เห็นผีเห็นเทวดา เห็นนรกเห็นสวรรค์ เห็นพระพุทธรูป เห็นอันนั้นมันเป็นมายาของจิตใจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 24 กรกฎาคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]
    หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ

    นี้...เป็นการปฏิบัติอย่างง่ายๆ

    ดังนั้น พระพุทธเจ้าผู้เป็นอรหันต์ที่เราเคารพนับถืออยู่ทุกวันนี้ ท่านว่า “สัตว์ทั้งหลาย! เราผู้เป็นตถาคตไปถึงแล้วแห่งนั้น แล้วจึงนำมาสอนพวกเธอพวกเราทั้งหลาย ให้พวกเธอพวกเราทั้งหลายประพฤติปฏิบัติอย่างเราตถาคตนี้ เมื่อประพฤติปฏิบัติอย่างเราตถาคตนี้แล้วก็จะรู้-จะเห็น-จะเป็น-จะมีอย่างเราตถาคตนี้ฯ” รู้เห็นอะไร ก็รู้เห็นตัวเรา เป็นอย่างไร เป็นอย่างที่เราเป็น เรียกว่า “รู้-เห็น-เป็น-มี” มีอย่างที่เรามี คือมีความไม่มีทุกข์ มีความไม่มีทุกข์เหมือนกันกับพระองค์ อันนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านสอน

    ที่ว่าให้เราเจริญสติ-เจริญสมาธิ-เจริญปัญญานั้น เจริญแปลว่าทำให้มาก-เจริญแปลว่าทำให้มาก เมื่อทำมากขึ้นมันก็เจริญขึ้น-มีขึ้น-มากขึ้น ความรู้สึกมีมากขึ้นๆ ความไม่รู้มันก็ลดน้อยไปๆ มีแต่ความรู้-ความเห็น-ความเข้าใจ-ความสัมผัสได้อยู่ทุกขณะทุกเวลาแล้วก็เรียกว่ามันสมบูรณ์ เรียกว่า “เจริญ” มันเป็นอย่างนั้น

    บัดนี้ เมื่อเห็น-จิตใจมันนึกมันคิดก็เห็น จิตใจมันนึกมันคิดก็รู้ จิตใจมันนึกมันคิดก็เข้าไปสัมผัสแนบแน่นอยู่กับสิ่งเหล่านั้น เรียกว่าเป็นมรรค มรรคจึงเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ เมื่อเห็น-รู้อยู่อย่างนั้นแหละเป็นมรรค ผลมันออกมาก็ไม่มีทุกข์ คือไม่ยึดไม่ถือ รู้เท่า-รู้ทัน-รู้จักกัน-รู้จักแก้

    นี้แหละเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างง่ายๆ อย่างลัดๆ สั้นๆ ใครเอาไปปฏิบัติก็ได้ จึงเป็นหลักสากล ที่ว่าเป็นหลักสากลก็เพราะทุกคนปฏิบัติได้ นั่ง-นอน-ยืน-เดิน-เข้าห้องน้ำห้องส้วมก็ดูการเคลื่อนไหว-ดูจิตดูใจ เวลาฉันอาหารก็ดูจิตดูใจ-ดูการเคลื่อนไหว จับอาหารเข้ามากินในปากก็รู้ เพราะมันเคลื่อนไหวไปนี่ ที่เราไม่รู้นั้นเพราะไม่เคยกำหนดมัน มันก็เลยไม่เป็นการปฏิบัติธรรมะ มันก็เลยเคลื่อนไหวไปโดยสัญชาตญาณ เป็นไปตามธรรมชาติของมันเหมือนกันกับสัตว์ สัตว์มันไม่มีความจำ มันจำไม่ได้ มันก็เคลื่อนไหวไปมาเหมือนกันกับคน เหมือนกันกับมนุษย์ ดังนั้นจึงว่าคนมันเป็นหน้าที่ฝึกหัดได้ มนุษย์มันเป็นหน้าที่ฝึกหัดได้ สัตว์เดรัจฉานฝึกหัดไม่ได้เพราะมันไม่มีความจำ

    ดังนั้นพวกเราทุกๆคนเกิดมาแล้วในโลกนี้ คนโบราณท่านสอนเอาไว้ว่าสวรรค์ก็ตามนิพพานก็ตามเป็นสมบัติของคน เป็นสมบัติของมนุษย์ จึงว่ามนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ เป็นสมบัติของคน เป็นสมบัติของมนุษย์ที่จะทำเอาได้ และก็เอามาใช้ได้เหมือนกันทุกคน

