จะช่วยสรรพสัตว์ให้นิพพานเร็วขึ้น โดยวิธีอื่นที่ยังไม่นิพพานหรือเป็นพุทธภูมิได้หรือไม่

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อาม, 1 สิงหาคม 2007.

  1. อาม

    อาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +314
    จะช่วยสรรพสัตว์ให้นิพพานเร็วขึ้น โดยวิธีอื่นที่ยังไม่นิพพานหรือเป็นพุทธภูมิได้หรือไม

    ขอเสนอความคิดเห็นเรื่องการช่วยสรรพสัตว์ครับ เรื่องนี้เป็นความคิดเห็นนะครับ ไม่รู้ว่าถูกไหม ผมยังข้องใจอยู่ ผมต้องถามเพราะมีปัญหาส่วนตัวที่ต้องแก้ครับ

    (อย่างย่อ: ความคิดส่วนหนึ่งเปรียบเหมือนว่า ถ้าต้องการช่วยสรรพสัตว์ในสังสารวัฏให้นิพพานเร็วขึ้น จะทำแบบ ยังไม่จบปริญญาเอก แต่ไปเป็นครูสอนเด็กอนุบาล จะดีไหม)

    ในเวลาที่ผมมีกำลังใจ ผมค้นพบว่า ผมมีทัศนะว่า ก่อนที่ผู้คน สัตว์ ดวงจิตทั้งหลาย จะมีบารมีพอที่จะนิพพานได้ ก็ต้องผ่านช่วงที่ยังอ่อนต่อทางโลก เป็นสัตว์ชั้นต่ำ สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำมาก่อน ต่อให้เป็นคนก็ยังเป็นคนที่ต้องเริ่มจากการใช้ชีวิตทางโลกและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ดังนั้นการจะช่วยสัตว์อื่นให้เข้าใกล้นิพพานอาจยังไม่จำเป็นต้องปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพียงแค่เราช่วยทำให้สัตว์ทั้งหลายพัฒนาขึ้นมาเป็นคนที่มีความรู้ทางโลก และฉลาดในการใช้ชีวิตทางโลกอย่างดีงามขึ้นมาก่อน ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน

    แม้นิพพานเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาอย่างยิ่ง การดึงคนที่พัฒนามามากแล้วให้นิพพานก็จำเป็น แต่ผมมองว่าการพัฒนาปัญญาทางโลกโดยเฉพาะก็จำเป็นเหมือนกัน สำหรับสัตว์อีกมากที่ยังอยู่ไกลนิพพาน

    เปรียบเหมือนการเดินขึ้นบันได ต้องเริ่มจากขั้นต่ำขึ้นมาก่อน พุทธภูมิเป็นการที่คนกลุ่มหนึ่งขึ้นไปถึงชั้นบนแล้ว ช่วยกันดึงคนที่อยู่ขั้นล่างๆ แต่จะดีไหมถ้าคนบางคนที่ยังอยู่กลางบันได แม้จะยังไม่รู้ว่าตัวเองจะขึ้นข้างบนได้ไหม แต่ตั้งความปรารถนาที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถมาเพื่อช่วยดึงคนที่ต่ำกว่าให้ก้าวขึ้นมาได้ ด้วยวิธีพิเศษที่คิดค้นขึ้น เช่น การดลใจคนให้ทำความดี ข้อได้เปรียบของการปราถนาแบบนี้ก็คือ จะสามารถดึงคนขึ้นมาได้เป็นเวลานานและเป็นจำนวนมาก (แต่ยอมรับว่า อาจจะเสี่ยงต่อการถูกมารและแรงกรรมทำลายเอามาก)ในขณะที่คนที่ก้าวขึ้นไปถึงชั้นบนแล้วไม่สามารถกลับลงมาดึงคนข้างล่างได้ด้วยตนเองอีก

    (รู้สึกว่าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรถึงจะตรงกับความคิดนั้น)
     
  2. อาม

    อาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +314
    ความข้องใจที่รบกวนจิตใจผมเสมอมาก็คือความสงสัยว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย และผู้ที่นิพพานนานแล้ว จะช่วยดึงดวงจิตในสังสารวัฏ ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ ได้มากเท่าพระโพธิสัตว์ที่ยังปฏิบัติงานอยู่ในโลกนี้หรือไม่ การมองเปรียบเทียบข้อนี้ขอไม่นับรวมสมัยที่มีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในโลกนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2007
  3. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    อจิณไตย
    พระญาณและ พระบารมีของพระพุทธเจ้า
    ญาณและฌาณ ของผุ้ ทรงญาณ
    กรรมและผลของกรรม
    โลกและ จักวาล

