เรื่องเด่น มนุษย์ต่างดาวติดต่อเราหรือยัง-ควรบอกว่า เมื่อไหร่จะไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chandayot, 18 เมษายน 2012.

  1. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    มีดต่อสู้--แทคติค่อล คไน้ฟ์ Tactical Knife
    มีดเดินป่า --เทร็กกิ้ง คไน้ฟ์ Trekking (Jungle) Knife
    มีดยังชีพ(อยู่รอด) เซอร์ไวว่อล คไน้ฟ์ Survival Knife
    มีดตั้งแค้มป์ แค้มพ์ปิ้ง คไน้ฟ์ Camping Knife
    มีดทหาร Military Knife ทั้งพกพา ดาบปลายปืน หน้ารองเท้า ข้างรองเท้าบู๊ต


    --มีมีดสำหรับแล่หนังสัตว์โดยเฉพาะคล้ายๆใบพาย มีมีดที่สนองตอบความต้องการทุกแบบ แต่เชื่อไหมว่ามีดที่ตำรวจ ทหารของไทยใช้ ยังไม่เหมาะกับการใช้งาน นายตำรวจคือจ่าตุ่ม ได้เปิดบ้านทำมีดขึ้นมา เพื่อเพื่อนฝูงจะได้มาสั่งทำ จนท่านได้เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งใน็อด ซึ่งอาจเกิดจากควันของเหล็ก ละอองของพวกกระดาษทราบ ใบตัดเหล็ก ซึ่งเป้นฝุ่นขนาดเล้กก็ได้ ช่างรุ่นใหม่ๆจึงให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น
    ---สิ่งหนึ่งที่ช่างรุ่นใหม่ต้องสนใจ คือเทคนิคการอบการชุบให้เหล้กมีความแข็ง ซึ่งเป็นจุดด้อยของเรา ทำให้คนต้องไปซื้อมีดจากเมืองนอกซึ่งแพงมากๆ

    มีดบางเล่มที่ด้ามมีปุ่มแหลมป้าน ไว้ทุบกระจกกรณีไฟใหม้ หรืออุบัติเหตุรถยนต์
    มีดบางเล่ม เล็กๆ แต่ตัดลวดสลิงขนาดใหญ่ได้ มีดเหล็กดามัสกัส หรือน้ำพี้ของเรา สามรถตัดเหล็กอ่อน เช่นตาปูไก้ เหมือนฟันหยวก หรืแก้านผักบุ้ง เพื่อนบอกว่า สั่งตีสิ้วแกะสลักไม้ โดยใช้มีดกลึงเหล็กที่เหลือเศษๆ แบบนั้นขนาดเหล็กมันยังกัออกมาได้เหมือนไม้ ต้องเป็นเหล็กดีแน่ๆ เพราะผสมวานาเดี้ยม แต่ไม้บางชนิดก็ทำเอาเครื่องมือเหล็กพังได้ง่ายๆ

    --บางคนบอกว่าชาวเขา ให้ไม้ที่แข็งมากมาทำกระบองสองท่อนแบบจีน คือ ไม้เลือดควาย สีดำๆ แข็งมาก และไม้นี้หายากมาก


    ----ทีแรกกะจะทำโรงตีมีดที่บ้านแล้วครับ ภรรยาขัดขวางอย่างแรง บอกให้อยู่เฉยๆดีกว่า
    ก็โอเคครับ เดี๋ยวเดือนหน้านี้ก็จะลองซื้อมาสัก3 เล่ม แล้วทำแคตาล็อก เปิดเว็ป เดี๋ยวนี้มีดพระรามหกออกมาอีกหลายรุ่น เช่น แอ๊นท์(มด) บิ๊กแอ๊นท์(มดตัวใหญ่) เดียร์(กวาง) จากัวร์(เสือชนิดหนึ่ง) ที่คลาสสิกก็คือรุ่น สเค้าท์(ลูกเสือ ) โโยในหลวงที่และพระเทพก้ซื้อรุ่นนี้ไว้ทรงใช้ครับ) เดิมจะตอกหมายเลข ปัจจุบันไม่ตอกแล้ว และมีสั่งตัด (คัสต้อมเม้ด) คือเราให้เขาทำเป็นรูปอะไรก้ได้ เช่นมีดกรูข่า-Kruki หายาก เวลาฟันจะใช้แรงไม่มาก เช่นชาวกรูข่าใช้ตัดหัวกระบือตรงใกล้หัวใหล่ให้ขาดในครั้งเดียว เช่นพิธีสังเวยเทพเจ้า

    --ในราชพิธี เช่นดาบลงอักขระของพระนเรศวร กริช พระขรรค์ สิ่งเหล่านี้ต้องลงพลังจิต ผ่านพิธีกรรมทั้งสิ้น

    ---วันนี้ก็ทำผิดนิดหน่อย โดนมีดเล้กบาดนิดหน่อย และไม่น่าจะเอามีดหมอมาผ่าสับปะรดเลย แต่ได้รู้ว่ามันคมพอกับตัเตอร์ และมั่นคง เช่นกดไปแรงนิดนึงก็ตัดแกนสับปะรดได้ ทำให้งานนี้ง่ายพอๆกับการปอกกล้วยเข้าปาก----

    --เดี๋ยวจะแอบไปทำข้าวผัด ดูสูตรจากเน็ตแล้วครับ ความจริงแกงหยวกกล้วยก็ทำง่าย โดนเฉพาะกล้วยป่าข้างบ้าน ทั้งหยวกและปลีของมัน นิยมว่าเลิศรสสุดๆ แถมยังแก้ปรับธาตุ--ลดกลิ่นตัวได้ด้วย

    [​IMG]
    แบบนี้เรียกเล็บเหยี่ยวหรือ คารัมบิท
    [​IMG]
    แรมโบ้ ทุกๆภาค จะใช้มีดต่างกัน ในด้ามกลวง มีไม้ขีดไฟ ลวดตัดไม้ เอ็นตกปลา ตัวเบ็ดตกปลา ปลายด้ามมีเข็มทิศ
    [​IMG]
    ทรงกรูข่า รมดำดูดุดัน ทางทหาร--Military จะยกเว้นทุกอย่างที่สะท้อนแสง จะเห็นได้ง่าย ตอนสะท้อนแดด ดังนั้นทุกอย่างจะพรางแสง โดยทำเป็นสีเขียวแก่
    http://www.overzeas.net/smith-we ... -clearing-tool.html ราคาไม่เบา ของจีนราคา4-500 บาท
    http://www.gun.in.th/2012/index.php?topic=84656.0
    มาแบบหลากหลาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2012
  2. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_868719 class=t_msgfont>อยากให้คุณเจษสอนการนั่งสมาธิให้หน่อยค่ะ ไม่มีเวลาไปนั่งที่วัด หรือเรียนตัวต่อตัวเลย
    ไม่รู้จะเอาลิงไปไว้ไหน สงสัยต้องนั่งเองซะเเล้ว
    เเต่มันเริ่มไม่ถูก เพราะมีคนบอกว่า ถ้าจะนั่งให้มันไปเร็ว ให้ครูบาอาจารย์สอนดีกว่า
    เสียก็เเต่ที่ ครูบาอาจารย์ไม่มีเเบบเดลิเวอรี่นี่สิ

    เรื่องโรค มือ เท้า ปาก นี่ก็อันตรายนะคะ เป็นเเล้วตายกันประเทศเพื่อนบ้าน
    ลิงก็เป็นหวัด กลัวๆอยู่ว่าจะเป็นรึเปล่า ให้กินน้ำมนต์ของรัชกาลที่ 1 ไป
    ให้ลิงบอกว่า ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยให้หายไม่สบายด้วยเถิด
    เพราะเด็กๆไม่สบายที เเม่ก็ไม่ได้นอนเลย -*-


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    darkheartโพสต์ อยากให้คุณเจษสอนการนั่งสมาธิให้หน่อยค่ะ
    นะโมสามจบ นั่งสบายๆ หายใจเข้าภาวนา พุท หายใจออกภาวนา โท ให้รู้สึกว่าหายใจสั้นหรือยาว หนักหรือเบา สติตั้งไว้ที่ปลายจมูก ถ้าอยากได้อะไร จะไม่ได้อะไร ให้คิดว่า ทำเพื่อหนีทุกข์ อยากสงบ จะไม่สงบ คิดว่าทำเพื่อถวายพระพุทธองค์ จะให้ดี ก็กรวดน้ำ ก่อนหกโมงเย็น จะท่องบทกรวดน้ำ หรือพูดเอาเองก็ได้ครับ

    --พี่สาวไปเรียนที่อเมริกา แต่ไม่เข้าใจเพราะฝรั่งพูดเร็ว จม.มาถามผม ผมก็บอกแบบนี้ เธอทำตาม ก็ได้เกรดเอทุกวิชา ขณะนั้นผมอายุ 18 ปีเองนะตอนนั้น
    --------------------------------------------------
    <TABLE id=pid871791 cellSpacing=0 summary=pid871791 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=postcontent><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_871791 class=t_msgfont>ขออนุญาตคุณเจษนะค่ะ มาเพิ่มเติมค่ะ ของคุณ oneness รู้สึกว่าเธอคนนี้ก็ไม่ธรรมดาค่ะ เป็นจิตที่เหนือภพภูมิมนุษย์มาก ๆ นะค่ะ การปฏิบัติสมาธิที่เธอได้ชี้แนะค่ะ

    กฎข้อที่หนี่ง
    ทำสมาธิ ไม่ต้องหลับตา
    เพราะนันทยักษ์ จะย่องมาตีหัว
    จะหลบไม่ทัน

    กฎข้อที่สอง
    มองที่กาย และใจ
    ว่ากายมันนั่งอยู่นี่
    ไม่ได้เหาะเหิน ไปวิมานชั้นไหน


    กฎข้อที่สาม ไม่คุยกับใครในใจ ไม่ฟังใครในใจ

    สามข้อ เป็นพื้นฐาน
    ฝึกพื้นฐานให้ได้ก่อน
    หัดทำตามนี้นะ เจ้าค่ะ


    หัดทำสามข้อนี้ ให้ชำนิชำนาญ ก่อน
    เพราะคนปกติ ๆ จะไม่มีใครได้หลับตาทั้งวัน
    นอกจากคนพิการทางสายตา


    แล้ว คราวนี้ ก็เริ่มตั้งฐานของจิต
    ใจมองอยู่ที่จุดเดียว


    แค่นี้ สมาธิ สติ และสัมปชัญญะ ก็มากขี้นกว่าเดิม ก่ายกอง จะสัมผัสแค่นี้ สมาธิ สติ และสัมปชัญญะ ก็มากขี้นกว่าเดิม สัมผัสได้เองเจ้าค่า
    เผลอไป หลุดไป ก็เข้าทำข้อ1234 เหมือนเดิม

    การมานั่งนึกพูดคุยกับใคร ฟังใคร ถามใคร ในใจ ไม่ใช่วิปัสสนา

    ไม่ต้องพูด ไม่ต้องคุย ไม่ต้องฟังอะไรในใจ น่ะและ
    จักเป็นวิปัสสนาญาณ เอง
    โดยไม่ต้อง่ฟัง ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพูด สักแอะ
    เจ้าค่า

    นี่เป็นหลักที่แท้จริง
    หลักนี้ ไม่ได้ทำตามจริตใคร
    ละทิ้งจริต มันถึงจะทำได้
    ถ้าไม่ทิ้ง ไม่มีทางทำได้
    เจ้าค่ะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR><TR><TD class=postcontent vAlign=bottom>ฟ้าส่ง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2012
  3. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <table id="pid872530" summary="pid872530" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="postcontent"><table cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td id="postmessage_872530" class="t_msgfont">ต่อนะค่ะ "ฐานจิตอยู่ที่ไหน"

    ฐานกาย ฐานจิต อยู่บริเวณเดียวกันได้
    จะเจ็ดฐาน แบบหลวงพ่อปาน ก็ได้
    จะฐานสะดือ แบบธรรมกายก็ได้
    จะฐานลิ้นปี่ หน้าอก แบบพระป่าก็ได้
    หรือจะตั้งฐานเหนือหัวสามฟุต ก็ได้
    สามร้อยหกสิบองศา รอบกาย ตั้งเป็นฐานได้หมด
    ฐานไหนชัดเจน ก็เอาฐานนั้น เพียงจุดเดียวเจ้าค่ะ

    หวังว่าจะได้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งนะค่ะ สาธุค่ะ
    </td></tr></tbody></table>


    </td></tr><tr><td class="postcontent" valign="bottom">ฟ้าส่ง

    </td></tr></tbody></table>

    <table id="pid872646" summary="pid872646" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="postauthor" rowspan="2">


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] ระดับ credit: [​IMG]
    <!-- ัซีย --><!-- ัซียend -->




    <table id="pid875334" summary="pid875334" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="postauthor" rowspan="2">


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] ระดับ credit: [​IMG]
    <!-- ัซีย --><!-- ัซียend -->




    </td><td class="postcontent">2179<sup>#</sup>
    [​IMG] ณัฏฐวิธันโพสต์ 3 วันก่อน 20:31 | แสดงเฉพาะโพสต์ของผู้ใช้นี้





    <table cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td id="postmessage_875334" class="t_msgfont">
    ต่อนะค่ะ "ฐานจิตอยู่ที่ไหน"

    ฐานกาย ฐานจิต อยู่บริเวณ ...
    ฟ้าส่ง โพสต์เมื่อ 23-7-2012 20:46 [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>


    </td></tr></tbody></table>
    </td><td class="postcontent">2173<sup>#</sup>
    [​IMG] จิตตานุภาพโพสต์ 4 วันก่อน 21:21 | แสดงเฉพาะโพสต์ของผู้ใช้นี้





    <table cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td id="postmessage_872646" class="t_msgfont">สวัสดีค่า อาเจษ :)
    หนูโผล่มาให้กำลังใจค่า
    ตอนนี้เพิ่งสอบเข้าเสร็จรอลุ้นผลอย่างเดียวเลยค่ะ อิอิ มีเวลาได้ตามอ่านกระทู้สักที
    </td></tr></tbody></table>




    </td></tr></tbody></table>


    -สรุปว่า การทำสมาธิ จะทำอย่างไรก็ได้ ในสี่อิริยาบทก็ได้ ยืน เดิน นั่ง นอน แต่เมื่อจิตสงบได้แล้ว ก้ให้ทิ้งวิธีการ เช่นคำภาวนาเสีย เพราะจะเป็นอุปสรรคในขั้นตอนต่อไป ยิ่งถ้าได้มาดูกาย ดูจิต ตามแนววิปัสสนาจะได้บุญมาก ถ้าประกอบกับการแผ่เมตตาชั่วพริบตา ก็ได้กุศลมากกว่าสร้างเจดีย์ทอง7 ชั้นถวายให้พระศาสนานะครับ
    (ถ้าใช้ ไอ อี จะเข้ามาโพสไม่ได้ ได้แต่นั่งดูสาวๆเขาคุยกัน)
    --คนบ้าไล่ทำร้าย ทำอนาจารสาวๆยามดึก ยังลอยนวล
    -ฝรั่งแพร่คลิปเด็ด เด็กอายุ18 เอาเก้าอี้พลาสติกฟาดหน้าคนแก่ ทั้งๆที่ยกมือไหว้แล้ว หลังจากเตะถีบ จนสลบคาที่ เด็กอ้างว่า หญิงแก่เก็บนาฬิการาคาสองหมื่นได้ สอบถามก็ไม่ยอมรับ ลงยูทิ้วบ์ไปทั่วโลกแล้ว....
    ตำรวจบอกถ้าไม่แจ้งความ ตำรวจจะแจ้งเอง และเป็นคดีอาญาแผ่นดิน ฐานทำร้ายร่างกาย ยอมความกันไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  4. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เดี๋ยวจะนำรูปของใกล้ตัว เป็นมีดหมอลงอาคม แบบว่าจะใช้ทีต้องไหว้ท่วมหัวก่อน เพราะมีทั้งเจ้า และเทพเคยใช้มีดเล่มนี้ลงอักขระ-ทำพิธีต่างๆมาก่อนเรา

