a day และ summer : นิตยสารทางเลือกที่อันตราย

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย Kamen rider, 7 เมษายน 2005.

  1. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    ...เป็นคนค่อนไปทางสุขนิยม อะไรทุกข์ก็อยากจะลืม ๆ ไปบ้าง พยายามคิดค้นอีกด้านหนึ่ง เป็นคนชอบความสบายใจ ความสวยงาม แต่ก็ต้องมีความรู้ด้วย ตัวตน SUMMER จะเป็นอย่างนี้
     
  2. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 2


    นี่ก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งของคนที่มีแนวคิดอีกแนวหนึ่ง

    ไม่ว่าขวามองซ้าย ไม่ว่าซ้ายมองขวา
    ไม่ว่าจิตนิยมมองวัตถุนิยม ไม่ว่สวัตถุนิยมมองจิตนิยม
    ไม่ว่าทุกข์นิยมมองสุขนิยม ไม่ว่สสุขนิยมมองทุกข์นิยม
    ไม่ว่าหัวมองก้อย หรือก้อยมองหัว
    ไม่ว่าขาวมองดำหรือดำมองขาว
    ไม่ว่าหญิงมองชายหรือชายมองหญิง
    ไม่ว่า ฯลฯ มอง ฯลฯ หรือ ฯลฯ มอง ฯลฯ
    มันก็เป็นด้านหนึ่งมองอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน แยกกันไม่ได้
    ทุกๆด้านที่ตรงข้ามกันหรือดูเหมือนจะตรงข้ามกัน มักมีด้านที่ 3 เชื่อมประสานอยู่บางๆ ดูอย่างเหรียญนั่นปะไร
    คนที่ชอบการมองโลกในแง่ดี เพื่อบำรุงจิตของตนให้ทนอยู่ได้และเรียกมันว่าความสุข วันหนึ่งก็จะหนีทุกข์ไม่พ้น เขาจะเห็นมัน และจะเกิดอะไรขึ้น เดายาก
    คนที่ชอบมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตเขาอยู่ได้เพราะมีความรู้สึกดีดีกับส่วนดีที่เขาเห็นอยู่ แล้วเขาก็รู้ว่า มันจะจากเขาไปอีกเช่นเคย
    คนที่เข้าใจจริงๆ มองเห็นทั้งสองด้าน เห็นความเป็นธรรมดา เป็นสามัญ เป็นปกติ เป็นอย่างนั้นเอง เห็นตามความเป็นจริงทุกๆด้านที่มันเป็น รู้จักอยู่กับชีวิตอย่างฉลาด เท่าทัน เลา สบาย ไร้กังวล อิสระ และเข้าใจจนไม่อยากเอ่ยคำใดใด
    ได้แต่ส่ายหัวเมื่อเห็นมวยคู่เดิม แต่เปลี่ยนสีของกางเกงไปตามค่ายที่ตนสังกัด สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ ยังคงเป็นมุมแดงและน้ำเงินและ ตรงเข้าชกกัน ทั้งๆที่ อยู่เฉยๆก็ทุกข์จะแย่อยู่แล้ว
    เฮ้อ...เหนื่อยจัง
    ฒ.วัส

    โดยคุณ : ฒ.วัส - ICQ : 83149217 [​IMG] - [ 22 ม.ค. 2544 , 23:18:33 น.]





    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 3
    เมื่อคนมองโลกแง่ร้ายวิจารณ์กลุ่มคนมองโลกแง่ดี..


    บางคนมองเห็นสิ่งอัปลักษณ์เป็นเรื่องสวยงามด้วยความสุข

    แต่บางคนก็มองสิ่งอัปลักษณ์นั้นเป็นเรื่องที่ต้องเก็บมาเป็นสาระ และต้องแก้ไขให้มันสวยงามในความคิดเขา..

    คนเราสามารถสร้างสิ่งสวยงามได้จากความคิดทั้งสองแนว..

    มองให้มันสวย มันก็สวยเอง

    กับในเมื่อมันไม่สวยก็ทำให้มันสวยซะสิ

    อะไรมันง่ายกว่ากัน

    อะไรมันสิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่า..

    มันก็ดูเหมือนมักง่ายเช่นกัน..

    เดินสายกลางเถิดจะเกิดผล..

    อ๊ะ มักง่ายรึเปล่าเรา เอะอะก็เดินสายกลางลูกเดียว ไม่รู้จักฟันธง ; p

    โดยคุณ : LittleTiger - ICQ : 6549037 [​IMG] - [ 23 ม.ค. 2544 , 1:44:53 น.]





    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 5
    มันก็ถูก

    ก็มีคิดแบบคุณธดาบ้างในบางครั้งบางคราว

    แต่อ่านดูมันก็เหมือนเป็นความคิด
    ที่ต้องการให้อาหารทุกจานมีทุกรสอยู่ในตัวของมันไม

    บางทีเราก็ไม่สามารถว่าได้
    ว่าทำไมฝอยทองมีแต่รสหวาน
    ทำไมปลาสลิดถึงได้แต่เค็ม
    ในโลกไม่ได้มีแค่รสชาติเดียวนะ
    ดูอย่างต้มข่าสิ มีทั้งมัน เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน
    ได้คุณค่าทางอาหารครบถ้วน
    ทำไมอาหารจานอื่นถึงไม่เป็นแบบต้มข่า

    อันนี้ว่าไม่ได้...ว่าไม่ได้จริงๆ

    ส่วนกระแส มันก็เป็นเรื่องของกระแส
    ผ่านมา เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
    ใครที่ทำตัวเป็นดอกหญ้าปลิวตามลม
    อันนั้นเป็นความสามารถของแต่ละคน
    ที่ใครจะเป็นได้แค่ดอกหญ้า หรือใครจะเป็นต้นไม้ใหญ่
    ไม่แน่ กระแสต่อไป อาจจะเป็นกระแสมองโลกในแง่ร้ายก็ได้ ใครจะไปรู้
    กระแสนั้น มักจะเกิดขึ้นจากการที่สมัยนั้นๆขาดแคลนอะไรบางอย่าง
    อย่างสมัยนี้ก็จะมีแต่คนบ่นว่า
    คนสมัยนี้มองโลกในแง่ร้าย ไม่มีน้ำใจ ไม่รู้จักความสวยงาม
    เมื่อเหตุดังนี้ มันก็มีผลคือกระแสดังนั้น
    เมือ่กระแสนี้มีมากไป มันก็จะมีกระแสใหม่
    ซึ่งต้านกับกระแสเก่าขึ้นมาเอง
    เป็นการรักษาความสมดุลตามธรรมชาติ

    อยู่ที่ตัวเรา จะตัดสินใจด้วยปัญญาขนาดไหน
    พิจารณาจากกระแส
    หรือพิจารณาจากความเป็นจริง.

