ตำนานพระพุทธศาสนาและพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย aeiou1234, 24 กรกฎาคม 2012.

  1. aeiou1234

    aeiou1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +292
    ตำนานพระพุทธศาสนา และพระหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้
    พระฤๅษี 7 องค์
    พระฤๅษี 7 องค์ หมายถึง องค์พระศาสดาของโลก 7 พระองค์ ได้ผลัดเปลี่ยนกันมา
    ตรัสสั่งสอน โปรดมนุษย์ ในชมพูทวีป เป็นเวลา 7 สมัย
    ชมพูทวีป หมายถึง เมืองมนุษย์ที่มีความสงบสุขร่มเย็น
    พระบรมศาสดาของโลก 7 พระองค์ มีดังนี้
    1.พระกุกุสันโท จะลงมาสั่งสอนเมืองมนุษย์เป็นเวลา 8,000 ปี
    2.พระโกนาคม จะลงมาสั่งสอนเมืองมนุษย์ เป็นเวลา 5,000 ปี
    3.พระกัสสะโป จะลงมาสั่งสอนเมืองมนุษย์ เป็นเวลา 2,000 ปี
    4.พระสมณะโคดม จะลงมาสั่งสอนเมืองมนุษย์ เป็นเวลา 5,000 ปี
    5.พระศรีอริยะเมตไตรย จะลงมาสั่งสอนเมืองมนุษย์ เป็นเวลา 10,000 ปี
    6.พระนารอด จะลงมาสั่งสอนเมืองมนุษย์ เป็นเวลา 1,000 ปี
    7.พระฤๅษีตาไฟ จะลงมาสั่งสอนเมืองมนุษย์ เป็นเวลา 5,000 ปี
    1.พระกุกุสันโท
    พระกุกุสันโท อีกชื่อหนึ่งที่ชาวบ้านรู้จักคือ พระฤๅษีตาไฟ ที่เรียกชื่อนี้เพราะชาวบ้าน
    เห็น เป็นพระฤๅษี ผิวขาว ตาแดง พระฤๅษีตาไฟ เป็นอาจารย์ของหลวงปู่ศุขวัดปากครองมะขามเฒ่า อาศัยอยู่ที่ป่าเขาเมืองสระแก้วภาคอีสานของไทย
    พระกุกุสันโท หรือพระฤๅษีตาไฟ เป็นศาสดาองค์แรกของโลกที่ลงมาตรัสสั่งสอน
    มนุษย์ในชมพูทวีป และบัดนี้ได้สั่งสอนเมืองมนุษย์ครบเวลา 8,000 ปีแล้ว เวลาของศาสดาหมดแล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อต้อนรับศาสดาองค์ใหม่ นับถึงวันนี้ พ.ศ. 2554 มีอายุได้ 17, 634 ปี (ปัจจุบัน พำนักอยู่ที่ จังหวัดสระแก้ว)
    พระกุกุสันโท เกิดจากดินฟ้าอากาศ ด้วยเหตุอัศจรรย์ ที่เมืองไพสาลี ประเทศอินเดีย
    และได้สั่งสอนชาวบ้านมาตั้งแต่เยาว์วัย จนอายุได้ 100 ปี จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้เป็น
    พระกุกุสันโท หรือ พระฤๅษีตาไฟ เดี๋ยวนี้ไม่ได้สั่งสอนชาวบ้าน อยู่เพื่อต้อนรับศาสดาองค์
    ใหม่ และคอยสนทนา เตือนสติ ศาสดาและสาวกองค์อื่นให้อยู่ในเส้นทาง
    2. พระโกนาคม ได้มาสั่งสอนเมืองมนุษย์ครบ 5,000 ปี ศาสดาและสาวกได้ดับ
    ขันธ์ปรินิพพานไปหมดแล้ว
    3.พระกัสสะโป ได้มาสั่งสอนเมืองมนุษย์ครบ 2,000 ปีศาสดาและสาวกได้ดับขันธ์ปรินิพพานไปหมดแล้ว
    4. พระสมณะโคดม ได้มาสั่งสอนเมืองมนุษย์เป็นเวลา 5,000 ปี บัดนี้ สั่งสอน
    เมืองมนุษย์มาได้ 2554 ปี ยังดำเนินการสั่งสอนต่อไป
    5. พระศรีอริยะเมตไตรย จะมาสั่งสอนเมืองมนุษย์เป็นเวลา 10,000 ปี จะลงมา
    เมื่อสิ้นศาสนาของพระสมณะโคดม
    6. พระนารอด จะมาสอนเมืองมนุษย์ เป็นเวลา 1,000 ปี จะลงมาเมื่อสิ้นศาสนา
    พระศรีอริยะเมตไตรย
    7. พระฤๅษีตาไฟ จะมาสอนเมืองมนุษย์เป็นเวลา 5,000 ปี จะลงมาเมื่อสิ้น
    ศาสนา พระนารอด
    เมื่อสิ้นศาสนาพระนารอด และพระฤๅษีตาไฟแล้วบ้านเมืองจะสงบสุข ร่มเย็น
    อยู่เหนือธรรมชาติได้ ไม่ต้องมีศาสดาต่อไปอีก

    พระบรมศาสดาของโลก องค์ที่ 4
    พระบรมศาสดาของโลก องค์ที่ 4 คือ พระสมณะโคดม ที่ชาวพุทธทั่วไปเรียกว่า
    พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถือกำเนิดในประเทศอินเดีย ในเชื้อพระวงศ์พระมหากษัตริย์
    พระองค์สิ้นพระชนม์หรือดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา เมื่อพระองค์
    ได้ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จะต้องสั่งสอนศาสนาพุทธ
    สืบไปจนครบ 5,000 ปี บัดนี้ศาสนาพุทธได้สั่งสอนมาเป็นเวลา 2554 ปี
    ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับทั้งในประเทศ
    และต่างประเทศ มีพระอรหันต์หลายพันองค์ ส่วนใหญ่ ได้ปรินิพพานไปแล้ว ในสมัยนี้ความ
    เจริญรุ่งเรืองของศาสนาพุทธลดลง ในต่างประเทศเกือบจะไม่มี ตามที่ได้ศึกษามา พระอรหันต์
    ในศาสนาพุทธ ที่ยังมีชีวิตอยู่มี 5 องค์เท่านั้น และอยู่ในประเทศไทยในต่างประเทศไม่มี
    พระอรหันต์ 5 องค์ ที่ยังมีชีวิตอยู่ในประเทศไทย จะนำมาเขียนประวัติย่อ ๆ เรียงตามลำดับดังต่อไปนี้

    องค์ที่ 1 หลวงปู่กาแก้ว
    หลวงปู่กาแก้ว เกิดเมื่อ พ.ศ. 1327 พ่อชื่อทับ แม่ชื่อนก เกิดที่เมืองเลย ต่อมาอยู่ที่เมืองอีสานหลายจังหวัดเมื่อเด็ก ๆ เขาเรียกชื่อว่า แกละ โตขึ้นมา เขาเรียกชื่อว่าแก้ว หลวงปู่กาแก้วบวช เมื่อ พ.ศ. 1362 อายุได้ 35 ปี เหตุที่บวช เพราะรู้ธรรม 2 ข้อ คือ 1 ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว 2 เกิดแก่เจ็บตายเป็นของไม่เที่ยง บวชมาได้ 5 ปี ได้บรรลุธรรมขั้น 1 โสดาบัน อยู่มา 2 ปี ได้บรรลุธรรมขั้น 2 สกิทาคามี อยู่มา 15 ปี ได้บรรลุธรรมขั้น 3 อนาคามี และอยู่วัดต่อมา 15 ปี จึงออกธุดงค์ เดินป่า ไปทั่วเหนืออีสาน ใต้ ธุดงค์ได้ 8 ปี ได้บรรลุธรรมขั้น 4 ได้เป็นพระอรหันต์อายุได้ 80 ปี ตรงกับ พ.ศ. 1407
    หลวงปู่กาแก้วเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ออกเดินป่าสั่งสอนโปรดชาวบ้าน ในเมืองเหนือ อีสานใต้ ในนามพระธุดงค์องค์หนึ่ง โดยไม่มีใครทราบว่าเป็นพระเถระหรือพระอรหันต์
    หลวงปู่กาแก้วพักอาศัยอยู่ที่ป่าหิมะพาน เมืองเลย หลวงปู่มีชีวิตอมตะ นับถึงวันนี้ พ.ศ. 2554 หลวงปู่กาแก้วมีอายุ 1,227 ปี บัดนี้ยังมีชีวิตอยู่
    หลวงปู่กาแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชให้ พระครูเทพโลกอุดร และ หลวงปู่โพรงโพธิ์ ซึ่งตอนนั้น หลวงปู่กาแก้วเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว
    หลวงปู่กาแก้ว เป็นผู้นำพระบรมธาตุพระเต้านม ของพระพุทธเจ้า จากเมืองลังกา มาสร้างที่นครพนมเรียกชื่อว่า พระบรมธาตุพนม เจ้าก่อแก้วเป็นผู้สร้าง สร้างเมื่อ พ.ศ. 1664 นับถึงวันนี้ พ.ศ. 2554 พระบรมธาตุพนมสร้างมาเป็นเวลา 890 ปี





