เจ้าพิธีกรรมโลกวิญญาณ และ เจ้าผู้พิชิตมารโลกวิญญาณพ่วงท้ายไปด้วย

    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  5. emperron

    emperron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +432
    การลงมาสั่งสอนเวไนยสัตว์และตรัสรู้ในแต่ละยุค

    ในการลงมาตรัสรู้ในแต่ละยุคนั้น หลังจากโลกถูกสร้างขึ้นมาโดยการรวมตัวของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ พืชและสัตว์จะเกิดขึ้นก่อน จากนั้นพัฒนามาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ มนุษย์ถูกครอบงำด้วยความกลัว และหาที่พึ่งพิงใจจากความกลัว โดยนับถือและศรัทธาใน สิ่งที่มองไม่เห็น และพลังเบื้องบน พระอาทิตย์ ลม ฟ้า เทพ เทวดา



    จากนั้นจากความเชื่อและศรัทธาจึงเกิดผู้นำสัทธิขึ้นนั่นก็คือ นักบวช ดาบส และพระฤาษี ซึ่งจะท่านเหล่านี้จะเป็นพวกแรกที่เกิดขึ้นเพื่อปรับสภาวะของระดับจิตใจของมนุษย์ให้เข้าสู่การแสวงหาและพยายามจะเข้าถึงและเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และธรรมชาติ หลังจากฤาษี และสมณะปรับสภาวะยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้นระดับหนึ่งแล้ว ก็จะถึงเวลาของ พระโพธิสัตว์ ที่จะลงมาทำหน้าที่ โดยแบ่งช่วงระยะเวลาออกเป็น 3 ช่วง คือ ทับหน้า ทับกลาง และ ทับหลัง <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    • ทับหน้า ในช่วงก่อนพระพุทธเจ้าจะลงมาตรัสรู้ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะลงมาก่อน เพื่อตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ในช่วงที่ว่างเว้นจากการบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า เหลือไว้เพียงพระอุปคุตซึ่งจะอยู่ต่อรอจนพระพุทธเจ้าองค์ใหม่จะตรัสรู้ เพื่อทำหน้าที่
      การลงมาโปรดเวไนยสัตว์ในแต่ละครั้งนั้น พระอุปคุตเถระ จะทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาร เทวฑูตทั้ง 4 คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และนักบวชหรือสมณะ เพื่อให้พระโพธิสัตว์ได้ระลึกตรึกรู้ เพื่อเป็นหนทางให้เห็นสัจธรรมความจริงของสรรพชีวิต เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เห็นความทุกข์ เห็นความแก่ ความเจ็บและความตาย และสัจธรรมแห่งเทวฑูตทั้ง 4 นี้เองจะปลุกให้พระองค์ทรงตื่นขึ้นจากความฝันและออกเดินทางสู่เส้นทางแห่งการตรัสรู้ เพื่อ ปนิธาณอันยิ่งใหญ่ คือการปลดเปลื้องความทุกข์ของสรรพสัตว์และเวไนยสัตว์ที่ยังทรมานอยู่ในห้วงแห่งทุกข์ทน
      เหมือนเมื่อครั้งที่ พระพุทธเจ้าสมณโคดมจะตรัสรู้นั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าชายมีนามว่า สิทธัตถะ พระเจ้าสุทโธทนะพระบิดาของพระองค์เกรงว่าพระองค์จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางธรรม ตามคำทำนายของอสิตะดาบส จึงทรงสร้างปราสาทสามฤดูและหล่อเลี้ยงเจ้าชายด้วยความสะดวกสบายอย่างที่สุด ด้วยกลิ่นไอของกิเลส ตัญหา มายา รูปอันงดงามของนางสนมนับพัน รสอาหารอันโอชะ กลิ่นอันหอมรัญจวน เสียงดนตรีอันไพเราะ สัมผัสที่อบอุ่นจากการดูแลประคบประหงม แต่แล้วเมื่อเวลาแห่งการตื่นรู้มาถึง...ในครั้งนั้นมันได้เปลี่ยนชีวิตของพระองค์ไปตลอดการ จากการที่พระองค์ได้เจอ เทวฑูตทั้ง 4 โดยการทำหน้าที่ของพระอุปคุตเถระ พระองค์ทรงได้เห็น ความแก่ชรา ความเจ็บไข้ได้ป่วย และความตายที่พรากชีวิตคนทุกผู้ พระองค์ทรงเห็นความทุกข์เห็นสัจธรรมความจริงของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความไม่จีรังยั่งยืน และสิ่งนั้นนำมาซึ่งความทุกข์ พระองค์จึงละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อ ออกเดินทางแสวงหาเส้นทางแห่งการหลุดพ้น เพื่อกลับมาปลดเปลื้องความทุกข์ของสรรพสัตว์และเวไนยสัตว์
