เจอคนพุทธไม่เชื่อในศาสนาพุทธทำยังไงดีครับ(อยากให้เค้าตาสว่าง)

ผมมีเพื่อนอยู่บางคนที่เป็นชาวพุทธแต่เค้าไม่เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม ชาติหน้ามีจริง ฯลฯ เค้าบอกว่ามันก็เป็นแค่เรื่องไร้สาระ ผมก็พยายามหาเหตุผลมาอธิบายให้เค้าฟัง ทั้งหลักธรรม ประสบการณ์ตรง ฯลฯ แต่เค้าก็หาเหตุผลมาโต้ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์มาอย่างเช่นว่า "รู้ได้ไงว่าชาติหน้ามีจริง พิสูจน์สิ" ผมก็จอดไปเลย

เลยอยากถามว่าผมควรจะตอบเค้าไปยังไงดี

 

มโนมยิทธิ เป็นวิธีลัดสำหรับผู้ที่ไม่สามารถได้ วิชา3 อภิญญา6 คำที่ไม่เชื่องอยากรู้ อยากเจอได้เห็น นรก สวรรค์ ได้แต่ต้องมีอาจารย์คอยควบคุมครับ ลองหาอ่านดูครับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านเคยเทศสอนครับ

 

ถามเค้าเลยครับว่าเชื่อเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือเปล่า ถ้าเชื่อ ก็แสดงว่าเค้าเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วครับ ไม่ต้องไปยุ่งยากมากปวดหัวเราเปล่า ๆ สอนเท่าที่จะสอนได้

 

พวกมิจฉาทิฐิ....ครับ

วางอุเบกขาแล้วไม่ไปสนทนาด้วย เพราะไม่มีประโยชน์อะไร

 

ยังดีที่คุณพยายาม โน้มน้าว เพื่อนคุณ ให้มีความเห็นถูก แต่เพื่อนคุณ คงเป็นบัวเหล่าที่ 4 ก็ต้องปล่อยวาง ให้เขาจมอยู่ใต้โคลนตมไปเถิด ถือคติ คนเมาอย่าถือ คนดื้ออย่าสอน

 

เปิดของที่คว่ำ หงายของที่ปิด (Easydhamma)

1. สุคติของเทวดา คือ โลกมนุษย์
2. วิมุตติ(free mind) คือ จิตหลุดพ้น(ตทังควิมุตติ)
จิตอิสระ จิตว่าง (ชั่วคราวก็ยังดี)
3. อิทธิฤทธิ์ เสกคนชั่วให้เป็นคนดีไม่ได้ เสกให้คนพ้นจาก เกิด แก่
เจ็บ ตายไม่ได้ แต่การสอนให้เห็นตามความเป็นจริง(อนุสาสนี
ปาฏิหารย์)สามารถทำได้.

ที่มาพระอาจารย์ ไพโรจน์ กตธมฺโม
ปรึกษาธรรมะได้ทุกเวลาที่ 0844190553
dhamma.orgfree.com
เปิดของที่คว่ำ หงายของที่ปิด (Easydhamma)

 

http://palungjit.org/threads/อุเบกขาธรรม-หลวงปู่ดู่.363605/
อ่านเรื่องอุเบกขาธรรม ของหลวงปู่ค่ะ....อย่าเมตตาพาตกเหว

 

ลองตอบเขาไปสิครับว่า "แล้วคุณเชื่อไหมว่า พรุ่งนี้มีจริง เมื่อวานมีจริง ถ้าคุณเชื่อลอง พิสูจน์สิว่าจริง" ถ้าไม่เชื่อก็วางอุเบกขา ไปเถอะ เพราะ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

 

ถ้าเขาไม่เชื่อนรก สวรรค์ ชาติหน้ามีจริง ถ้ายังงั้นผี วิญญาณก็ไม่มีจริง ถามเขาว่า เขากล้าไปนอนกางเต็นท์ในป่าช้าคนเดียวไหม

 

อดีตชาติมีจริงพิสูจน์ได้ด้วยอำนาจฌาณสมาบัติ ต้องพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติ ผู้ที่รู้ได้คือผู้ทำเอง หากเขาคิดว่าไม่จริงพิสูจน์ไม่ได้ ก็ถามเขากลับไปว่าเขาพิสูจน์หรือยัง?? ถ้ายังก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง หากเขาอ้างว่าต้องพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ก็ตอบเขาไปว่า แล้วนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองทดสอบตามแบบที่พระพุทธเจ้าสอนหรือยัง??? การทดลองทดสอบว่าจริงหรือไม่ก็ต้องทำตามที่เจ้าของทฤษฎีท่านได้ทดลองปฏิบัติมา หากตนเองยังไม่ได้ฌาญก็คงไม่รู้ว่าจริงอย่างไร