    ดังนั้น พวกเราต้องประพฤติปฏิบัติตัวเรา จึงว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เป็นการปฏิบัติชีวิต เป็นการปฏิบัติจิตปฏิบัติใจ เป็นการปฏิบัติตัวเรา คนเราเมื่อไม่มีการพัฒนาแล้ว จิตใจมันจะไม่รู้ เพราะเราไม่เคยเข้าวัด ไม่เคยฟังธรรม ไม่เคยพบกับสัตบุรุษบุคคลผู้ที่มีความรู้ เมื่อไปทำ มันก็เลยไม่รู้

    ไปนั่งภาวนาพุทโธ หายใจเข้าหายใจออก พองยุบดูลมหายใจอันใดก็ตาม เป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อจะมาลดโทสะ-โมหะ-โลภะนี้เอง ไม่ให้โทสะ-โมหะ-โลภะ เกิดขึ้นได้ภายในจิตใจ เพราะโทสะ-โมหะ-โลภะ เป็นของเน่า เป็นของเหม็น เป็นของสกปรก

    เมื่อเราเห็น-เรารู้-เราเข้าใจ เรียกว่ามรรค มรรคจึงเป็นข้อปฏิบัติไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น อันนี้เป็นการปฏิบัติอย่างง่ายๆ ไม่ต้องไปอ้างอิงศึกษาเอากับตำรับตำราก็ได้ ปฏิบัติอยู่ที่ไหนก็ได้ เมื่อเราเห็น-เรารู้-เราเข้าใจแล้ว ความยึดมั่นถือมั่นเป็นตนเป็นตัว มันเป็นทุกข์ เราก็เลิกจากสิ่งเหล่านั้น เราต้องไม่เข้าไปยึดไปถือ ให้มาดูที่จิตใจของเราอยู่เสมอ นี้...เป็นการปฏิบัติอย่างง่ายๆ

    (ต้องปฏิบัติเมื่อยังมีชีวิตอยู่ จนเห็นของจริง)

    คนเราเมื่อตายไปแล้วร่างกายนี้มันไม่รู้อันใดเลย เอาไปฝังดินแล้ว เอาดินกลบหน้าถมหน้ามันก็ร้องว่า หายใจฝืดเน้อ-นอนยากเน้อ-มันพูดไม่ได้ เอาขึ้นไปกองฟอนเอาไปโยนใส่กองไฟ ไฟไหม้มันก็พูดไม่ได้ว่าร้อน-เจ็บ-เพราะมันไม่มีความรู้สึก มันไม่เจ็บ มันไม่ปวด มันไม่มีชีวิต มันไม่มีจิตมีใจ

    ดังนั้น กายใจนี้จึงแยกกันได้ แต่เมื่อยังมีลมหายใจอยู่นี้แยกกันไม่ได้ แต่ปฏิบัติได้-เห็นได้-รู้ได้-เข้าใจได้ เมื่อหมดลมหายใจแล้วก็แยกกันได้ทีเดียว จะว่าแยกกันได้ก็ได้ จะพูดว่าแยกกันไม่ได้ก็ได้ เพราะว่าเรามองไม่เห็น จับไม่ถูก เราต้องศึกษาปฏิบัติให้มันเห็น-ให้มันรู้-ให้มันเข้าใจ แต่เมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่นี้ ยังมีชีวิตอยู่นี้ เดินดินกินข้าวอยู่ที่นี้ นี่แหละคือเป็นการปฏิบัติธรรม ให้เราเห็น-ให้เรารู้-ให้เราเข้าใจอย่างนี้

    ไม่ใช่ไปเห็นสีเห็นแสง เห็นผีเห็นเทวดา เห็นนรกเห็นสวรรค์ เห็นพระพุทธรูปเห็นลูกแก้ว เห็นอันนั้นมันเป็นมายาของจิตใจ ครูบาอาจารย์สอนว่าเป็นนิมิต อันนั้นก็จริง เห็นจริง แต่ว่าสิ่งที่เห็นจริงนั้นไม่เป็นของจริง เห็นจริงแต่ไม่เป็นของจริง ทำไมจึงว่าไม่เป็นของจริง? เพราะจิตมันหลอกเรา เหมือนกับคนเล่นกล คนเล่นกลไม่ใช่เล่นของจริง เขาหลอกลวงบุคคลที่ยังไม่ฉลาด มันหลอกลวงบุคคลที่ยังไม่รู้ ดังนั้นจิตใจเราก็เหมือนกัน มันหลอกลวงเราได้แต่เมื่อเรามองไม่เห็น มันหลอกลวงเราได้แต่เมื่อเรายังไม่ฉลาด แต่เมื่อเรารู้-เราเห็น-เราเข้าใจ เมื่อเราสัมผัสแนบแน่นอยู่กับตัวมันแล้ว มันหลอกเราไม่ได้ มันลวงเราไม่ได้ มันตลบไม่ได้ ท่านจึงสอนว่า “จิตคนนี้กลับกลอกได้ไว ดุจมีลานไขในตน เราท่านควรบังคับกล ให้จิตหมุนมาแต่ในทางข้างดี เพราะปล่อยให้มันหมุนไปในทางข้างดี ธรรมที่มีก็จักหนีจักหน่ายหายสูญ อธรรมเข้าครอบงำความระยำสัมบูรณ์ ก็ปลิ้นปลอกหลอกตน” มันปลิ้นปลอกหลอกตัวเรา