      ทับกลาง ช่วงที่พระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น เป็นพระสัจธรรมเรียกว่า อริยสัจ 4 ซึ่งถือว่าเป็นหลักธรรมที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา แต่ก่อนที่จะตรัสรู้อริยสัจนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงปฏิบัติหลักการอื่นผ่านขั้นตอนมาก่อนแล้ว ในตอนแรกได้ทบทวนฌานต่าง ๆ ที่ได้ศึกษามาจากอาจารย์ ซึ่งได้แก่ รูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 ทรงเจริญสมถภาวนาทำจิตให้เป็นสมาธิ คือแน่วแน่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง และยังญาณอันเป็นปัญญารู้แจ้งเห็นจริงให้เกิดขึ้นในยามทั้ง 3 ญาณ 3 นั้น ได้แก่
      1. บุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือการระลึกถึงชาติในอดีตของตนได้
      2. จุตูปปาตญาณ การรู้การจุติและการเกิดของสัตว์ทั้งหลาย
      3. อาสวักขยญาณ ความรู้เป็นเหตุสิ้นกิเลสอาสวะที่เป็นเครื่องเศร้าหมองหมมอยู่ในจิตสันดาน
      ต่อจากรู้ญาณ 3 แล้ว พระองค์ทรงรู้อริยสัจ 4 เป็นเรื่องสุดท้าย ซึ่งได้แก่
      1. ทุกข์ ความลำบากของสรรพสัตว์
      2. สมุทัย เหตุของการเกิดทุกข์
      3. นิโรธ การดับเหตุแห่งการเกิดทุกข์
      4. มรรค หนทางที่จะเป็นเหตุแห่งการดับทุกข์
      หลังจากพระองค์ได้รู้อริยสัจ 4 แล้ว ได้มีพระปัญญาแจ่มแจ้ง เป็นผู้รู้ทุกสิ่งอย่างในโลก เป็นเหตุให้ถึงความบริสุทธิ์จากกิเลสาวะเครื่องเศร้าหมองที่ดองอยู่ในจิตใจ จึงได้ตรัสรู้ธรรมในวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6 อันเป็นเดือนวิสาขมาส จนได้พระนามว่า “อรหัง” ซึ่งแปลว่า ผู้หมดจดจากกิเลสและตรัสรู้ชอบโดยลำพังพระองค์เอง ได้พระนามว่า “สัมมาสัมพุทโธ” ซึ่งแปลว่า ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์จึงได้พระนามใหม่ว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”
      และในช่วงเวลานั้นเอง พระโพธิสัตว์บางพระองค์ที่เคยมีบุญบารมีมาร่วมกับพระพุทธเจ้ามาก่อน ก็จะลงมาเพื่อบำเพ็ญเพียรสั่งสมปัญญบารมีต่อ ในยุคของพระองค์ โดยจะมาทั้งในรูปแบบของกายเนื้อและกายทิพย์ ในช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น ต้นไม้ตรัสรู้ที่เทวดาดูแลมาอย่างดี เติบโตเต็มที่ ภูมิอากาศความเหมาะสมของสถานที่ถูกจัดสรรค์และวางแผนไว้เป็นอย่างดี กลุ่มคนผู้มีบารมีบุญ บารมีธรรมที่จะได้บรรลุธรรมในชั้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จนถึงบรรลุอรหันต์ จะถูกเตรียมการพร้อมไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว เพื่อรอการประกาศศาสนาของพระศาสดา เทวดาทั้งชั้นฟ้าชั้นดินต่างเดินทางมาร่วมกันโมทนา ทุกฝ่ายทำหน้าที่ร่วมกันอย่างขันแข็ง โดยมีผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยทั้งหมดคือ พระสมันตภัตรและพระมัญชูศรี หลังจากนั้นเมื่อประกาศศาสนาแล้วจะเป็นหน้าที่ของพระอัครสาวกทั้งหลายที่จะช่วยกันทำหน้าที่เผยแพร่ธรรมในยุคแรก
    ทับหลัง ช่วงเวลาหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน จนถึง 5000 ปี แม้ว่าร่างสังขารหรือกายเนื้อจะสูญสลายไปแล้ว แต่กายทิพย์และกายธรรมของพระองค์จะยังคงอยู่และสถิตอยู่ทุกหนแห่ง โดยจะมีพระอัครสาวกรุ่นหลังยังคงทำหน้าที่เผยแพร่ธรรมสืบต่อไป โดยมีพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ ลงมาทำงานทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาและสั่งสมบารมี เพื่อประสานงานสืบต่อ พระศาสนาให้กับพระพุทธเจ้าที่จะลงมาตรัสรู้องค์ต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2012
  6. emperron