    โดยคุณ : JeyZ - [ 23 ม.ค. 2544 , 2:15:45 น.] <!--208.180.77.249 : : --><!--203.149.40.128 : : 203.149.40.128 -->
    <!--203.155.222.90 : : 203.155.222.90 -->
     
  3. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 7

    อืมครับ ผมเองก็นนิตสารทั้งสองเล่มนะ แต่เลือกที่จะซื้อ A Day เพราะถูกกว่า(ฮา) และผมเองก็เป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายซะด้วยสิ


    ผมเองอ่านนิตสารเหล่านั้น เพื่อ"หักมุม"ซะบ้างครับ มีอะไรให้หัวเราะแค่นๆเอาไว้ เวลาหัวเราะจริงๆจะได้มีจังหวะหน่อย ไม่ใช่หัวเราะแบบตายอดตายอยาก เพราะนานๆหัวเราะที ประมาณนั้น
    โดยคุณ : เอกเอง - ICQ : 47053608 [​IMG] - [ 23 ม.ค. 2544 , 4:30:36 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 9
    สวัสดีคะ
    ในฐานะคุณแม่ (ลูกสอง) ดิฉันมองหนังสือ 2 เล่มนั้น ในแง่ของความแตกต่างจากมุมมองอื่น ในกระแสของทุนนิยม มีความเลวร้ายในตัวของมันเอง แต่หนังสือสองเล่มนั้นคือการใช้ชีวิต ไปกับทุนนิยม โดยไม่รู้สึกแปลกแยก เพราะหัวใจของผู้ผลิตเกิดท่ามกลางยุคสมัยแห่งความสงบสุข และเป็นชนชั้นกลางที่สบายกว่าคนอื่น เมื่อรู้ว่า ตนอยู่ในโลกของทุนนิยม ที่ไม่อาจเป็นอื่นได้ ถ้าจิตใจเป็นสังคมนิยมก็คงอยู่ยาก ลูกของดิฉันทั้งสอง หากจะให้เขา/เธอ มองโลกแง่ร้าย คิดมากับชีวิต ดิฉันก็รู้สึกว่า ทำร้ายลูกมากเกินไป (หรือเปล่า) แต่ถ้าปล่อยให้ลูกอยู่กับโลกของทุนนิยม ทั้งจิตวิญญาณละ ดิฉันกำลังสร้างมารร้ายขึ้นมา(หรือไม่) คำตอบตรงนี้ไม่ชัดเจน คำตอบที่แม่คนหนึ่ง จะนำพาชีวิตของเด็กสองคน ให้อยู่กับ โลกใบใหม่ ที่ไม่ใช้โลกแห่งความเพ้อฝันของพ่อแม่ จะทำอย่างไร คุณธดา ไม่ได้บอกไว้ หนังสือสองเล่มก็ไม่ได้บอก ยิ่งไปกว่านั้น ดิฉันเอง(ในฐานะแม่) ยังยาก ที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด โดยเฉพาะการบ่มเพาะจิตวิญญาณ ของ "ลูกน้อย" เพื่อให้เป็น ผู้ใหญ่ที่ดีในวันหน้า

    คุณธดาค่ะ คุณเชื่อไหมว่า แม่(พ่อด้วยก็ได้) คือ ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ สามารถสร้างงานศิลปชิ้นใหญ่ ที่มีจิตวิญญาณได้อย่างที่ต้องการ (ตราบใดที่มีสติ) ทุกศิลปิน ต้องการสร้างงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่เสมอ บทความของคุณถือว่า แทงใจดำของคนเป็นแม่ (บนโลกใบเดิม) มากทีเดียว ขอเวลานิ่งคิด ตรึกตรอง ไตร่ตรองสักหลาย ๆ วัน อาจจะเป็นเดือน หรือ ปี ดิฉันอาจจะถามตนเองอีกครั้งว่า เรา (แม่+ลูก) ยังจะอยู่บนถนนสายแห่งการเปลี่ยนแปลงสังคม หรือ ถนนสายที่การเหยียบย่ำผู้คนเป็นเรื่องปกติ และ ธรรมดา