    เมือสงสัยก็จงรู้ว่สงสัย นิวรณ์เข้าแล้ว
    แก้ด้วย อาณาปาณสติ

    จงทิ้งความสงสัยเสียแล้ว ทำอาณาปา
    ทำให้ที่สุด เมื่อใจหยุดสัดส่าย อาจได้คำตอบ

    คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงจะรู้ หลวงปู่ ดุลย์ อตุโล


    บางอย่างรู้็ไร้ประโยชน์ ไม่ควรคิด ปฎิบัติดีกว่า

    ขอขมา หากทำให้โกรธ
     
  4. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    คิดว่าได้และเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้วล่ะครับ หน้าที่สอนคนให้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นั้น ส่วนมากก็จะเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายเป็นผู้สั่งสอนครับ
     
  5. อาม

    อาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +314
    ขอบคุณครับ และขออภัยที่ผมทำอานาปานสติไม่ได้ เพราะมีจมูกที่หายใจไม่ค่อยออกตลอดเวลา และความคิดที่ฟุ้งซ่านคล้ายคนบ้าตลอดเวลา เพราะสมองผมมีการเชื่อมโยงมากผิดปกติ แต่คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงครับ

    ผมมีความรู้สึกในใจคือ การที่เราจะได้พระนิพพาน โดยที่ยังมีดวงจิตอื่นต้องทนทุกข์อีกมากมาย มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจทนได้ที่จะให้เป็นอย่างนั้น ผมรู้สึกว่าถึงยังไงผมก็ยอมรับไม่ได้ และ ความฝันและนิมิตหมายบางอย่าง ทำให้ผมรู้สึกว่า มันมีหนทางบางอย่างที่ "ใช่" สำหรับผม เป็นแนวทางที่ต่างออกไป แต่ก็อธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร

    วันหนึ่งผมนอนอยู่บนเตียงใต้ผ้าห่ม มันร้อนจนสามารถทำให้ผมแย่ได้เลย แต่บังเอิญขณะนั้นความคิดฟุ้งซ่านทำให้ผมคิดขึ้นมาเล่นๆ ว่า เราน่าจะเป็นโพธิสัตว์อยู่คู่โลกไปตลอด เท่านั้นเอง มีความสุขและเย็นวาบไปทั้งตัวทั้งที่อยู่ใต้ผ้าห่มร้อนๆ นั้น เหมือนมีพลังเป็นแสงสีขาวภายในใจ เป็นปีติที่ให้ความสงบได้ ประหลาดไปจากภาวะปกติของตัวผมที่ต้องหม่นหมองกับความฟุ้งซ่านปนเครียดและไม่สบายกายตลอด

    ถ้าผมบ้า ผมก็อาจจะเคยบ้าแบบนี้มานานแล้ว และบ้าอย่างนี้ไปอีกนาน ทั้งที่ทุกวันนี้ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย ไม่รู้จะทำยังไงดีครับ บางทีหันกลับมามองความปรารถนาของตัวเองแล้วก็ใจหายว่า นี่เรามาเดินอยู่บนหนทางนี้ได้ยังไง น่ากลัว แต่ก็เหมือนถูกกำหนดไว้แล้ว
     
  6. อาม

    อาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +314
    ผมรู้สึกหวาดกลัวว่า เหมือนไม่ควรจะเอาเรื่องนี้มาโพส แต่ถือว่าขอคำปรึกษานะครับ ผมรู้สึกว่าผมมีอะไรแปลกประหลาดเยอะ รวมทั้งหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าจะเป็นเครื่องมือช่วยโลกได้ในระยะยาวถ้าผมไม่ลงนรกเสียก่อน แต่ใจที่มีเรื่องติดค้างในใจเยอะบวกฟุ้งซ่านแก้ไม่ได้ปิดให้ยุ่งวุ่นวายตลอด มีคนบอกว่า ผมมีไอคิวเกิน 140 ทุกด้าน (ผลจากจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราชกับผลจากมศว.) ส่วนอีคิวก็โอเค (แต่ผมว่าไม่โอเคเลย)