หากจะอธิบายด้วยการอุปมา หรือการประมาณ เรื่องภพชาติให้เข้าใจได้ง่ายสักหน่อย ก็คงถามว่าเรื่องที่กระทำมาในอดีตนั้นจำได้ทุกเรื่องไหม เคยมีเรื่องที่จำไม่ได้เลยแต่มีคนกลับมาเล่าให้ฟังไหม แล้วจะปฏิเสธได้ไหมว่าไม่มีอดีตเรื่องนั้นๆ เกิดขึ้น หรือถ้าจะให้เทันสมัยหน่อย ก็พิจารณาจากโทรศัพท์มือถือที่เราใช้กันนี่แหละครับ ซิมการ์ด ก็เปรียบกับจิตวิญญาณ เมื่อเข้าไปอยู่ในโทรศัพท์เครื่องไหนก็มีความสามารถตามศักยภาพของเครื่องก็คือสังขารนั้นแหละ หากวันหนึ่งเครื่องพังไปต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ ความทรงจำส่วนใหญ่ที่เคยอยู่ในเครื่องเ่ก่าก็จะสูญหายไปกับเครื่องเดิม ซิมการ์ดใหม่ถึงจะเบอร์เดิมก็ไม่สามารถจะมีความทรงจำใดๆเหลืออยู่ ไม่สามารถดูได้ว่าเคยโทรหาใครมาบ้างมีอดีตหรือ history อย่างไร แล้วจะบอกว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ไม่เคยโทรหาใครมาก่อนเลยได้หรือ????

 

เพื่อนของท่านไม่ใช่ชาวพุทธหรอกครับ น่าจะเป็นคนนอกศาสนามากกว่า ท่านจขกท ไม่ควรเสียเวลาใส่ใจในความเห็นผิดของเขาอันแก้ได้ยากแล้วเพราะสั่งสมมานาน เหมือนย้ำตะปูแล้วตัดหัวตะปูทิ้งแบบห้ามถอนออก..บุคคลเช่นนี้ แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจทรงช่วยแก้ไขได้ิ...เพราะจิตเขาไม่รับเรื่องตรงข้ามที่ตนเชื่อ..

 

เคยถามพีสาวคนนึงที่รู้จักกัน เค้าไม่เชื่อเรื่องชาติหน้ามีจริง แบบนี้เลยคะ ถามไปว่า แล้วกลัวผีรึเปล่า เขาตอบว่ากลัว เลยถามว่าแล้วกลัวผีทำไม?
แล้วผีก่อนตายเป้นคนมาก่อนรึเปล่า? ถ้าใช่
งั้นคนตายแล้วก็ไม่ได้สูญชาติหน้ามีจริงใช่ไหม ?
พี่เขาก็อึ้งไป

 

ทีมา :PANTIP.COM : E12609046 [CR]

 

ปล่อยเพื่อนของคุณไปเถิด ดิฉันก็เจอปัญหาเหมือนคุณเช่นกัน อ้างเหมือนกันว่าเรียนวิทยาศาสตร์มาไม่เชื่อ จะยกตัวอย่างจะพูดอย่างไร เขามีอคติ มีทิฐิ ในใจ อ้างวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ พูดไปก็เท่านั้น

 

ขอเสริม

อริยสัจ ๔ คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ซึ่ง ตรงนี้คือแก่น ของพุทธศาสนา
ถ้าหาก ท่านเจ้าของกระทู้ สามารถ อธิบายให้เขาเข้าใจได้ ก็จะเป็นการดีมากครับ
ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่ นั้นแล้วแต่ ปัญญา และ เหตุ-ผล ของเขาเองในการพิจารณาครับ

 

ถ้ายังไม่ปฏิบัติให้รู้จริง ก็ยังไม่มีคำตอบ ในคำถามของเขา แล้วก็ยังโน้มน้าวเขาไม่ได้หรอกค่ะ

 

เรื่องธรรมะเนี่ยคุยเฉพาะกับคนที่เค้าพอจะรับฟังดีกว่าครับ
ไปคุยกับคนที่เค้าไม่สนใจเผลอๆ เค้าจะปรามาสพระรัตนไตรเอา
เราจะผลอยบาปไปกะเค้าด้วย เพราะเป็นเหตุให้เค้าปรามาสพระ

อีกอย่าง บางทีก็อาจจะยังไม่ถึงเวลาของเค้าด้วยครับ
เหมือนผมเมื่อก่อนก็ไม่เคยสนใจเท่าไหร่ เพิ่งจะมาสนใจจริงจังเมื่อปีสองปีนี่เอง
ก่อนหน้านั้นเพื่อนชวนเท่าไหร่ก็ยังไม่สนใจ

 

ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา (หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี) เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่?
ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?
ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?
ผู้ถาม : เชื่อ
ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ......คุณก็โง่
ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?
ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ? ถ้าเชื่อ......คุณโง่หรือฉลาด?
แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า
หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่าถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อคุณก็โง่ เพราะอะไรก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ที่คุณเชื่อ เพราะ คุณเชื่อตามเขาคนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้นคุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไปที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิด หรือว่าชาติหน้ามีอันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่าถ้ามี พาผมไปดูหน่อยได้ไหม? เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม? อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม? ถ้ามีพาไปดูได้ไหม? อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็น วัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้ ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องไปถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเรา คือ เราจะต้องรู้จักเรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม? ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร? นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรา ถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่างเพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือ ถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคต คือ พรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะ วันนี้เป็นเหตุ ทีนี้ อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวาน นี้เสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบันเท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดีอนาคตมันก็จะดีด้วย อดีต คือ วันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุด คือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้วอนาคต คือ ชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง
คนหนึ่งพูดว่า : กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้เกิด
ท่านอาจารย์ชา : นั่นแหละยิ่งดี กลัวมันจะเกิดเสียด้วยซ้ำไป
ในครั้งพุทธกาล สมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ มีพราหมณ์คนหนึ่งมีความสงสัยว่าคน ตายแล้วไปไหน? คนตายแล้วเกิดหรือไม่? ถ้าพระองค์ตอบได้ ก็จะมาบวชด้วย แต่ถ้าตอบไม่ได้ หรือไม่ตอบ แกก็จะไม่บวช แกว่าของแกอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า มันเป็นเรื่องอะไรของฉันเล่า พราหมณ์จะบวชหรือไม่บวช นั่นเป็นเรื่องของพราหมณ์ ไม่ใช่เรื่องของฉัน พระองค์ตรัสว่า ถ้าตราบใดที่พราหมณ์ยังมีความเห็นว่า มีคนเกิด หรือมีคนตาย คนตายแล้วเกิด หรือคนตายแล้วไม่เกิด ถ้าพราหม์ยังมีความเห็นอยู่อย่างนี้ พราหมณ์ก็จะเป็นทุกข์ทรมานอยู่อีกหลายกัลป์ ทางที่ถูกนั้น พราหมณ์จะต้องถอนลูกศรออกเสียบัดนี้ พระพุทธเจ้าท่านว่า ความจริงแล้วไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย พราหมณ์คนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง และจนกว่าแกจะได้เรียนรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เข้าใจถ่องแท้เสียแล้วนั่นแหละ จึงจะเข้าใจคำพูดของพระองค์ได้ นั่นจึงจะเรียกว่า การรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา เป็นการเชื่อด้วยปัญญา พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ไม่ได้สอนว่า ให้เชื่อว่าคนตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด ชาติหน้ามีหรือไม่มี อย่างนั่นไม่ใช่เรื่องเชื่อ หรือไม่เชื่อ จะถือเอาเป็นประมาณไม่ได้ จะถือเอาเป็นหลักเกณฑ์ไม่ได้
ดังนั้น ที่คุณถามว่า ชาติหน้ามีไหมนั้น อาตมาจึงถามคุณว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อ โง่หรือฉลาด?อย่างนี้เข้าใจไหม? ให้เอาไปคิดดูเป็นการบ้านนะ.


จากเว็บไซต์ เรื่องชาติหน้าภพหน้า กับ หลวงพ่อชา สุภัทโท

 

วิธีพิสูจน์นะมี บอกเขาลองไหม(ไม่ได้ให้ไปตายนะ)

แล้วชวนเขาปฏิบัติธรรมเพื่อพิสูจน์ ขอเวลาเขาพิสูจน์ สัก2อาทิตย์ ให้เขาสวดมนต์นั่งสมาธิ ทุกวัน เจริญภาวนา ทุกครั้งที่ว่าง

ถึงเขาจะไม่ได้เห็นผี เห็นเทวดา โลกหน้า อะไร แต่ที่เขาจะได้แน่นอน คือความสงบ สติ ปัญญา จิตใจผ่องใส แล้วเขาจะมองเห็นความจริงครับ

และแน่นอนที่สุด คือบุญครับ บุญนี้อาจจะเปิดทางกรรม ทีมันบังใจอยู่ ให้กลายเป็น เลื่อมใสพุทธศาสนา อย่างสุดใจครับ

บอกเค้าว่า ศาสนาเราก็เน้นความจริง ไม่สอนให้เชื่อ อะไรงมงาย และ ทำให้รู้แจ้งได้ด้วยตนเอง กล้าทดลองเปล่า

 

บุคคลผู้ที่ไม่เชื่อชาตินี้ชาติหน้า ก็ไม่ใช่ชาวพุทธอยู่แล้วละครับ
ไม่ต้องไปเสียเวลา

เอาจริงๆนะครับ ถ้าเราอยากจะเผยแพร่ศาสนา
เราเสียเวลามากๆกับคนที่เขามีศรัทธาดีกว่าครับ ใครไม่ศรัทธาอย่าไปเสียเวลา
เพราะจิตเราเองนี่แหละที่จะปนเปื้อนจากกิเลสต่างๆเสียเอง

สัมมาทิฏฐิมันไม่ใช่มีกันง่ายๆ มันต้องสั่งสมกันหลายภพชาติ
ถ้าคุณเชื่อว่าชาติหน้ามีจริงนะ คุณก็คิดซะว่าชาตินี้คงยังไม่ถึงเวลาของเขา
หรือ... เราเองนี่แหละที่ไม่ใช่ผู้ที่จะบอกทางเขาได้ ไม่ได้ทำบุญเนื่องกันมา
ช่างเขาไปก่อน ถึงเวลาเดี๋ยวเขาจะมาสนใจเอง