    ขอบคุณสำหรับประกายแห่งความคิด หวังว่าบทความนี้คงกระตุ้นความรู้สึก และสำนึกของบางคน ได้กลับมาทบทวน เพื่อกำหนดเส้นทางแห่งชีวิต
    โดยคุณ : กันยา - [ 23 ม.ค. 2544 , 6:21:29 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 17
    เข้าใจว่าคุณธดาคงอึดอัดใจอยู่นานพอสมควรจึงคิดเขียนเรื่องนี้
    และดิฉันก็ต้องขอขอบคุณคุณธดามากที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างใจ
    จนต้องร้องอุทานว่าใช่เลยอยู่เป็นระยะ
    แต่บางเรื่องดิฉันก็ไม่ได้คิดมากแบบคุณธดายังสามารถยอมรับได้บ้าง
    แต่สิ่งที่ดิฉันไม่ชอบมากๆสำหรับ a day และ summer คือการสร้างกระแส
    ให้สังคมโดยเฉพาะวัยรุ่น การใช้ชีวิต หรือมีวัฒนธรรม ให้เป็นไปในรูปแบบที่
    พวกเขาทั้งสองฉบับถือตัวว่าเป็นผู้นำ และจำเป็นที่ต้องมีคนดำเนินรอยตาม
    ซึ่งดิฉันมองการสร้างกระแสของกลุ่มนี้แล้ว หลายครั้งรู้สึกรำคาญเอามากๆ
    ว่ามันจำเป็นที่เราต้องดิ้นรน ใช้ความพยายาม กันมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
    แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรถึงขั้นปิดตายและปฏิเสธการมีอยู่ของนิตยสาร
    ทั้งสองเล่มนี้ เพราะถึงอย่างไรก็ตามเมื่อเช้านี้ดิฉันก็ต้องยอมเสียเงิน 60 บาท
    ให้กับ a day ด้วยเพราะดิฉันคิดถึง มานะ ปิติ ชูใจ แต่มันก็เป็นแค่บางฉบับเท่านั้นค่ะ
    โดยคุณ : สวิริญช์ - [ 23 ม.ค. 2544 , 12:45:36 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 18
    ทุกความคิด ไม่ว่าแย้งหรือคล้อยตาม..
    ล้วนยืนอยู่บนฐานของกฎธรรมชาติด้วยกันทั้งนั้น..
    เป็นอีกแง่ง่ามหนึ่งของรอยคิด..
    การวิจารณ์ใดใด ในสาขาใดก็แล้วแต่..
    การวิจารณ์มาจากการสั่งสมประสบการณ์..
    น้ำตาลหวานมากก็ขม ยาขมอมไปก็หวาน..
    ....................
    ยินดีทุกหนที่เห็นการยอมรับและการไม่ยอมรับ
    แล้วหาเหตุผลมาสนับสนุน..
    ไม่เคยมีใครถูกจริงๆสักครั้ง หรือผิดจริงๆสักครั้ง..
    มันอยู่ที่คนตัดสิน..ที่จริงกว่า ใครตัดสินใครไม่ได้เลย

    โดยคุณ : คีตปราณ - ICQ : 95778171 [​IMG] - [ 23 ม.ค. 2544 , 13:23:43 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 19
    หนังสือทั้งสองเล่ม(ที่ถูกเอ่ยถึง)เป็นเพียงตัวแทนของยุคสมัย
    ยุคสมัยที่หาแก่นสารอะไรไม่ได้
    คนพยายามฝัน
    พยายามหาความสุข "เล็กๆ ง่ายๆ งามๆ" ตามแต่จะหา
    เพื่อที่ได้ไม่มองสิ่งที่เป็นจริง

    ฉันไม่ใช่คนมองโลกแง่ร้าย
    แต่ฉันมองโลกแง่จริง
    และฉันชอบสิ่งที่คุณธดาสื่อออกมา
    โดยคุณ : จันทร์เคียว - [ 23 ม.ค. 2544 , 13:31:58 น.] <!--203.146.64.169 : : --><!--203.146.64.169 : : -->
    <!--190.99.14.202, 203.151.14.238 : : 190.99.14.202, 203.151.14.238 -->
    <!--203.144.202.1 : : -->
    <!--203.170.180.62 : : -->
     
  4. A~MING

    A~MING เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,734
    ค่าพลัง:
    +1,730
    ต่างคน ต่างความคิด
     