    ดังนั้น ที่อาตมาหรือหลวงพ่อได้มาแนะนำว่ากล่าวตักเตือนให้ผู้สนใจนำไปปฏิบัติ นั่งทำ-นอนทำ-เดินทำ-ยืนทำ ไปไหนมาไหนก็ได้นี้ เป็นการปฏิบัติธรรม เป็นการปฏิบัติชีวิตปฏิบัติจิตปฏิบัติใจ มันจะค่อยรู้-ค่อยเห็น-ค่อยเข้าใจ มีความชำนิชำนาญมากขึ้นๆ ที่สุดก็พ้นจากทุกข์ทั้งปวง

    คัดลอกมาจาก http://www.dharma-gateway.com/monk/p...p-thien_39.htm
     
  2. HLC

    HLC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +259
    :cool::cool::cool:

    ไอ้พวกเห็นมนุษย์ต่างดาว คุยกับมนุษย์ต่างดาวต่างมิติ นั่นก็อาการเดียวกันน่ะแหละ

    ไม่ใช่ของใหม่ แปลกประหลาดมหัศจรรย์อะไรเลย
    นี่แหละวิทยาศาสตร์ทางจิตของจริง เขาศึกษาค้นคว้าจนรู้กันมานานแว๊ววว

    (||)(||)(||)
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พวกหลงนิมิตครับ :cool:
     
  4. Aummetal

    Aummetal Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +58

    :cool::cool::cool::cool::cool::cool:
     
  5. HLC

    HLC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +259
    <table id="post6449337" class="tborder" cellpadding="6" cellspacing="0" align="center" border="0" width="100%"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175">Aummetal
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jul 2011
    ข้อความ: 61
    ได้ให้อนุโมทนา: 2
    ได้รับอนุโมทนา 22 ครั้ง ใน 12 โพส
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_6449337" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> อ้างอิง:
    <table cellpadding="6" cellspacing="0" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ HLC [​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG]

    ไอ้พวกเห็นมนุษย์ต่างดาว คุยกับมนุษย์ต่างดาวต่างมิติ นั่นก็อาการเดียวกันน่ะแหละ

    ไม่ใช่ของใหม่ แปลกประหลาดมหัศจรรย์อะไรเลย
    นี่แหละวิทยาศาสตร์ทางจิตของจริง เขาศึกษาค้นคว้าจนรู้กันมานานแว๊ววว

    [​IMG][​IMG][​IMG]

    </td> </tr> </tbody></table>

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    </td></tr></tbody></table>
    ดูทำเข้า
    เล่นเว็บนี้ไม่ระวังตัวเองเลย ตั้งอยู่ในความประมาทโดยแท้
    มาทำเป็นเห็นด้วยกับเค้า

    ไม่เชื่อว่าพวกต๊อง เขาติดต่อมนุษย์ต่างดาว คุยกับมนุษย์ต่างดาว-ต่างมิติได้จริง
    เดี๋ยวได้กลายเป็นพวกบัวใต้ตม กบในกะลา

    เอเลี่ยนหงุดหงิดอาจเสกมะเร็งมาสั่งสอนได้นะ


    (||)(||)(||)(||)(||)
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "รูปใดๆ จะอยู่ในโลกนี้หรือโลกหน้า และจะอยู่ในอากาศ
    มีรัศมีรุ่งเรืองก็ตามที รูปทั้งหมดเหล่านั้น อันมารสรรเสริญแล้ว
    วางดักสัตว์ไว้แล้ว เหมือนเขาเอาเหยื่อล่อเพื่อฆ่าปลาฉะนั้น ฯ"
     