    องค์ที่ 2 พ่อท่านแก้ว (หลวงปู่แก้ว)
    ผู้สร้างพระศรีมหาธาตุคินตะ เมืองคินยอง วัดลำเจียกหรือ พระบรมธาตุเจดีย์
    นครศรีธรรมราช ปัจจุบัน คือ พ่อท่านแก้ว
    พ่อท่านแก้ว เกิดวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ตรงกับ พ.ศ. 1431 เป็นคนชนชาติ
    คินยอง อายุได้ 16 ปี บวชเณร อายุ 18 ปี เณรแก้วได้บรรลุธรรมขั้น 1 โสดาบัน จึงได้เป็น
    พระภิกษุสงฆ์ เมื่ออายุได้ 18 ปี เรียกกันทั่วไปว่า พระแก้วหรือต้นแก้ว เมื่อ พ.ศ. 1449
    พ.ศ. 1449 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา พระแก้วตั้งวัดใหม่ที่ชายทะเล
    หาดทรายขาว หรือหาดทรายแก้ว ชื่อว่าวัดลำเจียก ตั้งวัดมาได้ 2 ปี พ่อท่านแก้วได้บรรลุธรรม
    ขั้น 2 สกิทาคามี เมื่อ พ.ศ. 1451 อยู่มา 8 ปี พ่อท่านแก้วได้บรรลุธรรมขั้น 3 อนาคามี เมื่อ
    พ.ศ. 1459 พ.ศ. 1462 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ พ่อท่านแก้วเดินทางไปเมืองลังกา กับเรือสินค้า
    เพื่อนชาวจีน เพื่อขอพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าจากเมืองลังกา มาสร้างที่วัดลำเจียก เมือง
    คินยอง
    พ.ศ. 1466 พ่อท่านแก้วเริ่มสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เมืองคินยองพระบรมธาตุเจดีย์เมือง
    คินยอง เป็นพระบรมธาตุสิรัฐิ กับพระมังสา พระเศียร จึงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เป็นรูปทรงพระเศียร มีพระปิ่นเกศทองคำ
    พระศรีมหาธาตุคินตะ ใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปีเต็ม เสร็จเมื่อ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ตรงกับ พ.ศ. 1468 พ่อท่านแก้วจัดงานสมโภช 7 วัน 7 คืน และต่อมาจัดงานสมโภชพระบรมธาตุ 7 ปี ต่อ 1 ครั้ง ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8
    สร้างพระบรมธาตุเจดีย์เสร็จ อยู่มา 2 ปี ตรงกับ พ.ศ. 1470 พ่อท่านแก้วได้บรรลุธรรมขั้น 4 เป็นพระอรหันต์มีชีวิต อมตะ และอยู่ดูแลพระบรมธาตุเจดีย์ตลอดกาล
    นับถึงวันนี้ พ.ศ. 2554 พ่อท่านแก้วมีอายุได้ 1,123 ปี บัดนี้ยังมีชีวิตอยู่



    องค์ที่ 3 พระครูเทพโลกอุดร
    พระครูเทพโลกอุดร เป็นชื่อสมญานาม โลกอุดร มาจกคำว่าโลกุตระ แปลว่าคนเหนือโลก
    พระครูเทพโลกอุดรพ่อชื่อคำแม่ชื่อกบเมื่อเด็ก ๆ ชื่อแจ๊ค เกิดเมื่อ พ.ศ. 1569 เมื่อโตเป็น
    ผู้ใหญ่เขาเรียกชื่อว่าคง เป็นคนเมืองเหนือ เมื่ออายุได้ 34 ปี ตรงกับ พ.ศ. 1603 บวชเป็นพระชื่อว่าหลวงพ่อคง เหตุที่บวชเพราะได้มองเห็นธรรมข้อหนึ่งคือ สว่าง สะอาด สงบ
    พระครูเทพโลกอุดร บวชที่วัดพระแก้วมรกต ในภาคอีสาน มีหลวงปู่กาแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ และวัดนี้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดเกาะหลัก เพราะวัดนี้มีเสาหิน เป็นหลัก บวช
    มาได้ 2 พรรษา หลวงพ่อคงได้บรรลุธรรมขั้น 1 โสดาบัน อยู่มา 3 พรรษา ได้บรรลุธรรมขั้น 2
    สกิทาคามี อยู่มา 5 พรรษา ได้บรรลุธรรมขั้น 3 อนาคามี อยู่มา 10 พรรษา หลวงพ่อคง ออก
    ธุดงค์เดินป่า พักกลางป่า เหนือ อีสาน ใต้ จนอายุได้ 85 ปี ตรงกับ พ.ศ. 1654 หลวงพ่อคงได้
    บรรลุธรรมขั้น 4 เป็นพระอรหันต์ มีชีวิตอมตะอยู่เหนือโลก
    พระครูเทพโลกอุดร อยู่ประจำเมืองเหนือ และยังมีชีวิตอยู่นับถึงวันนี้ พ.ศ. 2554 พระครู
    เทพโลกอุดร มีอายุได้ 985 ปี
    พระครูเทพโลกอุดร ยังสั่งสอนโปรดชาวบ้านอยู่ทางเหนือ อีสาน ใต้ โดยไม่ปรากฏนาม
    ส่วนมากเรียกตามชื่อที่พบเห็น เช่น พระคำแพง พระโพรงโพธิ์ หลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่ดำและ
    อื่น ๆ อีกมากมาย เครื่องบูชาพระครูเทพโลกอุดรคือ ดอกมะลิสด 1 ช่อ เทียนขาว 2 เล่ม ธูปหอม
    5 ดอก
    หลวงปู่กาแก้ว พระอุปัชฌาย์ผู้บวชพระครูเทพโลกอุดรเป็นพระอรหันต์มีชีวิตอมตะ
    พระครูเทพโลกอุดร ยังเป็นอาจารย์ของหลวงปู่ศุขวัดปากครองมะขามเฒ่าด้วย
    [​IMG]