  5. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 20

    คุณธดาเป็นคนที่มีความคิดละเอียดถี่ถ้วน
    ซะจนอาจจะมองและล้วงลึกถึงจิตใจคนอื่นมากไป
    ถึงขนาดตีความสิ่งที่เขาต้องการเสนอผิดเพี้ยน
    กินความหมาย และวัตถุประสงค์ของนิตยสารทั้งสองเล่มมากกว่าคนทำงาน
    เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิตยสาร 2 เล่มนี้ แต่ใจคอคุณจะให้คนในสังคม
    อ่านแต่หนังสือพระเครื่อง ฆาตรกรรมโหดๆ การเมืองฟ่อนเฟะ และวัยรุ่นจ๊ะจ๋า เลยรึ
    คุณบอกว่าสื่อพวกนี้ เปิดเผยโจ่งแจ้ง ดีกว่าพวกแอบแผงอย่าง a day และ summer
    คุณกำลังจะบอกว่าถึงฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียด เพราะ
    คุณไม่ต้องการจะสื่อสารบทความนี้ในความหมายที่ฉันเข้าใจ
    คุณไม่ได้บอกให้คนอ่าน a day ไปอ่าน หนังสืออาชญากรรม
    แต่เดี๋ยวก่อน
    แล้วตัวคุณล่ะ เข้าใจนิตยสาร 2 เล่มนั้นแค่ไหน
    แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณ ที่คุณนำเสนอความคิดแปลกแยกออกมาบ้าง
    โดยคุณ : นับดาว - [ 23 ม.ค. 2544 , 13:54:58 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 21
    ถูกพาดพิงถึงในกระทู้ดังกล่าว เลยอยากพูดนิดหน่อย ทั้งๆที่ผมไม่เคยเข้ามาโพสที่นี่ แต่ก็ติดตามอ่านอยู่เนืองๆ ที่อยากโพสที่นี่ ก็เพราะรู้สึกว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่ มองโลกในแง่ดีไงครับ :)
    ที่จริง คุณธดา เคยเขียนจดหมายถึงสิงห์สนามหลวง พูดถึงข้อเขียนชิ้นนี้ของผม ในลักษณะเดียวกันนี้-บอกตรงๆว่าผมชอบแฮะ ชอบที่เขาอ่านแล้วเข้าใจ
    ปัญหาก็คือว่า ที่จริงตัวตนของคนมัน fragmented คุณอาจจะนั่งสมาธิก่อนจะชำเราเด็กอายุ 14 ปี ก็ได้ และการนั่งสมาธินั้นก็อาจเป็นสมาธิที่ละเอียดและดีงามได้ด้วยเช่นเดียวกัน (เอ๊ะ! หรือคุณไม่เืชื่อ หรือคุณชอบมองคนเป็น "แบบ" เช่น ฆาตกรข่มขืนต้องไม่มีด้านอ่อนโยนอยู่ในใจ หรือนักมองโลกในแง่ดีต้องดีพร้อม)
    เพราะฉะนั้น คนที่ "พยายาม" มองโลกในแง่ดี จะเพื่อปลอบใจตัวเอง หรือเพราะมันง่ายต่อชีวิต ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องเป็นสาวกของลัทธิมองโลกในแง่ดีไปตลอดชีวิต ตลอดเวลา และคนที่มองโลกในแง่ร้าย (โดยไม่ต้องพยายามมากนัก) ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องมองโลกในแง่ร้ายไปตลอดชีวิตเช่นกัน
    เพราะ Self ของมนุษย์เรามัน fragmented ครับ!
    ผมชอบกินกาแฟ-แล้วใครจะทำไม
    พี่โหน่งชอบกินเบอร์เกอร์-ก็แล้วคุณจะทำไมล่ะ
    เราอาจจะกินแครมบูเล่ ตบท้ายด้วยมินต์จูเลปอยู่ที่เอ็มโพเรียม แต่ขณะเดียวกันก็มองเห็นปัญหาเรื่องช้างอย่างเข้าใจชาวกวยและป่าทามไปด้วยได้ในเวลาเดียวกัน
    ปัญหาก็คือ เรามักจะตัดสินคนที่เป็นอย่างนั้นว่าสองหน้า
    และเรามักพยายามสั่งว่า คุณต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
    อยากเป็นเอ็นจีโอ ต้องใส่ผ้าไทย คาดผ้าขาวม้า
    อยากเป็นสาวเซนเตอร์พอยต์ต้องใส่สายเดี่ยว
    อยากเป็นสมาชิกบุ๊คไซเบอร์ ต้องเต็มไปด้วยไฟฝัน (ในกระทู้ที่พูดถึงคุณเดชา ศิริภัทร ใครคนหนึ่งถึงกับประกาศว่า "ที่นี่" พูดกันถึงแต่เรื่องความฝันและจินตนาการ-เูธอเข้าใจผิดหรือถูกครับ)
    ปัญหาก็คือ เราไม่เคย "พยายาม" ทำความเข้าใจ
    ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า เรามองโลกในแง่ดีหรือแง่ร้าย
    แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเรามักจะเห็นปัญหาเป็นเหรียญที่มีสองด้าน
    ทว่าทุกปัญหามีมิติที่กว้างและลึกซึ้งมากกว่าแค่สองสามด้าน...มันมีเป็นร้อยพันแง่มุม (ใครอ่านสิทธารถะแล้วยังไม่ get เรื่องนี้ กลับไปอ่านใหม่สิครับ)
    a day อาจจะ nostalgia อาจจะ positive thinking ก็เป็นเรื่องของ a day ส่วน Summer จะเดินทางเท่ๆเก๋ๆ ก็เป็นเรื่องของ Summer
    คุณจะอ่าน a day ก็อย่าลืมแล้วกันว่ามี bullshit day หรือ nightmare ของคนอีกหลายล้านคนอยู่บนโลก และบางครั้งสิ่งที่เลวร้ายหรือ bullshit สำหรับพวกเขา ก็ไม่ได้ปรากฏอยู่ง่ายๆให้คุณเห็นกระจะตา บางครั้งมันก็ซ่อนอยู่ใต้โครงสร้างและรูปแบบที่เนียนเสียจนการมองโลกในแง่ดีมองเข้าไปไม่ถึง
    ส่วนถ้าใครอยากอ่าน Summer ก็ต้องรู้ด้วยว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะฤดูซัมเมอร์ให้ร่าเริงเบิกบานใจกันอยู่ฤดูเดียว มีฤดูที่พายุคลุ้มโหมคลั่ง มีฤดูที่หนาวเหน็บเสียดกระดูก และมีฤดูที่ไข้รากสาดน้อยระบาดจนคนตายเป็นเบือ
    คุณอยากจะอ่าน a day, summer, DNA, Space n' Time หรือแม้แต่ปาจารยสาร ก็อ่านเข้าไปเถอะครับ
    แต่อย่าหลง
    หรือถ้าจะหลง ก็ให้รู้ตัวว่าหลง
    ก็ถ้าจะหลง ใครจะทำไม ถ้า consent หรือรู้ตัวดีเสียอย่างว่าจะทำ จะหลง จะชอบ จะรัก ก็รักไปชอบไปหลงไป
    คุณธดาพูดว่ายังเคลือบแคลงผมอยู่ว่าอาจจะเป็นพวกฝันเฟื่อง คำตอบก็คือผมฝันแน่ครับ (และหลายครั้งก็เฟื่อง-ในความเห็นของสังคมมั้ง-ด้วย)
    ผมอาจจะไม่ได้ฝันหรือมีจินตนาการสวยงามแบบ nostalgia หรือ positive thinking อย่าง a day หรือฝันถึงการเดินทางไปค้นหาตัวตน (เฉพาะด้านที่สวยงาม?) อย่าง summer แต่ผมก็ฝัน หลังๆนี่มักจะฝันแบบ Hanif Kureishi อย่างในหนังสือเรื่อง Buddha of Suburbia ซึ่งตัวเอกมีเซ็กซ์กับผู้หญิงแต่หลงรักผู้ชาย และมีปัญหามากมายของความเป็นคนปากีสถานในลอนดอน
    ประเด็นของผมก็คือ ความฝันของเราต้องไม่ถูกจำกัดขอบเขต!
    รักจะ "แหกคอก" มองเห็นหรือเปล่าว่ารั้วที่ล้อมอยู่น่ะ มันใหญ่ แล้วก็ไม่ได้มีแค่คอกเดียว หลุดไปจากคอกแรกที่คิดว่าบีบรัดนักหนา ที่จริงก็ยังมีอีกหลายร้อยหลายพันคอกล้อมเอาไว้เป็นชั้นๆ แต่ละชั้นซ้อนทับกันจนเรายากจะแยกว่าคอกไหนใครล้อม
    บางทีก็เป็นเราที่สร้างคอกขึ้นมาล้อมตัวเอง


