ฌาน ญาณ อภิญญา คืออะไร?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย กระสือข้างส้วม, 18 กุมภาพันธ์ 2005.

  1. กระสือข้างส้วม

    กระสือข้างส้วม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,212
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +392
    สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน, ฌาน, ญาณ, อภิญญา

    สมถะ แปลว่า ความสงบ กาย วาจา ใจ วิปัสสนา แปลว่า การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง กรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่ สมถะวิปัสสนากรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่เพื่อเกิดความสงบทาง กาย วาจา ใจ เป็นการทำปัญญาให้เห็นแจ้ง

    ฌาน ญาณ อภิญญา
    ฌาน

    ฌาน คือ การหยั่งรู้หรือการเพ่งในองค์กรรมฐาน ฌานนั้นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน รวมกันเราเรียกว่า สมาบัติ 8 และอุปสรรคขวางกั้นฌานคือ นิวรณ์ 5

    พระพุทธเจ้าสอนให้เราเริ่มจากทาน คือรู้จักการให้ เพื่อลดความตระหนี่ถี่เหนี่ยวหรือละความโลภก่อน แล้วจึงมาถึงศีลคือ การไม่เบียดเบียนกัน สมาธิคือการฝึกจิตตั้งมั่นในการบำเพ็ญเพียรภาวนาจนเกิดฌาน คือ การหยั่งรู้ แล้วจะเกิดฌาน คือ ปัญญานั่นเอง อย่างที่เราเรียกว่า ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา

    ฌานนั้นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน

    ฌานหนึ่งหรือปฐมฌาน มีองค์ประกอบ 5 อย่างคือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์

    วิตก : คือ ยังภาวนาพุทโธอยู่

    วิจาร : คือ การคิดว่าพุทหายใจเข้า โธหายใจออก

    ปิติ : มีอาการ 5 อย่างคือ ขนลุก น้ำตาไหล ตัวโยก ตัวลอย ตัวขยายใหญ่ขึ้น (อาจมีเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง)

    สุข : จิตที่อิ่มในอารมณ์

    เอกัคคตารมณ์ : จิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน

    ฌานสองหรือ ทุติยฌาน จะมีเพียงแค่ ปิติ สุข และเอกัคคตารมณ์

    ฌานสามหรือ ตติยฌาน จะมีเหลือเพียง สุข กับ เอกัคคตารมณ์

    ฌานสี่หรือ จตุตถฌาน คนเราส่วนมากมักจะติดอยู่ในฌานสาม จะมีแต่สุขกับเอกัคคตารมณ์ หรือจิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง เมื่อสุขแล้วก็ไม่อยากคิดอะไร จึงติดอยู่ในสุขไปไหนไม่ได้ ฌานหนึ่งถึงฌานสามเรียกว่าสมถะกรรมฐาน คือ ความสงบในกาย วาจา ใจ ถือเป็นสมถะกรรมฐาน เราต้องใช้วิปัสสนาด้วย วิปัสสนาคือ การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง เมื่อจิตสงบอยู่ในฌานสาม ให้รีบพิจารณา พิจารณาอะไร พิจารณาพระไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

    ลักษณะ 3 อย่าง คือถ้าเรานั่งสมาธิไปนานๆ มันจะเกิดความปวดเมื่อย ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เราเรียกว่า ทุกขัง คือ ภาวะที่ทนได้ยาก อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง เราจะนั่งอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือน คงจะไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนแปลงจากนั่งเป็นยืน เดิน นอน การเปลี่ยนแปลงนี้เราเรียกว่า อนิจจัง ความไม่เที่ยง

    อนัตตา คือ กายนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเรา เราจะต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่แก่ ไม่เฒ่า เพราะกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นอนัตตา ตัวไม่ใช่ตนของเรา ความตายไม่มีใครหนีไปได้