    องค์ที่ 4 หลวงปู่โพรงโพธิ์
    ที่เรียกชื่อนี้ เพราะผู้พบเห็น ได้เห็นหลวงปู่อาศัยอยู่ที่โพรงต้นไม้โพธิ์จึงเรียกว่าหลวงปู่
    โพรงโพธิ์ ภาษาเหนือเรียกว่าโพงโพธิ์ ภาษากลาง เรียกว่าโพรงโพธิ์
    หลวงปู่โพรงโพธิ์ บิดาชื่อว่า พ่อคำ แม่ชื่อว่า แม่แก้ว หลวงปู่เดิม ชื่อ กาบ เกิดเมื่อ
    พ.ศ. 1764 ก่อนบวชเป็นนักแสวงบุญ หลวงปู่บวชเมื่ออายุได้ 45 ปี ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 1809 เหตุที่
    บวชเพราะได้พิจารณาเห็นว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของไม่เที่ยง
    หลวงปู่บวชที่วัดแก้วศาริกา ซึ่งอยู่ในป่าเมืองเหนือ บัดนี้วัดนี้ไม่มีพระสงฆ์แล้ว พระ
    อุปัชฌาย์ที่บวชให้หลวงปู่โพรงโพธิ์คือ หลวงปู่กาแก้วซึ่งเป็นพระอรหันต์ ปัจจุบันอยู่ที่ป่า
    หิมะพานเมืองเลย และยังมีชีวิตอยู่
    หลวงปู่บวชได้ 2 ปี ได้บรรลุธรรมขั้น 1 โสดาบัน อยู่มา 5 ปี ได้บรรลุธรรมขั้น 2
    สกิทาคามี อยู่มา 2 ปี ได้บรรลุธรรมขั้น 3 อนาคามี อยู่วัดต่อมา 3 ปี จึงออกธุดงค์ในป่าเมืองเหนือธุดงค์อยู่ได้ 8 ปี ได้บรรลุธรรมขั้น 4 เป็นพระอรหันต์ ตรงกับ พ.ศ. 1829 นับอายุได้ 65 ปี
    หลวงปู่โพรงโพธิ์ได้บรรลุธรรมขั้น 4 เป็นพระอรหันต์ เมื่ออายุได้ 65 ปี ออกเผยแพร่
    ศาสนา สอนชาวบ้านในเมืองเหนือ อีสาน ใต้ และที่อื่น ทั่วทิศ ในนามพระธุดงค์ องค์หนึ่ง
    มีรูปร่าง ผอม สูง โดยไม่มีใครทราบว่าเป็นพระเถระ หรือไม่ แล้วหลวงปู่จะไปพักอาศัยอยู่ที่
    โพรงต้นโพธิ์ ในป่าเขาแก้วเมืองเชียงตุง
    นับถึงวันนี้ พ.ศ. 2554 หลวงปู่โพรงโพธิ์มีอายุได้ 790 ปี และยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่มีชีวิตอมตะ
    หลวงปู่โพรงโพธิ์ ยังเป็นอาจารย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากครองมะขามเฒ่าด้วย

    องค์ที่ 5 พระแก้วมรกต
    พระแก้วมรกต เหตุที่ชาวบ้านเรียกชื่อนี้ เพราะเดิมชื่อแก้วผิวดำ ใสเหมือนแก้ว
    ชาวบ้านจึงเรียกว่า พระแก้วมรกต
    พระแก้วมรกตเกิดเมื่อ พ.ศ. 2369 ที่เมืองเหนือสุด พ่อชื่อ เต้ง แม่ชื่อแบง มีพี่น้อง
    2 คนเป็นผู้ชายทั้ง 2 คน พระแก้วมรกตเป็นพี่ชื่อแก้ว น้องชื่อ แตง จากเมืองเหนือ พ่อแม่
    ไปอยู่เมืองเลย แล้วไปอยู่ที่บ้านแครง เมืองพะเยา พ่อแม่พาชายแก้วไปฝากวัดให้อยู่กับหลวง
    พ่อแก้ววัดรามแก้ว เมืองพะเยา บัดนี้ วัดนี้ยังมีอยู่
    ชายแก้วอยู่วัดอายุได้ 20 ปี หลวงพ่อแก้วเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ เหตุที่บวชเพราะ
    เลื่อมใสในพุทธศาสนา พระแก้วอายุได้ 30 ปี ได้บรรลุธรรมขั้น 1 โสดาบัน อยู่มาอายุได้ 35 ปี
    ได้บรรลุธรรมขั้น 2 สกิทาคามี อยู่มาอายุได้ 45 ปี ได้บรรลุธรรมขั้น 3 อนาคามี อยู่วัดต่อมาจน
    อายุได้ 50 ปี จึงออกบิณฑบาต แสวงบุญเดินป่า พักแรมกลางป่า จนอายุได้ 58 ปี พระแก้วมรกต
    ได้บรรลุธรรมขั้น 4 ที่กลางป่าเมืองพะเยา เมื่อวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับพ.ศ. 2496 ได้เป็นพระอรหันต์ เมื่อได้เป็นพระอรหันต์แล้ว รู้สึกว่าทุกอย่างหมดไปนึกสิ่งใดได้สิ่งนั้น
    พระแก้วมรกตได้บรรลุธรรมขั้น 4 เป็นพระอรหันต์ เมื่ออายุได้ 58 ปี และได้ออกสั่งสอน
    ชาวบ้าน เหนือ อีสาน ใต้ และทุกทิศในนามพระผู้สูงอายุองค์หนึ่ง หน้าตาปกติ ไม่มีใครทราบ
    ว่า ชื่ออะไร อายุเท่าไรเป็นพระเถระหรือไม่
    พระแก้วมรกตสั่งสอนชาวบ้านแล้ว จะกลับไปพักอาศัยอยู่ที่ป่าหิมะพานเมืองพะเยา และ
    จะพักประจำอยู่เมืองนี้ นับถึงวันนี้ พ.ศ. 2554 นับอายุได้ 185 ปี มีชีวิตอมตะ
    พระแก้วมรกตบอกว่า พ.ศ. 2600 พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ จะออกมาสั่งสอนชาวบ้าน
    ให้เห็นความจริงของศาสนาพุทธ และมีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา ตอนนั้นจะมีพระอรหันต์
    เพิ่มขึ้นถึง 100 องค์
    พระแก้วมรกต ที่เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของไทย สร้างที่เมืองหลวงของลาว ผู้สร้าง
    คือ พระศรีเจ้าลาว เจ้าเมืองลาว สร้างด้วยหินแก้ว บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า
    พระมังสะสมอง ในพระเกศพระแก้วมรกต สร้างเมื่อ พ.ศ. 1250 นับถึงวันนี้ พ.ศ. 2554 อายุได้
    1,304 ปี
    ต่อมาพระศรีเจ้าลาว ผู้สร้างพระแก้วมรกต ได้ออกบวชได้เป็นพระอรหันต์
    ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว
    พระอรหันต์ทุกองค์เป็นผู้สำเร็จอริยะธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้หมด สามารถแบ่งองค์ได้ 84,000 องค์ เท่ากับคำสอนของพระพุทธเจ้า 84,000 ธรรมขันธ์ พระอรหันต์ทุกองค์ไปได้ทุกแห่ง ทุกที่ในเวลาเดียวกัน
    ท่านใดต้องการพบพระอรหันต์ ถ้าท่านมีบุญบารมี มีความศรัทธาที่แท้ ท่านอาจจะได้
    พบสมตามความปรารถนาในทุกที่ ทุกเวลา

    ปากพนังทำนาย
    23 พฤศจิกายน 2554

    ขออนุญาตสรุป หัวข้อที่เคยโพสไว้
    กระทู้ 1. http://palungjit.org/threads/ตำนานพระพุทธศาสนาและพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่.350697/
    กระทู้ 2. http://palungjit.org/threads/พระบรม...-ฝังอยู่ในป่า-อ-ปากเกร็ด-จ-นนทบุรี-352200.htm
    กระทู้ 3. http://palungjit.org/threads/พระบรมธาตุเจดีย์พระพันปี-ฝังอยู่ในป่า-อ-ลำลูกกา-จ-ปทุมธานี.352199/
    กระทู้ 4. http://palungjit.org/threads/พระบรมธาตุเจดีย์พระโกศาจารย์-ฝังอยู่ในป่า-อ-นาดี-จ-ปราจีนบุรี.350690/
    กระทู้ 5. http://palungjit.org/threads/พระบรม...ป่า-ต-ท่าตะคร้อ-อ-ท่าม่วง-จ-กาญจนบุรี.350689/
    กระทู้ 6. http://palungjit.org/threads/พระบรม...่ในป่า-อ-สว่างอารมณ์-จังหวัดอุทัยธานี.350688/
    กระทู้ 7. http://palungjit.org/threads/เจดีย์พระธาตุโบอ่อง-ต-ปิล็อก-อ-ทองผาภูมิ-จ-กาญจนบุรี.350695/
    กระทู้ 8. http://palungjit.org/threads/เจดีย์พระธาตุพุฒตาล-วัดจันทาราม-ท่าซุง-อ-เมือง-จ-อุทัยธานี.350692/
    กระทู้ 9. http://palungjit.org/threads/หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด-ฉบับหลวงปู่ทวดท่านบอกเอง.350700/
    กระทู้ 10. http://palungjit.org/threads/สึนามิ.350716/