    ความคิดหนึ่งที่มี...ขอบอกตรงๆ ว่า น่าจะมีกลุ่มคนบางกลุ่ม ที่ออกแบบวิธีที่จะเร่งการช่วยสรรพสัตว์ออกจากสังสารวัฏ เป็นเครือข่าย เหมือนกับที่มีมารและมีตัณหาเป็นตัวเร่งให้เกิดบารมี แต่เป็นด้านร้าย ลองคิดดูว่า ถ้ามีแต่การเร่งด้านร้ายก็ทำให้ดูน่าหดหู่ใจและมองเป็นเรื่องยาก น่าจะมีการเร่งด้วยการดลใจคนให้ทำความดี คล้ายกับมารที่ทำหน้าที่ด้านนี้แต่เป็นขั้วตรงข้าม ถ้าคนมีใจอยากทำความดีมากขึ้น โลกนี้ก็จะมีความสุข และพระพุทธศาสนาก็จะตั้งอยู่ได้อย่างสะดวกมากขึ้น เพราะบางครั้ง สิ่งดีๆ ทางธรรมจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยปัจจัยทางโลกช่วยพยุงไว้ สิ่งนี้คล้ายกับการทำหน้าที่คนละส่วน แม้จะไม่ได้ช่วยพระพุทธศาสนาโดยตรง แต่ก็เป็นอีกทางเลือกที่ถ้ามีไว้ก็ช่วยโลกได้
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,670
    ค่าพลัง:
    +51,947
    *** โลกุตตระธรรม ****

    "สัจจะ"...นำสัตว์ให้หลุดพ้น

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
    ต้องอย่าไปยึดติดความคิดตัวเอง ครับ มันเป็นอาการของพระโพธิสัตว์ทรงอารมณ์อรหันต์ที่ไม่คิดแต่ตัวเองมีแต่ช่วยเหลือแต่ผู้อื่น ไม่เพ่งโทษด่าใคร ไม่มีโลภโกรธหลง ไม่ยึดติดอารมณ์ละกิเลสว่าหมดเป็นอารมณ์อัตตาของตนเอง แต่ถ้าน้องอามคิดว่าการที่เป็นบรรลุอริยสาวกขั้นสูงจะต้องไม่มีอคติว่าจะช่วยแต่คนที่ฉันชอบ ไม่เพ่งโทษด่าว่าแต่คนอื่น แต่พิจารณาแต่กิเลสตัวเองว่าหมดหรือยัง พิจารณาความตายทุกวินาที อันนี้คืออารมณ์อรหันต์ครับ คือนิพพานชั่วคราวไม่ใช่ถาวร ถ้าถาวรคือจิตรวมใจ นิ่ง ไม่ยึดติดดี สุข อุเบกขา ละดี ละบุญ ละผลงานความคิดดี ว่าไม่ใช่ความคิด ความจำธรรมะของตนเองที่เรียนมาเป็นอารมณ์ของตัวเอง จึงละอัตตา อรหันต์ของแท้นิพพานถาวรครับ
     
  9. อาม

    อาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +314
    กราบขออภัย ที่ เวลาจะจริงจังกับเรื่องที่ว่า ผมเกิดอาการมึน คิดอะไรไม่ออก
    คือว่า ผมยังอ่านคำแนะนำของหลายท่านไม่เข้าใจ และถึงจะเข้าใจบ้างก็ยังมึนครับ
    และกลัวว่า การชวนให้คนคิดเรื่องนี้จะเป็นอันตรายไหม เพราะผมเองมีเรื่องกลุ้มใจคิดไม่ตกทำให้จิตร้อนรุ่มเข้ามาอีกแล้ว
    ผมอาจจะยังไม่ควรคิดเรื่องไกลตัวในตอนนี้
     
  10. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +2,161
    ขอเสนอความคิดเห็นเรื่องการช่วยสรรพสัตว์ครับ เรื่องนี้เป็นความคิดเห็นนะครับ ไม่รู้ว่าถูกไหม ผมยังข้องใจอยู่ ผมต้องถามเพราะมีปัญหาส่วนตัวที่ต้องแก้ครับ

    (อย่างย่อ: ความคิดส่วนหนึ่งเปรียบเหมือนว่า ถ้าต้องการช่วยสรรพสัตว์ในสังสารวัฏให้นิพพานเร็วขึ้น จะทำแบบ ยังไม่จบปริญญาเอก แต่ไปเป็นครูสอนเด็กอนุบาล จะดีไหม)