  7. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    อย่าส่งจิตออกนอก
    โม้ได้เป็นตุเป็นตะเป็นคุ้งเป็นแคว
    จะเพราะอะไรถ้าไม่ใช่เพราะหวั่นไหวในโลกธรรม๘ กิเลสเต็มหัวจิตหัวใจไม่รู้ตัวกันเลย โถ.....จิต
     
  8. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    คนเค้าชอบดูมายากล เราก็ว่าไม่ได้หรอก โน๊ะ

    แต่ถ้ารู้เคล็ดของกลนั้นแล้ว ก็เลิกดูไปเอง หมดสนุกไป เมิน เชอะ สะบัดบ๊อบใส่
     
  9. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    ธรรมสมมุติ จะยึด จะละ จะวาง ก็ที่จิตเจ้าของเอง

    จริงๆ แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นธรรมสมมุติทั้งสิ้น ไม่ควรยึด
    รูปสัญญานี้ก็ดี นามสัญญานี้ก็ดี จิตก็ดี เจตสิก ก็ดี ล้วนเป็นสิ่งภายนอกทั้งสิ้น
    ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งสมมุติ เพราะเป็นสิ่งที่เราล้วนแต่สร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น

    ตัวตนทั้งหลายทุกรูป ทุกนาม ล้วนไม่มีอยู่จริง แม้ใจเรานี้ก็ด้วย
    ร่างกายนี้ก็ด้วย ที่มันอยากจะแสดงภูมิรู้นี้ก็ด้วย อยากจะขัดคอคนโน้น ยกยอคนนี้
    เห็นชอบกับคนนั้น ค้นคว้าหาเหตุหาผล มาหักล้างกับคนนี้ ล้วนเป็นเหตุผลของผู้
    อ้างทั้งสิ้น ธรรมทั้งหลายไม่มีถูก ไม่มีผิด มีแต่เป็นไปตามกรรม เป็นไปตามธรรม

    ทุกๆ สิ่งล้วนต้องปล่อยวางทั้งสิ้น ไม่ควรยึด ไม่ควรยกเอามาฟาดฟันกัน
    ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เพราะล้วนแต่เป็นเห็นให้เกิดทุกข์
    ไม่มีใครทำร้ายเราได้เท่ากับจิตเจ้าของคือตัวเราเอง เกิด ดับ ที่จิตเอง
    ขังอยู่ ข้องอยู่ ก็ที่ใจเจ้าของเอง

    ใช้สมมุติ แต่อย่าติด อย่ายึดในสมมุติ
    ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
     
  10. มินาโก๊จัง

    มินาโก๊จัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +138
    ของจริงก็มี ของปลอมมมาาาานนนก้อออ เมมมมมมม

    ปัีญหามันอยู่ที่ว่า "ท่านจะแยกได้อย่างไร"
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ใช้ตาเห็นรูปฯ เรียกว่า เห็นแต่สิ่งที่เห็น ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง
    ใช้ใจเห็นรูปฯ เรียกว่า เห็นตามความเป็นจริง
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ผู้ที่มีคุณสมบัติในการแยกได้คือ ผู้ที่มีความสามารถในการรู้และเห็นจิตตนเองได้จนชำนาญแล้วเท่านั้น ยามใดที่เป็นผลผลิตจากจิตตนก็รู้ ยามใดที่ไม่ได้เกิดจากผลผลิตที่มาจากจิตตนก็รู้ชัดเจน เท่านั้นจึงจะแยกได้ จิตเรามี จิตเขาก็มีเช่นกัน

    รู้จักจิตและการทำงานของจิตตนก็จะทราบได้เองครับ
     
  13. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    น้อมนำคำสอนเข้าสู่ใจ กราบนมัสการหลวงพ่อครับ.
     
  14. mikycar offroad

    mikycar offroad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +255
    สวัสดีครับท่าน อุรุเวลา
    วันนี้ธรรมะที่เสนอเข้าใจง่าย ขออนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ
     
  15. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,756
    ค่าพลัง:
    +1,919
    พออ่านผ่านๆแล้วเหมือนจะเขียนให้ดูดีๆ ดูเหมือนจะคมจริงๆเลย แต่คงฟันอะไรไม่ขาด(||)
    แต่ถ้าลองคิดดูดีๆ แล้วเราจะรู้อีกได้ยังไงละว่า ถ้าใช้ใจเห็นรูป สิ่งที่ใจเห็นและรับรู้นั้นจะเป็นความจริงที่แท้จริง ไหนจะจิตเราหลอกเอง ไหนจะมารมาหลอก