    การได้สร้างพระบรมธาตุเจดีย์ของพระพุทธเจ้า คือ มหาบุญกุศลสูงสุดของการทำบุญ และการสร้างพระปรางค์ของพระอรหันต์และทดแทนพระคุณบิดามารดา เป็นการสร้างมหาบุญกุศล เช่น
    การเผยแพร่บทความที่หาอ่านได้ยากเช่นนี้ เพื่อแสวงบุญที่ผู้โพสกระทู้ไปไม่ได้ เพราะระยะไกลไม่เอื้ออำนวย จึงฝากบอกมหาบุญ ไปยังผู้สนใจใฝ่บุญอย่างจริงต่อไป


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2012
  2. ลุงจิ๋ว

    ลุงจิ๋ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    897
    ค่าพลัง:
    +990
    เป็นข้อมูลใหม่จริงๆครับ...มีต่ออีกหรือเปล่า...ขอขอบคุณล่วงหน้า
     
  3. HLC

    HLC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +259
    มาอีกแล้ว

    ตำนานเพ้อฝัน ลวงโลก เรื่องมนุษย์อมตะ อายุเป็นร้อยๆ พันๆ หมื่นๆปี

    พระพุทธเจ้ายังต้องแก่ เจ็บ ตาย
    เจ็บป่วยต้องมีหมอประจำตัวคอยให้การรักษา จัดหยูกยา

    ไม่เห็นจะอายุยืนเป็นอมตะ มาได้เห็นสาวก เพี้ยนๆ ต๊องๆ แบบนี้

    อายุยืนซะขนาดนี้ทำไมไม่ได้บันทึกลงกินเนสบุ๊ควะเนี่ย
    5555555555


    (||)(||)(||)
     
  4. HLC

    HLC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +259

    555
    555



    http://palungjit.org/threads/คำทำนายดวงโลกของ-หลวงปู่เทพโลกอุดร-เป็นจริงหรือ.27994/

    (||)(||)(||)
     
  5. xfiless

    xfiless สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +6
    เอามาจากไหนนิ สร้างความเข้าใจผิดไม่ดีนะ เตือนเพื่อแก้ไข ถ้าจะนำเสนอควรอ้างอิงแหล่งที่มา
     
  6. aeiou1234

    aeiou1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +292
    ตอบ

    ผู้โพสกระทู้ คงไม่ว่างมากนัก ที่เอาข้อมูลพวกนี้มาเผยแพร่แบบหลอกให้อ่านเล่นๆ ขอให้ใช้วิจารญาณในการรับอ่านและรับชม จะหาข้อมูลพวกนี้มาเผยแพร่ก็โดยตำหนิ ซึ่งยินดีลบกระทู้นี้ออกจากเว็บไซต์นี้เช่นกัน หากไม่เกิดประโยชน์ และก็จะหาข้อมูลอะไรดีๆ มาเผยแพร่ให้ที่คนทั่วไปส่วนใหญ่ได้อ่านนั้นยาก และมิได้เจตนาโอ้อวด หรือทุศีล เช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2012
  7. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,895
    ท่านจขกท.มีเจตนาดี (สังเกตจากปีที่สมัคร) ทำนายทางใต้ น่าหวาดเสียวจัง..
     
  8. xfiless

    xfiless สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +6
    ก็แค่ใส่แหล่งที่มาอีก 1 บรรทัดคงไม่เสียเวลาเพิ่มมั้งครับ

    หากเขียนเองคิดเองก็ขออภัย
     
  9. 我是泰国福建人

    我是泰国福建人 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2008
    โพสต์:
    298
    ค่าพลัง:
    +306
    พระฤาษีตาไฟ เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่่างไร เห็นเข้าเจ้าเข้าทรงอยู่แทบทุกวัน ไปดูตามสำนักทรงไทยต่างๆนะ
     
  10. aeiou1234

    aeiou1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +292
    พระฤาษีตาไฟ ท่านมิเคยทรงเจ้าเข้าทรงใคร ท่านพระเป็นพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ สั่งสอนคนโดยใช้ปัญญา และใช้เหตุและผลเป็นตั้ง ตอนกลียุคเช่นนี้ โดยพวกแอบอ้างไปใช้หาผลประโยชน์ เพื่อการใดต่างๆ ดังนั้น มนุษย์ทุกคนสามารถติดต่อกับพระกุกุสันโทด้วยอภิญญาจิตได้ ฝึกปฏิบัติจริงๆ มิได้แค่พูดเพ้อเจอแล้ววิจารณ์ แต่ไม่เคยแม้ปฏิบัติจริงแม้ครั้งเดียว ถึงจะเข้าใจดีกว่าอ่านข้อมูลนี้ซะอีก แต่การมาบอกกล่าวเช่นนี้มิได้มิได้มีโอ้อวดแต่อย่างใด มาเปิดเผย เพื่อแนะนำการไปพิสูจน์ความจริงที่น่าทึ่งสำหรับข้อมูลนี้มากกว่า (มีผู้รู้และรูเเห็นมากกว่าข้อมูลที่ผู้โพสกระทู้พิมพ์ไว้ซะอีก แต่เขาไม่เอามาเผยแพร่ เพราะคนใหม่ต้องการอ้างอิง เขาเลยขี้เกียจโดยคอมเม้นท์)
     
  11. xfiless

    xfiless สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +6
    :boo:

    ฤาษีเป็นนักบวชนอกศาสนาพุทธ
    เหอๆ สร้างความเข้าใจผิด เราเตือนไว้เพื่อแก้ไข

    พระพุทธเจ้า ปรินิพานแล้ว ดับสนิท
     
  12. aeiou1234

    aeiou1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +292
    ต้องเติมท้ายด้วยอภิญญาจิตด้วยนะ ถึงจะถูกต้อง
     
  13. DHAMMAPHOL

    DHAMMAPHOL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,745
    ค่าพลัง:
    +2,105
    "ผมอ่านจบแล้วเข้าใจว่า พระครูโลกอุดรกับหลวงปู่โพรงโพธิ์คือพระอรหันต์องค์เดียวกันครับดังนั้น พระอรหันต์ควรจะมีเพียง องค์ครับส่วนพระแก้วมรกตไม่ได้สร้างโดยกษัตริย์ลาวครับเพราะพุทธศิลป์ของพระแก้วมรกตไม่ใช่พุทธศิลป์ของลาวครับ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2012
  14. aeiou1234

    aeiou1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +292
    ขอตอบต่อนะ พระครูเทพโลกอุดร กับ หลวงปู่โพรงโพธิ์ ที่ท่านเข้าใจ คือ พระอรหันต์คนละรูปกัน แต่ชื่อที่เหมือนกัน ข้อมูลนี้ ล้วนมาจากพระท่านโดยตรง (กราบขอขมาท่านที่อ้างถึง พระอรหันต์แต่ละรูป ท่านกล่าวเตือนแล้วว่าถ้าเอาข้อมูลมาเผยแพร่ไป คนยุคก็ไม่เชื่อหรอก ) ดังนั้นข้อมูลนี้จึงมิผิดแน่นอน
    ส่วนพระแก้วมรกต กษัตริย์ลาวเป็นผู้สร้างแต่ไทยไปทำศึกชนะ เลยนำมาไว้ที่ไทย และข้อมูลพวกนี้มิได้จดบันทึกเลยยึดถือตามพุทธศิลป์ที่อ้างอิงของคนยุคหลังเรื่อยมา) ข้อมูลนี้ไม่ทราบว่าเผยแพร่ได้อีกนานแค่ไหน เพราะเนื้อหาล้วนมากจากพระอรหันต์ทั้ง 6 รูปนี้โดยแท้ จึงขัดแย้งกับข้อมูลยุควิทยาศาตร์ปัจจุบัน ที่จะหาอ่านข้อมูลแบบนี้อ่านได้ยาก ทางผู้โพสกระทู้รู้ผิดชอบชั่วดี การกระทำที่ผิดศีลข้อ 4 จึงมิกล้าเอาพวกนี้มาเผยแพร่แบบมั่วๆ หากกระทู้นี้ สร้างปัญหาในระดับความเชื่อของคนยุคนี้มากนัก ก็ยินดีลบออก และจะงดโพสข้อมูลใหม่ๆ ที่หลายๆท่าน แทบจะไม่เคยได้รู้เลย เช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2012
  15. wangwang