    emperron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +432
    ผู้ประกอบด้วยโลกุตรปัญญาอันลึกซึ้ง
    ได้มองเห็นว่า โดยธรรมชาติแท้แล้ว ขันธ์ทั้งห้านั้นว่างเปล่า
    และด้วยเหตุที่เห็นเช่นนั้น จึงได้ก้าวล่วง พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้
    รูปไม่ต่างจากความว่าง ความว่าง ก็ไม่ต่างไปจากรูป
    รูปคือความว่างนั่นเอง และความว่างก็คือรูปนั่นเอง
    เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เป็นดังนี้ด้วย
    สารีบุตร ธรรมทั้งหลาย มีธรรมชาติแห่งความว่าง ไม่ได้เกิดขึ้นและไม่ได้ดับลง
    ไม่ได้สะอาดและไม่ได้สกปรก ไม่ได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ลดลง
    ดังนั้น ในความว่างจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา หรือสัญญา ไม่มีสังขาร หรือวิญญาณ
    ไม่มีตาหรือหู ไม่มีจมูกหรือลิ้น ไม่มีกายหรือจิต ไม่มีรูปหรือเสียง ไม่มีกลิ่นหรือรส
    ไม่มีโผฏฐัพพะหรือธรรมารมณ์ ไม่มีโลกแห่งผัสสะ หรือวิญญาณ
    ไม่มีอวิชชา และไม่มีความดับลงแห่งอวิชชา ไม่มีความแก่และความตาย
    และไม่มีความดับลงซึ่งความแก่ และความตาย ไม่มีความทุกข์
    และไม่มีต้นเหตุแห่งความทุกข์ ไม่มีความดับลงแห่งความทุกข์
    และไม่มีมรรคทางให้ถึง ซึ่งความดับลงแห่งความทุกข์
    ไม่มีการประจักษ์แจ้งและไม่มีการลุถึง เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องลุถึง
    พระโพธิสัตว์ผู้วางใจในโลกุตรปัญญา จะมีจิตที่เป็นอิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้น
    เพราะจิตของพระองค์เป็นอิสระจาก อุปสรรคสิ่งกีดกั้น
    พระองค์จึงไม่มีความกลัวใดๆ ก้าวล่วงพ้นไปจากมายาหรือสิ่งลวงตา
    ลุถึงพระนิพพานได้ในที่สุด พระพุทธในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    ผู้ทรงวางใจในโลกุตรปัญญา ได้ประจักษ์แจ้งแล้วซึ่งภาวะอันตื่นขึ้น
    อันเป็นภาวะที่สมบูรณ์และไม่มีใดอื่นยิ่ง ดังนั้น จงรู้ได้เถิดว่า โลกุตรปัญญา
    เป็นมหาธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นธรรมแห่งความรู้อันยิ่งใหญ่
    เป็นสิ่งอันไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่า เป็นมนต์อันไม่มีสิ่งอื่นใดมาเทียบได้ซึ่งจะตัดเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง
    นี่เป็นสัจจะ เป็นอิสระจากความเท็จทั้งมวล ในใจของตน
    "อัตนา โจทยัตตานัง" จงกล่าวโทษเตือนตนไว้เสมอ
    "สัพพะปาปัสะอกรณัง ละเว้นความชั่ว
    กุสลัสสูปสัมปทา ทำแต่ความดี
    สจิตตะปริโยทปนัง ทำจิตใจให้ผ่องใส
    เอตังพุทธานะสาสะนัง" พระพุทธเจ้าทรงสอนเช่นนี้เหมือนกันหมด
    "อัตตาหิอัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
    โกหินาโถปโรสิยา ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
    อัตตาหิสุทันเตนะ เมื่อฝึกตนดีแล้ว
    นาถังลภะติทุลภัง" จะได้ที่พึ่งอันบุคคลอื่นหาได้ยาก
    อาตมาโง่เบาปัญญาขอคุณโยมโปรดชี้แนะด้วยและขอให้คุณโยมเจริญในธรรมยิ่งๆๆไป
    เกิดมีทุกวันแก่ลงทุกวินาทีเจ็บทุกกรณีตายทุกอาลัย
    รักมากแค้นหนักพรากผูกพันจากกันทุกอย่างศูนย์สลายด้วยใจ เจริญพร<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2012
  7. emperron