    พระพุทธเจ้าทรงถามพระอานนท์ว่า อานนท์เธอคิดถึงความตายอย่างไร พระอานนท์ตอบว่า คิดถึงทุกวันเลยพระองค์ท่าน พระพุทธเจ้าก็ทรงเฉย พระอานนท์ก็ตอบอีกว่า คิดถึงวันละ 3 เวลาเลยพระองค์ท่าน พระพุทธเจ้าทรงส่ายพระพักตร์ ตรัสว่า เธอควรคิดถึงความตาย ทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อความไม่ประมาท

    ในเมื่อเรารู้แล้วว่า เราหนีความตายไปไม่พ้น ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แล้วเราจะโลภ จะโกรธ จะหลงไปทำไม เมื่อจิตไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อยาก ก็จะเข้าสู่อุเบกขา คือการวางเฉย ในฌานสี่ มีองค์ประกอบอยู่ 2 อย่างคือ อุเบกขา และเอกัคคตารมณ์

    ฌานห้าหรืออรูปฌานหนึ่ง เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ ฌานที่ไม่มีรูป สังขาร ร่างเหมือนอากาศที่ว่างเปล่า เมื่อได้ฌานสี่หรือจตุตฌาน เราสามารถถอดกายได้ วิธีการถอดกายอย่าถอดกายออกจากฐานกระหม่อมเบื้องบน เพราะถ้ากายทิพย์ลอยออกจากกระหม่อม เราก้มลงมาเห็นกายหยาบนั่งอยู่จะตกลงมาทันที ให้พยายามถอดกายออกจากด้านข้าง หรือทางด้านหน้า ถอดออกแล้วอย่าไปไหน ให้พยายามมองดูตัวเองที่นั่งสมาธิอยู่ มองดูกายหยาบจนเห็นชัด เห็นแล้วให้รีบพิจารณาอสุภกรรมฐาน มองดูตั้งแต่ เส้นผม หนังศีรษะ กะโหลก มันสมอง เส้นขน ผิว หนัง เนื้อ กระดูก ซี่โครง หัวใจ ตับไต ไส้พุง มองพิจารณาให้เห็นเป็นอสุภกรรมฐาน มองจนสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไป เรียกว่า ฌานห้าหรืออรูปฌานหนึ่ง

    ฌานหกหรืออรูปฌานสอง เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ ให้พยายามมองดูที่ดวงจิตที่ใส เหมือนดวงแก้ว มองจนดวงจิตนั้นหายไปเรียกว่า วิญญานัญจายตนะ ไม่มีวิญญาณ

    ฌานเจ็ดหรืออรูปฌานสาม เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ให้มองที่กาย มองดูที่จิตพร้อมกันทั้งสองอย่างมองจนกระทั่งหายไปทั้งกายและดวงจิต เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ไม่มีกาย ไม่มีจิต

    ฌานแปดหรืออรูปฌานสี่ เรียกว่า เนวะสัญญานาสัญญายตนะ กายทิพย์นั้นจะกลับเข้าสู่ร่างเดิม แต่จะชาหมด ลมหายใจเหลือแผ่วๆ เบามากจนแทบไม่มีการหายใจ ไม่รับรู้อะไรทั้งหมด ชาไร้ความรู้สึกเหมือนท่อนไม้

    เมื่อเราได้ฌานแปดหรือสมาบัติแปด ญาณหรือปัญญาจะเกิด ญาณนั้นมี 7 อย่าง บางคนอาจจะไม่ได้ถึงฌานแปด อาจจะได้ฌานหนึ่ง สอง หรือสาม ก็สามารถเกิดญาณหรือปัญญาได้ หรือบางคนอาจจะไม่ได้ฝึกสมาธิเลยก็มีญาณเกิดขึ้นได้ ถือว่าเป็นฌานหรือตัวรู้ ที่ติดตัวมาแต่ชาติปางก่อน เช่น เราอาจจะเคยพบคนที่สามารถรู้อะไรว่าจะเกิดล่วงหน้า และก็เกิดตามที่คิดนึกรู้นั้น บางคนเรียกว่า ลางสังหร ความจริงแล้วเป็นญาณอย่างหนึ่ง เรียกว่า อนาคตตังญาณ คือปัญญาที่จะรู้เหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