    มาแล้วครับ นี่แหละครับ มีดหมอ ตีมาในรูปแบบที่คุ้นตา คือมีดเหน็บ หรืออีเหน็บของไทย แต่ย่อส่วนมา ซึ่งน่าทึ่งว่าสันมีดหนามาก จนนำไปฟันไม้ได้สบาย มีเรื่องเล่าในหลายๆเชื้อชาติว่า มีดดาบบางเล่ม ชักออกมาต้องได้ดื่มเลือด เป็นอาถรรพณ์ หรือมีดดาบผีสิงไปแล้วครับ

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    หลังจากไปชมมีดหลายๆที่(ในเว็ป) ก็ต้องหักห้ามใจอย่างสูง เพราะราคาแค่ 250-400 บาทเอง แต่จะต้องซื้อได้เดือนละหนึ่งเล่มเท่านั้นเองครับ เพราะทุนยังไม่มีครับ ดูๆแล้ว จีนเค้าทำของก๊อปออกมาได้ดีทุกอย่าง ซึ่งเราไม่อาจจะทำกำไรจากตรงนีได้ แต่จะได้ตรงพวกมีดสั่งทำ หรือช่างพื้นบ้านที่ตีสวยๆ และมีรูปแบบที่ดี ก็อาจจะเลือกได้สักเจ้านึง อาจจะเป็นที่ จ.เชียงรายก็ได้ มี2-3 แห่ง ทาง อ.พาน พะเยาแถวนี้ครับ แต่มีดของช่างเปี๊ยกเชียงใหม่ยอมรับเลยว่า ไม่ธรรมดาครับ

    --พบภาพวาดในจีน กษัตรย์สององค์ทำการรบกัน ในภาพใช้มีดดาบสั้นสองคม ใบใหญ่หน่อย
    --ต่อมามีการขุดพบมีดทั้งสองเลม ตัวด้ามยุ่ยผุพังหายไปหมด แต่เล่มหนึ่งไม่มีสนิมเกาะกิน ไม่มีรอยสึกหรือบิ่น อีกเล่มสนิมเพียบ
    --ได้ทำการทดลองความคม เทียบกับคัตเตอร์ โดยออกแรงกรีดเท่าๆกัน คัตเตอร์จะกรีดกระดาษได้ขาดประมาณ 5 แผ่น แต่มีดวิเศษอันนั้นสามรถกรีดได้ขาดถึง 30 แผ่น ราวๆนั้น มันยังคมขาววับดูน่าทึ่ง และน่าสงสัยว่า คนโบราณ นำเทคโนโลยี่นี้มาจากไหน หรืออาจจะมีมนุษย์ดาวอื่นทำมาให้ เพราะมนุษย์ยุคนี้ยังเทคโนโลยี่อาจจะไม่ถึงหรอกกระมัง

    --โพสครั้งหน้า พบกับ น้ำมนต์ศักสิทธิ์ที่ไร้คำตอบจากทางวิทยาศาสตร์ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  5. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ----ภาพสวยๆจากวารสาร เบลด ของอเมริกาครับ อันนี้ปี 2004 มีเทคนิคการชุบใบมีดออกสีฟ้าปีกแมงทับสวยมากๆเลยครับ (ผ่านความร้อน จะเกิดออกไซด์สีนี้ได้)

    สิ่งที่พกพาทุกวัน---EDC(Every Day Carry) เน้นต้องเล็ก น้ำหนักเบา ใช้สะดวก

    [​IMG]


    [​IMG]

    มีดที่มีตะขอที่หัว เอาไว้ตัดเอ็นสัตว์เวลาชำแหละครับ-- คนเราเป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัว เวลาคนล่าสัตว์ เราเรียกว่า กีฬา แต่สัตว์ล่าคน คือ ฆาตกรรม ความป่าเถื่อน ทุกวันนี้คนก็มาใช้อาวุธเหล่านี้มาฆ่ากันเอง
    (โอลิมปิดคราวนี้ รักษาความปลอดภัย โดยมีรถติดตั้งจรวดขีปนาวุธรอบๆงาน รู้สึกสมเพชและเศร้าใจจริงๆครับ ยิ่งข่าวว่าอิลลู เตรียมโลกพลาสติกไว้หมื่นใบ )โอลิมปิกหลายครั้ง มีการวางระเบิด ฆ่ากันตาย
    (เป้าหมายการก่อการร้ายและ ทั้งจากอิลลูมิเนติด้วย)
    ครบรอบที่ชาวนอร์เวย์ยิงเด็ก69 คนบนเกาะ มารอบนี้ชาวอเมริกันยิงกราดในโรงหนัง อาวุธทุกชนิดมีขายอย่างเสรี แต่จิตมนุษย์ไร้ความมีวุฒิภาวะ หรือขาดความเป็นมนุษย์ไปแล้ว--มือปืนจบปริญญาเอก

    ---ความเครียด ความเก็บกด ในการทำมาหากิน หาเงินทองมายาไส้-และอื่นๆ-- มันได้ระเบิดตัวเองออกมาเป็นปัญหาอาชญากรรมในสังคมที่แก้ไม่ตก ทั้งหายาพิษมาขายกันเอง คนใช้คนเป็นทาส โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า เงินตรา เป็นสิ่งจัดการแทนแบบเนียนๆ

    --ถึงแม้จะดูๆว่าเป็นอารยธรรม ความเจริญ แต่ว่าในแต่ละระดับ ตั้งแต่ระดับประเทศ ก็มีการหลอกลวง การครอบงำ การกินกันเอง จึงมีคำว่า "สัตว์เศรษฐกิจ" เกิดขึ้น ยิ่งปัจจุบัน ทฤษฎีต่างๆแก้ปัญหาเศรษกิจปัจจุบันไม่ได้ มีทั้งเงินเฟ้อและฝีดพร้อมๆกัน โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ โลกเราต้องใช้เวลา เงิน และคนมากมาย เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจากภัยธรรมชาติ อย่างไม่รู้สิ้นสุด แต่มีสิ่งหนึ่งได้เกิดขึ้นอย่างงดงาม คือมนุษยธรรม และน้ำใจครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2012
  6. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เรื่องลี้ลับ ไร้คำอธิบาย -บางท่านอาจจะอ่านแล้วจาก คู้สร้าง-คู่สมครับ
    วัดตูม อยุธยา เป็นวัดโบราณ สร้างขึ้นมาก่อนอยุธยาเป็นราชธานีเสียอีก
    --เคยเป็นวัดร้างเมื่อคราวเสียกรุงปี 2310 ต่อมาได้รับการบุรณะเมื่อสมัยรัชกาลที่1 ในสมัย ร.2 ก็มีการบูรณะเช่นกัน เดิมพระท่านใช้ทำพิธีนั่งปรก ในการลงของเครื่องอาวุธในพิธีพิชัยสงคราม ซึ่ง สมัย กรุงเทพเป็นราชธานี ก็มาทำพิธีนี้ที่นี่ด้วย มีธงพระกระบี่ธุช คือธงรวมของธงไชยเฉลิมพล ซึ่งจะมียันต์พิเศษสีขาวเย็บซ่อนไว้ สำหรับจอมทัพย์ มีการสร้างพระกระบี่ครุฑพ่าห์น้อยขึ้นด้วย
    ---ต่อมาในสมัยรัชกาลที่4 และ5 ได้เป็นพระอารามหลวง
    --ในอุโบสถ มีพระพุทธรูปคือ หลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์ ซึ่งรอดพ้นการถูกทำลายสมัยเสียกรุงครั้งที่สองมาอย่างอัศจรรย์
    --เป็นพระที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ของไทย และคงมีองค์เดียวในโลก ที่ตรงเหนือพระนลาฎนั้นถอดได้ และถ้าปิดไว้ตามเดิมก็จะไม่เห็นรอยต่อ


    --ภายในพระเศียรจะเป็นบ่อกว้างลึกลงไปเกือบถึงพระศอ จะมีน้ำซึมออกมาเหมือนหยาดเหงื่อ และเป้นอย่างนี้มาเป็นร้อยปีแล้ว ไม่เคยมีวันแห้ง แม้จะใช้สำลีเช็ดออกให้แห้ง ก็จะมีซึมออกมาเหมือนเดิม เป็นน้ำใสบริสุทธิ์ ไม่เป็นพิษภัยต่อร่างกาย

    --การค้นพบนี้เกิดในสมัย พระอธิการชุ่ม เป็นเจ้าอาวาส ดโยมีนสยคง ชาวอำเภอบางบาล ซึ่งเป็นคนวิกลจริต ผ้าผ่อนไม่นุ่ง ได้พเนจรมาถึงวัดนี้ และอาศัยอยู่มานาน วันหนึ่งนายคงได้โอกาสปลอดคน ได้เข้าไปในอุโบสถ แล้วขึ้นนั่งคร่อมบนบ่าพระพุทธรูปองค์นี้ แล้วเอามือจับยอดพระเศียรโยกไปมาจนยอดพระเศียรหลุดออกมา เห็นภายในพระเศียรเต็มไปด้วยน้ำบริสุทธิ์น่ากิน นายคงจึงเอามือวักน้ำขึ้นมาดื่มกิน

    ----ผลจากการดื่มน้ำนี้ ทำให้นายคงหายวิกลจริตในทันที

    --มองเห็นสภาพตัวเองรู้สึกทุเรศมาก จึงไปขอผ้าจากพระในวัดมานุ่ง พร้อมเล่าเรื่องให้ท่านฟัง

    --ความทราบถึงเจ้าอาวาส ซึ่งท่านรู้เรื่องทางบ้านนายคงดีอยู่แล้ว จึงเรียกตัวมาถาม นายคงก็ตอบถูกทุกอย่าง จึงแน่ใจว่านายคงหายจากวิกลจริตอย่างแน่นอน

    -แม้ว่าจะไม่มีสื่อต่างๆ แต่ข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว และยังมีเหตุการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ที่ชาวบ้านได้รับรู้และนำมาเล่ากันมากมายเหลือที่จะจดจำได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2012
  7. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ----ประหลาดดีใช่ไหมครับ ทีนี้เรามาวิเคราะห์ตามหลักวิทยาศาสตร์ สาขาควอนตั้มฟิสิกส์ เอ่อ...คงไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ เอาแค่วิทย์พื้นฐานกับหลักแห่งตรรกะ หรือลอจิค ตามหลักเหตุและผล


    ---ถ้าผมไปหาช่างหล่อพระ สั่งทำพระพุทธรูป ที่เศียรถอดได้ และต้องมีน้ำเกิดขึ้นได้ แบบนี้ แน่นอนว่า ช่างก็คงทำไม่ได้


    ---ดังนั้นเป็นเรื่องของความปาฏิหารย์ หลังจากการหล่อแล้ว ก็... แล้วใครจะไปรู้ว่า นานไปจะมีน้ำมนต์เกิดขึ้น จนต้องทำเป็นบ่อน้อยๆเอาไว้

    ---สรุปว่า ผู้สร้าง รู้ก่อนสร้างว่า จะเกิดมีน้ำขึ้นมาในองค์พระ จึงสร้างมาแบบนั้น


    ----ขอพูดชัดๆเลย ขอบอกว่า ผู้สร้างท่านต้องการแสดง พลัง ความรู้ ศาสตร์และศิลป์ทุกอย่างที่ได้นำมารวมกันเป็นพระองค์นี้ ถ้าเป็นเทคโนโลยี่ทางจิต หรือพลังลี้ลับ ขอบบอกว่า มนุษย์ปัจจุบัน ยังตามท่านนี้ไม่เห็นฝุ่น หรือเป็นเทวดาดลใจ เข้าฝันให้สร้าง และน้ำมนต์ที่เกิดขึ้น ก็ด้วยพลังของเทวดา และผู้สร้างอาจเป็นพระสงฆ์ก็ได้


    ---สร้างด้วยความคิด ต้องเป็นความคิดของคนๆเดียว และคนนี้ต้องมีพลังจิต และวิชชาที่ทำอย่างนี้ได้ คือตั้งปรารถนาแล้วจะเป็นไปอย่างนั้น แบบเดียวกับท่านพระร่วง


    --และคนๆนี้มีอำนาจ มีทรัพย์ดั่งกษัตริย์ สั่งระดมทีมงาน ให้ลงมือก่อสร้างในทันที (ไม่ทราบว่า เป็นพระปูนหรือทองเหลือง) และอง์พระได้ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงาม สมัยนั้นอาจเป็นยุคสุโขทัย เพราะตรงนี้คือเมืองๆหนึ่งในยุคโบราณ


    --ดูจากการสร้างน่าจะเป็นพระปูน องค์พระสามารถดูดความชื้นและกลั่นตัวเป็นน้ำขึ้นได้ อะไรแบบนั้น นี่คือการคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์


    ---ท่านครับ เราใช้ปูนขาว และปูนซีเมนต์ก่อสร้างบ้านกันมาเยอะแยะ มีที่ไหนบ้างสามรถดูดน้ำจากอากาศมาเป็นลิตรๆได้บ้างไหม มีเทคนิคการก่อสร้างยังไงถึงรู้ว่าจะได้น้ำออกมา


    --เห็นมีแต่แก้วน้ำที่ใส่น้ำแข็งเท่านั้นที่มีไอน้ำมาเกาะมากจนกลายเป็นหยดน้ำ สรุปแล้ว เรื่องนี้วิทยาศาสตร์ไม่มีคำตอบ สรุปได้เลย(ผมก็เรียนจบมาทางวิทย์)


    --ทางด้านไสยศาสตร์ จิตศาสตร์ เป็นเรื่องพลังจิตอันน่าอัศจรรย์

    --ถ้่าคนเรากินน้ำหนึ่งแก้วแล้วหายบ้าได้ นายคงก็หายไปตั้งนานแล้ว --นี่ก็มหัศจรรย์

    --แล้วใครกันที่ดลใจให้นายคงเข้าไปถอดเศียรโมฬีพระพุทธรูปท่านออก ก็เทวดาสิครับ ถามได้

    --สรุปแล้วนักวิทยาศาสตร์ ไม่ควรมาให้เหตุผลใดๆในเรื่องนี้ เพราะจะหน้าแตก วิ่งกลับบ้านไม่ทันครับ

    --เมืองไทยมหัศจรรย์ครับ ขอบอกในนาทีนี้ว่า ผมดีใจที่เกิดมาเป็นคนไทย และได้รับทราบเรื่องเหล่านี้ ท่านผู้อ่านรู้สึกยังไงบ้าง ดีใจเหมือนผมไหมครับ

    --- " ทุกครั้งที่ไม่สบายใจ ขอให้พร่ำบ่นแต่ คำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ" เป็นเสียงที่คุณศรีเพ็ญ ได้ยินมาจากในสมาธิ น่าจะเป็นเสียงเทพเทวดาท่านบอกมา

    --ดินแดนไทยเป็นแผ่นดินทองของพระพุทธศาสนา และจะมีเมืองไทยตลอดไป ยืนหยัดอยู่คู่กับโลกนี้ครับ

    ขอให้ถึง นิพพานนะปัจจะโย โหตุ ทุกท่านครับ ธรรมมะสวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2012
  8. suchartmart

    suchartmart สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    z

    :boo:
    แต่งเรื่องได้สุดยอดอะ
     
  9. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เกือบไม่ได้เจอกันแล้วครับ เอาตังไปจ่ายค่าเน็ต แต่ทางเค้าบอกว่าเราค้างทั้งหมด 3 งวด และไม่ยอมต่อเน็ตให้ครับ ยังดีที่ลูกสาวมานั่งไล่หมายเลขใบเสร็จให้จนครบครับ[​IMG]
    "กิ๊ก วารุณี" จนจริงหรือต้มคนดู?