    ในเวลาที่ผมมีกำลังใจ ผมค้นพบว่า ผมมีทัศนะว่า ก่อนที่ผู้คน สัตว์ ดวงจิตทั้งหลาย จะมีบารมีพอที่จะนิพพานได้ ก็ต้องผ่านช่วงที่ยังอ่อนต่อทางโลก เป็นสัตว์ชั้นต่ำ สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำมาก่อน ต่อให้เป็นคนก็ยังเป็นคนที่ต้องเริ่มจากการใช้ชีวิตทางโลกและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ดังนั้นการจะช่วยสัตว์อื่นให้เข้าใกล้นิพพานอาจยังไม่จำเป็นต้องปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพียงแค่เราช่วยทำให้สัตว์ทั้งหลายพัฒนาขึ้นมาเป็นคนที่มีความรู้ทางโลก และฉลาดในการใช้ชีวิตทางโลกอย่างดีงามขึ้นมาก่อน ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน

    คงต้องย้อนกลับไปดูว่าการปราถนาพุทธภูมิของพระพุทธเจ้าทุกๆ
    แม้นิพพานเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาอย่างยิ่ง การดึงคนที่พัฒนามามากแล้วให้นิพพานก็จำเป็น แต่ผมมองว่าการพัฒนาปัญญาทางโลกโดยเฉพาะก็จำเป็นเหมือนกัน สำหรับสัตว์อีกมากที่ยังอยู่ไกลนิพพาน

    เปรียบเหมือนการเดินขึ้นบันได ต้องเริ่มจากขั้นต่ำขึ้นมาก่อน พุทธภูมิเป็นการที่คนกลุ่มหนึ่งขึ้นไปถึงชั้นบนแล้ว ช่วยกันดึงคนที่อยู่ขั้นล่างๆ แต่จะดีไหมถ้าคนบางคนที่ยังอยู่กลางบันได แม้จะยังไม่รู้ว่าตัวเองจะขึ้นข้างบนได้ไหม แต่ตั้งความปรารถนาที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถมาเพื่อช่วยดึงคนที่ต่ำกว่าให้ก้าวขึ้นมาได้ ด้วยวิธีพิเศษที่คิดค้นขึ้น เช่น การดลใจคนให้ทำความดี ข้อได้เปรียบของการปราถนาแบบนี้ก็คือ จะสามารถดึงคนขึ้นมาได้เป็นเวลานานและเป็นจำนวนมาก (แต่ยอมรับว่า อาจจะเสี่ยงต่อการถูกมารและแรงกรรมทำลายเอามาก)ในขณะที่คนที่ก้าวขึ้นไปถึงชั้นบนแล้วไม่สามารถกลับลงมาดึงคนข้างล่างได้ด้วยตนเองอีก
     
  11. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ศีล สมาธิ ปัญญา หมั่นทำบ่อยๆครับ

    การตั้งจิตอธิษฐานในเรื่องนี้เปรียบเหมือนกับว่าคุณพร้อมที่จะยอมแบกรับเรื่องราวและความทุกข์ของผู้คนทั้งโลกเอาไว้กับตัวคุณเอง ดังนั้นยามใดที่คุณเริ่มตั้งความปรารถนา คุณจะพบเองว่าจะมีเรื่องราวต่างๆมากมายวิ่งเข้ามาหาตัวคุณทั้งภายนอกและภายใน ถ้าคุณมีความตั้งใจจริงไม่ได้แค่คิดหรืออธิษฐานเล่นๆ คุณก็จำเป็นต้องเริ่มต้นทำความดีปฏิบัติธรรมสะสมบารมีให้กับตนเองให้มากขึ้นเรื่อยๆ แรกๆคุณอาจจะต้องทนทุกข์อยู่บ้าง

    เปรียบเหมือนคนกำลังยังน้อย แต่อยู่ดีๆก็มีสิ่งของที่มีน้ำหนักเกินตัวตกลงมาบนตัวคุณทำให้คุณต้องออกแรงแบกรับสิ่งของนั้นเอาไว้อย่างกัดฟันและแทบจะฝืนทนเอาไว้ได้ แต่ถ้าคุณเริ่มต้นทำความดีไปเรื่อยๆ(ไม่ใช่แค่อธิษฐานแล้วก็อยู่เฉยๆ) บุญบารมีของคุณจะเริ่มมากขึ้นเปรียบเหมือนคนที่มีกำลังมากขึ้นจนสามารถที่จะแบกรับสิ่งของที่มีน้ำหนักมากเหล่านั้นเอาไว้ได้อย่างสบายครับ (และยิ่งสร้างบารมีต่อเนื่องมากเท่าไหร่กำลังก็จะยิ่งมากขึ้น น้ำหนักของสิ่งของที่แบกรับก็จะเบาขึ้นเรื่อยๆไปตามลำดับเช่นกัน)
     