    เออแล้วมันไม่ขัดแย้งกับหัวข้อกระทู้หรอ นิมิตไรพวกนั้นอะ

    แล้วก็อย่างเช่นพวกที่มีฤทธิ์ทางใจ เห็นนั้นเห็นนี่แล้วเชื่อจริงๆจังมีเยอะแยะไป บางอย่างถึงจะเห็นอย่างนั้นจริงๆแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นความจริง เช่นเห็นพระพุทธเจ้ามั้งหละ เห็นเมืองนิพพานมั้งหละ :boo:

    แต่ถ้าเขียนว่าใช้ปัญญาเห็นและพิจรณารูป ทำให้เห็นตามความเป็นจริง หรือปัญญาน้อมนำใจให้เห็นตามความเป็นจริง น่าจะฟังดูไม่ขัดๆนะ
    ทีหลังเขียนไรก็ให้มันดูชัดเจนๆหน่อยซิ เห็นชอบคลุกคลีอยู่กับพระไตรปิฏกไม่ใช่หรอ(deejai)
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คนส่วนใหญ่เห็นรูปด้วยตา เห็นแล้วก็ "เพลิน" หลงรูปในทันทีที่ตาเห็น เมื่อรูปแตกสลายก็อาลัยร่ำพัน
    เกิดความทุกข์ทางกาย ใจ เกิดความคับแค้นใจ ไม่ใช้ใจพิจารณา จึงมองไม่เห็นการเกิดดับเป็นธรรมดา
    เห็นด้วยใจแล้ว มารที่ไหนก็มาหลอกไม่ได้ ที่ถูกมารหลอกยังไม่นับว่าเห็นด้วยใจ นิมิตมีทั้งจริงและไม่จริง
    นิมิตคือนิมิตต้องใช้ปัญญาพิจารณา หลงนิมิตเรียกว่า "เพลิน" ในนิพพานยังต้องละ "ความเพลิน"
    ที่บอกว่าเห็นด้วยใจเพราะ สติและปัญญาดับไปได้ เพราะความดับแห่งวิญญาณ เมื่อวิญญาณดับนามรูปดับ
    เห็นแบบนี้จึงเรียกว่า "เห็นด้วยใจ" ครับ
     
  17. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    จะเห็นด้วยตาหรือเห็นด้วยใจก็ชั่ง ก็เอา"ปัญญา"ใส่เข้าไปด้วย ก็หมด"ปัญหา"

    ก็เห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

    ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
    ธรรมชาติ คือ สิ่งที่เป็นไป... สิ่งที่เกิดขึ้น... สิ่งที่ดำเนินไป... สิ่งที่ดับไป... ล้วนคือธรรมชาติ

    มันสมบูรณ์อยู่แล้วตามธรรม โดยธรรม

    ก็รู้แค่เนี๊ยะ พอ รู้ด้วยปัญญา อย่าเอาอุปาทานไปจับก็แล้วกัน.....

    เอาอุปาทานไปจับเมื่อไหร่ มันจะเกิดความพร่อง เห็นว่ามันพร่อง เห็นบิดเบี้ยวผิดจากความเป็นจริงไม่มีความเต็มความสมบูรณ์ ได้เลย

    ก็แค่นั้นเอง ไม่เห็นจายากเลย คริคริ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2012
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อธิบายได้ดี ชัดเจน เข้าใจง่ายกว่าผมครับ :cool:
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เห็นความคิด เห็นจิต เห็นใจ

    การทำความรู้สึกตัว ภาค ๒
    หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ
    การเดินทาง