    emperron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +432
    การปฎิบัติของพระโพธิสัตย์แบบง่านและบทสรุปในกาดำรงจิตส่การเป็นพระโพธิสัตย์เจ้า

    จงอย่าท้อแท้เพราะพระโพธิสัตว์เจ้าแต่ละพระองล้วนมาจกการปฎิบัติพื้นฐานก็มาจากแบบเราทั้งสิ้นจนได้เป็นถึงมหาโพธิสัตย์เจ้าอันยิ่งใหญ่ทั้งนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • korat.jpg
      korat.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      152
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  8. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +2,161
    กลับมาแก้ด้วยนะครับ เดี๋ยวจะปรามาสยาว
     
  9. ชลกนก

    ชลกนก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +187
    อนุโมทนา ครับ มีเป็นไฟล์ ให้บันทึกเก็บได้หรือเปล่าครับ เพราะตาลายไหหมดแล้วครับ จะนำไปพิมพ์ มาอ่านครับ ขอบคุณครับ
     
  10. จันทรสมุทร

    จันทรสมุทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +329
    มหากาพย์ (เรื่องยาว)

    เทพปกรนัม...?

    จขกท.คิดเยอะนะครับ

    แต่ผมว่ายังเยอะได้อีกอยู่นะครับ.....

    ติดตามอ่านนะครับ จุ๊ฟ ๆๆ
     
  11. วิปัศย์

    วิปัศย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +1,443
    เทวฑูตทั้ง 4 คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และนักบวชหรือสมณะ เพื่อให้พระโพธิสัตว์ได้ระลึกตรึกรู้ เพื่อเป็นหนทางให้เห็นสัจธรรมความจริงของสรรพชีวิต เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เห็นความทุกข์ เห็นความแก่ ความเจ็บและความตาย

    อนุโมทนาด้วยครับ
     
  12. baimaingam

    baimaingam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +880
    ขออนุโมทนาด้วยครับ....
    ...หันหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...
    ...ทุกสิ่งอยู่ที่จิต ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า...
    ...ปลูกพืชฉันใด ย่อมได้ผลฉันนั้น...
     
  13. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    897
    ค่าพลัง:
    +2,177
    นี่เป็นความรู้อีกอย่างหนึ่งขอบคุณ:cool:
     
  14. อริยะ ชน

    อริยะ ชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,042
    ช่างรู้เยอะจริงนะครับ. ?.มหากาพย์ ..ภาพยนต์
    แต่ไม่รู้ว่าความรู้ที่มากมายเช่นนี้..จะนำพาไปในทิศทางใด
    บางที..การอ่านมาก..ฟังมาก..ก็อาจไม่มีประโยนช์อันได

    กลับมาดูโลกที่กว้างวา หนาศอก นี้เถอะครับ......
     