    แจ้งเกิดจากการร้องเพลง What's Up (What's Going On) ในรอบออดิชั่นรายการ ไทยแลนด์ ก็อต ทาเลนท์ ซีซั่น 2 ทั้งพลังเสียงและเรื่องราวชีวิตสร้างความประทับใจคนดูจนต้องส่งต่อ แต่สืบไปสืบมากลับเจอข้อมูลที่ไม่ค่อยตรงกับที่เธอบอก เพราะเธอเคยเที่ยวเมืองนอกและเป็นนักร้องอาชีพ
    อ่านเพิ่ม »


    "กิ๊ก วารุณี" จนจริงหรือต้มคนดู?

    [​IMG]ภาพ © มติชนออนไลน์
    แจ้งเกิดจากการร้องเพลง What's Up (What's Going On) ในรอบออดิชั่นรายการ ไทยแลนด์ ก็อต ทาเลนท์ ซีซั่น 2 ทั้งพลังเสียงและเรื่องราวชีวิตสร้างความประทับใจคนดูจนต้องส่งต่อ แต่สืบไปสืบมากลับเจอข้อมูลที่ไม่ค่อยตรงกับที่เธอบอก เพราะเธอเคยเที่ยวเมืองนอกและเป็นนักร้องอาชีพ
    กิ๊ก-วารุณี ชื่อนี้ถูกบอกเล่าและส่งต่ออย่างรวดเร็วในสังคมออนไลน์ หลังเธอได้ร้องเพลง What's Up (What's Going On) ในรอบออดิชั่นรายการ ไทยแลนด์ ก็อต ทาเลนท์ ซีซั่น 2 ด้วยพลังและสำเนียงการร้องเทียบเคียงต้นฉบับ รวมถึงเรื่องราวชีวิตที่ดูน่าสงสารทำให้คนต่างชื่นชอบและเห็นใจเธอ ถ้าจะบอกว่าดังแค่ข้ามคืนคงไม่แปลกนัก จนทำให้หลายคนอยากรู้ชีวิตของเธอมากขึ้นจนได้ตามสืบเรื่องราวต่างๆ แต่สืบไปสืบมากลับเจอข้อมูลที่ทำให้หลายคนเหมือนโดนตบหน้าเกิดความสงสัยเพราะเธอเป็นนักร้องอาชีพในผับชื่อดังที่ส่วนใหญ่มีเฉพาะชาวต่างชาติและยังเจอรูปเธอถ่ายคู่กับหิมะอีกด้วย หรือว่าเราจะถูกต้ม?
    พอมีข่าวนี้แพร่ออกไป กิ๊ก-วารุณี ก็ได้ออกมาตอบทุกคำถามหมดเปลือกผ่านรายการเจาะข่าวเด่น เธอกล่าวว่า เธอมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน จบแค่ชั้นม.6 จริงเพื่อเสียสละให้น้องได้เรียน เนื่องจากฐานะทางบ้านยากจน เมื่อโตขึ้นมาได้สมัครเป็นนักร้องตามสถานบันเทิง ต้องเกะเพลงร้องเองเป็นอาทิตย์ เคยมีสามีเป็นชาวมาเลเซียแต่ปัจจุบันเลิกกันไปแล้ว ส่วนเรื่องรูปถ่ายคู่หิมะ เธอยอมรับว่าเคยไปเที่ยวยุโรปมาก่อน และตอนนี้กำลังคบหากับแฟนชาวเดนมาร์ก
    ที่มา: มติชนออนไลน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2012
  10. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_889162 class=t_msgfont>ดูของสวยๆ คนสวยๆ ให้นึกว่า อีกไม่นานก็แก่... และ...สลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟไป

    http://www.sbt.co.th/DetailColumnHotNews.php?id=NzM5Mg==
    (ไม่เอารูปให้เพราะมันโป๊นิดๆอ่านะ)

    ผู้หญิงคนที่เอามาให้ดูน่ะ ชาติก่อนเธอคงทำบุญไว้ดี ชาตินี้เกิดมาไม่ลำบาก

    คนที่ออกแบบชุด--คอสตูม ดีไซนเน่อร์(คนออกแบบเครื่องแต่งกาย)- เค้าเก่ง เพราะแต่งออกมาแล้ว เหมือน เธอเป็นภ่พวาด หรือเจ้าหญิงในนิยาย (เอ๊ะ-ทำไมเราต้องนุ่งผ้า --ไม่เป็นธรรมชาติเลย อืม เว้นไว้สักอย่างละกัน--ไม่มีความเห็นครับ เรื่องมันยาว)

    --เอ ทำไมคุณเจษชอบพูดฝาหรั่ง--- อ่อ ต้อนรับประชาชาติอาเซี่ยนอะดิ(บองสรัลเนียน--พี่รักน้อง--ภาษาเขมร) จำไว้นะครับ ถ้าเกิดความสกปรกเมื่อไหร่ เราต้องใช้" บิ๊กคลีนนิ่งเดย์ " (วันทำความสะอาดครั้งใหญ่) และเป็นเพราะว่า ทูเก๊ทเต้อร์ วี แคน (รวมกันเราทำได้--ไม่ใช่ "รวมกันเราเก็บกระป๋องขาย"--) สำนวนคุณชาย เชื้อเจ้าแท้ๆ


    ต่อไปจะวิปลาสขนาดไหนคนเรา ตอนนี้รายการต่างๆต้องหาคำฝรั่งมาตั้งชื่อเลย ผมเองก็ต้องคอยแปลให้ลูกเมียฟัง เซ็งห่าน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_889163 class=t_msgfont>มื่อวานเกือบถูกมอเตอร์ไซค์ชนด้านข้าง คือรถเราก็เลี้ยวไป เค้าก็มาด้านข้าง เราไม่ผิดเพราะเขาฝ่าไฟแดงมา ใส่เสื้อสีดำ กางเกงเหมือนตำราจ หรือผู้คุม บีบแตรด่าล้วก็ยังเฉย วิ่งแน่บไปไม่มองใคร ทีนี้ก็มีรถปิคอัพอีกคัน ก็บีบแตร และฝ่าไฟแดงอีกเช่นกันเช่นกัน มีผู้หญิงขับรถตามเรามา เขาก็ตะโกนบอกเราว่า คนบีบแตรด่ากันลั่นถนนหมด เค้าว่าเป็นอันตรายมาก เพราะเราขับมาดีๆ อาจถูกชนตายได้ ตำรวจเหรอ เป็นปีๆถึงจะเห็นสักครั้ง ย้ำ กลางเมืองเชียงรายเลยครับ

    ---นึกไปนึกมา คนแรก เจตนาฝ่าไฟแดง และรถอีกคันไม่ได้วิ่งตามด้วยความเผลอ แต่พวกเขาเจตนาฝ่าไฟแดงกัน คือคันหนึ่งหลบหนี และอีกคันไล่ล่าครับ ดูน่าจะเป็นเช่นนั้น ในนาทีนั้นนึกไม่ออกครับ ดีที่เราเลี้ยวพ้นก่อน ถ้าเลี้ยวช้าก็ถูกชนแน่ แต่มอไซค์เขาพยายามจะไม่ชนใคร เพราะจะทำให้หนีรถคันนั้นไม่พ้น
    ----------------------------------------------------------------------
    ---การศึกษาเรื่องมีดเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกันครับ ลองสังเกตมีดพับ เขาจะลับเอียงไปด้านนึง และ ทำคมอีกขั้น ก็เอียงไปด้านเดิม เป็นแบบคมกรรไกร แต่มีดทุกอย่างเขาจะเอียงสองด้าน และเท่าๆกันด้วย บ้านเพื่อนใช้มีดของนอก คือ เกอลาช คม แหลม และใหญ่ สันหนา เรียกว่าเอามาดัดแปลงเป็นมีดเดินป่าก็ยังได้ โดนการเจียรฝนเป็นรูปร่างใหม่ งานแบบนี้เรียกว่างานรีดเย็น หรือ โคลด์สตีล งานที่มีการเผาเหล็ก ตีเหล็ก เรียกว่า งานรีดร้อน ครับ---มีดตามห้างตอนนี้ ก็มี ยี่ห้อแรดครับ ไรโน กับยี่ห้อเพนกวิ้น เห็นบางๆ ก็ทำขายทั่วโลก คิดว่าของไทยแน่ๆ เพราะมีขายตามตลาดนัดทั่วไป (อรัญญิก ก็ดังไปทั่วโลกเหมือนกันฉ ทราบไหมครับว่าสบูตรานกแก้ว ผลิตได้วันละ5-6 แสนก้อน เพื่อคลาดในประเทศ และยาสมุนไพร-- อาหารเสริมของไทย จะต้องตั้งท่าสู้กับยาสมุนไพรจีน เนื่องจากกรณีอาเชี่ยน และมีสินค้าอีกหลายอย่าง เช่น เหล้า บุหรี่ ที่ยักษ์ใหญ่ตะวันตก จะแกล้งระบุว่ามาผลิตที่สิงคโปร์เพื่อหลบเลี่ยงภาษี

    ---เครื่องตรวจทุ่นระเบิดกำลังโดนปปช.ตรวจสอบ--เรื่องดำเนินการซื้อแบบมีเลสนัย รัฐสูญเงิน 300 ล้านบาทไปแล้ว ถ้าข้าราชการเห็นแก่ส่วนรวมแบบชาติอื่น ประเทศไทยจะร่ำรวย และรวยมาตั้งนานแล้วด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2012
  11. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE id=pid895428 cellSpacing=0 summary=pid895428 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=postcontent><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_895428 class=t_msgfont>-ครับ เกือบไม่ได้เจอกันแล้ว ไปจ่ายค่าเน็ต แต่ทางบริษัทก็บอกว่าค้างอีกสองงวด เหมือนที่เคยบอกมาเดือนก่อน ต้องให้ลูกสาวช่วยดูใบเสร็จ ตัวหนังสือเล็กมาก แถทพนักงานใส่กระดาษเอียง ตัวเลขก็ได้ไม่ครบครับ-- ยังไงก็จะพยายามโพสครับ
    --- ดาบซามูไร เฉพาะส่วนปลาย ก๋มีมีดหลายอย่างเลียนแบบ เช่นมีดพับ เรียกว่าปลาย "ทันโตะ"Tanto ทันโตะหมายถึงซามูไรสั้น ที่ซามูไรนิยมพกติดตัว เอาไว้ทำร้ายตัวเองก้ได้(คว้านท้อง) เมื่อวานไปเห็นกรรไกรของเพื่อน มันด้ามแตกไปแล้ว ไม่ทราบเขาทิ้งไปหรือยัง นำมาทำมีดได้ครับ หาตะไบมาสักด้ามแล้วก็ฝนๆมัน จะให้เร็วก็ใช้หินที่ติดมอเตอร์

    ---ดาบคาตาน่ามีหลายแบบ ของนินจาจะเป็นเหล็กตรงๆ ไม่อ่อนช้อยหรือโค้งสวยงาม ราคามีตั้งแต่พันถึงหลายหมื่น หลายแสน ถ้าตั้งโชว์จะซื้อของแพงไปทำไม ไม่ใด้ใช้ บางรุ่นยังไม่มีคมด้วยซ้ำไป--ต้องดูหนัง คิล บิล ครับ นางเอกใช้ดาบได้เก่งมาก พวกดาราจีน เช่น ซาง ซิยี่ ก็เก่งสุดๆครับ

    ---บางคนบอกว่า มีชาวญี่ปุ่นมาตีดาบให้ไทย และร่วมรบด้วย คือพวกของออกญาเสนาภิมุข นึกภาพแล้วโอเคเลยครับ ดาบบางๆอย่างคาตาน่า คนไปยืนเหยียบก็ไม่หัก เพราะใช้เหล็กอ่อนและเข็งมาประกบดกัน แล้วตีพับ 14 ครั้ง พับไปมาครับ ทำสำเร็จก็มีวิธีลับ และลับอยู่เสมอๆ -รักเท่าชีวิตครับ(ความรักดาบของผู้ชายมันพูดยาก มันเป็นมาหลายๆชาติแบบลึกซึ้ง ส่งผลมายังชาตินี้ของผมด้วย) ในราชสำนักเกาหลี ผู้หญิงจะมีมีดพกติดตัว ทำด้วยเงิน(ปลอกมันมั้ง)-- เงินเป็นสนิมง่าย ส่วนทองไม่ค่อยมีสนิม บางท่านบอกว่าทองมี แต่อ๊อกไซด์ของมันเป็นผิวแข็งและใส ทำให้ผิวทองสุกปลั่งตลอดเวลาครับ
    --ใบมีดก็มีหลายอย่างเช่นหินแก้ว เซรามิค ปอกผลไม้แล้วไม่ดำ และมีพวกโลหะผสมเอามาทำมีดใหญ่ๆ

    --คุณณัฐเชื่อไหมว่าเข้าป่ามีมีดพับใบยาวสามนิ้ว(6-7นิ้วก็มี) ผ่าฟืน สับหมู สับไก่ หั่นผักได้ มันคมมากๆ ราคาราว 300-400ก็ว่ามีไม่แพงนะ ตอนนี้จีนกำลังดังเลยทำยี่ห้อเอง คือซานเร็นมู ซึ่งแตกยี่ห้อมาเป็น อีแลนกับ บี ส่วน แลนด์ก็น่าเล่น คิดดูมีดเล็กนิดเดียวเอามาผ่าฟืนได้--โดยใช้ไม้ตีที่สัน ถ้าเหล็กเปราะ จะหักทันทีและจะบิ่นเสียคมถ้าเจอตาไม้ มีดบางรุ่นมีไฟฉายจิ๋ว โอพระเจ้าจ๊อด มันยอดมาก

    --มีดบางรุ่น เช่นของฝรั่ง ใบยาวสองนิ้วเอง กระทัดรัดหากพับเป็นพวงกุญแจ และอาจใช้จะในวินาทีที่ต้องนำมาตัดเข็มขัดนิรภัย ในกรณีรถอยู่ในคลอง หรือรถคว่ำไปแล้ว เรื่องแบบนี้ฝรั่งคิดรอบคอบ บางรุ่นก็มีมีดตะขอเอาไว้ตัดสายพวกนี้โดยตรง--ตัดเชือก--ลวดสลิงได้-- หรือเป็นมีดที่มีกรรไกร ไขควง คืม ต้นแบบคือมีดพับสวิส ยี่ห้อ วิคตอรี่น็อกซ์ แต่ใบไม่สวย เล็กนิดเดียว บางด้วย

    --ศึกษาไว้ก็ดีครับ อย่างที่ช่างแขกเขาว่า ให้รู้จักวิธีใช้ มีใกล้ๆตัว และเราจะได้สังเกตลักษณะของคนร้ายที่ถือมีดเล็บเหยี่ยว-คารับบิทซ่อนมาเพื่อจะกรีดข้อมือของคุณ ถ้าคุณคุ้นกับการใช้มีด จะรู้ได้ในทันที แบบเดียวกับการเห็นคนเอาปืนทุบกระจก หรือยิงต่อสู้ ผู้ชำนาญเขาจะทราบทันทีว่าคนๆนั้นผ่านหลักสูตรการฝึกมาหรือไม่ ถ้ากำฟาดกระจก นีั่นคือแบบบ้านๆ คนที่ฝึกมาจะหันหลังแล้วใช้ส่วนท้ายปืนกระแทกกระจกนะครับ