  12. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +2,161
    ขอเสนอความคิดเห็นเรื่องการช่วยสรรพสัตว์ครับ เรื่องนี้เป็นความคิดเห็นนะครับ ไม่รู้ว่าถูกไหม ผมยังข้องใจอยู่ ผมต้องถามเพราะมีปัญหาส่วนตัวที่ต้องแก้ครับ
    (อย่างย่อ: ความคิดส่วนหนึ่งเปรียบเหมือนว่า ถ้าต้องการช่วยสรรพสัตว์ในสังสารวัฏให้นิพพานเร็วขึ้น จะทำแบบ ยังไม่จบปริญญาเอก แต่ไปเป็นครูสอนเด็กอนุบาล จะดีไหม)
    ในเวลาที่ผมมีกำลังใจ ผมค้นพบว่า ผมมีทัศนะว่า ก่อนที่ผู้คน สัตว์ ดวงจิตทั้งหลาย จะมีบารมีพอที่จะนิพพานได้ ก็ต้องผ่านช่วงที่ยังอ่อนต่อทางโลก เป็นสัตว์ชั้นต่ำ สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำมาก่อน ต่อให้เป็นคนก็ยังเป็นคนที่ต้องเริ่มจากการใช้ชีวิตทางโลกและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ดังนั้นการจะช่วยสัตว์อื่นให้เข้าใกล้นิพพานอาจยังไม่จำเป็นต้องปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพียงแค่เราช่วยทำให้สัตว์ทั้งหลายพัฒนาขึ้นมาเป็นคนที่มีความรู้ทางโลก และฉลาดในการใช้ชีวิตทางโลกอย่างดีงามขึ้นมาก่อน ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน
    ตอบ คงต้องย้อนกลับไปดูว่าการปราถนาพุทธภูมิของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ สิ่งที่ทรงกระทำมาทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มปราถนาจนถึงได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ต่างจากสิ่งที่น้องอามคิดไหม ในความเป็นจริง การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น โดยเนื้อแท้แล้วไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย ถึงแม้จะได้ผลตอบแทนเป็นบารมีกลับมามากมายสักแค่ไหนก็ตาม แต่ทุกอย่างก็ส่งผลกลับไปยังบุคคลอื่นทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งที่น้องอามคิดอยู่นั้น พระโพธิสัตว์ หรือแม้แต่แค่ยังเป็นผู้ปราถนาพุทธภูมิอยู่ก็ทำอยู่แล้ว เพียงแต่ต่างกันที่กำลังใจทึ่ตั้งใจเท่านั้น ให้น้องอามลองศึกษาพระประวัติพระพุทธเจ้า 500 ชาติก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านย่อวิธีปฏิบัติของพุทธภมิไว้แล้ว
    แม้นิพพานเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาอย่างยิ่ง การดึงคนที่พัฒนามามากแล้วให้นิพพานก็จำเป็น แต่ผมมองว่าการพัฒนาปัญญาทางโลกโดยเฉพาะก็จำเป็นเหมือนกัน สำหรับสัตว์อีกมากที่ยังอยู่ไกลนิพพาน
    เปรียบเหมือนการเดินขึ้นบันได ต้องเริ่มจากขั้นต่ำขึ้นมาก่อน พุทธภูมิเป็นการที่คนกลุ่มหนึ่งขึ้นไปถึงชั้นบนแล้ว ช่วยกันดึงคนที่อยู่ขั้นล่างๆ แต่จะดีไหมถ้าคนบางคนที่ยังอยู่กลางบันได แม้จะยังไม่รู้ว่าตัวเองจะขึ้นข้างบนได้ไหม แต่ตั้งความปรารถนาที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถมาเพื่อช่วยดึงคนที่ต่ำกว่าให้ก้าวขึ้นมาได้ ด้วยวิธีพิเศษที่คิดค้นขึ้น เช่น การดลใจคนให้ทำความดี ข้อได้เปรียบของการปราถนาแบบนี้ก็คือ จะสามารถดึงคนขึ้นมาได้เป็นเวลานานและเป็นจำนวนมาก (แต่ยอมรับว่า อาจจะเสี่ยงต่อการถูกมารและแรงกรรมทำลายเอามาก)ในขณะที่คนที่ก้าวขึ้นไปถึงชั้นบนแล้วไม่สามารถกลับลงมาดึงคนข้างล่างได้ด้วยตนเองอีก
    ตอบ ข้อนี้ขอตอบเป็น 2 ข้อนะครับ
    1. การที่ดวงจิตจะพัฒนาจนถึงมีบารมีสามารถที่จะไปนิพพานได้นั้น ก็ต้องอาศัยทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไปตลอด ไม่ว่าจะเป็นยุคที่เลวร้ายขนาดไหน หรือดีเลิศเพียงใด ก็ยังคงอยู่ในกฎของธรรมชาติอยู่ดี การที่ดวงจิตจะมีบารมีจนถึงนิพพานได้นั้น ก็ต้องอาศัยการเรียนรู้จากการกระทำจากดวงจิตของตนเองทั้งสิ้น ไม่สามารถจะให้ดวงจิตอื่นมาคิดแทน รับรู้แทนกันได้ จึงเป็นความจริงอีกอย่างที่ผู้ปราถนาพุทธภูมิพึงนึกถึงเสมอว่า ทุกดวงจิตมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ สิ่งที่จะสอนดวงจิตเขาได้ดีที่สุดคือดวงจิตเขาเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสามารถทำได้ไม่ว่าจะมากมายสักแค่ไหนก็เป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดเป็นความจริงว่า ดวงจิตที่เกิดมาแล้วก็จะต้อง ตายแล้วเกิดวนเวียนอยู่ในวัฎฎสงสารอยู่นาน จึงจะสามารถถึงพระนิพพานได้ ไม่สามารถที่จะดึงให้ทุกดวงจิตเข้าใจในธรรมและเข้าถึงพระนิพพานได้โดยไม่ต้องทุกข์ได้
    สรุปคือ ทุกดวงจิตมีระยะเวลาในการสะสมความรู้ที่จะหลุดพ้นหรือบารมีอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่สามารถจะไปเร่งให้ใครเข้าใจได้ จนกว่าเขาเองจะปฏิบัติและรู้ด้วยตนเองได้เท่านั้น
    ความรู้อ้างอิงที่ทราบมาก็จากคำถามตอบของหลวงพี่เล็กที่ว่าไว้ว่า แต่ละดวงจิตตั้งแต่เกิดขึ้นมาจะใช้ระยะเวลาการเรียนรู้ไม่เกิน 2 อสงไขย ก็ถึงพระนิพพาน ถ้าปราถนาพุทธภูมิหรือสาวก ฯลฯ ก็ไปอีกระยะนึง