  15. ไข่เค็ม

    ไข่เค็ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +121
    ไม่ทราบว่า เอามาจากหนังสือเล่มไหนครับ หลวงปู่ต้นบุญหรือเปล่าครับ พอดีผมเคยอ่านสามเณรน้อบเที่ยวธุดงค์แต่บางส่วนเพิ่งเคยได้ยินนี้เอง
     
  16. center-in-center

    center-in-center เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,716
    เข้ามาทักทาย...สหายธรรม.

    เปิดรับสมัครสมาชิกฟรี เข้าชมรม "I am number 1" ภายใต้สโลแกน "ขอเป็นคนดีที่1 ในกึ่งพุทธกาล"
    - เป็นชมรมที่สร้างเสริม ทาน ศีล ภาวนา
    - ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ หรือ เรี่ยไรเงินทองใดๆ
    - ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือ กลุ่มผลประโยชน์ใดๆ
    - ไม่เบียดเบียนตน และผู้อื่น
    - ทำกิจกรรมกลุ่มเดือนละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย เพื่อช่วยเหลือสังคม ธำรงค์พระพุทธศาสนา
    - จัดตั้งชมรมโดย ผมเองครับ (นายแพทย์ธรรณวัฐ วัฒนาเศรษฐ์)
    - งบประมาณโดย ผมเองครับ
    - กิจกรรมต่างๆที่หลากหลาย ให้ช่วยกันคิดช่วยกันทำ สร้างสรรค์ ไม่แบ่งแยก ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่แบ่งฝักฝ่าย ฟังความคิดเห็นผู้อื่น
    - มีเสื้อยืดชมรมแจกคนละ 1 ตัว
    - วันเปิดชมรมอย่างเป็นทางการคือวันที่ 2 สิงหาคม 2555 (วันอาสาฬหบูชา)
    - ที่ทำการชมรม คือ บ้านของผมเอง อุทิศให้พระพุทธศาสนา และใช้ทำกิจกรรม (มีกิจกรรมนอกสถานที่เดือนละ 1 ครั้ง)
    -----สนใจสมัครได้ที่ thunnawatw@gmail.com....หรือ p.m. แจ้งชื่อเล่น, ชื่อจริง, ขนาดไซด์ของเสื้อยืดที่ใส่.
    ..รับเสื้อวันอาทิตย์ที่ 15 ก.ค. 55 ในวันประชุมกลุ่มครั้งแรก เพื่อพบปะ แนะนำตัวกัน และเลือกหัวหน้ากอง และ รองหัวหน้ากอง (กองทาน กองศีล กองภาวนา)
    ...ชมรมนี้มีแต่ให้ ใครที่หวังผลประโยชน์ กรุณาไปไกลๆ
    ...รายละเอียดของชมรมจะแจ้งให้ทุกท่านทราบในวันที่ 22 ก.ค. 2555 รับสมาชิกช่วงแรก 50 ท่าน.....หมดเขต 30 มิ.ย. 2555

    ...อนุโมทนา..<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->"ตนเตือนตนเองได้ ดีนักแล"<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
  17. coool

    coool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    475
    ค่าพลัง:
    +455
    อืม นิยายเล่มละ 10 บาท
     
  18. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ภาคเหนือและภาคอีสานเป็นดินแดนเนื้อนาบุญจริงๆ ครับ แล้ว ทางภาคใต้ภาคกลาง ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก พระโพธิสัตว์คงจะมีน้อย ผมอยู่เกิดทางใต้ เคารพนับถือหลวงปู่ทวดมาก และมาทำงานอยู่ภาคกลางนี่ก็นับถือสมเด็จโตมากเช่นกัน ไม่ทราบว่าพอจะทราบสถานะของท่านหลวงปู่ทวดและสมเด็จโต พรหมรังสีบ้างหรือเปล่าครับ ว่าท่านอยู่ในขั้นใดแล้วครับ ท่านผู้รู้ช่วยหน่อยครับ
     