    ---ที่อินเดียมีเสาเหล็กอยู่ต้นหนึ่ง ไม่เป็นสนิม ไม่ใช่เป็นแสตนเลสหรอกครับ เป็นแร่เหล็กล้วนๆ ที่ไม่มีกำมะถัน คาร์บอนหรือธาตุอื่นผสมอยู่ จึงไม่เกิดเป็นสนิมเลย ก็ไม่รู้ว่าคนโบราณทำได้อย่างไร เพราะอายุมันน่าจะเป็นพันๆปี มีทางเดียวที่สกัดโลหะได้บริสุทธิ์ คือการแยกด้วยไฟฟ้าครับ แบบเดียวกับดินเหนียวท้องนา ที่มีแต่อลูมินั่มออกไซด์ การแยกอลูมิเนียมออกมาก็ใช้ไฟฟ้าสกัดมันออกมาเท่านั้น
    --ต้นประวัติศาตร์ของมนุษย์ คิดทำมีด หอก ดาบ เพราะป้องกันตัวขากสัตว์ที่มีเขี้ยวเล็บประจำกาย คนอิจฉามัน ก็เลยทำขึ้นมาป้องกันตัวมั่ง น่าดีใจที่คนเรามีแขน-ขา มือ และใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างยอดเยี่ยม
    --เคยเห็นคลิปที่คนฟันดาบซามูไรโดนลูกปัดพลาสติดที่เป็นกระสุนปืนอัดลมไหมครับ ฟันได้โดยไม่ต้องมอง เรียกว่าใช้จิต หรือ ญาณ หรือตาที่สามมอง และฟันถูกด้วย อย่างนี้ต้องตัดปีกแมลงวันได้แน่

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    มีดที่ว่า 3-400 บาทนั่นคือของก็อปของจีน--ของแท้ราคา4-6พันครับ ดูได้จากบางเว็ปครับ ยี่ห้อ แลงมุม สไปเดอร์โค ก็นิยมกัน--ที่บางทีซื้อลิขสิทธื์มา เช่น โบเก้อร์ สมิธแอนด์เวสสัน -เอ๊ะนี่ยี่ห้อปืนนี่ ใช่ครับ บริษัทเดียวกัน

    --ผมเล็งๆอยู่หลายอัน บางทีก็ต้องตัดใจซื้อโบวีไทยก่อน เพราะจะต้องนำมามดสอบแล้วขายขึ้นเว็ปครับ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=n9EZ9RomoIc"]http://www.youtube.com/watch?v=n9EZ9RomoIc[/ame] ---มีดทำครัวยี่ห้อดังของญี่ปุ่น

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=kTVIDN5pdt4"]http://www.youtube.com/watch?v=kTVIDN5pdt4[/ame] ไทยทดสอบ


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=8FAX_bullhA"]http://www.youtube.com/watch?v=8FAX_bullhA[/ame] ไทยทดสอบ



    </TD></TR><TR><TD class=postcontent vAlign=bottom>

    </TD></TR><TR><TD class=postauthor></TD><TD class=postcontent>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2012
  12. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    มหัศจรรย์ไทยแลนด์บางสิ่งพิสูจน์ไม่ได้แต่ภูมิใจไทยทำ
    และน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนโครงสร้างได้เมื่อน้ำที่เราได้นำมาสวดมนต์
    แต่ถ้าน้ำที่เรากำลังกินเราด่าๆๆบ่นๆๆเรากินเข้าไปกลับกลายเป็นพิษแปลกจริงๆ---Rainbow

    --ใช่แล้วครับ คำพูด พลังจิต หรือแม้แต่ตัวหนังสือที่เราทำให้น้ำมันได้"เห็น" ก็จะเปลี่ยนโครงสร้างของน้ำได้ เห็นได้ชัดๆ โดยเอาไปใส่ช่องแช่แข็ง น้ำที่ดีจะเป็นผลึกสวยงามครับ

    ---ข่าวด่วน สำหรับแฟนคลับที่อยู่เขตน้ำท่วมครับ เมื่อบ่ายนี้กุมารมาครับ-- คือเค้าชอบเล้นน้ำ --ถ้าเราซักผ้าก็จะมาช่วยเจ๊าะแจ๊ะน่ะครับ เราก็พูดว่า น้ำจะท่วมไหมปีนี้ เค้าบอกว่าเค้าเห็นล่วงหน้าแล้ว ว่าจะท่วม และท่วมมากกว่าเดิมครับ ต่อมาเทพท่านก็ผ่านมาอีก ท่านว่ากุมารพูดจริง เพราะเห็นอนาคตมาแล้ว หมอดู อีที น่ะไม่แม่นหรอก กุมารก็บอกแบบนี้ สรุปแล้วงบสามหมื่นห้าพันล้านก็เปล่าประโยชน์เพราะจะต้องมีเขื่อนเล็กๆพังอีก "เอาไม่อยู่" คือคำพูดที่จะมาแก้ตัว และคณะกรรมการน้ำแตกความสามัคคี และลามไปจนถึงความเชื่อถือของรัฐบาล ไปจนถึงความเชื่อถือจากนานนาชาติม
    ---ล่าสุด จีนที่มีระบบป้องกัน แก้ไขดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อขบวนน้ำที่มากับพายุ(และก่อตัวมาอีกลูกนึง) ดังนั้นทุกคนไม่ควรใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง แต่อย่าลืมว่า ค่าชดเชยความเสียหายปีก่อนก็ไม่ได้รับอย่างเท่าเทียมกัน ปีนี้น้ำก็จะมาอีกแล้ว ทุกท่านโปรดระวัง ทุกชีวิตในประเทศเราก็ได้รับผลทางตรงและอ้อม ปัจจุบันนี้การส่งออกลดลงสี่แสนล้าน ก็ผลจากน้ำท่วมนี่แหละ เรื่องนี้ภรรยาผมที่นิมิตฝันเห็น น้ำท่วม จระเข้หลุด -พระศิวะสยายผมของท่าน เทพบอกว่าเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดต่อไปอีก ในระยะสามปีนี้ ส่วนเรื่องภาคใต้ก็รอดวงดาวร้ายๆจะหมดจากลัคนาประเทศ มันน่าจะใกล้หมดแล้วนะ เกิดขึ้นทุกวันปวดใจจริงๆ สงสารทหารครับ
    <STYLE type=text/css>.haor {background:url(http://cdn.palungjit.org/images/show/haor.gif) no-repeat left;width:45px;height:35px;text-align:center;float:left;margin-right:4px;cursor: default} .haor span { font-size:12px; font-weight:normal;height:24px; line-height:24px;} .tuid {background:url(http://cdn.palungjit.org/images/show/tuid.gif) no-repeat left;width:45px;height:35px;text-align:center;float:left;cursor: default} .tuid span { font-size:12px; font-weight:normal;height:24px; line-height:24px;} .ziz {background:url(http://cdn.palungjit.org/images/show/ziz.gif) no-repeat left;width:45px;height:35px;text-align:center;float:left;margin-right:4px;cursor: default} .ziz span { font-size:12px; font-weight:normal;height:24px; line-height:24px;} #zg11{border-bottom:1px solid #DCD9C9;} .zla {background: url(http://cdn.palungjit.org/images/show/zl1.png) no-repeat top left;} .zlb {background: url(http://cdn.palungjit.org/images/show/zl2.png) no-repeat bottom left;} .zlc { margin-left:5px; padding-bottom:10px;overflow:hidden;position:relative; width:170px} .yuyan { position:absolute; background: url(http://cdn.palungjit.org/images/show/yuyan.gif) no-repeat; width:11px; height:18px; margin-left:170px; margin-top:20px;}.user-pic {background: url(http://cdn.palungjit.org/images/show/qc.gif) no-repeat; width:160px; height:162px;} .STYLE3 {color: #0099FF}.STYLE8 {font-size: 11px}</STYLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2012
  13. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากมะพร้าวมีราคาแพง ถึงลูกละ25 บาท ปีนี้มะพร้าวราคาตก เหลือ ลูกละ3-4 บาทเท่านั้นครับ แทนที่บ.ผลิต กระทิกล่องจะดีใจ กลับบอกว่า ประเทศเราเศรษฐกิจจะลำบากอย่างไร แต่ไม่เคยขาดแคลนอาหารและปีนี้เป็นครั้งแรกที่ได้รับผลจากน้ำท่วม ทำให้การส่งออกลดลงอย่างมาก
    -สวยๆน่ารักกับ เบ๊นซ์ พรชิตา ภาพที่หาดูได้ยาก ไม่ใช่ภาพราดช็อกโกแล็ต(จากอิมเมจ) เอ ตรงอกส่วนนั้น จะร้อนไหมนะ เออ..อยากรู้ไปทำไมเค้าละนั่น มโน-วจีไม่บริสุทธิ์
    http://www.thairath.co.th/content/newspaper/279556
    --วิธีเซฟภาพไว้ดู คลิกขวาที่ภาพ เลือก save picture as ถ้าซ้ำกันให้เปลี่ยนชื่อภาพครับ ข่าวก่อนเรื่องนักร้องมีภาพนะครับ ต้องขออภัยที่เข้าเว็ปญาณทิพย์ไม่ได้(ในอีกฮาร์ดดิสก์) เลยเละเทะไปเลย

    --สำหรับ นายกปู 7 กันยาชี้ชะตาครับ 90 กว่าเปอร์เซนต์จะเด้ง และถ้าเจอน้องน้ำเที่ยวนี้และแก้อะไรไม่ได้
    นายกปูจะไม่ได้นั่งเก้าอี้อีกเลย

    --แต่นารีขี่ม้าขาวมาช่วยชาวไทยยังจะมีมาอีกหลายคน ตามดวงเมืองบอกว่าไม่ขาดแคลน และดวงเมืองไทย--คนสมัยก่อนนี้ผูกไว้กับทหาร ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความมั่นคงในตัวเอง คนโบราณท่านผูกดวงเมืองไว้อย่างนั้น ซึ่งจะดีเลวยังไงก็ต้องกอดคอกันไป ไม่ว่าเราจะชอบ หรือไม่ชอบ ชีวิตนี้ก็ต้องดำเนินต่อไป

    ---สำหรับคนซนๆ ที่ชอบมาถามว่า พ่อหลักเมืองคือใคร ก็คือคนธรรมดาครับ มีคนไปตะโกนถามตามบ้าน หา คนชื่อ อิน จัน มั่น คง ก็พาตัวมา ว่าจะทำพิธี ยืนปากหลุม พอถึงเวลา ก็ถีบลงหลุมเอาเสายักษ์ลงตาม ก็เป็นศพอยู่ในนั้น แต่บันทึกว่าเป็นงูเผือกสี่ตัว ถ้าไม่ทำเช่นนั้นพิธีต่างๆ ก็จะไร้ความหมาย ท่านเองยังบอกว่า "ไม่ว่าลูกจะเกิดอีกกี่ชาติก็ตาม ก็จะเจอพ่อในสภาพแบบนี้ คือไม่ได้เกิด
    เป็นมนุษย์อีกต่อไป"

    ----วิญญาณที่มีคนจุดธูปอธิษฐานขอความช่วยเหลือ จะมาเกิดอีกไม่ได้แล้ว อย่างกรณีของคุณพุ่มพวง ก็เป็นเทพ ระดับสเด็จแม่ มีสัตว์พาหนะคือนกแก้วตัวโตครับ ถรรยาเผลอไปเจอนกตัวนี้ในห้องน้ำในนิมิต ก็เลยตีกับมัน วุ่นไปหมดเลยผู้หญิงจอมแก่นนี้ เดี๋ยวนี้ตีกัน(เล่น)ทุกวัน โดยไม่ต้องคิดเลย คือสนิทกันมาก เหมือนกับเราตีแขนตัวเองอย่างนั้นแหละ ไม่ต้องกลัวเค้าจะโกรธให้มากความ แต่ถ้าทำตาโตๆ น่ากลัว ก็คือเจ้าแม่กาลีนะแหละครับ แล้วก็มีเทพอีกองค์ เป็นคนไทยโบราณ ไม่ทราบว่าใคร น่าจะเป็นเจ้าพ่อเขาใหญ่ ท่านเหล่านี้ชอบกิน น้ำพริกปลาร้า ผัดพริกแกงใส่หน่อไม้ดอง ซึ่งผมไม่ชอบเลยครับ

    --ต้นองุ่นคาดว่าตายแน่ 2 ต้นครับ เหลือต้นเดียว ส่วนหม่อน-- มีแต่ใบ--งามมาก สิ่งเดียวที่พอจะแก้หน้าได้ว่า เราปลูกต้นไม้เป็น ก็คือจิงจูฉ่าย แตกกติ่งแตกหน่อมากมาย เอาโน้มๆ ให้ต้นฝังดิน 7 วันก็ได้อีกต้นนึงครับ หวังว่าคงลงหม้อต้มเลือดหมูได้สักวัน มีฟักทอง ยังไม่สุกดี กับแพชชั่นฟรุท กะทกรกฝรั่ง ยังไม่ออกลูก-- ส่วนต้นตะไคร้ เป็นออเดริฟ ของสุนัขทุกวัน เป็นยาบำรุงของมันมั้ง ถ้ากินอาหารผิดแล้วมันจะอ้วกออกมา ข้อเสียของพวกมัน ก็คือ มันไม่กินของดีๆ เช่นไก่ย่างครับ และของหวานคือ ทองหยอด เม็ดขนุน ก็กินบ้างครับ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเทพท่านเสวย(กิน) และท่านก็ให้ทำแบบนี้ครับ

    -----ผมเองก็คงกินทองหยอดร้อยเม็ดไม่ไหวมังครับ เบาหวานขึ้นแน่ๆ นี่ก็นั่งทำใจกับยาเสพติดชนิดใหม่คือ ลำใย มีขายทุกซอกซอย แถมยังราคาถูก กก.ละ15 บาท ที่สวนมี 9 ต้น ยังไม่ได้ไปดูแลเลย สุดยอดลำใย ก็คือสีชมพู-- เม็ดเล็ก ไม่คาว รองลงมาคือ-- เบี้ยวเขียว


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2012
  14. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    --เรื่องจริงจากพลังจิตของหญิงคนหนึ่งครับ---------
    -ตอน : เวลาที่หายไป--เดลินิวส์
    วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 00:00 น.