    wangwang เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    406
    ค่าพลัง:
    +629
    ตามที่เคยทราบมาจากข้อเขียนของท่านที่มีภูมิธรรมสูงท่านหนึ่งว่า หลวงปู่โลกอุดรคือ
    พระมหากัสสปเถระ พระอรหันต์เจ้าในสมัยพุทธกาล มีอยู่ในข้อเขียนของท่านที่กล่าวถึง
    มีชื่อเรื่องว่า "อัศจรรย์โลกใบนี้" เนื้อเรื่องสนุกน่าติดตามมากแฝงไว้ด้วยธรรม มีคนนำ
    มาโพสถ์ไว้ที่เวปวัดท่าขนุน โดยความเห็นชอบของพระอาจารย์เล็ก ใครที่ชอบเรื่องราว
    มหัศจรรย์คงจะถูกกับจริต
     
  16. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    พระแก้วมรกต
    พุทธศิลป์เป็นของล้านนา สร้างโดยช่างสกุลพะเยา ไปอยู่ลาวเพราะพระเจ้าไชยเชษฐาเอาไปจากนครเชียงใหม่ รัชกาลที่1อัญเชิญมาตอนตีเวียงจันทน์ครัลบ สงสัยนั่งจนเลอะเทอะ หัดศึกษาพุทธศิลป์ก่อนค่อยพูดครับ มโนยิทธิแบบผิดๆๆเพ้อเจ้อเหลวไหลทั้งเพ
     
  17. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,631
    พุทธศาสนาในประเทศลาว

    เจ้าสุวรรณคำผงขึ้นเสวยราชย์ เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๕-๑๘๙๖ ทรงมีพระ โอรส ๖ พระองค์ ใน ๖ พระองค์นั้น เจ้าฟ้างุ้มมีลักษณะผิดแผกจากพระโอรสองค์อื่น คือมีฟันและลิ้นเป็นสีดำ โหรทำนายว่าเป็นกาลกินีจึงได้นำไปลอยแพ บังเอิญแพได้มาถึงเมืองขอม (กัมพุชา) ได้รับการเลี้ยงดูจากพระมหาปาสมันตเถระ ต่อมาได้เข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในราชสำนักของพระเจ้าอินทปัตถ์ และได้อภิเษกสมรสกับพระธิดาของพระเจ้าอินทปัตถ์ พระนามว่า พระนางแก้วยอดฟ้า (ฟ้าหญิงคำหยาด)
    ต่อมาบิดาให้ไปตีเมืองล้านช้าง และสามารถยึดเมืองล้านช้างได้ในปี พ.ศ. ๑๘๙๖ แล้วขึ้นครองราชย์ เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒๓ ของราชวงศ์ล้านช้าง ทรงพระนามว่า พระเจ้าฟ้างุ้มแหล่งหล้าธรณี แผ่อาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง
    พุทธศาสนาได้เข้ามาสู่อาณาจักรล้านช้างในยุคนี้ กล่าวคือพระนางแก้วยอดฟ้าพระมเหสีผู้ทรงเคยนับถือพุทธศาสนามาก่อน เมื่อครั้งอยู่ในเมืองขอมทรงเห็นประชาชนนับถือผีสางเทวดา และฆ่าสัตว์บูชาเซ่นสรวง จึงได้ทูลขอให้พระเจ้าฟ้างุ้มไปอัญเชิญพระพุทธศาสนามาเผยแผ่ในอาณาจักรล้านชัาง พระเจ้าฟ้างุ้มทรงเห็นด้วย จึงให้ทูตไป ทูลขอนิมนต์พระสงฆ์เขมรเข้ามาเผยแผ่ในประเทศลาว และพระนางยังได้ขอร้องทางเขมรได้จัดส่งพระสงฆ์มาประกาศศาสนาแบบเถรวาท ซึ่งมีพระมหาปาสามานเจ้าเป็นประมุข เข้ามาเผยแผ่ในล้านช้าง
    พระพุทธศาสนาจึงได้เผยแผ่มาสู่ประเทศลาว และได้รับการอุปถัมภ์อย่างดีจากพระเจ้าฟ้างุ้ม เนื่องจากพระเจ้าฟ้างุ้มเคยได้รับอุปการะจากพระมหาปาสามานเถระเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ด้วย พระมหาปาสามานเถระและคณะได้เดินทางออกจากเมืองกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๐๒ ไปตามลำดับจนถึงเมืองแกพร้อมกับนำเอาพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ชื่อ พระบาง และพระไตรปิฎกไปด้วยเพื่อที่จะถวายแก่พระเจ้าฟ้างุ้ม เมื่อคณะสงฆ์เดินทางมาถึงเวียงจันทน์ เจ้าเมืองจันทน์ได้นิมนต์พักสมโภชพระบางอยู่ ๓ คืน ๓ วัน แล้วคณะสงฆ์ก็เดินทางต่อไปยังเวียงคำ อาราธนาพระเถระไปในเมือง ประชาชนได้มาสมโภชนพระบางกัน ๓ คืน ๓วัน ครั้นจะเดินทางต่างปรากฏว่าพระพุทธรูปไม่สามารถยกไปได้จึงเสี่ยงทายว่าเทวดาอารักษ์คงปรารถนาจะให้พระบางอยู่ที่เวียงคำพระเถระและผู้ติดตาม ได้มีเดินทางไปยังเมืองเชียงทอง ครั้งถึงเชียงทอง ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าฟ้างุ้มและพระมเหสี พระเถระและคณะจึงได้เผยแผ่พุทธศาสนาในลาวจนเจริญรุ่งเรืองประดิษฐานมั่นคงสืบมา
    [​IMG] รัชสมัยของพระเจ้าฟ้างุ้มนั้นเต็มไปด้วยศึกสงคราม ทำให้ชาวลาวที่มีนิสัยรักสงบเกิดความเบื่อหน่าย จนในที่สุดพร้อมใจกันขับพระเจ้าฟ้างุ้มออกจากราชสมบัติ และอภิเษกพระราชโอรสทรงพระนามว่า "พญาสามแสนไท" ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และพระองค์ทรงอภิเษกกับเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ซึ่งทำให้มีการจัดระเบียบบ้านเมืองตามแบบแผนวิธีการที่ได้รับจากประเทศไทยเป็นอันมาก