    ผมยังจำการนั่งจิบกาแฟในร้านหนังสือร้านนั้น ที่ผมเขียนลงใน Summer ได้ดี
    คนอ่านบางคนถามว่า ร้านนั้นชื่ออะไร-ผมจำไม่ได้
    จำไม่ได้จริงๆ
    แต่ผมมีความสุขที่ได้นั่งอยู่คนเดียวที่นั่น-และละเลยโลก
    บางทีความสุขก็เกิดขึ้นได้จากการละเลยโลกและปัญหาของโลกนี่แหละ
    แต่อย่าละเลยกันนานนักก็แล้วกัน



    โดยคุณ : โตมร ศุขปรีชา - [ 23 ม.ค. 2544 , 13:21:27 น.]
    โดยคุณ : แทน - [ 23 ม.ค. 2544 , 14:26:19 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 24
    หนังสือไม่สามารถเป็นศาสดาของคนอ่านได้หรอกค่ะ

    บทความคุณธดาสับสนเรื่อง "การมองโลกในแง่ดี" กับ "การมองโลกด้านเดียว"

    ข้อเขียนดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่ดีของ มุมมองด้านเดียว(ลบ)
    ที่มีต่อการมองโลกแง่ดี

    ที่สำคัญ หากมองว่าคนอื่น ปราศจากความสามารถที่จะแยกแยะ
    ปราศจากความคิด เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อวัฒนธรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

    คนในสังคมมีหลากหลาย ความคิดเห็นหลากหลาย รสนิยมหลากหลาย หนังสือก็หลากหลาย จะให้อยู่ในสังคม หรือบนแผงเดียวกันไม่ได้หรือคะ?

    บทความนี้อาจจะมีคุณค่าต่อการกระตุกให้ผู้มองโลกในแง่ดีอย่างเดียวจริง ๆ
    ได้ฉุกใจคิดที่จะมองโลกตามความเป็นจริงอย่างมีความหวังเสียบ้าง
    โดยคุณ : chan - [ 23 ม.ค. 2544 , 15:15:27 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 25
    หลากหลายความคิดนะครับ ทุกคนมีสิทธิ์คิด สมชายไม่ชอบคิดเพราะเป็นไมเกรน สมศรีชอบคิดวิเคราะห์ เพราะไม่ชอบทำตัวอยู่เฉยๆ ใครๆย่อมมีความต่าง ความแตกต่างทางความคิดเป็นเรื่องดีครับ ถ้าคนทุกคนอยากแต่จะปลูกบ้านแล้วใครจะปลูกข้าวล่ะครับ ท้ายแล้วผมก็มองในแง่ดีจนได้ มันเป็นสันดานน่ะครับ
    โดยคุณ : ebola - ICQ : 105578086 [​IMG] - [ 23 ม.ค. 2544 , 15:21:28 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 26
    เห็นด้วยหลายประเด็นโดยรวมที่เขียนมาค่ะ...คุณธดา
    ไม่ใช่เห็นด้วย เพราะมีความรู้สึกร่วมจากการที่คุณยกประเด็นของ a day และ summer ขึ้นมาวิเคราะห์ (เราได้อ่านนิตยสาร 2 หัวนี้ แค่หัวละ 1 ฉบับ) ไม่สันทัดเฉพาะกรณีของ 2 นิตยสารนี้เท่าไหร่

    แต่เราเคยและยังรู้สึกสงสัยแคลงใจมาตั้งนานแล้วว่า
    สื่อสิ่งพิมพ์ในเมืองไทยเนี่ยนะ น้อยมากที่จะเหมาะสมใช้คำว่า -สื่อทางเลือก- อย่างแท้จริง

    เพราะสื่อส่วนใหญ่ ยังคงเน้นเสนอแต่เรื่องของ -คนเมือง-
    เรื่องความหรูหรา ความคิดเท่ๆ คนมีชื่อเสียงในวงจำกัด
    คล้ายๆ กัน ส่วนเรื่องสำนึกพื้นฐานดีๆ ที่พร่องหายไปจากสังคม รวมถึงภาพชีวิตสามัญที่น่ายกย่อง ของคนระดับธรรมดาอื่นๆ มีให้อ่านน้อยมาก

    ยิ่งได้อ่านนิตยสารสมัยนี้ ยิ่งรู้สึกว่า -กรุงเทพฯ- นี่มันยิ่งใหญ่จริงๆ ในขณะที่ ชนบทที่สวยงาม - ก็เล็กจ้อยร่อยลงเรื่อยๆ ความมีน้ำใจ ความเรียบง่าย เรื่องเล็กๆ ที่แท้จริง
    เรื่องบางสิ่งที่โหดร้าย ไม่ค่อยได้ถูกนำมาเสนอให้อ่านเท่าไหร่

    มันจึงไม่น่าแปลกใจนัก ที่ทำไมเมืองไทยจึงยังเป็นประเทศที่มี -ช่องว่าง- ห่างไกลลิบๆ ระหว่าง -ชนบท- กับ -เมือง-

    กรุงเทพฯ คือ นครหัวโต เดินตามความทันสมัยอยู่ต้อยๆ
    เป็นเมืองหลวงที่มีห้างสรรพสินค้ามากมายกว่าห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์ - ติดอันดับโลก

    หากสื่อจะยังเน้นเรื่องการมองชีวิตเป็นเรื่องง่าย เรื่องดี เรื่องเล็ก ...ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ...เราคิดว่า ดีเสียอีกที่พยายามจรรโลงใจให้คนมองโลกในแง่ดี มีกำลังใจ แต่ถ้าจะเน้นกันมากเกินไปแต่เรื่องสวยงามจากสายตาของ -คนเมือง- ความคิดสร้างสรรค์เท่ๆ ของนักโฆษณา จัดหน้าตาหนังสือสวิงสวาย หลอกขายสินค้าควบคู่ไปด้วย...ละก็

    ในความคิดของเรา คุณไม่เพียงแต่ -ทอดทิ้ง- คนส่วนใหญ่ของประเทศไทยเพียงเท่านั้น แต่ยังชี้นำ -หลอกล่อ- ความศิวิไลซ์ให้เด็กๆ เดินมา -ติดกับ- เสียอีกด้วยแน่ะ ...