    ----เรื่องที่ข้าพเจ้าจะได้เล่าให้ ฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคุณหมอท่านหนึ่ง ข้าพเจ้าขอสมมุติชื่อว่าคุณหมอ ช. ท่านเป็นนายแพทย์ทางด้านวิทยาศาสตร์แผนปัจจุบัน แต่ต่อมาในภายหลังท่านได้สนใจในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์แผนจีน เป็นผู้มีชื่อเสียงในเรื่องนี้ในระดับประเทศ

    ข้าพเจ้าได้มีโอกาสรู้จักและพบท่านครั้งแรก ตอนที่ท่านได้มาประชุมสัมมนาในจังหวัดเชียงใหม่ โดยคุณน้าของข้าพเจ้าสมมุติชื่อ คุณน้าศรี ที่ทำงานอยู่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ข้าพเจ้าได้สัมผัสท่านในฐานะเจ้านายของคุณน้าศรี และได้เตือนให้ระวังสุขภาพ เพราะมี “เงาดำ” ทาบทับร่างของท่านอยู่ อันแสดงว่าจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งท่านรับฟังแต่ไม่พูดอะไร ดูออกว่าท่านไม่เชื่อ ท่านถามว่าระยะเวลาประมาณเท่าไรจึงจะเกิด ข้าพเจ้าตอบไปว่า “ภายใน 6 เดือนนี้ค่อนข้างชัดเจนมาก”

    หลังจากนั้นท่านได้มาพบข้าพเจ้าได้แจ้งว่า ที่ข้าพเจ้าเกิด “ภาพนิมิต” นั้น “ตรงมาก” เพราะท่านมีอาการ “อัมพฤกษ์” เกิดขึ้นจริง และเมื่อเกิดอัมพฤกษ์ทำให้ท่านระมัดระวังตัวเองมากขึ้น พร้อมกับเล่าเรื่องแปลกประหลาดเกี่ยวกับ “เวลาที่หายไป” ของท่านให้ข้าพเจ้าฟังว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเป็น “สัญญาณบอกเหตุ” เกี่ยวกับอะไร

    รายละเอียดของเรื่องที่ท่านเล่ามีดังนี้คือ วันหนึ่งท่านได้เตรียมตัวจะไปเป็นเจ้าภาพงานสวดศพของคุณแม่ลูกน้อง ท่านอยู่บริเวณแถวอินทรารักษ์ ภายหลังเมื่อเสร็จพิธีแล้วประมาณ 3 ทุ่ม ท่านได้ขับรถและหลงทางวนเวียนอยู่บริเวณนั้น แต่เมื่อท่านถามทางผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งได้บอกทางให้ท่านเลี้ยวไปบริเวณซอยแยกข้างหน้า โดยระหว่างทางท่านเห็นภาพบริเวณที่ผ่านเป็นชุมชนกว้างใหญ่ มืดสลัวไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย ทั้งที่เป็นบริเวณชานเมือง ควรต้องมีคนอยู่บ้าง

    ท่านขับรถวนเวียนอยู่อย่างนั้นเกือบ 3-4 ชม. จนพบแสงสว่างและบ้านคน จึงรู้สึกโล่งใจเพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว เมื่อดูนาฬิกากลับพบว่าเป็นเวลาเกือบ “ตีหนึ่ง” แล้ว แต่เมื่อพ้นซอยขึ้นมาบนถนนได้เหลือบดูเวลาอีกครั้งหนึ่งกลับเป็นเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ท่านอธิบายต่อไปว่าความรู้สึกของท่านขณะนั้นตกใจมาก แต่คิดว่าคงดูเวลาผิด แต่ เวลาที่หายไปในการขับรถหลงทางอยู่ 3-4 ชม. นั้น มันเป็นอะไรและ ภาพบริเวณที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย เป็นที่รกร้าง โล่งกว้าง จนรู้สึก “วังเวง” อย่างบอกไม่ถูก

    ท่านสงสัยว่า ผู้ชายคนที่บอกทางนั้น เป็นคนที่มีตัวตนจริง หรือว่าวิญญาณ ที่มาช่วยบอกทางท่าน และ “เวลาที่หายไป” ในการขับรถวนเวียนใน “บริเวณที่ร้างว่างเปล่า” นั้นมันสื่อถึงอะไร เป็นสัญญาณเตือนอะไร เพราะหลังจากกลับบ้านนอนคืนนั้นตามปกติ เวลาประมาณตี 5 ท่านก็มีอาการไม่สบาย ขยับตัวไม่ได้จนต้องนำส่งสถาบันประสาทวิทยาและได้รักษาตัวจนสามารถเดินได้ กลับมาปฏิบัติราชการตามปกติ

    ข้าพเจ้าสัมผัสท่านแล้วตอบไปว่า “ผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่คน” แต่เป็น “ผู้ช่วยเหลือ” และ “เวลาที่หายไป” กับ ภาพที่เห็นในการหลงทางซึ่งเป็นภาพบริเวณที่ว่างรกร้างนั้น เสมือนเป็น “ลางบอกเหตุ” หรือ สัญญาณแห่งการสังหรณ์ เพื่อ เตือนภัย ท่านโชคดีมากที่ท่านสามารถผ่านภาวะความเป็นความตายมาได้ คงเป็นเพราะ ที่ท่านได้ สะสมบุญบารมีในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ทั้งทางตรงจาก วิชาชีพแพทย์ และทางอ้อมจาก ความเมตตาในนิสัยส่วนตัวของท่าน

    ดังนั้นท่านต้องไม่ประมาท ท่านเป็นคนดี สะสมบุญไว้มากจึงได้รอดพ้นมาได้ หากผู้ชายคนนั้นไม่บอกทางก็ไม่แน่ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของท่าน ท่านถามว่าให้มองไปในอนาคตว่า ท่านจะต้องระวังภัยเกี่ยวกับอะไร ข้าพเจ้าจึงเรียนท่านไปว่าในอนาคตภาพที่เห็นเป็นเสมือนท่านอยู่ท่ามกลางการ ประชุมอะไรสักอย่าง มีผู้คนรายล้อมแล้วท่านจะฟุบลงหมดสติ จึงขอให้ท่านอย่าประมาทให้ดูแลสุขภาพให้ดี เพราะภาพที่เห็นครั้งนี้เป็น “นิมิตซ้อนนิมิต” ที่ผูกพันกับ “เวลาที่หายไป” ของท่าน

    ท่านให้กำลังใจข้าพเจ้าด้วยการรับปากและแจ้งว่าจะดูแลตัวเอง อย่าลืมว่าตัวท่านเป็นแพทย์ และจะไม่ประมาท อย่างไรก็ตามข้าพเจ้ารู้สึกเป็นห่วงท่าน และได้ฝากความระลึกถึงท่านผ่าน “คุณน้าศรี” ตลอดเวลา แต่เพราะด้วยระยะหลังข้าพเจ้ามีกิจธุระส่วนตัวมากมายจนไม่มีเวลาในการ “เข้าสมาธิ” และต้องใช้เวลาในการดูแลผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง จนไม่มีเวลาทำนายแก่ผู้คนโดยทั่วไป จนกลายเป็นต้อง “ยุติการทำนายต่อบุคคลภายนอก” ไปโดยปริยาย

    นับจากวันนั้นผ่านมาหลายปี ข้าพเจ้าจึงได้รับข่าวเศร้าของท่านจาก “คุณน้าศรี” ว่า ท่านได้เสียชีวิตแล้ว เหตุเกิดจากการประชุมที่สถาบันการแพทย์ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้ว เหตุการณ์กะทันหันมากไม่สามารถช่วยเหลือกอบกู้ชีวิตท่านกลับมาได้ซึ่งตรงตาม คำทาย จาก “ภาพนิมิต” ของข้าพเจ้า
     
  15. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ตอน : รถชน
    วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 10:30 น.

    เรื่องที่ข้าพเจ้าจะได้เล่าต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับท่านอดีต รมต.นิกร จำนง ซึ่งข้าพเจ้าได้ขออนุญาตท่านในการเอ่ยนามของท่านไว้เรียบร้อยแล้ว

    ในช่วงระยะเวลาประมาณปี พ.ศ. 2531 ข้าพเจ้าไม่สามารถจำวันที่และเดือนได้แน่นอน ข้าพเจ้าได้พบกับ “น้องนิกร” ในขณะนั้น ที่บริเวณใต้ถุนรัฐสภาซึ่งมีบรรดาพวกพี่ ๆ น้อง ๆ นักข่าวสายการเมืองของหนังสือพิมพ์หลายฉบับจับกลุ่มคุยกันกับบรรดา ส.ส. ทั้งหญิงและชาย อันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างนักข่าวกับนักการเมืองในการหาข่าวซึ่งกันและกัน ที่เกิดเป็นประจำตามปกติ

    วันนั้นเป็นช่วงพักการประชุมข้าพเจ้าจึงได้ลงไปสังสรรค์คุยกันกับเพื่อน ส.ส. พี่ ๆ น้อง ๆ นักข่าว และเมื่อมีโอกาสพบกับท่าน รมต.นิกร จึงได้ทำการตรวจสอบดวงชะตาให้ท่านโดยมีวงล้อมของผู้ร่วมฟังเป็นจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นดูจะเป็น “เฮียเด็บ” นักข่าวอาวุโสทางการเมืองของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง

    ข้าพเจ้าได้ทำนายเรื่องอื่น ๆ หลายเรื่อง แต่มีที่น่าห่วงใยอยู่เรื่องหนึ่งคือ “ขอให้ระมัดระวังหรือยกเว้นการขับรถด้วยตัวเองภายใน 3 เดือนที่เด่นชัดคือ จะมีอุบัติเหตุรถชนในเวลากลางคืน ภายหลังพระอาทิตย์ตกดินแล้วห้ามเด็ดขาด เพราะเข้าบ้านแสงสว่างจ้าแล้วจะมีปัญหาหลังจากนั้น”

    ทุกคนที่อยู่ใน “วงล้อมการทำนายครั้งนั้น” มีหลายคนได้ยินพร้อมกัน บางคนเชื่อและบางคนไม่เชื่อ แต่ในนั้นเคยมีบางคนที่มีประสบการณ์จากการทำนายของข้าพเจ้ามาแล้ว จึงได้คุยย้ำเตือนให้ท่าน รมต.นิกร ซึ่งตอนนั้น (เป็นเวลาที่ผ่านมากว่า 25 ปีแล้ว) ท่านยังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดทางใต้ ยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรีเหมือนเช่นปัจจุบัน

    สำหรับท่านอดีตรัฐมนตรีนิกร จำนง กับท่านอดีตรัฐมนตรี สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นั้น ท่านทั้งสองเป็น ส.ส. ผู้ชายทั้งคู่ ซึ่งการใช้ชีวิตในเรื่องการเมืองนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับการงานที่เป็นความ บันเทิงเพื่อต้อนรับสังสรรค์กับบรรดาหัวคะแนน และชาวบ้านประชาชนในเขตเลือกตั้งของแต่ละท่าน

    ข้าพเจ้าทราบมาว่าทั้ง 2 รมต. ที่น่ารักสนใจด้านงานเพลงและดนตรี มีฝีมือเยี่ยม เล่นดนตรีเก่ง ร้องเพลงได้ไพเราะมาก ข้าพเจ้าจึงได้เตือนเบา ๆ ไปว่า ให้งดขับรถด้วยตนเอง และขอเพิ่มอีกด้วยว่า ต้องไม่ประมาทในการขับรถโดยหากงดเว้นการบันเทิงในระยะนี้ด้วยจะยิ่งดี เพราะจะทำให้ “นังแก่” อย่างข้าพเจ้าสบายใจไม่เป็นห่วงมาก

    แต่แล้วในที่สุดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและไม่อยากให้เกิดขึ้นก็ยังเกิดขึ้นจน ได้ เมื่อข้าพเจ้าได้รับข่าวแจ้งว่า “น้องนิกร” ได้ประสบอุบัติเหตุ “รถชน” ที่บริเวณหน้าสวนอาหาร “เจ้าจอม” แถวสวนจตุจักร (ปัจจุบันร้านอาหารแห่งนี้ไม่ได้เปิดดำเนินการแล้ว)

    สำหรับรายละเอียดการบาดเจ็บของร่างกายนั้นดูเหมือนว่า จะหนักพอสมควร โดยต้องใช้เวลาในการรักษาฟื้นฟูร่างกายนานทีเดียว เรื่องนี้ “เฮียเด็บ” ได้นำข่าวการทำนายของข้าพเจ้าไปลงเป็นคอลัมน์หนึ่งใน นสพ. ที่ “เฮียเด็บ” ทำงานอยู่ โดยมีรายละเอียดของการสัมภาษณ์น้องนิกรขณะที่นอนพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล โดยเนื้อข่าวได้บอกว่า “พี่ศิริพันธ์” ส.ส.หญิงจังหวัดร้อยเอ็ดได้ทำนายไว้ล่วงหน้าแล้ว และท่าน รมต.นิกร ท่านก็มิได้ประมาท ท่านขับรถด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง แต่ในขณะที่ขับรถออกมาจากร้านได้เห็นแสงสว่างจ้าแล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย เมื่อฟื้นขึ้นมาจึงได้รู้ว่าตนเองประสบอุบัติเหตุรถชน หลังจากนั้นท่านอดีต รมต.นิกร จำนง ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นร่างกายทั้งที่โรงพยาบาลและที่บ้านพักเป็นเวลานานพอ สมควร ซึ่งข้าพเจ้าเห็น
    ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ “โชคดีที่สุด” ที่ท่านปลอดภัยและพ้นอันตราย
    ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นเพราะท่านอดีต รมต.นิกร จำนง เป็นคนดี ทำแต่กรรมดี มีบุญบารมีแห่งความกตัญญูสูง จึงมีทั้ง “บุญเก่าและบุญใหม่” เข้ามาเสริม “ดวงชะตา” ของท่าน ให้ท่านรอดพ้นจากอันตรายจากการประสบอุบัติเหตุ “รถชน” ในครั้งนี้
    เรื่องราวการทำนายของข้าพเจ้า

    ในเรื่องของท่าน รมต.สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และท่าน รมต.นิกร จำนง นั้นรู้สึกว่าจะเป็นเรื่องที่ “โด่งดัง” ในหมู่ผู้แทนราษฎรกันมาก ทำให้ “เจ๊ตุ๊” กับฉายา “หมอดูประจำสภา” เริ่มกระจายแพร่หลายออกไป มีทั้ง ส.ส.หญิงและ ส.ส.ชาย รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐสภาสาว ๆ สวย ๆ น่ารักหลายคน เข้ามาคุยและมีโน้ตนัดขอให้ “ดู
    ดวง” ให้โดยเฉพาะ “ในรังนกกระจอก” จึงเป็นช่องที่ทางเจ้าหน้าที่สภาจัดเป็นช่องสำหรับใส่ เอกสาร จ.ม. ของ ส.ส.แต่ละท่าน โดยใน “ช่อง” ที่มีชื่อของข้าพเจ้าจึงมีเอกสารมากมายเพื่อขอเวลานัดพบในการทำนายดวงชะตา แม้กระทั่งเดินไป “ห้องกาแฟ” หรือ “ห้องน้ำ” หรือบริเวณใดบริเวณหนึ่งของรัฐสภาก็จะมีคนเข้ามาทักทาย พูดคุย เพื่อเจตนาอย่างเดียวกันคือ “ดูดวง” ทั้งนั้น

    อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ได้พูดคุยกับทุกคนที่เข้ามา “ดูดวง” นั้นด้วยย้ำให้เห็นถึงการกระทำด้วย “กรรมดี” อย่างต่อเนื่องยาวนาน จะมีผลอย่างยิ่งในดวงชะตา อันถือเป็น “การต่อบุญ” ที่สำคัญของบุคคลแต่ละคน เพราะ “บุญเก่า” ที่มีอยู่นั้นต้องมีวันน้อยลง หากไม่ “ต่อเติมบุญใหม่” เข้าไปแล้ว บุญเก่าที่มีอยู่จะเพียงพอในการช่วย “ค้ำจุนดวงชะตา” ของแต่ละบุคคลได้หรือไม่

    ข้าพเจ้าเชื่อว่า การทำกรรมดีโดยเฉพาะเรื่องการกตัญญูรู้คุณคน และสำนึกในบุญคุณของผู้มีพระคุณในทุกมิตินั้น มีส่วนสนับสนุนให้ “ดวงชะตา” ของผู้ที่คิดและกระทำนั้นมีแต่สิ่งที่ดีเพิ่มเข้ามาในร่างกายและจิตใจของ บุคคลผู้นั้น พร้อมทั้งผลักดันและขจัดภัยร้ายที่มีในร่างกายและจิตใจของบุคคล รวมทั้งเรื่องภายนอกที่ไม่ดีต่าง ๆ นานาออกไปให้พ้นจาก “วงจรชีวิต” ของเรา.

    ศิริพันธ์ จุรีมาศ ผู้เล่าเรื่อง / คำนึง คิดดี ผู้เรียบเรียง


     
  16. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ตอน : เครื่องบินตก
    วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 00:00 น.