    ในด้านการพระพุทธศาสนา พญาสามแสนไททรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เช่น ทรงสร้างวัดมโนรมย์ วัดอุโบสถ หอสมุด โรงเรียนปริยัติธรรม เป็นต้น และทรงเจริญพระราชไตรีกับทางกรุงศรีอยุธยา ตลอดจนถึงกัมพูชา เวียดนาม ซึ่งถือได้ว่าในสมัยนี้เป็นสมัยแห่งการจัดสรรบ้านเมือง และการสร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นอย่างมาก
    สมัยพระเจ้าวิชุลราชาธิปัต (พ.ศ. ๒๐๔๔-๒๐๖๓) บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงบ กษัตริย์ทรงเอาใจใส่ทำนุบำรุงพุทธศาสนา ได้สร้างวัดวาอารามต่าง ๆ เช่น สร้างวัดบรมมหาราชวังเวียงทอง วัดวิชุลราช เพื่ออัญเชิญพระบางจากเวียงคำมาประดิษฐานที่วัดนี้ ต่อมาทรงสร้างวัดโพธิ์สบ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระราชธิดาที่ได้สวรรคตไป
    ในรัชสมัยพระเจ้าโพธิสารราช (พ.ศ. ๒๐๖๓-๒๐๙๐) พระองค์เป็นผู้เคร่งครัดทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงมีพระราชโองการให้พลเมืองเลิกนับถือผีสางเทวดา เลิกทรงเจ้าเข้าผีทั่วพระราชอาณาจักร ทรงให้รื้อศาลหลวง ศาลเจ้าผีเสื้อเมืองทรงเมือง และให้หันมานับถือพระพุทธศาสนาแทน ทรงสร้างวัดสุวรรณเทวโลกแต่เนื่องจากประเพณีการนับถือผีนั้นมีมานานมาก และได้ฝังเข้าไปในจิตใจของประชาชนทั่วไป จึงยากที่จะเลิกอย่างเด็ดขาดได้
    [​IMG] ครั้นต่อมาทางอาณาจักรล้านนาว่างกษัตริย์ปกครอง จึงได้อัญเชิญเจ้าไชยเชษโฐหรือ เชษฐวังโส พระโอรสของพระเจ้าโพธิสาร ไปครองนครล้านนา เมื่อปีพ.ศ. ๒๐๘๙ พระเจ้าโพธิสารเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๐ ด้วยถูกช้างล้มทับขณะประพาสป่า ทรงกลับนครได้เพียง ๓ สัปดาห์ก็สวรรคต เมื่อสวรรคตแล้ว พระโอรสทั้งหลายต่างแย่งชิงราชสมบัติกัน อาณาจักรลาวได้แตกเป็น ๒ ฝ่าย คือ อาณาจักรฝ่ายเหนือ และฝ่ายใต้ พระเจ้าไชยเชษโฐแห่งล้านนา จึงยกทัพตีกรุงล้านช้าง และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดบุปผาราม เชียงใหม่ รวมทั้งพระพุทธสิหิงค์ (พระสิงค์) และพระแก้วขาวไปด้วย เมื่อเสด็จถึงล้านช้าง ทรงยึดราชสมบัติจากเจ้าครองนครทั้งสองได้ ด้วยความเกรงกลัวของเจ้าครองนครทั้งสอง จึงทรงครองนครทั้งสองซึ่งเรียกว่า กรุงศรีสัตนาคตหุต พระองค์จึงขึ้นครองราชสมบัติ นับเป็นมหาราชองค์ที่ ๒ ของลาว ที่ทรงพระปรีชาสามารถ ทรงพระนามว่า "พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช"
    พระพุทธศาสนาในยุคของพระเจ้าเชษฐาธิราช นับว่ามีความเจริญสูงสุด ทรงได้สร้างวัดสำคัญมากมาย ในกำแพงเมืองมีวัดอยู่ประมาณ ๑๒๐ วัด และยังได้สร้างวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ที่นำมาจากเมืองเชียงใหม่ ในสมัยนี้ได้มีการแต่งวรรณกรรมหลายเรื่อง เช่น สังสินชัย การเกต พระลักพระราม เป็นต้น
    สมัยนี้ราชอาณาจักรไทยได้มีความสัมพันธ์ลาวอย่างแน่นแฟ้น ได้ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับพม่า ได้สร้างเจดีย์ "พระธาตุศรีสองรัก" ในอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เพื่อเป็นอนุสรณ์ แห่งความเป็นพี่เป็นน้องกัน ของสองอาณาจักร

    [​IMG]
    พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงคำมาอยู่ที่เวียงจันทน์ ได้ประดิษฐานพระแก้วมรกต และพระแซกคำ (พระพุทธสิหิงค์ หรือพระสิงค์) ไว้ที่เวียงจันทน์ เรียกว่าเวียงจันทน์ล้านช้างส่วนพระบางประดิษฐานไว้ที่เมืองเชียงทอง จึงได้ชื่อว่าหลวงพระบางมาจนถึงบัดนี้ บางครั้งก็เรียกชื่อว่าล้านช้างหลวงพระบาง และได้สร้างวัดเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตขึ้นเป็นพิเศษ พระองค์ได้ทรงสร้างพระธาตุหลวง ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นยอดเยี่ยมของลาวเมื่อ พ.ศ. ๒๑๐๙ ซึ่งต่อมาได้ถูกพวกปล้นจากยูนานทำลายเสียหายไปมาก นอกจากพระองค์จะได้ทรงสร้างพระธาตุ อื่น ๆ และพระพุทธรูปสำคัญ ๆ อีกมากมาย เช่น พระเจ้าองค์ตื้อ ที่เวียงจันทน์ พระเจ้าองค์ตื้อ ที่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย พระเสริม พระสุก พระใส พระอินทร์แปลง พระองค์แสน ทรงสร้างวัดพระธาตุ ที่จังหวัดหนองคาย และพระธาตุที่จมน้ำโขงอยู่ พระธาตุบังพวน อำเภอเมืองหนองคาย สร้างวัดศรีเมือง จังหวัดหนองคาย และพระประธานในโบสถ์ นามว่า พระไชยเชษฐา พระศรีโคตรบูร ที่แขวงคำม่วน พระธาตุอิรัง ที่แขวงสุวรรณเขต (สุวรรณเขต) พระธาตุศรีสองรัก อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และทรงปฏิสังขรณ์พระธาตุพนม เป็นต้น
    พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงประคับประคองนำราชอาณาจักรล้านช้างผ่านพ้นภัยการเป็นเมืองขึ้นของพม่าไปได้ ตลอดรัชสมัยของพระองค์ แม้ว่าในขณะนั้นอาณาจักรล้านนา (เสียแก่พม่า พ.ศ. ๒๑๐๑) และอาณาจักรศรีอยุธยา (เสียแก่พม่า พ.ศ. ๒๑๐๗) ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าแล้ว แต่หลังจากพระองค์สวรรคตในปี พ.ศ. ๒๑๑๔ พอมาถึง พ.ศ. ๒๑๑๗-๒๑๑๘ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองได้ยกทัพมาตีลาวและได้รับชัยชนะ และทรงนำโอรสองค์เดียวของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชซึ่งประสูติในปีที่สวรรคต ไว้เป็นประกันที่หงสาวดีด้วย ต่อจากนั้นมาหลายปีแผ่นดินลาวก็วุ่นวายด้วยเรื่องราชสมบัติ จนพ.ศ. ๒๑๓๔ พระเถระเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ จึงได้ประชุมกันลงมติให้ส่งทูตไปเชิญเจ้าชายหน่อแก้วโกเมน ซึ่งเป็นตัวประกันอยู่ประเทศพม่ากลับมาครองราชย์ และในเวลานั้นพระเจ้าบุเรงนองสวรรคตลง พม่าเริ่มอ่อนแอลง และเจ้าหน่อแก้วโกเมนขึ้นครองราชย์สมบัติ พ.ศ. ๒๑๓๕ และประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นกับพม่าต่อไป
    พระเจ้าสุริยวงศาเป็นกษัตริย์ที่มีความปรีชาสามารถ และเข้มแข็ง สามารถปกครองให้ลาวสงบเรียบร้อยได้ ในสมัยนี้วัฒนธรรมรุ่งเรือง ศิลปกรรม ดนตรี ประติมากรรมต่าง ๆ เจริญแพร่หลาย
    หลังจากสิ้นราชกาลพระเจ้าสุริยวงศา ใน พ.ศ. ๒๒๓๕ อาณาจักรลาวได้แตกเป็น ๒ อาณาจักร คือ เมืองหลวงพระบาง กับ เมืองเวียงจันทน์ ทั้ง ๒ อาณาจักร ต่างระแวงกัน และคอยหาโอกาสแย่งชิงอำนาจกัน จนถึงกับไปผูกมิตรกับต่างประเทศเพื่อกำจัดกันและกัน เช่น ฝ่ายหนึ่งเข้ากับพม่า ฝ่ายหนึ่งเข้ากับไทย หรือฝ่ายหนึ่งเข้ากับไทย ฝ่ายหนึ่งเข้ากับญวน เป็นต้น
    [​IMG]จนในที่สุดเมื่อไทยสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งเป็นมิตรกับหลวงพระบางกู้เอกราชจากพม่าได้แล้ว ก็ยกทัพมาตีเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นพันธมิตรของพม่า เข้ายึดครองได้ใน พ.ศ.๒๓๒๑ และได้นำเอาพระแก้วมรกตไปยังอาณาจักรไทยด้วย อาณาจักรเวียงจันทน์ได้สลายตัวลงเป็นดินแดนของไทยใน พ.ศ. ๒๓๗๑ ส่วนอาณาจักรหลวงพระบางซึ่งเป็นเมืองออกของไทยได้ส่งทูตไปอ่อนน้อม และมอบบรรณาการแก่เวียดนาม พ.ศ. ๒๓๗๔ กลายเป็นข้ออ้างของฝรั่งเศส ผู้เข้ายึดครองเวียดนามในสมัยต่อมา ที่จะเข้าครอบครองลาวต่อไปด้วย อาณาจักรลาวได้ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสโดยลำดับ เริ่มแต่ พ.ศ. ๒๔๓๖ จนหมดสิ้นใน พ.ศ. ๒๔๔๗ ลาวถูกฝรั่งเศสครอบครองอยู่ ๔๕ ปี จึงได้เอกราชกลับคืนโดยสมบูรณ์ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๙๒ มีชื่อเป็นทางการว่า "พระราชอาณาจักรลาว"
    .....................................................................