    เราไม่ได้อ่านนิตยสารไทยขายดีบ่อยนัก ปีนึงหามาอ่านแค่เล่มสองเล่ม อ่านแล้วก็รู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้พลาดอะไรเท่าไหร่ ที่พลาดและคิดถึงเสมอๆ นะ คือ พวกสื่อแผ่นพับ และสื่อท้องถิ่น ที่หาซื้อที่นี่ไม่ได้มากกว่า นั่นล่ะ สื่อทางเลือกที่แท้จริง...ในความรู้สึกของเรา
    โดยคุณ : แก้ว กังหัน - [ 23 ม.ค. 2544 , 16:06:36 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 27
    ความจริง ความดี ความงาม

    โลกมีมากกว่าบวก และมากกว่าลบ มากกว่าขาว และมากกว่าดำ

    ยอมรับโลก น่าจะดีกว่าหลงในโลกนะ
    โดยคุณ : KMS&หมาป่าสำราญ - [ 23 ม.ค. 2544 , 16:23:26 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 28
    เราอ่านทั้งสองเล่มค่ะ และ บางครั้งก็รู้สึกเช่นกันค่ะ
    เรารู้สึกบ่อยครั้งเหมือนกันว่า "ความฝัน"กำลังถูกสร้างให้เป็นกระแส คนที่พยายามฝันนั้นจะเหนื่อย แต่ใครที่ฝันอยู่เรื่อย งดงามอยู่ตลอด ก็เฝือเหลือเกิน
    แต่หากไม่มีฝัน หากไม่มีคนรักและเอื้อต่อกัน อ้าว ก็แย่อีก
    เอาแบบ พอดีๆ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
    มัชฌิมปฏิปทาก็น่าจะพอไหว นะคะ สาธุชนทั้งหลาย
    หลังจากอ่านจบแบบเวียนหัวมาก เพราะตาลาย
    เลยมีทั้งเห็นด้วยบางอย่าง ไม่เห็นด้วยบางอย่าง
    ก็อย่างว่าแหละ คนเรามีหลายอารมณ์จะตายไป
    บางครั้งก็อารมณ์ประมาณเดียวกับอะเดย์ (ล่าสุด คิดถึงมานีและชูใจ)
    แต่บางทีก็อารมณ์แบบซัมเมอร์แต่เคยเวียนหัวกับดีไซน์มากไปหน่อย
    และบางทีก็อารมณ์แบบว่า คลีโอ เปรียว แพรว ดิฉัน คู่สร้างคู่สม ขายหัวเราะ เพนท์เฮาส์ และดาราภาพยนต์ก็เคยมี
    ยังเหลือแต่พระเครื่อง แต่ก็ไม่รู้หรอกว่า อารมณ์นั้นจะมาเมือ่ไหร่กัน ไม่มีอะไรเป็นสรณะทางอารมณ์ความคิดได้หรอก ทุกอย่างมันเกิดจากการผสมผสาน การบูรณาการทางความคิด
    การจับเอานั่นนิด นี่หน่อยจากสิ่งที่เคยมีในประสบการณ์
    มาผสมผสานกันเข้าเป้นการเรียนรู้
    เป็นข้อสรุปในการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคล
    ดังนั้นเนี่ย ก็อย่างที่มีใครสักคนพูดเมื่ออยู่ข้างบนนั่นแหละค่ะว่า หนังสือไม่มีทางเป็นศาสดาของคนได้
    เราก็เห็นด้วยเช่นกัน สื่อทุกชนิดนั่นแหละ
    ไม่มีทางจะเป็นศาสดาของคนที่มีสติกำกับเสมอได้หรอกค่ะ
    จะเชื่ออะไรก็อย่าลืมกาลามสูตร (อ่านดีๆ ไม่ใช่กามสูตร อันนั้นว่ากันอีกที)
    หลายครั้งที่เราจมอยู่กับกองหนังสือของนักเขียนที่บทความได้ร่ายชื่อมา
    เราก็พลอยอยู่ในอารมณ์เช่นเดียวกับพวกเขาไปด้วยเช่นกัน มันเป็นอานุภาพของตัวหนังสือ
    แต่เมื่ออ่านจบแล้ว เราก็ไม่ได้โลดแล่นทำตัวตามเขาในบัดดลเสียหน่อย
    เราก็มานั่งตรึกนั่งตรองถึงความเป็นไปได้ในชีวิตของเราเองเหมือนกัน
    เราอ่านคุณบินหลา ปั่นจักรยานผ่านภูเขา แต่เราก็รู้ดีว่าเราต้องเลือกเดินทางด้วยอย่างอื่นที่เหมาะกับเรา เช่น รถโดยสารสีส้มของ บขส. เป็นต้น
    เราเห็นเพลงดาบฯ เดินทางข้ามโลก แต่เราก็รู้ว่าจำนวนเงินในกระเป๋าเราไม่เอื้อ
    เราก็แค่เดินทางข้ามเรือข้ามฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เท่านั้นเอง ก็มองเห็นกอดอกผักตบลอยสวยได้
    แต่เราก็ไม่ได้มีอารมณ์สวยงามอะไรกับสิ่งเล็ก ๆน้อย ๆ อยู่ตลอดเวลา
    เราก็ยังมีอารมณ์เขกหัวหมา ด่าลูกแมว ทะเลาะกับฟ้า ด่าแช่งดิน เช่นกัน
    เราไม่ได้ละเมียดอยู่กับไอละมุนของกาแฟเท่านั้น เราก็ยังเคยมึนไปกับสาโทก็มี น้ำเปล่าผสมน้ำแข็งที่ดื่มไปดื่มมาก็เจอเศษกระสอบก็เคยเจอ
    เคยมีคนเหยียบเท้าบนรถเมล์ เราก็อภัยให้เขา แต่ถ้าหลายครั้งเข้าก็แอบกระทืบกลับไปเหมือนกัน
    ทั้งที่เรารู้ว่าพระไตรปิฎกบอกว่า "ความอดทนคือความทนทาน เป็นตบะอย่างยิ่ง" ก็ตาม
    เราก็ต้องมีการปรับใช้ให้ถูกกับกาลเทศะเช่นกัน หุหุ
    แนวความคิดที่จะซ่อนขยะไว้ใต้พรมก็คงดี หากคิดว่ามันจะทำให้ใจสบายขึ้น เพราะมองเห็นแต่ความสะอาดเบื้องบน แต่ลึก ๆ เราเองย่อมรู้ว่า ขยะมันอยู่ตรงหน วันใดจะมีใครมาเปิดเจอ
    หากเราคิดว่าเดี๋ยวเราก็ตายจากไป ทิ้งเอาไว้ให้คนอื่นเก็บ มันก็ไม่แปลก หากอยากจะคิดเช่นนั้น
    แต่หากจะเริ่มเก็บบ้างเล็ก ๆน้อยๆ มันก็ดี จะได้ไม่ขึ้นราไปหมด
    อยากปลูกดอกไม้ประดับโลกก็ปลูกไป ยังดีกว่าปล่อยให้ดินรกร้างว่างเปล่า
    ดอกไม้จะสวยหรือไม่ ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดินอย่างเดียวหรอกน่า
    ดอกบัวที่เกิดใต้โคลนตมก็ยังบานสวยพอจะเก็บไปบูชาพระได้
    มองโลกอย่างที่มันเป็นกันเถอะค่ะ ไม่ใช่ดูให้ทันสวยกว่าที่มันสวย หรือ ดูให้มันเลวร้ายกว่าที่มันเลวร้าย ก็เท่านั้นเอง