    ข้าพเจ้าขอบันทึกเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่ต่อเนื่องมาจากการได้รู้จัก คุณ อ. หรือ น้อง อ. ผู้ซึ่งเป็นนายตำรวจติดตามของท่านรองอธิบดีตำรวจท่านหนึ่ง ซึ่งในเวลาต่อมาประมาณ 1 ปี “น้อง อ.” ได้ติดต่อให้ข้าพเจ้าได้พบบิดาของ น้อง อ. ที่อาคารสูงที่ชื่อ อาคารโอลิมเปีย ตรงข้ามโรงแรมเจ้าพระยา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ด้วยเหตุที่ว่า ข้าพเจ้ามีธุระต้องไปที่กรุงเทพฯ ทำให้ “น้อง อ.” นัดไปพบที่สถานที่ทำงานของบิดา

    บิดาของ “น้อง อ.” เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ประกอบกิจการค้าหลายอย่าง ท่านเป็นผู้สูงวัยที่มีฐานะดีมาก โดยมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง และที่สำคัญที่สุด “ท่านไม่เชื่อในการตรวจสอบดวงชะตา” ท่านเชื่อมั่นในเรื่องการต่อสู้ ทำงานหนัก สู้ชีวิตในทุกรูปแบบ ไม่หนีปัญหาต้องกล้าเผชิญกับความยากลำบากในทุกเรื่อง ท่านเป็นคนผ่านชีวิตมากมาย แต่ที่ยอมนัดพบกับข้าพเจ้าอาจจะเป็นเพราะเกรงใจลูกชายที่เป็นนายตำรวจและอาจ จะอยากรู้จัก “หมอดู” กิตติมศักดิ์ แบบข้าพเจ้า ที่มีเบื้องหลังเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาก่อน

    ด้วยเหตุเพราะตัวท่านสนใจในเรื่องของการเมืองอย่างมากเป็นทุนเดิมอยู่ใน หัวใจของท่าน เมื่อได้พบกันครั้งแรกคำพูดที่สนทนากันส่วนใหญ่จะถามถึงปัญหาบ้านเมือง ปัญหาการเมือง มากกว่าจะเป็นการเน้นเรื่องของการทำนาย “ดูดวง” เหมือนคนอื่น

    เมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสตรวจสอบดวงชะตาของ “บิดาน้อง อ.” ผู้นี้เรียบร้อยจึงได้เห็น “ปรากฏการณ์พิเศษ” ที่เป็นความผิดปกติ ในดวงชะตาของท่านผู้นี้ ดังนั้นเมื่อท่านถามว่า “ท่านมีโอกาสจะได้เข้าสู่วงการเมืองหรือไม่” ข้าพเจ้าตอบว่า “มีโอกาสสูงเกือบ 100% ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวท่านเอง เพราะมีผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการที่จะมีตำแหน่งในทางการเมือง”

    “เพราะอะไร” ท่านถามกลับมา ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า “เป็นทุกขลาภ” เนื่องจากมีวิบากกรรมในชาตินี้และเป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องชีวิตของคนหลาย คน ซึ่ง ถ้าหากท่านรับตำแหน่ง ทางการเมือง ในครั้งนี้จะถือว่าเป็นการ “เพิ่มดวงชะตาให้สูงขึ้น” และเมื่อมีดวงอุบัติเหตุ คือดวงตก ก็จะตกแรงถึงขั้น “เสียชีวิต”

    ข้าพเจ้าอธิบายสั้น ๆ อีกครั้งว่า หากท่านรับตำแหน่งทางการเมืองจะทำให้ ท่าน “ดวงสูงมากขึ้น” และมีช่วงระยะเวลาที่ ดวงชะตาตก จะตกรุนแรงถึงตาย

    --ข้าพเจ้ากับท่านได้พูดคุยกันถึงเรื่อง นี้ด้วยบรรยากาศที่เคร่งเครียด จนทำให้ “น้อง อ.” ซึ่งเป็นนายตำรวจที่เป็นลูกชายของท่านได้ถามว่า ควรจะแก้ไขอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าตอบว่า ต้องระมัดระวังในการเกิดอุบัติเหตุทุกชนิด ตรวจสุขภาพและดูแลร่างกายได้ดีที่สุดจนกว่าจะพ้นเดือนกุมภาพันธ์ของปีหน้า และท่านก็ได้พูดกับข้าพเจ้าประโยคหนึ่งว่า ท่าน ส.ส.ขอบคุณมากที่ได้มาวันนี้ ผมจะทำดีที่สุด แต่ถ้าหากอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้” เมื่อข้าพเจ้าสังเกตดูสีหน้าและคำพูดของท่านแล้วดูเหมือนท่านจะ “ไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพเจ้าทำนาย” มากนัก

    ภายหลังจากนั้นไม่นาน “น้อง อ.” กับน้องชายอีกคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ชื่อ “น้องเล็ก” ก็ได้แจ้งข่าวว่า บิดาของ “น้อง อ.” กับ น้องเล็ก ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นวุฒิสมาชิกเรียบร้อยแล้ว

    ตัวข้าพเจ้าเองรู้สึกดีใจและชื่นชมยินดีไปกับครอบครัวของท่าน แต่ยังมีความรู้สึกที่ไม่สบายใจควบคู่ไปด้วย แต่ด้วยในระยะเวลาในขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังวุ่นวายอยู่กับธุรกิจของตัวเองและ การศึกษาของลูกหลาน จึงทำให้ ลืมเลือน ความไม่สบายใจของดวงชะตานี้ไปอย่างไม่น่าเชื่อ

    จนกระทั่งวันหนึ่งประมาณต้นเดือนธันวาคม มีคนมาหาด้วยตัวเองแล้วแจ้งว่า โทรศัพท์มาแล้ว ข้าพเจ้าไม่รับสายซึ่งตามปกติข้าพเจ้าจะไม่รับสายโทรศัพท์ใครในระหว่างที่ “เข้าสมาธิ” บางครั้งอาจจะ 1 วันหรือ 2 หรือ 7 วัน ตามแต่สภาพจิตใจในแต่ละช่วง ยกเว้นบรรดาลูกหลานญาติพี่น้องกับผู้มีพระคุณเท่านั้น

    ข้าพเจ้าได้รับทราบเรื่องราวจึงรีบโทรศัพท์กลับไปหา “น้อง อ.” ซึ่งได้พูดแจ้งข่าวร้ายเรื่องของ “บิดา” ว่า “เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่ จ.สุราษฎร์ธานี” ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร ยังค้นหาไม่พบ

    ข้าพเจ้ารู้สึกใจหายวาบรีบวิ่งไปดูบันทึกการดูดวงชะตาของท่าน และสังหรณ์ใจว่าคงลำบากเสียแล้ว จึงแจ้งไปยัง “น้อง อ.” ว่า ไม่ค่อยดีจึงพร้อมกันให้กำลังใจและปลอบใจครอบครัวของ “น้อง อ.” ทั้ง ๆ ที่ตัวข้าพเจ้าเองแทบจะไม่มีคำตอบให้กับญาติพี่น้องของ “น้อง อ.” ด้วยสมาธิที่เห็นนั้น “มืดมิดไปหมด” ไม่มีความหวังใด ๆ ในอันที่จะเกิดปาฏิหาริย์ได้เลย

    หลังจากนั้น “คุณเอ๋” ภรรยาของ “น้อง อ.” ได้แจ้งให้ทราบข่าวร้ายว่า ท่านได้เสียชีวิตในเครื่องบินลำนั้น มีทั้งผู้รอดชีวิตและมีผู้เสียชีวิต

    เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ครอบครัวของ น้อง อ. สูญเสีย “บิดา” ไปจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ทำให้เรื่องนี้ส่งผลไปที่สภาพจิตใจของข้าพเจ้าอย่างมาก เพราะรักและผูกพันกับครอบครัวของน้อง อ. ทุกคน โดยเฉพาะข้าพเจ้ารักและห่วงใยคุณเอ๋และน้องแพร ภรรยาและลูกของน้อง อ. มากที่สุด (ปัจจุบันน้อง อ. ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงเป็นนายตำรวจยศ พล.ต.ต.)

    ข้าพเจ้าได้หวนคิดคำนึงถึงคำพูดของท่าน ส.ว. ผู้น่ารักท่านนี้อยู่ตลอดมา เป็นเพราะท่านรักและชื่นชอบทางการเมืองเป็นอย่างมาก และเมื่อท่านเสียชีวิตก็ได้ทำในสิ่งที่ท่านรักสมปรารถนาในสิ่งที่ท่านอยากจะ เป็นมาตลอดชีวิตของท่านแล้ว สมศักดิ์ศรีของนักสู้ชีวิตอย่างท่านเอง เป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากสำหรับผู้ที่มิใช่ “คนการเมือง” ด้วยกัน บางคนใฝ่ฝันตลอดชีวิตเพื่อจะเป็นนักการเมือง แต่ไม่เคยสมหวังสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว


    บางคนไม่อยากและไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแม้แต่น้อย แต่ด้วย “ดวงชะตา” กลับต้องเข้ามาผูกพันกับการเมืองอย่างที่ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ ทั้ง ๆ ที่ใจไม่ชอบแต่สามารถยิ่งใหญ่อย่างสูงสุดในทางการเมืองได้ อย่างน่าแปลกใจยิ่งนัก

    “ดวงชะตา ฟ้าลิขิต” เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามแนวครรลองของชีวิต แต่ละบุคคล มีเพียงแค่การทำดีเพื่อเป็นกรรมดีอย่างต่อเนื่อง ที่จะทำให้บุคคลที่ได้กระทำจะได้พบความสุขที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงตลอดไป.

    ศิริพันธ์ จุรีมาศ ผู้เล่าเรื่อง / "คำนึง คิดดี" ผู้เรียบเรียง
     
  17. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    -ตอน : แม่มด
    วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 00:00 น.


    20 ปี ข้าพเจ้าได้รับการติดต่อจากผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่ง ที่รับราชการเป็นนายตำรวจ บอกว่า มีนายท่านหนึ่งสนใจอยากจะเข้าตรวจสอบดวงชะตาพร้อมนัดเวลาพบ

    นายตำรวจท่านนี้มียศตำแหน่งสูงเป็นนายพล ควบคุมบัญชาการอยู่ทางภาคเหนือ ขอสมมุติชื่อย่อว่า ท่าน ช. โดยมาพร้อมกับนายตำรวจติดตามที่เป็นคนสนิทของท่าน เรียกกันในชื่อเล่นว่า น้อง อ. ซึ่งต่อมาข้าพเจ้า รัก สนิทสนมกับครอบครัวของน้อง อ. จนเกิดเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับครอบครัว ของน้อง อ. ในเวลาต่อมา ซึ่งข้าพเจ้าจะได้เล่าให้ฟังในตอนหลัง

    หลังจากนั้น ข้าพเจ้ามักจะได้รับการติดต่อจากน้อง อ. นายตำรวจติดตามของท่านในการตรวจสอบดวงชะตา เมื่อท่านนายพล ช. มีเวลาว่างมักจะแวะมาพบข้าพเจ้าอยู่เป็นปกติ จนกระทั่งมีวันหนึ่งท่านนายพล ช. ได้มาพบข้าพเจ้าพร้อมน้อง อ. เพื่อตรวจสอบดวงชะตาของท่านในรายละเอียดของการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง

    ในการทำนายครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้บอกว่า จะได้รับการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งประมาณเดือนมกราคม ถึง เดือนกุมภาพันธ์ โดยจะต้องมี “การตาย” ของบุคคลท่านหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง และ จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งภายหลัง “การตาย”

    เมื่อท่านนายพล ช. ได้ยินคำทำนายจากข้าพเจ้า ดูเหมือนว่าท่านจะไม่พอใจในคำทำนายสักเท่าไร โดยท่านได้อธิบายว่า มีผู้ใหญ่ซึ่งเป็นนายของท่านรับปากจะช่วยเหลือดูแลและคิดว่าคงจะไม่มีปัญหา ท่านจะต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่งใหญ่นี้ประมาณปลายปีในราวเดือนตุลาคม หรือ เดือนพฤศจิกายน แล้วท่านยัง “กัด” ข้าพเจ้าแบบหยิกแกมหยอกด้วยถ้อยคำแบบมีอารมณ์โกรธนิด ๆ ว่า อาจารย์เป็นผู้แทนราษฎร์ไม่รู้เลยหรือว่า การเลื่อนยศตำแหน่งของระบบข้าราชการตำรวจจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมเท่า นั้น เป็นระยะช่วงก่อนปลายปี ไม่ใช่ช่วงเวลาต้นปีอย่างที่ทำนาย

    ข้าพเจ้าได้เรียนอธิบายว่า ข้าพเจ้าจะทำนายบนพื้นฐานจาก “สิ่งที่เห็น ไม่ได้ทำนายจากสิ่งที่เป็น” และจะไม่ใช้เรื่องราวทางโลก หรือ เหตุปัจจุบันต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเด็ดขาด คือ “เห็นมาอย่างไร ก็ต้องทำนายไปแบบนั้น” แม้จะขัดแย้ง และไม่น่าจะเป็นไปได้ก็ต้อง “ทำนายทายทัก” ไปตามที่เห็นเท่านั้น จะบอกเป็นอย่างอื่นไม่ได้ จากน้ำเสียงและสีหน้าของท่าน ดูท่านจะไม่ชอบในคำทำนายของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าบอกว่า ตำแหน่งจะไม่เกิดในเวลาปลายปี แต่หากจะเกิดต้องเป็นตอนต้นปีหน้าแต่ต้องเกี่ยวข้องกับ “การตาย” ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเป็นการตายของใครอย่างไร

    ----ต่อมาข้าพเจ้าได้รับการแจ้ง ข่าวจาก “น้อง อ.” นายตำรวจติดตามของท่านว่า “ท่านไม่ได้รับตำแหน่ง” ในช่วงเวลาดังกล่าว “จริง ตามคำทำนาย” จึงต้องรอลุ้นว่าจะเกิดเหตุการณ์เป็นไปได้ตามที่ได้ทำนายไว้ หรือไม่ หากเป็นจริงท่านจะเรียกเจ๊ตุ๊ว่า “แม่มด”

    จนกระทั่งในเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ในปีนั้น มีเหตุการณ์เกิดขึ้น คือ มีนายพลตำรวจใหญ่ท่านหนึ่ง ในตำแหน่งสูงใน “ระดับ รองอธิบดีตำรวจ” เสียชีวิตจากการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็ง (สมมุติชื่อ นายพล ว.) ดังนั้นจึงต้องมีการแต่งตั้งทดแทนผู้เสียชีวิต “น้อง อ.” นายตำรวจติดตามได้โทรศัพท์บอกข่าวและอยากให้ข้าพเจ้า “ช่วยเหลือ” ตามแนวทางที่ข้าพเจ้าเห็นสมควรจะด้วยการ “ใช้กระแสจิต” เพ่งพินิจ หรือ อะไรก็ได้ โดยจะมีการประชุมกันใน 2 หรือ 3 วันนี้

    ข้าพเจ้าจำได้ราง ๆ ว่า ประมาณสี่โมงเย็นถึงหกโมงเย็น ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ท่านนายพล ช. ได้ให้ “น้อง อ.” แจ้งข่าวดีว่าท่านได้ตำแหน่งจากการประชุมเรียบร้อยแล้ว และพูดติดตลกว่า ต่อไปนี้ท่านจะเรียกเจ๊ว่า “แม่มด”

    เมื่อข้าพเจ้าสามารถทำนายได้ “แม่นยำ” คำว่า “แม่มด” จึงถูกเรียกแบบเล่น ๆ เป็นการกระเซ้าเย้าแหย่ตลอดมา และเมื่อท่านมีเวลาว่างหรือมีโอกาส ท่านมักจะมาพบ และปรึกษาจากคำทำนายที่ข้าพเจ้า “เห็น” ทุกครั้ง

    หลังจากนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่ง “ข้าพเจ้าได้พบและได้เรียนท่านจากการทำนายของข้าพเจ้า “ให้ระมัดระวังเกี่ยวกับสุขภาพอย่างมาก ให้ รีบตรวจร่างกาย โดยขอเน้นในเรื่องบริเวณหัวใจเป็นกรณีพิเศษ” ห้ามไปไหนมาไหนคนเดียว ควรจะมีคนอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งท่านก็รับปากเป็นอย่างดี จนข้าพเจ้ารู้สึกสบายใจ แต่หลังจากนั้นไม่นาน “น้อง อ.” นายตำรวจติดตามได้แจ้งว่าท่านไม่สบาย และได้รับการผ่าตัดหัวใจไปเรียบร้อยแล้ว สุขภาพของท่านหลังผ่าตัดแข็งแรงดีแล้วไม่ต้องเป็นห่วง