  19. asura7

    asura7 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +69

    เอาจริงๆ ไม่มีใครรู้หรอกครับ ถ้าเค้าตอบคุณได้ให้มั่นใจได้ 99.9% เดาตอบ

    มีแต่อริยบุคคลระดับเดียวกันหรือสูงกว่าถึงจะบอกได้ว่าท่าน อยู่ระดับใด

    ป.ล. ผมเข้าใจน่ะครับว่าอยากรู้เพื่อเสริมความเคารพนับถือ แต่ตอนนี้คุณก็นับถือท่านอยู่แล้ว อีกอย่างรู้ไปคุณก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการรู้เลย

    รู้ใจรู้กายตนเถิด ครบ :cool:
     
  20. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    เท่าที่ทราบ หลวงปู่ทวด และสมเด็จโต ท่านจัดอยู่ในพระนิยตะโพธิสัตว์ เพราะในสมัยพระพระกัสสปะพุทธเจ้าและพระโมนาโคพุทธเจ้าพระองค์ก่อนได้ตรัสทำนาย เรื่องนี้จากที่เคยอ่านประวัติหลวงปู่ทวด ซึ่งเขาได้อธิบายไว้ว่า ในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน หลวงปู่ทวดเกิดเป็นฆารวาส ผู้หาเช้ากินค่ำ แต่ศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก ในกาลครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จพร้อมด้วยพระอรหันต์สาวก500รูป ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ได้มีการแสดงธรรม แต่ด้วยเวลาพลบค่ำ ทำให้มืดสลัว หลวงปู่ทวดผู้เป็นฆารวาสสามัญชนเกิดความศรัทธามากและได้พิจารณาว่า ตนจะขออุทิศชีวิตตนเพื่อยังความแสงสว่างให้เกิดในสถานที่นี้เพื่อประโยชน์แห่งพระพุทธเจ้าจักได้แสดงธรรมด้วยมีแสงสว่าง จากตน หลวงปู่ทวดจึงได้นำผ้ามาชุบน้ำมันแล้วพันรอบตัวแล้วจุดไฟเผาตนเอง ไฟได้ลุกโชติช่วงยังแสงสว่างให้เกิดในสถานที่แห่งนั้น และท่านได้อธิฐานขอถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ในกาลนั้นพระกัสสปะพุทธเจ้าได้ทราบด้วยพระญาณจึงได้ทรงตรัสสรรเสริญแด่หลวงปู่ทวดให้เหล่าพระสงฆ์สาวกได้ทราบและได้พุทธพยากรณ์ไว้ว่า ในอนาคตกาล ครั้นสิ้นพระพุทธศาสนาของยุคพระศรีอาริย์ ไปแล้วมานพผู้นี้จะได้กำเนิดมามีนามว่าพระเจ้าราม ซึ่งจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป แลหลังจากไฟได้มอดไหม้หมดลงเหลือแต่เถ้าธุลี บังเกิดดอกบัวโผล่งอกขึ้นมาในจุดดังกล่าว เหล่าพระสาวกทั้งหลายเห็นในอัศจรรย์ต่างได้อนุโมทนาโดยพร้อมกัน ส่วนสมเด็จโตก็มีพุทธทำนายหรือพยากรณ์ไว้เช่นกัน คือเป็นพระนิยตะโพธิสัตว์เช่นกัน เหตุที่กระผมสอบถามเพื่อทบทวนความเข้าใจว่าถูกต้องมากน้อยเพียงใด
    อนึ่งการรู้แจ้งในประวัติพระอริยะเจ้า ย่อมก่อให้เกิดความศรัทธา และด้วยความศรัทธายังให้เกิดอานิสงฆ์มากมาย ผู้มีปัญญาพึงไม่ประมาทในธรรมศรัทธา ทั้งหลายทั้งปวง อนึ่งสำหรับผู้มีปัญญาย่อมโยนิโสมนสิการได้ว่าการรู้เรื่องใดย่อมได้ประโยชน์อย่างไร ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...