    2. พี่ว่าน้องยังไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ ว่าพุทธภูมินี่เขาทำงานกันอย่างไง ทุกอย่างที่ทำเพื่อบารมีของตนเองก็จริง แต่ก็คือการช่วยคนที่อยู่ล่างตลอดนะ เสมือนจะลากของหนักใหญ่เอาเชือก(เส้นทางพุทธภูมิ)ผูกไว้ ไม่ว่าผู้ช่วยดึงจะอยู่ต้นเชือกหรือปลายเชือกก็ช่วยกันดึงได้เพิ่มขึ้นถูกไหม ส่วนวิธีการก็แล้วแต่ละคนจะคิดกันไปอย่างเช่นน้องอามเป็นต้น ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แต่ก็จะไม่สามารถเกินไปกว่าคำตอบข้อที่ 1 อยู่ดี และพุทธภูมิ พระโพธิสัตว์หรือแม้แต่พระพุทธเจ้า ถึงแม้ท่านจะเข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว ใช่ว่าพระองค์ท่านจะทรงอยู่เฉย แค่คิดง่ายๆ ขนาดเป็นพระโพธิสัตว์ยังทำอะไรตั้งเยอะแยะมากมาย ถึงพระนิพพานที่เป็นอิสระขนาดนั้นมีพลังจะทำอะไรได้มากกว่าเดิมเป็นน้องจะอยู่เฉยๆ ไหม เพียงแต่ไม่ว่าจะทำขนาดไหนก็จะไม่เกิดไปกว่าข้อที่ 1 อีกนั่นแหละ
    สรุปคือ พุทธภูมิถ้าปราถนาแล้วก็นั่นแหละคือจุดเริ่มของว่าที่พระพุทธเจ้าอยู่แค่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็เท่านั้น แต่ตัวงานก็ต้องทำเองตั้งแต่ต้นอยู่ดี
    ความคิดเห็นส่วนตัวพี่คิดว่าทุกอย่างมีเหตุและมีผลของตัวมันเองทั้งสิ้น ที่เรายังรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เพราะอย่างไม่เห็นเหตุและผลของมัน ซึ่งสุดท้ายแล้วผลของมันก็จะได้กับผู้กระทำทั้งสิ้นไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
     