    จะเห็นได้ว่าพระแก้วมรกตเคยอยู่ในไทย(ล้านนา)มาก่อน จึงไม่ใช่กษัตริย์ลาวสร้าง

    .........................................................................................

    ลำดับกษัตริย์ลาว อ้างอิงตามพงศาวดารหลวงพระบางชินกาลมาลีปกรณ์ และ ตำนานพระแก้วมรกต กรณีศักราชไม่ตรงกัน จะยึดตามตำนานพระแก้วมรกตเป็นหลัก


    ขุนบรมราชาธิราช(พ.ศ. 1240 - พ.ศ. 1293) ได้ย้ายจากหนองแสมาอยู่ที่ใหม่เรียกว่านาน้อยอ้อยหนู(เมืองแถนหรือเมืองกาหลง) ปัจจุบันเรียกว่าเชียงรุ่งเขตสิบสองพันนา พร้อมทั้งขยายอาณาเขตออกไปโดยส่งโอรส 7 องค์ไปครองเมืองต่างๆคือ
    1. ขุนลอ - ปกครองเมืองชวา(หลวงพระบาง)
    2. ท้าวผาล้าน - ปกครองเมืองหอแต(ต้าหอ)
    3. ท้าวจุลง - ปกครองเมืองโกดแท้แผนปม
    4. ท้าวคำผง - ปกครองเมืองเชียงใหม่
    5. ท้าวอิน - ปกครองเมืองศรีอยุธยา (ละโว้)
    6. ท้าวกม - ปกครองเมืองมอน (อินทรปัต)
    7. ท้าวเจือง - ปกครองเมืองพวน (เชียงขวาง)
    นครเชียงทอง
    ขุนลอ องค์ปฐมกษัตริย์ลาว ผู้ตั้งเมืองชวาเป็นราชธานีครั้งแรกเมื่อ (พ.ศ. 1300) และได้เปลี่ยนนามใหม่ว่า เมืองเชียงทอง มีกษัตริย์สืบต่อมา 16 ขุน 5 ท้าว จนมาถึงองค์ที่
    23 พระยาลังธิราช (1814 - 1859)
    24 พระยาสุวรรณคำผง (1859 - 1887)
    25 เจ้าฟ้าเงี้ยว (1887 - 1894)
    ................................................................................

    จะเห็นได้ว่าในปี 1240 ขุนบรม พึ่งตั้งเมืองนาน้อยอ้อยหนู ขุนลอพระโอรสได้ครองหลวงพระบาง(เชียงทอง)เมื่อปี 1300

    "พระแก้วมรกต ที่เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของไทย สร้างที่เมืองหลวงของลาว ผู้สร้างคือ พระศรีเจ้าลาว เจ้าเมืองลาว สร้างด้วยหินแก้ว บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าพระมังสะสมอง ในพระเกศพระแก้วมรกต สร้างเมื่อ พ.ศ. 1250"


    แล้วพระศรีเจ้าลาว เจ้าเมืองลาวมาแต่ไหน ทำไมทับซ้อน และตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในลาวพึ่งรุ่งเรืองเมื่อ ปี 1896

    แสดงว่า มั่ว ข้อมูลชัด ๆ
    ...............................................................................

    ตำนานอุรังคธาตุ

    พระธาตุพนม ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระธาตุพนมวรวิหาร ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตำบล และอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม สถานที่ประดิษฐานองค์พระธาตุ อยู่บนภูกำพร้า หรือดอยกำพร้า ภาษาบาลีว่า กปณบรรพตหรือ กปณคีรี ริมฝั่งแม่น้ำขลนที อันเป็นเขตแขวงนครศรีโคตบูรโบราณ

    ตามตำนานพระธาตุพนม ในอุรังคนิทานกล่าวว่า สมัยหนึ่งในปัจฉิมโพธิกาล พระพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระอานนท์ ได้เสด็จมาทางทิศตะวันออก โดยทางอากาศ ได้มาลงที่ดอนกอนเนา แล้วเสด็จไปหนองคันแทเสื้อน้ำ (เวียงจันทน์) ได้พยากรณ์ไว้ว่า ในอนาคตจะเกิดบ้านเมืองใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา จากนั้นได้เสด็จไปตามลำดับ ได้ทรงประทานรอยพระพุทธบาทไว้ที่ โพนฉัน (พระบาทโพนฉัน) อยู่ตรงข้ามอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย แล้วเสด็จมาที่ พระบาทเวินปลา ซึ่งอยู่เหนือเมืองนครพนมปัจจุบัน ได้ทรงพยากรณ์ที่ตั้งเมืองมรุกขนคร (นครพนม) และได้ประทับพักแรมที่ภูกำพร้าหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นเสด็จข้ามแม่น้ำโขง ไปบิณฑบาตที่เมืองศรีโคตบูร พักอยู่ที่ร่มต้นรังต้นหนึ่ง (พระธาตุอิงฮังเมืองสุวรรณเขต) แล้วกลับมาทำภัตกิจ (ฉันอาหาร) ที่ภูกำพร้าโดยทางอากาศ
    พญาอินทร์ได้เสด็จมาเฝ้าและทูลถามพระพุทธองค์ ถึงเหตุที่มาประทับที่ภูกำพร้า พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ในภัททกัลป์ที่นิพพานไปแล้ว บรรดาสาวกจะนำพระบรมสารีริกธาตุ มาบรรจุไว้ที่ภูกำพร้า พระพุทธองค์เมื่อนิพพานแล้ว พระมหากัสสปะ ผู้เป็นสาวก ก็จะนำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ ณ ที่นี้เช่นกัน จากนั้นพระพุทธองค์ก็ได้ทรงปรารภถึงเมืองศรีโคตบูร และมรุกขนคร แล้วเสด็จไปหนองหารหลวง ได้ทรงเทศนาโปรดพญาสุวรรณพิงคาระ และพระเทวี ประทานรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นั้น แล้วเสด็จกลับพระเชตวัน หลังจากนั้นก็เสด็จปรินิพพานที่เมืองกุสินารา

    เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว มัลลกษัตริย์ทั้งหลายได้ถวายพระเพลิงพระสรีระ แต่ไม่สำเร็จ จนเมื่อพระมหากัสสปะมาถึงได้อธิษฐานว่า พระธาตุองค์ใดที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่ภูกำพร้า ขอพระธาตุองค์นั้นเสด็จมาอยู่บนฝ่ามือ ดังนี้แล้ว พระอุรังคธาตุ ก็เสด็จมาอยู่บนฝ่ามือขวาของพระมหากัสสปะ ขณะนั้นไฟธาตุก็ลุกขึ้นโชติช่วง เผาพระสรีระได้เองเป็นอัศจรรย์ เมื่อถวายพระเพลิงและแจกพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ มาทางอากาศ แล้วมาลงที่ดอยแท่น (ภูเพ็กในปัจจุบัน) จากนั้นได้ไปบิณฑบาตที่เมืองหนองหารหลวง เพื่อบอกกล่าวแก่พญาสุวรรณพิงคาระ ตำนานตอนนี้ตรงกับตำนานพระธาตุเชิงชุม และพระธาตุนารายณ์เจงเวง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่แล้ว
    เมื่อพญาทั้ง 5 ซึ่งอยู่ ณ เมืองต่าง ๆ อันได้แก่ พญานันทเสน แห่งเมืองศรีโคตบูร พญาจุลณีพรหมทัต พญาอินทปัตถนคร พญาคำแดง แห่งเมืองหนองหารน้อย และพญาสุวรรณพิงคาระ แห่งเมืองหนองหารหลวง ได้พากันปั้นดินดิบก่อแล้วเผาไฟ ตามคำแนะนำของพระมหากัสสปะ แบบพิมพ์ดินกว้างยาวเท่ากับฝ่ามือพระมหากัสสปะ
    ครั้นปั้นดินเสร็จแล้วก็พากันขุดหลุมกว้าง 2 วา ลึก 2 ศอก เท่ากันทั้ง 4 ด้าน เมื่อก่อดินขึ้นเป็นรูปเตา 4 เหลี่ยม สูง 1 วา โดยพญาทั้ง 4 แล้ว พญาสุวรรณภิงคาระก็ได้ก่อส่วนบน โดยรวมยอดเข้าเป็นรูปฝาปารมีสูง 1 วา รวมความสูงทั้งสิ้น 2 วา แล้วทำประตูเตาไฟทั้ง 4 ด้าน เอาไม้จวง จันทน์ กฤษณา กระลำพัก คันธรส ชมพู นิโครธ และไม้รัง มาเป็นพื้น ทำการเผาอยู่ 3 วัน 3 คืน เมื่อสุกแล้วจึงเอาหินหมากคอยกลางโคก มาถมหลุม เมื่อสร้างอุโมงค์ดังกล่าวเสร็จแล้ว พญาทั้ง 5 ก็ได้บริจาคของมีค่าบรรจุไว้ในอุโมงค์เป็นพุทธบูชา
    จากนั้น พระมหากัสสปะ ก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ เข้าบรรจุภายในที่อันสมควร แล้วให้ปิดประตูอุโมงค์ไว้ทั้ง 4 ด้าน โดยสร้างประตูด้วยไม้ประดู่ ใส่ดาลปิดไว้ทั้ง 4 ด้าน แล้วให้คนไปนำเอาเสาศิลาจากเมืองกุสินารา 1 ต้น มาฝังไว้ที่มุมเหนือตะวันออก แปลงรูปอัศมุขี (ยักษิณีหน้าเป็นม้า) ไว้โคนต้นเพื่อเป็นหลักชัยมงคลแก่บ้านเมืองในชมพูทวีป นำเอาเสาศิลาจากเมืองพาราณสี 1 ต้น ฝังไว้มุมใต้ตะวันออก แปลงรูปอัศมุขีไว้โคนต้น เพื่อหมายมงคลแก่โลก นำเอาเสาศิลาจากเมืองตักศิลา 1 ต้น ฝังไว้มุมเหนือตะวันตก พญาสุวรรณพิงคาระให้สร้างรูปม้าอาชาไนยไว้ตัวหนึ่ง หันหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อแสดงว่าพระบรมธาตุเสด็จออกมาทางทิศทางนั้น และพระพุทธศาสนาจักเจริญรุ่งเรืองจากเหนือเจือมาใต้ พระมหากัสสปะให้สร้างม้าพลาหกไว้ตัวหนึ่ง คู่กัน หันหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อเป็นปริศนาว่า พญาศรีโคตบูรจักได้สถาปนาพระอุรังคธาตุไว้ตราบเท่า 5,000 พระวัสสา เกิดทางใต้และขึ้นไปทางเหนือ เสาอินทขีล ศิลาทั้ง 4 ต้น ยังปรากฏอยู่ 2 ต้น ทางทิศตะวันออก ส่วนอีก 2 ต้น ได้ก่อหอระฆังหุ้มไว้ ส่วนม้าศิลาทั้ง 2 ตัว ก็ยังปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน

    .................................................................

    จากตำนานพระธาตุพนมบอกให้ทราบว่า ผู้ที่อัญเชิญพระอุรธาตุมาที่ดอยกำพร้าคือ พระมหากัสปปะ และเป็นผู้ร่วมสร้างพระธาตุพนม

    "หลวงปู่กาแก้ว เป็นผู้นำพระบรมธาตุพระเต้านม ของพระพุทธเจ้า จากเมืองลังกา มาสร้างที่นครพนมเรียกชื่อว่า พระบรมธาตุพนม เจ้าก่อแก้วเป็นผู้สร้าง สร้างเมื่อ พ.ศ. 1664 นับถึงวันนี้ พ.ศ. 2554 พระบรมธาตุพนมสร้างมาเป็นเวลา 890 ปี"

    จากข้อความที่ว่าหลวงปู่กาแก้วสร้างพระธาตุพนมจึงเป็นการมั่วข้อมูลโดยแท้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2012
  18. aeiou1234

    aeiou1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +292
    ขอตอบนะ
    ข้อมูลที่พวกท่านมีนั้นมันเป็นหลังจากการบูรณะปฏิสังขรแล้ว ซึ่งมีการซ่อมแซมใหม่แล้วจดบันทึก และเขียนปฏิวัติใหม่ เพราะคนยุคเก่าเขาไม่ได้บันทึกไว้ จึงทำให้ข้อมูลส่วนนั้นขาดไป พูดง่ายๆ ก็คือ ที่ท่านรู้นั้น คือ ข้อมูลหลังๆที่มาเปลี่ยนใหม่ มันก็ไม่ผิดสำหรับคนยุคใหม่ที่จะเชื่อหลักฐาน ดังนั้นข้อมูลที่ผู้โพสกรุะทู้นำเสนอไป มันเป็นของใหม่ๆ ที่ขาดหายไป ก็ให้เชื่อตามสิ่งที่ควรเชื่อแล้วกัน
     
  19. aeiou1234

    aeiou1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +292
    จะเอาตามข้อมูลความเชื่อจากหลักฐานที่คนชนะศึกเป็นผู้เขียนเพื่อเป็นประวัติศาสตร์ของตนเองก็ตามใจนะ แต่ผู้โพสก็ได้ข้อมูลนี้มาแบบไม่มั่วเช่นกัน ถือว่าเรื่องประวัตินานาจิตตัง ใช้เหตุผลและผลในการวิเคราะห์นะ จะบอกว่า หลวงปู่กาแก้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่ จะว่าไปคนอะไรอายุถึง 890ปี แล้วยังมีชีวิตอยู่ หลายท่านก็คงไม่เชื่อ แต่เจตนาอยากให้ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆไปศึกษาแล้ว และฝึกปฏิบัติจริง แล้วจะได้เจอท่านจริงๆ ค่อย pm มาหาผู้โพสกระทู้ละกัน และนำเอาข้อมูลนี้ไปค้นหาความจริงด้วยตัวเอง ฝึกอภิญญาจิต นั้นคือเจตนาที่แท้จริงของผู้โพสกระทู้นี้ ไม่ได้มีเจตนาโอ้อวด หรือจะมาขัดแย้งกับใคร
     
  20. Pichart

    Pichart สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +21
    น่าสนใจดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...