    โดยคุณ : ไผ่แก้ว ณ กิ่งกานต์ - ICQ : 45720587 [​IMG] - [ 23 ม.ค. 2544 , 17:06:13 น.]<!--202.182.5.149 : : -->
    <!--193.79.169.16 : : -->
    <!--203.170.128.57 : : -->
    <!--134.96.70.150 : : 134.96.70.150 -->
    <!--203.155.251.115 : : 203.155.251.115 -->
    <!--203.146.64.169 : : -->
     
  6. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 29

    ผมว่ามันเป็นทางเลือก ที่จะแตกออกมาจากพวกแฟชั่น หรือ
    ตรงข้ามกับภาพข่าว อุจาดตา พาดหัวข่าว ที่โจ่งแจ้ง
    ในไทยรัฐหรือ ข่าวสด จะว่าเป็นอันตราย
    มันก็อันตรายทุกอย่างแหละครับ ถ้าขาดปัญญากำกับ
    ไม่แตกต่างจาก หนังฮอลีวู๊ด หรือ "บางระจัน"
    ปัญหา คือ การปิดกั้น การผูกขาด และ
    -การสมยอมที่ไม่คำนึงถึงความถูกต้อง
    -การยอมสยบต่อ ความสุข ความสบายของคนบางกลุ่ม
    ด้วยคำว่า เสียงส่วนใหญ่
    -ธุระไม่ใช่ หรือ ฉันไม่เกี่ยว หรือ ไม่มีใครเดือดร้อน
    ผมว่า พวกนี้อันตรายกว่า
    โดยคุณ : ยุทธ(ดวงตาตะวัน) - ICQ : 15821076 [​IMG] - [ 23 ม.ค. 2544 , 17:17:21 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 31
    เหมือนคนเราสมัยนี้ว่างมากเลยเนอะ
    หรือเพราะเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากไป
    คุณภาพชีวิตที่ดีเกินไป ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น
    คิดเรื่องโน่นเรื่องนี้มากขึ้น
    ไม่ต้องไปกังวลว่า จะต้องรับผิดชอบภารกิจอะไร
    เกี่ยวกับตัวเองมากนัก
    เสื้อผ้าก็ปล่อยให้เครื่องจัดการให้
    ข้าวปลาอาหาร ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ ของหมายเลขโทรศัพท์เบอร์ต่าง ๆ ทุกอย่างสะดวกสบายมากไปหน่อย
    เลยว่างมาก คิดมาก
    คิดไป คิดมา กลายเป็นฟุ้งซ่านไปเลย
    จะเอาเรื่องเอาราวอะไรไม่มีเลย
    เชื่อไปไหมว่า หากไม่มีคอมพิวเตอร์อยู่ตรงหน้า
    หากไม่พิมพ์และส่งกันง่ายดายอย่างนี้
    หากยังต้องเขียนลงบนกระดาษ จ่าหน้าซองปิดแสตมป์
    แล้วเดินไปยื่น ณ ตู้ไปรษณีย์
    จะมีสักกี่ข้อความอตบกลับมาให้ได้อ่านกัน
    บางทีก็ขอบคุณแหละเทคโนโลยีจ๋า
    แต่กำลังเปรย และปรารภว่า คนสบายมากไปเท่านั้นเอง
    ไม่ได้กำลังว่าเทคโนโลยีไม่ดีนา
    กลับมาเรื่องเดิม ากใครเลยศึกษาวิวัฒนาการของวรรณกรรมไทย ก็คงทราบว่า มันพัฒนากันมาเป้นยุค ๆ
    เริ่มกันที่ "ยุควรรณวิจิตร" งดงาม หยดย้อย ด้วยสารพัดฉันท์ สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ อินทรวิเชียร์ฉันท์
    "ยุคความคิดใหม่" ที่เริ่มมีแนวความคิดในการเขียนเปลี่ยนไป มี ฉันทลักษณ์แปลก ๆกวีวรรณรูปอะไรโผล่เข้ามา
    "ยุคใฝ่การเมือง" เพราะสังคมเป็นไป สังคมที่กำลังเปลี่ยนระบบการปกครอง ทำให้ศิลปะหันมารับใช้ประชาชน ในอีกด้านมากขึ้น ก็เลยไม่มีกวีคนไหน ไม่เขียนถึงการเมือง การปฏิวัติ การปลดแอก
    "ยุคเฟื่องการรัก" เมื่อหนักข้อเข้า คนเราก้เริ่มหลีกหนีอีกครั้ง ไปรำพันกันกันถึง "อารมณ์เอ๋ย โอ้ว่าอารมณ์รัก"เข้าให้อีกครั้งหนึ่งเพราะว่า ใฝ่การเมืองแล้วเจ็บตัว จึเริ่มถอยออกไปหาความสุขแบบชั่วคราวกันไปตามเรื่อง