    การเห็นความคิด เห็นจิต เห็นใจ
    รู้เรื่องรูป-นามแล้ว (ดูภาคผนวก) อย่าเอาสติมาใช้รูป-นาม ให้เอาสติคอยดูความคิด
    ให้ดูอยู่ตรงนี้แหละ แต่อย่าไปบังคับมัน เพียงทำเล่นๆ ดูเล่นๆ
    เมื่อเราปฏิบัติรู้รูป-นามแล้ว ก็ทำจังหวะให้มันเร็วขึ้น เดินจงกรมให้มันเร็วขึ้น(แต่ไม่ถึงกับวิ่ง)
    มันคิดแล้วรู้ รู้แล้วทิ้งเลย อย่าไปตามความคิด
    พอดีมันคิดปุ๊บ ดีใจก็ตาม เสียใจก็ตาม ทำความรู้สึกตัว เมื่อเราทำความรู้สึกตัวแล้ว ความคิดมันถูกหยุดทันที
    แต่ทีแรกเรายังไม่เคย มันก็ต้องคิดไปก่อน ลากไปเหมือนแมวกับหนูนี่เอง หนูตัวโตมีกำลัง แมวตัวเล็ก เรียกว่า ความรู้สึกตัวเรามันน้อย เป็นอย่างนั้น เมื่อหนูออกมาแมวมันไม่เคยกลัวนี่ มันก็จับหนู หนูก็ตื่นไป แล่นไปวิ่งไป แมวก็ติดหนูไป เป็นอย่างนั้น นานๆ มาแมวมันเหนื่อยไป (มัน) ก็วาง (เอง) มัน ความคิดที่มันคิด ไปร้อยอันพันอย่าง มันค่อยเซาผู้เดียวมัน (มันหยุดเอง) อันนั้น เป็นอย่างนั้น
    บัดนี้พอดีเฮาให้อาหารแมว เรียกว่าอาหาร ถ้าหากพูดตามภาษาภาคปฏิบัติก็ว่า เราทำความรู้สึกตัว ก็เรียกว่า เป็นอาหาร เป็นอาหาร (ของ) สติ หรือเป็นอาหารแมว (สติ ปัญญา) หรือว่าทำความรู้สึกตัว แล้ว แต่จะพูด...ให้เราทำความรู้สึกตัวมากๆ พอดีมันคิดปุ๊บ ความรู้สึกตัวมันจะไม่ไป ความคิดก็หยุดทันที...
    ถ้าหากว่า (ความคิด) มันมาแรง เราก็ต้องกำ (มือ) แรงๆ กำแรงๆ กำมือแรงๆ หรือ จะทำวิธีไหน ก็ตามแหละ ทำให้มันแรง เมื่อความแรงดันเข้ามาพอแล้ว มันหยุดเองมัน...
    ทำบ่อยๆ ทำมากๆ เมื่อมันคิดขึ้นมาปุ๊บ มันจะรู้ทันที เหมือนกับที่หลวงพ่อเคยพูดให้ฟังบ่อยๆว่า มีเก้าอี้ตัวเดียว บัดนี้เราก็มีสองคน คนหนึ่งเข้าไปมีแรงดันไว้ คนไปทีหลังก็เข้าไปไม่ได้ เป็นอย่างนั้น บัดนี้คนไปทีหลังนั่งไม่ได้ ก็คือ แต่ก่อนนั้นเรามีแต่ความ "ไม่รู้" ไปอยู่ ความ "รู้" นั้นไม่มี บัดนี้เราพยายามฝึกหัดความ "รู้" นั้นเข้าไปมากๆ แล้ว ความ "ไม่รู้" นั้นก็ลดน้อยไปๆ
    ให้มันคิด มันยิ่งคิดก็ยิ่งรู้มากขึ้น รู้มากขึ้น มันจะทันความคิด เอ้า! สมมุติให้ฟัง มันคิด ๑๐๐ เรื่อง เราจะรู้เรื่อง เดียว - ทีแรก บัดนี้มันคิด ๑๐๐ เรื่องเราจะรู้ ๑๐ เรื่อง บัดนี้มันคิดมา ๑๐๐ เรื่อง เราจะรู้มันถึง ๒๐ มันก็ เหลืออยู่ ๘๐ สมมุติ เอาเป็นสิบๆเข้าไปนะครับอันนี้ บัดนี้มันรู้ ๘๐ แล้ว เรายังไม่รู้ ๒๐ บัดนี้ ตอนนี้ต้องทำ ความเพียรให้มากนะ บัดนี้มันรู้ถึง ๙๐ ยังไม่รู้ ๑๐ เดียว มันรู้ถึง ๙๕ เรื่อง มันคิดขึ้นมาปุ๊บ..ทันปั๊บได้ ๙๕ เรื่อง ยังไม่รู้ ๕ เรื่อง อันยังไม่รู้ทันความคิดนะครับ สมมุติบัดนี้เราต้องพยายามทุ่มเทความเพียร บัดนี้ทุ่มเท จริงๆ ทำโดยไม่ท้อถอยไม่ย่อหย่อน แต่ห้ามนอนบัดนี้ กลางวันไม่ต้องนอน เด็ดขาดได้เท่าไรยิ่งดีครับ กลาง คืนต้องนอน