    ญาณ

    ญาณ มี 7 อย่างคือ
    1. บุเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญาที่สามารถระลึกชาติในอดีตของคนหรือสัตว์ได้
    2. จุตูปปาตญาณ ปัญญาที่รู้ว่าคนหรือสัตว์ก่อนจะมาเกิดเป็นอะไรมาก่อน เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร
    3. เจโตปริยญาณ ปัญญาที่รู้ใจคน รู้อารมณ์ความคิดจิตใจของคนและสัตว์
    4. อตีตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในอดีต เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว ทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ของคนและสัตว์
    5. ปัจจุปปันนังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในปัจจุบันว่าขณะนี้ใครทำอะไรอยู่ และมีสภาพอย่างไร
    6. อนาคตตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในการต่อไปว่า คน สัตว์ สรรพวัตถุ เหล่านี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร รู้ได้ตามภาพที่ปรากฏ ถ้าภาพที่ปรากฏไม่ชัดเจน ก็อธิษฐานถามก็จะรู้ชัดและไม่ผิด
    7. ยถากัมมุตญาณ ปัญญาที่รู้ผลกรรม คือ รู้ว่าคนเราที่ทุกข์หรือสุขทุกวันนี้ ทำกรรมอะไรมาในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติจึงเป็นเช่นนี้ และจะแก้ไขได้หรือไม่ประการใด
    อภิญญา

    อภิญญา แปลว่า ความรู้อย่างยิ่งสูงกว่า ญาณมี 6 อย่าง

    เมื่อเราฝึกการใช้ฌาณทั้ง 7 จนคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว อภิญญาจะค่อยๆ เกิดตามมา อภิญญาทั้ง 6 ได่แก่
    1. อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เช่น อยู่ยงคงกระพัน ล่องหนหายตัว ย่นระยะทางได้ เหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน เดินบนผิวน้ำ หรือเดินลงไปในน้ำได้
    2. ทิพยโสต มีหูทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกลหรือเสียงอมนุษย์ ได้ยินเสียงสัตว์ เสียงเทพ เสียงพรหม รู้เรื่อง
    3. จุตูปปาตญาณ รู้การตายและการเกิดของคนและสัตว์ แต่รู้หมดทุกภพทุกชาติ ถ้าฌาณธรรมดาจะรู้เพียง 4-5 ชาติ แต่อภิญญารู้หมดทุกภพทุกชาติ
    4. เจโตปริยญาณ รู้วาระจิต รู้ความคิดในใจของคนและสัตว์ได้
    5. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่างๆ ของคนหรือสัตว์ได้ทุกภพทุกชาติ
    6. อาสวักขยญาณ ปัญญาที่ขจัดอาสวกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป อภิญญาข้อนี้เองจะเป็นหนทางให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. กระสือข้างส้วม

    กระสือข้างส้วม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,212
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +392
    เรื่องดีๆ ควรจะเอามาประจานเอ้ยเปิดเผยนะ อิ อิ ให้เค้ารู้กันทั่วเลยสิดี ...
     
  3. cartoon

    cartoon สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +4
    Thank you for this message ka.
     
  4. ดาวหางสีเงิน

    ดาวหางสีเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2005
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +795
    เรื่อง ฌาน กับ ญาน ยังมีคนสับสนกันอยู่มากมายเลยครับ
    กระทู้นี้สุดยอดๆ
     
  5. กระเจียว

    กระเจียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +2,010
    ขอบคุณค่ะพี่กระสือ กระเจียวเห็นคนใช้คำนี้สับสนกันเยอะเลย พวกสื่อมวลชนนี่เยอะเลย (พอดีเรียน)
     
  6. 1111

    1111 บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    หกดสาหก่ด

    นาคารชุน กล่าวว่าการที่เราได้ยึดติดเรื่องภาษามากเกินไปอาจทำให้เราไม่ไปถึงความจริงก็ได้นะคะ
     