    นอกจากนี้ ข้าพเจ้ายังมีโอกาสได้พบท่านเป็นครั้งคราว ภายหลังจากการเกษียณอายุ และได้ทำนายอีกครั้ง “ในเรื่องอุบัติเหตุจากการหกล้ม ควรต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่องกระดูกและการทรงตัว”

    ต่อมาข้าพเจ้าได้รับทราบข่าวของท่านว่า ท่านได้ประสบอุบัติเหตุและการเคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ได้มีโอกาสพบท่านอีกเลย ได้รับทราบแต่เพียง “ข่าว” จากคนใกล้ชิดของท่านเท่านั้น

    คำว่า “แม่มด” ที่ท่านเคยเรียกข้าพเจ้าเป็นการเฉพาะจึงได้เลือนหายไปโดยไม่เคยมีใครเรียก ข้าพเจ้าว่า “แม่มด” อีกเลย อย่างไรก็ตามในฐานะของ “หมอดูผู้ทำนาย” แบบอย่างข้าพเจ้าที่ถือว่ายังเป็น “มนุษย์ธรรมดา” คนหนึ่ง ซึ่งยังมีอารมณ์ใน “ความยินดี” ที่ได้รับรู้ “ในเรื่องที่ดีมีความสุข” และรู้สึก “ทุกข์ทรมาน” ในเวลาที่ได้รับรู้โดยเรื่องที่ไม่ดีมีทุกข์ต้องอยู่กับคำทำนายที่เป็น “เหตุแห่งทุกข์” ในเรื่องที่อาจจะได้บังเกิดกับดวงชะตาของผู้ที่เรารู้จักหรือได้ “สัมผัส เพ่งพินิจ” ทำให้ “อารมณ์แห่งสุขและทุกข์” เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการ “ก้าวล่วงใน ดวงชะตา” ของผู้อื่นตลอดเวลา


    แต่ข้าพเจ้าต้องยอมรับในความเป็นจริงของชีวิตว่า การได้รับรู้ ในสิ่งที่เป็นเรื่อง “แปลกประหลาด” เหล่านี้ได้สร้างภูมิคุ้มกันให้กับข้าพเจ้าให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทต่อ “การดำรงชีวิต” แล้วพยายามแสวงหา “ความสุขบนพื้นฐานในความเป็นจริงของชีวิต” ด้วยการทำใจให้ “เข้มแข็งต่อทุกสถานการณ์” ไม่ท้อถอยและอดทน โดยถือหลัก “ความกตัญญู” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นธงชัยให้ก้าวเดินต่อไป.

    ศิริพันธ์ จุรีมาศ ผู้เล่าเรื่อง / คำนึง คิดดี ผู้เรียบเรียง
     
  18. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ตอน : "นายผี" เด็กดีผู้น่ารัก
    วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 00:00 น.


    ย้อนหลังไปประมาณสิบกว่าปี ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ข้าพเจ้าเศร้าสลดและเสียใจอย่างที่สุด เรื่องนี้ได้สร้างบาดแผลในหัวใจของข้าพเจ้าอย่างรุนแรง ทำให้ข้าพเจ้าเกิดอาการ “ปิดตัวเอง” เป็นระยะเวลานานอีกครั้งหนึ่ง

    ข้าพเจ้าได้รู้จักนายตำรวจผู้ใหญ่ท่านหนึ่งพร้อมภรรยาของท่าน ผ่านเลขาฯ ของข้าพเจ้าที่ชื่อ “คุณจิ๋ว” ซึ่งเป็นภรรยาตำรวจ โดยครอบครัวนี้ต้องการตรวจสอบ “ดวงชะตา” ของบุคคลในครอบครัวทุกคน และมีเหตุบังเอิญว่า ลูกชายคนเดียวของท่านคือ “นายผี” เป็นเพื่อนกับ ลูกชายคนที่ 2 ของข้าพเจ้า เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน

    เมื่อมีการ “นัดพบ” เกิดขึ้น ข้าพเจ้าจึงได้เริ่มทำการทำนายดวงชะตาของทุกคนในครอบครัวท่าน และที่สำคัญคุณนายภรรยาท่านได้นำรูปถ่ายและดวงชะตา “นายผี” มาให้ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบเป็นคนสุดท้าย หลังจากทำนายรายละเอียดของคนในครอบครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเน้นมาที่ “นายผี” เท่าที่จำได้ข้าพเจ้าได้บันทึกไว้ว่า ถ้าหากอายุ 17 ปี ให้ระมัดระวังการขับรถมิให้เกี่ยวข้องกับรถที่มีสีขาว, สีบรอนซ์เงิน ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ให้ “นายผี” ขับรถให้ช้า ไม่จำเป็นห้ามขับรถในช่วงระยะเวลาอายุ 17 ปีอย่างเด็ดขาด ในขณะที่มีการทำนายนั้น “นายผี” มีอายุประมาณ 7-8 ขวบ ยังเป็นเด็กชายที่น่ารัก รูปหล่อ หน้าตาดี จิตใจดี มีความสนุกสนาน ตั้งใจเรียน เป็นที่รักของเพื่อนทุกคน

    เมื่อเวลาผ่านไป 9 ปีขณะนั้น “นายผี” เด็กดีที่น่ารักมีอายุประมาณ 16 ปี 2 เดือน (หากข้าพเจ้าจำไม่ผิด) เป็นช่วงเวลาประมาณต้นปีที่ทางโรงเรียนได้จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้แข่งขัน กีฬาสีของโรงเรียน ที่สนามกีฬาแห่งชาติภายนอกบริเวณโรงเรียน ในวันนั้นประมาณก่อนเที่ยงลูกชายคนที่ 2 ของข้าพเจ้า (ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อเป็นนายแพทย์ด้านศัลยกรรมที่ ม.เชียงใหม่) ได้โทรศัพท์พร้อมกับร้องไห้บอกว่า “แม่ครับช่วยเพื่อนด้วย” ให้ทำอะไรก็ได้ เพราะเพื่อนประสบอุบัติเหตุ ขณะนี้อยู่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล และแม่เพื่อนได้ฝากให้มาบอกแม่ให้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้

    เพื่อนคนนี้ก็คือ “นายผี” นั่นเอง โดยประสบอุบัติเหตุได้นั่งรถมากับเพื่อนคนหนึ่ง คนหนึ่งเป็นคนขับรถอาการสาหัสมากอยู่ในห้องผู้ป่วยอาการหนัก สำหรับ “นายผี” เป็นคนนั่งอยู่ด้านหลัง หลังประสบอุบัติเหตุได้กระเด็นออกมาภายนอกรถ โดยมีเสาไฟฟ้าสีขาวเงินอยู่ใกล้ร่างของ “นายผี” ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับ มีอาการบาดเจ็บมากพอสมควร

    แต่ต่อมาสัก 2 ชั่วโมง ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวร้ายว่า “นายผี” ได้เสียชีวิตแล้ว ข้าพเจ้าคิดถึงคุณนายที่เป็นคุณแม่ของ “นายผี” รีบแต่งตัวไปที่โรงพยาบาล ได้เห็น “นายผี” แล้วรู้สึกเสียดาย เศร้าสะเทือนใจบอกไม่ถูก ข้าพเจ้ารู้สึกแน่นไปทั้งหัวใจ แทบหายใจไม่ออก ข้าพเจ้าได้รออยู่ที่โรงพยาบาลจนกระทั่งตอนเย็น และได้เห็นเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เป็น “คนขับ” ได้แจ้งย้ายโรงพยาบาลไปที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่งต่อมาข้าพเจ้าได้ไป ช่วยงาน “นายผี” ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ในระหว่างนั้นก็ได้รับทราบข่าวร้ายอีกครั้งว่า เพื่อนผู้เป็นคนขับได้เสียชีวิตอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือมีการเสียชีวิต 2 คน รอด 1 คน เมื่อได้มาพิจารณาย้อนกลับไปได้พบว่า รถที่ “ประสบอุบัติเหตุ” เป็นรถที่มีสีน้ำเงิน ไม่ใช่รถสีขาวตามคำทำนายใน “ภาพ” ที่เห็น แต่ขณะเกิดอุบัติเหตุร่างของ “นายผี” ได้หลุดออกจากรถอยู่บริเวณเสาไฟฟ้ากลางถนนที่มีสีขาวและเป็นเสาสีเงิน บรอนซ์ หลังจากงานของ “นายผี” ผ่านไป ข้าพเจ้าจึงเกิดอาการ “หมดพลังไม่มีเรี่ยวแรง” เศร้าซึมอีกครั้งหนึ่ง เปรียบเสมือนร่างกายและจิตใจของข้าพเจ้าต้องการ “หลบภัยจากภาพ” ไม่อยากรับรู้ในเรื่องใด ๆ อีกแล้วเป็นที่น่า

    เสียดายว่า “อุบัติเหตุ” ที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งได้ทำให้ “พลังใจ” ของครอบครัวหนึ่งได้ “สูญเสีย” ไป อนาคตของ “นายผี” ซึ่งเป็นเด็กดีที่ตั้งใจเรียน มุมานะอดทน เป็น

    ขวัญกำลังใจของพ่อแม่และครอบครัว แม้แต่ข้าพเจ้าที่เป็น “คนนอก” ยังรู้สึกสะเทือนใจมากมายขนาดนี้ เพราะพบเจอ “นายผี” บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในตอนที่ไปรับลูกชาย

    คนที่ 2 ของข้าพเจ้าไปเรียนพิเศษด้วยกัน ในการติวหนักขึ้นเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย

    คำพูดที่ว่า “วิบากกรรม” หรือ “กรรมเก่า” แต่ชาติปางก่อนดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ “ปลอบประโลมใจ” ในหลักการของความเชื่อในการเกิดหลายชาติ หลายภพ เพราะบางครั้ง “การไม่มีคำตอบ” จากเหตุผลใดนั้น หากได้ใช้เรื่องที่เกี่ยวข้องผูกพันกัน “ความเชื่อ” บางประการ อาจทำให้สามารถ “คลายทุกข์” ได้โดยสามารถเชื่อมโยงถึงเรื่อง “กรรมแต่ปางก่อน” ในแต่ละชาติภพของแต่ละบุคคล จะได้ช่วยเป็น “คำตอบ” ในช่วงเวลาวิกฤติของชีวิตได้ดีที่สุด

    การสืบค้นเพื่อช่วยผ่อนคลายความทุกข์จากปรากฏการณ์ “เหนือธรรมชาติ” ของครอบครัว “นายผี” ได้สามารถอธิบายเรื่องราวในอดีตชาติที่ยิ่งใหญ่ของ “นายผี” ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถจะนำมากล่าวอ้างในบันทึกนี้ได้ แต่เมื่อได้ “รับรู้” ถึง “วิบากกรรม” ของนายผี และได้ส่งข่าวต่อให้ครอบครัวของ “นายผี” ได้รับทราบในสิ่งที่ข้าพเจ้า “เกิดภาพสัมผัส” เรียบร้อยแล้ว ทำให้ “ความเคลื่อนไหว” ในชีวิตของข้าพเจ้า ต้องพยายามปรับสภาพจิตใจและร่างกายให้คืนเข้าสู่ความปกติของชีวิตให้สามารถ ก้าวข้ามวิกฤติความทุกข์ของชีวิตที่มีทั้งความเศร้าโศก สูญเสีย สงสาร และแสนเสียดายคนหนุ่มอนาคตไกลอย่าง “นายผี” คนดีที่น่ารัก ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ช่วยให้ดวงวิญญาณ “นายผี” ไปสู่ความสุขสงบตลอดไปด้วยเถิด.

    ศิริพันธ์ จุรีมาศ ผู้เล่าเรื่อง / คำนึง คิดดี ผู้เรียบเรียง
     
  19. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ตอน : ดวงไฟในดวงชะตา
    วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 00:00 น.


    ในอดีตช่วงเวลาหนึ่งข้าพเจ้าได้มีชีวิตเข้าไปเกี่ยวข้องในวงการเมืองโดยได้ รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด สมัยแรกเมื่อปี พ.ศ. 2526 เป็นระยะเวลา 3 ปีกว่า และในสมัยที่สองเมื่อปี พ.ศ. 2531 เป็นระยะ 3 ปีกว่ารวม 2 สมัย เกือบ 7 ปีที่มีโอกาสใช้ชีวิตเป็น ส.ส. หญิงในรัฐสภาไทย

    ข้าพเจ้าจำได้ว่าเป็นช่วงเวลาระหว่างที่มีสมัยประชุม “ท่าน รมต.สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” (ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตท่านแล้วในการระบุชื่อในที่นี้) ซึ่งในขณะนั้นท่านยังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.อ่างทอง และเป็น “น้องตือ” ผู้น่ารักของข้าพเจ้าได้เดินเข้ามาทักทายข้าพเจ้าตามปกติของผู้ที่มีมนุษย สัมพันธ์เป็นเลิศ มารยาทเป็นเยี่ยม ท่านได้เข้ามานั่งใกล้ ๆ พร้อมขอให้ตรวจดวงชะตาให้ท่าน ในฐานะของผู้อาวุโสที่ทุกคนในสภาสมัยนั้นเรียกขานข้าพเจ้าตามที่น้องชายของ ข้าพเจ้าคือ อดีต รมต.อนุรักษ์ จุรีมาศ ได้กล่าวถึงข้าพเจ้าที่เป็นพี่สาวว่า “เจ๊ตุ๊” หรือ “เจ๊ศิริพันธ์”

    ข้าพเจ้าสนิทสนมกับท่าน รมต.สมศักดิ์ เพราะชื่นชอบในอัธยาศัยในความน่ารัก มีน้ำใจ เอื้ออาทรต่อข้าพเจ้าแทบทุกเรื่อง และในเวลาต่อมาที่ข้าพเจ้า “ปิดตัวเอง” จากสังคมภายนอก แต่สำหรับท่านผู้นี้ข้าพเจ้าต้องมี “ช่องว่าง” สำหรับท่านเป็นกรณีพิเศษในการสื่อสารตรวจดวงชะตาอยู่ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้

    หลังจากสัมผัสมือและนั่งนิ่งอยู่ช่วงระยะหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เกิดความรู้สึกรุนแรงถึง “พลังแห่งดวงไฟ” ในดวงชะตาของท่านได้เกิด “ภาพนิมิต” ถึงภัยอันตรายที่อาจจะเกิดกับชีวิตของท่าน รมต.สมศักดิ์ ข้าพเจ้าเห็นเป็นภาพขึ้นบันไดที่สูงหลายชั้นและมีภาพของผู้ชายลักษณะผิวขาว เป็นคนจีน สูงอายุ ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวเตือนและอธิบายในสิ่งที่เห็นต่อท่าน พร้อมขอร้องว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ในระยะนี้ห้ามใกล้ชิดกับบุคคลที่เห็นในภาพ หรือออกจากบ้านไปบริเวณที่มีขั้นบันไดที่อาจจะมีดวงไฟระเบิดรุนแรงอย่างเด็ด ขาด

    ความรู้สึกในขณะนั้นของข้าพเจ้าเคร่งเครียดและดูจริงจัง กระวนกระวายใจ รู้สึกเป็นห่วงท่าน รมต.สมศักดิ์ เป็นอันมาก จึงได้พูดตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามวิสัยของ “ผู้หญิงขี้บ่น” แบบข้าพเจ้าพร้อมมอบของ “บางสิ่ง” ไว้ให้ติดตัวเพื่อป้องกันภัยและจะขอคืนเมื่อพ้นระยะเวลาที่ปลอดภัยเรียบร้อย แล้ว ท่านก็รับปากข้าพเจ้าแต่ก็ดูเหมือนสามารถสื่อถึงความรู้สึกของท่านได้ว่า ท่านไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ข้าพเจ้าเตือนเท่าใดนัก
    ต่อมาสักระยะ 1 เดือนก็ได้เกิดข่าวบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับถึงการระเบิดที่หน้าศาลที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าจำไม่ได้และมีเรื่องของการเสียชีวิตด้วย หลังจากเกิดเรื่องนี้ไม่นานในสมัยการประชุมครั้งต่อมาข้าพเจ้าได้พบท่าน ท่านได้กรุณาเล่ารายละเอียดให้ฟังว่า ท่านมีเหตุบังเอิญติดธุระหรือไม่สบายอะไรสักอย่าง จึงไม่ได้ติดตามดูแล “บุคคลผู้หนึ่ง” ซึ่งในเหตุการณ์นั้นบุคคลท่านนี้ได้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุด้วย