    พอดีมันคิดปุ๊บ...ทันปั๊บ...คิดปุ๊บ...ทันปั๊บ มันไปไม่ได้ มันจะทำให้จิตใจเราเปลี่ยนแปลงที่ตรงนี้แหละ ความเป็นพระอริยบุคคลจะเกิดขึ้นที่ตรงนี้ หรือเราจะได้ต้นทางที่ตรงนี้ ได้กระแสพระนิพพานที่ตรงนี้
    จิตใจของเรามืดตื้ออยู่แต่ก่อน มันไม่รู้จักทางไป บัดนี้พอดีทันอันนี้แล้ว มันจะสว่างขึ้นภายในจิตใจ แต่ไม่ใช่ สว่างที่ตาเห็นนะครับ จิตใจมันจะสว่างขึ้น เบาอกเบาใจ เรียกว่า "ตาปัญญา" อันนี้ (เป็น) ลักษณะ ปัญญาญาณของวิปัสสนาเกิดขึ้น
    เราต้องทำจังหวะ เดินจงกรม ทำช้าๆ ก็ได้ ทำไวก็ได้ ทำให้มันถูกจริตครับ
    ต้องทำความเพียรขึ้นให้มาก "เดินไป" เรียกว่าไม่ใช่เดินด้วยเท้า (คือ) ให้ปัญญามันเดินไป ให้ปัญญา เดินเข้าไปรู้ "อารมณ์" โดยไม่ต้องศึกษาเล่าเรียนจากครูอาจารย์ ไม่ต้องไปศีกษาเล่าเรียนจากตำรับตำราที่ไหน แล้วก็จะรู้ไป เป็นขั้นเป็นตอนไปเป็นพักๆเรียกว่า เป็นปฐมฌาน เป็นปัญญาเข้าไปรู้นะ เป็นทุติยฌาน เป็นตติยฌาน เป็นจตุตถฌาน เป็นปัญจมฌานขึ้นไป เป็นอย่างนั้น
    ปัญญาของญาณวิปัสสนา เข้าไปรู้ เข้าไปเห็น เรียกว่ายาน (ญาณ) จึงเป็นพาหนะขนส่ง แล้วมันจะเบาไป เป็นขั้นเป็นตอนไปครับ มันเป็นอย่างนั้น
    รู้-เห็น-เข้าใจอย่างนี้แล้ว มันจะไวความคิดนะครับ นี่ "อารมณ์" มันอันนี้ เรียกว่าเป็นพักๆไป
    มันจะเห็นว่าตนตัวเรานี่แหละ มันถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อมมี ท่านบอกไว้อย่างนี้ "ถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อม มีนะครับ มันปรากฏขึ้นมาเอง" เมื่อผมเป็นอย่างนี้ ผมก็เลยรู้ว่า พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียว ผมก็เลย เห็น-เลยเข้าใจ-เป็น-มี
    มัน "เป็น" แล้วนะครับ จึงจะรู้นะครับ อย่าไปรู้ล่วงหน้านะ ถ้าไปรู้ล่วงหน้าแล้ว มันเป็นความรู้ มันเป็นจินตญาณ มันรู้เอาเอง มันคิดเอาเอง อันนั้นไม่ใช่ "เป็น" ไม่ใช่ "มี" มันรู้นะ - อันนั้น
    อันที่ผม "เป็น" ผม "มี" นี่ มันไม่รู้ครับ มันเห็น-มันเป็น-มันมี ครับ มัน "มี" มัน "เป็น" แล้ว มันจึงรู้ ญาณจะ เกิดขึ้น คือ ญาณ เกิดขึ้นแล้ว มันจึงรู้ครับ
    พอดีผมเห็น-รู้-เข้าใจอันนี้แล้ว โอ! พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียวนั้น ไม่ใช่ตัดผมจริงๆ คืออันนี้แหละ มัน ขาดออกจากกันครับ เลือดทุกหยดจะหวนกลับทั้งหมด เชือกที่เราผูกไว้นั้นนะครับ มันจะกลับเข้าไปสู่หลักเดิม มันทั้งหมด อันนี้แหละครับ มันจะรู้-เห็นมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ เรียกว่าอาการ ความเปลี่ยนแปลงไป เบาไม่มี อะไรหมดตัวละครับ เรียกว่า "จบ" ถึงที่สุดแล้วญาณย่อมมี มันถึงที่สุดแล้วครับ มันจึงรู้ครับ
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คำแนะนำ (เพิ่มเติม)
    อันตัวความคิดนี้ มีอยู่ ๒ ประเภท
    ความคิดชนิดหนึ่ง มันคิดขึ้นมาแวบเดียว มันไปเลย อันนั้นมันเป็นเรื่องความคิด ความคิดอันนี้มันนำโทสะ โมหะ โลภะ เข้ามา