  7. ดาวหางสีเงิน

    ดาวหางสีเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2005
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +795
    เหมือนกับเราเรียนฟิสิกส์ ครับคุณ 1111
    กฎข้อที่1ของนิวตันหรือที่เรียกว่า กฎแห่งความเฉื่อย กล่าวว่า
    "วัตถุทุกชนิด ...จะดำรงสภาพหยุดนิ่ง หรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่...ตราบใดที่ไม่มีแรงภายนอกมากระทำ..."
    นี่คือทฤษฎีที่ได้รับการพิสูจน์และยอมรับจนกลายเป็นกฎ และมีชื่อเรียกขึ้นมาครับ


    แต่ในทางปฏิบัติ
    เราจะไม่สนใจหรอกว่า เราจะเรียกสภาวะที่ก้อนหินอยู่บนโต๊ะนิ่งๆว่าอะไร
    เราจะไม่รู้จักสภาวะสมดุล จะไม่รู้จักว่า แรงลัพธ์F=0 เป็นอย่างไร
    เราจะไม่สนใจในชื่อเรียกของตัวแปรต่างๆแม้แต่น้อย
    และไม่มีคำอธิบายว่าเพราะอะไรจึงเป็นแบบนี้


    แต่ไม่ว่าเราจะสนใจในทฤษฎีหรือไม่
    เราทุกคนจะทราบเหมือนกันว่า ก้อนหินก้อนนั้น จะไม่ขยับ ถ้าไม่มีอะไรมาโดนก้อนหิน ,ไม่มีลมเป่า ไม่มีใครมาขยับโต๊ะ หรือ ไม่มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น ฯลฯ

    บางคนอาจมองว่าชื่อเรียกลำดับขั้นตอนในการปฎิบัติต่างๆ ในพุทธศาสนา มันไม่ใช่ทฤษฎี
    แต่เอาไว้เรียกเฉยๆ


    แต่สำหรับผมคิดว่า รู้ลึก รู้กว้าง และรู้ให้เร็ว ...ถึงจุดหมายเหมือนกันครับ ^^

    ป.ล. ไม่มีเจตนาจะแย้งในความคิดนะครับ เปิดใจให้กว้างกันไว้ครับ รับฟังด้วยเหตุผล
    ผมก็เห็นด้วยกับความเห็นของคุณหรือคนที่กล่าวประโยคนั้นเอาไว้นะครับ
    สำหรับในบางเรื่องที่ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น
    แม้จะมีอยู่ในพระไตรปิฎกก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น ... สวรรค์ นรก มีกี่ชั้น แต่ละชั้นมีชื่อว่าอย่างไร ... จริงมั้ยครับ ^^ อจินไตยครับ
     
  8. mrboon

    mrboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +412
    ชอบ กาสือ เก่ง จัง
    จะใช้ ทำอะไร ยังคิด ไม่ ออก คิดออกแล้ว จาบอก นะ กาสือ จัง
     
  9. กระสือข้างส้วม

    กระสือข้างส้วม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,212
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +392
    กาสือยินดีรับใช้คนดีทั่วราชอาณาจักร แต่อย่าใช้หนัก เพราะกาสือก็เหนื่อยเปงนะ อิ อิ
     
  10. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    กาสือ น่ารัก ^w^
     
  11. ดาวลูกหมา

    ดาวลูกหมา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    หว๋า ญานๆฌานๆ นู๋งง
     
  12. MoDuS

    MoDuS Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +31
    ดีมากเลยค่ะได้ความรู้เยอะเลย
    แล้วแนวทางปฏิบัติคือ นั่งสมาธิใช่มั้ยคะ ^^"
     
  13. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    แสดงว่าการได้อภิญญา ทำให้ผู้ปฏิบัติใกล้เคียงการบรรลุมรรคผลมากกว่าการได้ญาณ และการได้ญาณก็สูงส่งกว่าการได้ฌานใช่ไหมคะ?