    ความสัมพันธ์ของข้าพเจ้ากับท่านในเรื่องการทำนายยังคงมีต่อไปตามข่าวที่ ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ ถือเป็นข่าวโด่งดังครึกโครมมากเพราะเป็นการใช้อาวุธระเบิดในการสังหารหน้า บริเวณศาล ซึ่งมีบันไดเป็นขั้น ๆ ตาม “ภาพ” ที่ข้าพเจ้าเห็น พร้อมกับแสงแห่งดวงไฟที่เป็นการระเบิดของอาวุธสังหารที่มีอานุภาพรุนแรง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากแรงระเบิด นับเป็นเหตุการณ์ที่เกิดความสูญเสียจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่สุด เหตุการณ์หนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าและตื่นตระหนกกับ “ความจริง” ที่เกิดขึ้นเป็น “เหตุการณ์จริง” ภายหลังการทำนายนั้นได้ทำให้ความตั้งใจของข้าพเจ้าในการเตรียมความพร้อมใน การทำสมาธิเพื่อการทำนายลดน้อยลงจนไม่อยากเป็น “หมอดู” อีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่ระยะหลังเมื่อข้าพเจ้ามีครอบครัว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองอีกแล้ว ทำให้การพบปะผู้คนก็ลดน้อยลง การนั่งสมาธิในการตรวจดวงชะตาบุคคลทั่วไปจึงแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย

    สำหรับข่าวการทำนายเรื่องนี้ของข้าพเจ้าคงจะเป็นที่ “พูดกัน” ในบรรดาท่าน ส.ส.ทั้งหลาย ทำให้ “เจ๊ตุ๊” ส.ส.หญิงของเมืองร้อยเอ็ด ได้กลายเป็น “หมอดู” คู่สภาของน้อง ๆ ส.ส. หลายท่าน และหากจะมีการไปประชุมสภาเมื่อไร ข้าพเจ้าจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมในการให้บริการ “ดูหมอ” ส.ส. ในยามพักการประชุม และจุดที่ข้าพเจ้านั่งจะกลายเป็นที่ชุมนุมของบรรดา ส.ส. ที่ต้องการตรวจดวงชะตา ถึงกับมีการพูดเล่นกันให้จัดคิวตามลำดับก่อนหลัง

    จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งท่านได้มาเยี่ยมข้าพเจ้าที่ จ.เชียงใหม่ พร้อมกับตรวจดวงชะตา ข้าพเจ้าได้เห็นแสงแห่งเกียรติยศ โชคลาภในดวงชะตาของท่าน ซึ่งขณะนั้นท่านเป็น ส.ส.ฝ่ายค้าน ยังไม่มีวี่แววทางการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้นที่จะได้เข้าร่วมรัฐบาล ท่านจึงหัวเราะแล้วว่าขอให้เป็นจริงตามคำทำนายของ “เจ๊” ซึ่งเมื่อท่านกลับไปไม่นานได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้ท่านได้เป็นรัฐมนตรีตามคำทำนายของข้าพเจ้า ซึ่งจาก “ภาพ” ที่เป็น “เรื่องดี” แบบนี้มันทำให้มีกำลังใจ

    ในการ “ดูดวง” และข้าพเจ้ามีความสุขมากที่เห็น “น้องรัก” ได้เจริญเติบโตในสายการเมืองที่ท่านรักและได้เสียสละ เพื่อประชาชนของท่าน เสมอมา จนกระทั่งปัจจุบันข้าพเจ้าได้ทราบว่า บุตรชายทั้ง 2 คนของท่านได้เจริญเติบโตและก้าวย่างตามรอยทางของบิดาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกปลื้มปีติยินดีกับท่านด้วยความจริงใจใน “กรรมดี” ที่ท่านได้กระทำต่อเนื่องตลอดมา ส่งผลให้เป็น “ผลผลิตที่ดี” ต่อสังคมอย่างน่าชื่นใจเป็นอย่างยิ่ง.

    ศิริพันธ์ จุรีมาศ ผู้เล่าเรื่อง / คำนึง คิดดี ผู้เรียบเรียง





     
  20. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ตอน : รักต้องฆ่า
    วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 00:00 น.

    ข้าพเจ้าเป็น “เด็กบ้านนอก” คนหนึ่งที่มีโอกาสได้ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ คือ โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ บางรัก ซึ่งเป็นโรงเรียนในฝันของข้าพเจ้า และฝันนั้นได้เป็นจริง โดยในช่วงที่มีการปิดเทอม ข้าพเจ้าได้กลับบ้านที่จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมทั้งได้นัดบรรดาเพื่อนนักเรียนประมาณ 10 คนไปทานอาหารเพื่อพบปะสังสรรค์กันตามประสาเด็กวัยรุ่นในยุค 40 กว่าปีที่แล้ว

    จำได้ว่าสถานที่ในการนัดพบเป็นร้านอาหารชื่อ “ฮ่องเต้” อยู่บริเวณสี่แยกถนนเพลินจิต จ.ร้อยเอ็ด (ปัจจุบันดูเหมือนว่าจะเป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง) เพื่อนของข้าพเจ้าที่ไปทานอาหารกันในวันนั้นมีหลายคน เช่น คุณสมเกียรติ, คุณพรพจน์, คุณมานะ, คุณวีรศักดิ์ และอีกหลายคน ซึ่งข้าพเจ้าจำไม่ได้ แต่มีบุคคลสำคัญผู้หนึ่งที่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกันครั้งแรกและเป็น ผู้ชายที่ได้เป็นตัวดำเนินเรื่องของการบันทึกครั้งนี้คือ คุณ อ. (ชื่อเล่น...ขอสงวนชื่อจริง) คุณ อ.นี้ไม่ใช่คนจังหวัดร้อยเอ็ดโดยกำเนิด แต่เป็นครอบครัวที่อพยพมาจากจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งได้ทราบว่าเป็นคนมาทำงานช่วยพี่ชายคุมสถานบันเทิงที่มีผู้หญิงทำงานกลาง คืนร่วมงานที่เรียกกันว่า “พาร์ตเนอร์” ในระหว่างที่ข้าพเจ้ากับเพื่อนคุยกันสนุกสนานตามประสาวัยรุ่นวัยเรียนในสมัย นั้น และก็เป็นไปตามคาดหมายคือเพื่อนของข้าพเจ้าได้ขอให้ทำนายดวงชะตาของเพื่อน แต่ละคน ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต ใครมีดวงที่จะต้องระมัดระวังเรื่องใดบ้าง มีกรณีใด จะมีอันตรายหรือไม่ อย่างไร คำถามยอดฮิตในขณะนั้นคือ จะมีแฟนเป็นผู้หญิงแบบไหน ลักษณะไหน

    ในช่วงเวลาที่กำลังทำนายดวงชะตาของเพื่อนแต่ละคน ทุกคนกระเซ้าเย้าแหย่กันทำนายไปแกล้งด่าไปตามเรื่องตามราว เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงปากจัด ด่าเก่ง จึงอาศัยช่วงเวลาทำนายแกล้งพูดไป หัวเราะไปไม่เคร่งเครียดจริงจังเท่าไรนัก

    ในที่สุดการทำนายก็หมุนเวียนมาถึงเพื่อนผู้ชายคนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกัน วันนี้ เพราะทุกคนที่มาร่วมรับประทานอาหารกันเป็นคนในจังหวัดบ้านเกิด รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนโรงเรียนอนุบาลด้วยกัน และบางคนก็เป็นเพื่อนของเพื่อนในรุ่นเดียวกัน ถือว่ารู้จักกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ด้วยในเขตเมืองบ้านเกิดของข้าพเจ้านั้นสนิทสนมกันหมด รู้จักกันแทบทุกบ้าน มีเพียงคุณ อ. คนเดียวที่ไม่เคยรู้จักใกล้ชิด เพิ่งเคยเห็นหน้าตาครั้งแรก อาจจะเป็นเพราะเพื่อน ๆ ของข้าพเจ้าต้องการทดสอบ “คำทำนาย” ว่าจะเป็นอย่างไร “แม่นยำ” แค่ไหน หรือทำนายถูกต้องเพราะความสนิทสนมรู้ตื้นลึกหนาบางด้วยเหตุที่รู้จักใกล้ชิด กันมาตั้งแต่เด็ก

    ----เมื่อข้าพเจ้าสัมผัสมือคุณ อ. และเพ่งมองหน้าคุณ อ. การทำนายจึงเริ่มต้น ดังนี้ คือ คุณ อ. จะมีอันตรายถึงแก่ชีวิตจากสาเหตุของผู้หญิงให้รีบไปบวชโดยเร็วที่สุดเท่าที่ จะทำได้ ทุกคนในโต๊ะอาหารหัวเราะ เพราะเป็นคำทำนายที่รุนแรงเกินไป ไม่น่าจะเป็นความจริง เนื่องจากไม่มีเหตุอะไรบ่งชี้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ เพื่อนผู้ชายคนอื่นเลยถามว่า ให้ดูใหม่ให้ดีกว่านี้ พูดใหม่อีกครั้ง ข้าพเจ้าบอกว่าให้ “คุณ อ.ระวังจะถูกผู้หญิงฆ่าตาย” โดยในความรู้สึกขณะนั้นเป็น “ภาพนิมิต” ที่ปรากฏให้เห็นเป็น เงาดำผู้หญิง ผู้ชาย นอนอยู่ในห้อง มีเลือดไหลเต็มไปหมด ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจเป็นอันมากจึงเปลี่ยนเสียงและสีหน้าพูดอย่างจริงจังว่า ให้รีบแก้ไข ไปสะเดาะเคราะห์แล้วรีบไปบวชโดยเร็วที่สุด อย่าเห็นเป็นเรื่องเล่นเด็ดขาด เป็นเรื่องรุนแรงน่ะ เค้ารู้สึกไม่สบายใจ ทำให้บรรยากาศในโต๊ะอาหารได้หมดความสุข และความบันเทิงจากของเพื่อนข้าพเจ้าไปทันที แต่หลังจากนั้นไม่นานข้าพเจ้าก็ขอตัวกลับบ้าน เพราะต้องรีบไปเตรียมตัวเก็บของเพื่อจะเดินทางกลับไปเรียนหนังสือต่อที่ กรุงเทพฯ ทั้งยังมีการบ้านที่ต้องส่งคุณครูอีกหลายอย่างที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้ทำ ทำให้ความห่วงใย เพื่อนใหม่ชื่อคุณ อ. ได้จางหายไป เพราะข้าพเจ้าได้เน้นย้ำแล้วให้รีบแก้ไข แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณ อ. รู้สึกอย่างไร เพราะมีแต่ยิ้มไม่พูดด้วย


    เมื่อข้าพเจ้ากลับมากรุงเทพฯ ได้สักระยะหนึ่งประมาณ 30 วัน ซึ่งข้าพเจ้าจำระยะเวลาไม่ได้แน่นอน เพราะเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว จิตใจของข้าพเจ้าระยะนั้นมุ่งเน้นไปที่การเรียน พยายามไม่คิดอะไรวุ่นวาย ต้องการสงบจิตใจมิให้ฟุ้งซ่าน เพื่อมิให้รู้สึกเป็นทุกข์จึงต้อง “ตัดตอน การเห็น” อะไรต่อมิอะไรมิให้เกิดขึ้นมารบกวนสมาธิในการศึกษา แต่ในวันหนึ่งได้มีคนในครอบครัวข้าพเจ้าโทรฯ ทางไกลมาเล่าให้ฟังว่า ไปทำนายอะไรเกิดเรื่องใหญ่โตแล้ว รู้ไหมว่า “คุณ อ. ซึ่งเป็นผู้ดูแลสถานบันเทิงแห่งหนึ่งที่คนในจังหวัดเรียกว่า “บาร์” นั้น เสียชีวิตแล้วจากถูกผู้หญิงยิงและผู้หญิงก็ฆ่าตัวตายไปพร้อมกันด้วย”

    ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจและบังเกิด “ภาพ” หวนกลับขึ้นมาในความรู้สึกอีกครั้ง ความเศร้าใจ สลดใจ แสนเสียดายชีวิต 2 ชีวิตที่ได้จากไปด้วยเรื่องความรัก ความหึงหวง ความไม่เข้าใจ ทำให้ข้าพเจ้ากินไม่ได้ นอนไม่หลับ ความทุกข์ใจได้กัดกร่อนจิตใจและไม่มีความสุขในระยะนั้นมากมาย

    ต่อมาข้าพเจ้าได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนจึงได้สอบถามเรื่องราวความเป็นมาถึง ได้ทราบรายละเอียดว่า คุณ อ. กำลังจะแต่งงานได้ไปสู่ขอหญิงสาวคนดีคนหนึ่งชื่อ คุณ ต. (ชื่อเล่น....ขอสงวนชื่อ) เป็นเพื่อนสนิทของน้องสาวของข้าพเจ้า ทำให้ผู้หญิงที่ทำงานเป็น “หัวหน้าพาร์ตเนอร์” ซึ่งเป็นผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคุณ อ. หึงหวง ทำให้เกิดความเครียดอย่างรุนแรง ถือเป็นการหยามกัน รู้สึกอับอายที่ตนต้องอยู่ในสภาพ “ตกอับ” ที่ผู้ชายกำลังจะมีครอบครัว เริ่มต้นชีวิตใหม่ จึงวางแผน “รักต้องฆ่า” ครั้งนี้ ภายหลังข้าพเจ้าทราบมาว่าคุณ อ. ถูกยิงตายก่อนและผู้หญิงคนนั้นได้ยิงตัวเองตายตาม เรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องที่เล่ากันอย่างครึกโครมภายในจังหวัดกันอย่าง แพร่หลาย เพราะ “คำทำนายได้กลายเป็นจริง” ในครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าถูกกล่าวอ้างถึงในความ “แม่นยำ” อีกครั้ง พร้อมกับถูก “สั่งห้าม” ยังไม่ให้กลับบ้านในช่วงวันหยุดระยะสั้นอย่างเด็ดขาด ให้เรียนพิเศษที่กรุงเทพฯ ต่อไป เพราะไม่อยากให้เกี่ยวข้องเป็นหมอดู

    เรื่องนี้ได้เตือนให้ข้าพเจ้าพิจารณาถึงความรักที่ขาดสติยั้งคิด คิดครอบครองเป็นเจ้าของร่างกายจิตใจผู้อื่น เมื่อเกิดปัญหาจึงใช้ “อารมณ์” บน “ความหึงหวง” เป็นตัวตัดสินใจที่ผิดพลาด ทำให้ “สติไม่มา ปัญญาไม่เกิด” การตายของชีวิต 2 ชีวิตได้เกิดขึ้นเพียงแค่ “ความไม่เข้าใจ” กับ “คุณค่าของชีวิต” ตัวเอง เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ที่สำคัญในการใช้ชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อการคบหา “ผู้หญิง” ไม่มีอะไรแสดงให้เห็นถึงที่เป็น “ความจีรังยั่งยืน” หากไม่ใช้ “ชีวิตที่ประมาท” เรื่องราว “รักต้องฆ่า” คงไม่เกิดขึ้นจนเป็นความสูญเสียอย่างน่าเสียดายแบบนี้.

    ศิริพันธ์ จุรีมาศ ผู้เล่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...