  13. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    ร้นพระนิพพาน

    ในพระไตรปิฎกมีตัวอย่างพระอรหันต์ที่บันลุนิพพานด้วยการกระทำกุศลครั้งเดียวไม่รู้จักนรกมากกว่า36กัปเกิดเป็นเทวดาสลับเจ้าจักรพรรดิ์ เศรษฐี หากจำไม่ผิดสาวกภูมิจะต้องบำเพ้ญไม่น้อยกว่า36กัป ไม่ถึง1อสงไขกัปอย่างที่เข้าใน มีผู้ถามพระพุทธองค์ว่าใช้เวลาเท่าไรสำหรับการบันลุธรรมทรงตรัสว่าไม่ขึ้นอยู่กับเวลาขึ้นอยุ่กับความพร้อมของบุคคล

    พระพุทธเจ้าในอดีตมากกว่าเมล็ดทรายในมหาสมุทร คงเคยมีพระโพธิสัตว์คิดอย่างคุณกระมัง
    และพระบรมโพธิสัตว์ที่บารมีเป็นปรมัตแล้วโง่เรื่องบุญเรื่องทาน การภาวนาและช้วยเติมบารมีให้คนบันลุเป็นอริยะเจ้าไม่ได้ ไม่มี เช่นหลวงพ่อปาน ครูบาศรีวิชัย จึงมีกิจมากและแบ่งชุดกันลงมาเกิด เพื่อบารมีและการสงเคราะห์ หากคุณเป้นหนึ่งที่ลงมาเพื่อการนี้ต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ที่สุดระวังโดนเก็บกลับให้คนอื่นที่พร้อมกว่าลงมาสร้างบารมีแทน
    เจริญพร
    พระ12
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2007
  14. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +2,161
    ไม่ต้องคิดมากครับน้องอาม อาการเหล่านี้พี่ก็เคยเป็นมาก่อน ไม่รู้ว่าหนักกว่าไหม คือคิดเกี่ยวกับสภาวะธรรมแทบจะทุกขณะจิตเลยขนาดทำงานอย่างอื่นอยู่แท้ๆ ก็ยังมีความคิดอีกส่วนคิดเปรียบเที่ยบสภาวะธรรมไปเรื่อย เป็นอยู่หลายปี เครียดมาก แต่ตอนนี้พบคำตอบและวิธีแก้แล้ว สงบลงเยอะมากแล้ว แต่ก็เสี่ยงกับการถูกมารหลอกได้ง่ายมากๆ เหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าดึงสติให้รู้ทันความคิดมันก็ OK ครับ เพราะยังไงที่สุดแล้วเดี๋ยวมันก็กลับมาจุดเริ่มต้นได้เอง ว่าเราควรทำอะไรและอย่างไร
     
  15. อาม

    อาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +314
    ขอบพระคุณมากครับ ขออนุโมทนาครับ

    หลายอย่างผมเพิ่งได้รู้ แต่ถึงอย่างไรผมก็ขอเสริมว่า การค้นหาวิธีการใหม่ๆ แม้จะเคยมีผู้ค้นหามามากเป็นอสงไขยแล้ว ก็ยังน่าค้นหาอยู่ดี จิตใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน (ลางเนื้อชอบลางยา) ตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่เหมือนกัน ปัจจัยที่เกี่ยวข้องก็มีมาก แม้ทางที่ออกนอกลู่ทางส่วนใหญ่จะไม่ดีเท่าทางที่มีผู้รู้เคยผ่านไปได้ ก็ยังไม่อาจบอกได้ว่า ทางอื่นที่ช่วยได้ (และเหมาะกับจริตของอีกคนมากกว่า) ไม่มีอยู่จริง