    ทีนี้แล้วในการปฏิบัติควรจะต้องฝึกเป็นขั้นเป็นตอน คือเริ่มจากฌาน (นั่งสมาธิวิปัสสนา) ไปญาณ แล้วค่อยไปอภิญญา

    **********************************************************
    ....เมื่อเราได้ฌานแปดหรือสมาบัติแปด ญาณหรือปัญญาจะเกิด ญาณนั้นมี 7 อย่าง บางคนอาจจะไม่ได้ถึงฌานแปด อาจจะได้ฌานหนึ่ง สอง หรือสาม ก็สามารถเกิดญาณหรือปัญญาได้ หรือบางคนอาจจะไม่ได้ฝึกสมาธิเลยก็มีญาณเกิดขึ้นได้... **********************************************************

    หรือว่าสามารถปฏิบัติลัดได้คะ? เช่นฝึกให้ได้ญาณ หรือได้อภิญญาเลย???
     
  14. แคท

    แคท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,666
    ขอบคุณค่ะ
    นั่ง แล้ว ใจสงบ จัง
     
  15. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    ดีจัง อ่านแล้วทำให้เข้าใจเรื่อง ฌาน และญาณ ได้ถูกต้องขึ้น
     
  16. กัลยาณมิตร

    กัลยาณมิตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +11
    การได้อภิญญาต้องฝึกกสิณ๑๐ให้คล่องไม่ใช่เหรอครับ?
     
  17. Vayokasinung

    Vayokasinung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +117
    ...ขอคุณครับ
     
  18. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    แสดงว่าการได้อภิญญา ทำให้ผู้ปฏิบัติใกล้เคียงการบรรลุมรรคผล
    // ใช่ครับ ถ้าฝึกตามแบบพุทธ

    ส่วนตรงที่
    "ทำให้ผู้ปฏิบัติใกล้เคียงการบรรลุมรรคผลมากกว่าการได้ญาณ"

    เปรียบเทียบกันไม่ได้ครับ
    ฌาน เป็นพื้นของ ญาณ
    ญาณ เป็นพื้นของ อภิญญา
    การได้อภิญญาต้องได้ญาณก่อน
    ถ้าได้ญาณประกอบกัน5อย่างตามข้างบน เราเรียกว่าได้อภิญญาห้า
    ถ้าได้หกอย่างเรียกว่า อภิญญาหก

    อาสวักขยญาณ เป็น ญาณที่ทำให้บรรลุพระอรหันต์
    อาสวักขยญาณ ปัญญาที่ขจัดอาสวกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป อภิญญาข้อนี้เองจะเป็นหนทางให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

    ใช่ครับ
    ฌาน เป็นพื้นของ ญาณ
    ทุกคนก่อนที่จะได้ญาน ต้องได้ฌานมาก่อน
    เช่นจะได้ญานตาทิพย์ ต้องได้ฌาณระดับอุปาจาระก่อน

    ถ้าคนที่อยากได้อภิญญาก็ฝึกแบบไปแนวอภิญญา
    คือต้องเริ่มจาก
    เรื่องของ ฌาณ ฝึกกสิน10กองให้ได้ถึงฌาน๔
    พอได้แล้วญาณต่างๆก็จะเกิดขึ้นมา ถ้าญาณได้ครบ6อย่างตามแบบอภิญญาหก
    ก็จะเรียกว่าทรงอภิญญาหก

    (กสิน10จนถึงฌาณ ๔) ----->(ได้ญาณต่างๆ) = ได้อภิญญา

    ส่วนวิธีลัดจะได้สำหรับคนที่เคยฝึกมาแล้วจากอดีตชาติ คือฝึกเข้าฌาณ๔ ถ้าเข้าได้ อภิญญาของเก่าๆจะมา

    ถ้าใครไม่อยากได้อภิญญา อยากจะฝึกตรงเพื่อให้บรรลุอรหันต์
    ก็ฝึกจาก ฌาณ - ญาณ เท่านี้
    เริ่มจาก ( อย่างน้อยให้ได้ปฐมฌาณ ) ---> (อาสวักขยญาณ ) = พระอรหันต์


     
  19. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ใช่ครับ
     
  20. UFO99

    UFO99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2005
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +983
    ดีจัง ได้รู้ซ้ำๆบ่อยทำให้เตือนให้เราต้องฝึกอยู่เสมอดีจัง (กำลังใจอยู่ไหนน้อขอเป็นทานให้ฉันได้มั้ย)
     

แชร์หน้านี้

Loading...