    อัน (ความคิด) ที่เราตั้ง (ใจ) คิดขึ้นมานั้น มันไม่นำโทสะ โมหะ โลภะ อันนั้นมันตั้ง (ใจ) คิด มาด้วยสติปัญญา
    วิธีนี้ไม่ต้องห้ามความคิด ให้มันคิด มันยิ่งคิดเรายิ่งรู้ มันคิดมากเท่าไรก็ดีแล้ว เราจะรู้มากขึ้น บางคนรำคาญ ว่าจิตใจฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ แน่ะ! เข้าใจไปอย่างนั้น ดีแล้ว จิตใจฟุ้งซ่านรำคาญมาก ให้มันคิด มันยิ่งคิดเรายิ่งรู้ แต่ ทำความรู้สึกให้มากอย่าหยุดทำความรู้สึก แต่อย่าเพ่ง
    ที่มันคิด เราไม่ต้องห้ามมัน แต่ก็หลบตัวมาอยู่ (กับ) ความรู้สึก ให้มันคิด พอดีมันคิด เราก็หลบตัวมาอยู่ความรู้สึก ความรู้สึกนี่แหละจะได้ทำงานความไม่รู้ตัวนี้
    การดูความคิดนี่แหละเป็นหลักสำคัญ โดยมากคนมันพลาดที่ตรงนี้ เมื่อมันคิดขึ้นมา เราก็เลยเข้าไปในความคิด ไป วิพากษ์วิจารณ์อันนั้นอันนี้ บทนั้นบทนี้ นั้นเรียกว่า เราเข้าไปในความคิด ไม่ใช่ตัดความคิดได้ มันรู้คิด-อันนั้น ไม่ใช่ว่าเห็น ความคิด มันรู้เข้าไปในความคิด
    เมื่อเข้าไปในความคิดแล้ว มันก็เลยปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว เขาเรียกว่าสังขารปรุงแต่ง
    ถ้าเราไปนั่งเฝ้า ไม่มีการเคลื่อนไหว มันเข้าไปในความคิด พอดีมันคิดขึ้นมา มันก็เลยไปรู้กับความคิดเลย เรียกว่า รู้ "เข้า" ไปในความคิด ไม่ใช่รู้ "ออก" จากความคิด
    อันนั้นเพราะมันไม่มีอัน (อะไร) ดีงไว้ ดังนั้นจึงมีการฝึกหัดการเคลื่อนไหวของรูป (กาย) ให้รูป (กาย) เคลื่อน ไหวอยู่เสมอ เราคอยให้มันมีสติรู้อยู่กับการเคลื่อนไหวของรูป (กาย) พอดี-ใจคิดขึ้นมา เราจะเห็น เราจะรู้
    วิธีนี้เห็นอันใด (อะไร) ไม่ได้ เห็นผีเห็นเทวดา เห็นพระพุทธรูป เห็นดวงแก้ว ที่สุดเห็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ถูกต้อง เพราะ จิตของเรามันคิดออกไป เราไม่เห็นความคิด มันถูกปรุง คือจิตใจมันปรุงเอง มันปรุงเพราะเราไม่เห็น "ต้นตอของความคิด" นี่เอง
    ใจของเรานี่มันเร็ว เราไม่เห็นมันคิด มันคิดปุ๊บออกไปนี่ มันไปแสดงเป็นผี เป็นสี เป็นแสง เป็นเทวดา เป็นนรก เป็นสวรรค์ แล้วแต่มันจะแสดงเรื่องใด เราต้องเห็นตามภาพที่จิตใจมันแสดงนั่นเอง มันเป็นมายาของจิตใจ เราเรียกว่าเป็นกลไก ของจิตใจ...
    จึงว่าสิ่งที่เห็นนั้นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง มันจึงแก้ทุกข์ไม่ได้ ถ้าหากเห็นของจริงแล้ว มันต้องแก้ทุกข์ได้
    อันนี้แหละลัดสั้นที่สุด มันคิดปุ๊บ...เห็นปั๊บขึ้นมา อันนี้แหละเป็นการปฏิบัติธรรมแท้ๆ อันที่เราทำจังหวะนั้น เป็นวิธีการครับ เพราะ ว่าคนมีระดับสติปัญญาไม่เหมือนกันครับ ถ้าหากคนมีปัญญาจริงๆแล้ว ดูความคิด มันคิดปุ๊บ...เห็นปั๊บ นี่เป็นการปฏิบัติธรรม

    คัดลอกมาจาก http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_thien/lp-thien_03.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...