    ตัวผมเป็นคนที่จริตความคิดต่างๆ ไม่ค่อยจะเหมือนใครในโลกนี้เลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเวรกรรมหรือบุคลิกเฉพาะตัว หลายครั้งชอบใช้วิธีการที่ทำให้ยุ่งยากกว่าใครๆ จนเป็นปัญหามาก (แต่เคยมีครั้งหนึ่งมีโจทย์ฟิสิกส์เรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพ ที่อาจารย์ใช้เวลาหลายชั่วโมง แสดงวิธีคิดยาวหลายหน้ากระดาน เขียนสูตรอินทิเกรตยุ่งยากไม่มีใครรู้เรื่อง ตอนผมเห็นโจทย์ครั้งแรกผมกลับมองผ่านจินตนาการง่ายๆ เขียนสมการสั้นๆ แค่สองบรรทัดก็ได้คำตอบเพียงเวลาไม่ถึงนาที เพราะทฤษฎีนี้ผู้คิดค้นใช้จินตนาการคิดขึ้นมา ต่างจากนักฟิสิกส์คนอื่นที่ใช้สมการยุ่งยาก - อันนี้ผมไม่ได้จะเปรียบเทียบกับเรื่องนี้นะครับ มันคนละเรื่อง เพียงแต่จะคาดเดาว่า หนทางที่เหมาะกับจริตคนอาจไม่เหมือนกัน) แต่ก็ได้ประสบการณ์ครับ
     
  16. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    ขออนุญาต ออกความเห็น สร้างบารมี ไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องอยาก บารมีแปลว่า กำลังใจ ทำกำลังใจให้เต็ม
    พร้อมที่จะให้ หาการให้เป็นไปด้วยการบำรุงศาสนา ไม่อาลัยกับร่างกายขัณฑ์ 5
    ตั้งใจดูตัวเองพัฒนาตัวเองและิตในก่อน ท่อง พุทโธๆๆๆ กำกับใจตลอดเวลาท่องโดยไม่กังวลกับลมหายใจ ในตอนแรกหลุดช่างมันไม่ต้องคิดหลุดก็ภาวนาใหม่ ไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตา
    ยืน เดินนั่งนอน พุทโธตลอดเวลา ไม่ต้องคิด กังวลกับผลการปฏิบัติถ้าทำไปนานๆ พุทโธจะติดในใจ ทำให้ใจสงบขึ้น
    ทำจนใจชินกับพุทโธ เมื่อ ใด มีอารมณ ชิน เรียกว่า อารมณ์ ฌาณ
    ต้องให้ชินจนมันผุด พุทโธขึ้นมาเองเลยนะถ้าทำ เท่านี้ใด้ การต่อการภาวนาและวิปัสนาก็ไม่อยาก เมื่อมีพุทโธตดอยู่ในจิต น้องจะสังเกตได้ว่าเราจะ หายใจช้าลง แผ่วบางขึ้น ใช้อารมณ์นั้นโหลดอสุภะมาดู เแล้ว พิจารณาร่างกายไม่เที่ยงไม่มีแก่นสาร
    เราต้องตายทั้งสิ้น ไม่เราในกาย รักษากำลังใจให้ติดอยู่กับพุทโธตลอดเวลา
     
  17. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    ส่วนการทำประโยชน์ทำให้ดีที่สุดตามกำลังใจ ทำได้แค่ไหนแค่นั้น นั่นคือการทรงอุเบกขามีเมตตา มีกรุณา มุทิตา ตัวปลายที่ต้องทำให้ได้คือ อุเบกขา ไม่ต้องรีบไม่ต้องเ่ร่ง ทำให้ดีที่สุด แล้วปล่อยวาง

    คิดมากไปนิวรณ์เข้าจิตฟุ้งซ่าน ต้องฝึกตนให้ใจตนเข้มแข็งให้ดีก่อนก่อนที่จะช่วยคนอี่น
    อย่างพระพุทธเจ้าท่านฝึกตนเองก่อนจึงจะยังประโยชน์ให้คนอื่นให้มากที่สุด

    ขอขมากรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2007
  18. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    เห็นด้วยที่ว่าจริตอินทรีย์ของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่เนื้อแท้ของธรรมะหรือสัจธรรมนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวน่ะครับ(เนื่องจากเป็นความจริง ความจริงย่อมเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง) เพียงแต่วิธีการจะเข้าถึงความจริงของแต่ละคนอาจจะใช้วิธีแตกต่างกันได้ครับ (อย่างที่คุณอามเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่เรียนด้วยวิธีอย่างหนึ่ง คนอื่นอาจจะเข้าใจได้ด้วยคำอธิบายหรือวิธีการอย่างอื่น แต่โดยเนื้อหาสรุปแล้วก็จะเข้าใจได้ตรงกันในที่สุด แต่ความละเอียดอ่อนและความรอบด้านในการเข้าใจอาจจะแตกต่างกัน ธรรมะก็เช่นเดียวกันพระพุทธเจ้าจึงได้เทศนาธรรมะเอาไว้หลากหลายขึ้นอยู่ที่จริตอินทรีย์ของแต่ละคนน่ะครับ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...