    "ยุคชักธงรบ" กลับมาสู่การทนภาวะที่เรื่อยเปื่อย ไม่ได้ก็เริ่มชักธงรบกันแล้ว เหยี่ยว... ก็เริ่ม.. กระหยับปีกกลางเปลวแดด... เริ่มลั่นกลองกันถ้วนหน้า ปลายปากกาของกวีก็กรีดอยู่ในหัวใจทรราชทั้งปวง
    มาถึงวันนี้เมื่อทุกอย่างเข้าสู่ปกติแล้ว เราไม่ดิ้นรนอะไรกันแล้ว จึงหาทางออกไม่พบ เขาจึงเรียกกันว่า
    "ยุคยังไม่พบเส้นทาง" จึงมีหลายคนพยายามหาทางออก
    สร้างกระแสไปตามแต่สภาพสังคมจะเป็นไป เราไม่เชื่อว่าจะมีใครพยายามตั้งตัวขึ้นมา เพื่อให้คนส่วนใหญ่เห็นดีเห็นงามด้วย โดยไม่มีเหตุผลแวดล้อมที่เหมาะสมหรอก แต่มันเป็นเรื่องของสภาพสังคมชวนให้เป็นไปมากกว่า
    คนยุคนี้ ยุคที่จบการศึกษา ระดับปริญญาตรีกันค่อนประเทศ
    รู้จักกลวิธีในการคิด ในการนำเสนอความคิดและอื่นๆ ทำให้เกิดความมั่นใจในความคิดของตนเองอย่างยิ่ง คนที่ตรองได้ลึกกว่าจะสร้างสิ่งที่น่าชื่นชมได้มากกว่า
    และสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่คล้ายกับอย่างนี้ แต่ยังคิดไม่ได้อย่างนี้ ยังต้องการผู้นำทางความคิด เมือ่มาประสบเข้ากับคนที่เขาสามารถเสนอสิ่งที่ตัวเองคิดแต่เสนอไม่ได้ขึ้นมา ก็ศรัทธาปสาทะ อย่างยิ่ง
    ก็จะคล้อยตามเขาไปด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะใครสักคนที่เป็นเสมือนตัวแทนของยุคสมัย เช่นพี่โหน่ง หรือพี่ประภาสก็ตามแต่ ก็จะเฮละโลกันไป
    ไม่ต่างจากสมัยหนึ่งที่คนเฮ ตามไปฟังพระดังๆ บางรูปเทศนา หรือ แม่ยกตามไปฟัง ไชยา มิตรชัย ร้องเพลง
    (แม้คนทั้งหมดที่กล่าวมาม่เหมือนกันเสียเลยทีเดียว แต่ภาพรวมก็คล้ายคลึงนะคะ)
    คือคนเราเมื่ออยู่ในสภาวะที่เคว้งคว้าง ไร้สิ่งยึดเหนี่ยวทางความคิดเนี่ย ก็ต้องแสวงหากันเป็นธรรมดา บางคนอาจจะยึดได้ขอนไม้ บางคนอาจจะยึดได้เชือกฟาง หรือบางคนอาจจะยึดได้เรือดำน้ำครุยส์ก็ไม่มีใครรู้ได้ เพราะจริตหรือสิ่งปรุงแต่งภายในจิตเป็นสิ่งที่จะชักจูงไป ก็เท่านั้นเอง
    ไม่มีใครมอมเมาใคร หากผู้อ่าน ผู้ฟัง หรือผู้ปฏิบัติ ทำไปอย่างมีสติกำกับ เฮ่อ....เหนื่อย...แฮ่ะ ๆ (นี่ก้เป็นอีกกระแสพิลึก ๆ อย่างหนึ่งของเราเอง รู้สึกว่าการโพสต์ข้อความนี่เป็นภารกิจอันใหญ่หลวง ไม่ทำไม่ได้อย่างไรไม่รู้ ฮ่าฮ่า ทั้งที่ไม่รู้ว่าใครจะมาอ่าน นี่ก็คงเพราะว่างมากไปเหมือนกันกระมัง)
    โดยคุณ : ไผ่แก้ว (อีกที) - ICQ : 45720587 [​IMG] - [ 23 ม.ค. 2544 , 18:03:26 น.]


    <!--203.148.204.89 : : --><!--168.120.13.14 : : 168.120.13.14 -->
     
  7. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 33

    ขอพูดตามตรงว่าผมเป็นแฟนงานเขียน ของคุณประภาส ชลศรานนท์ครับ
    และผมก็อยากให้ทุกท่าน ลองอ่านบทความตอบจดหมายของพี่เขาสักฉบับ
    ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นการดี ที่จะได้ฟังความจากอีกฟากบ้างครับ

    สวัสดีค่ะพี่ประภาส

    คิดถึงแม่เภาค่ะ อ่านใน "ตัวหนังสือคุยกัน" แล้วยิ่งชอบแม่เภาอีกหลายเท่า ทั้งๆ ที่ตอนเป็นละครวันแม่คราวนั้นก็ชอบมากอยู่แล้ว

    วันก่อนไปเข้าแถวสั่งไก่ทอดแล้วเห็นคนแซงคิวหน้าตาเฉยเลย อยากให้แม่เภามาอยู่แถวนี้จัง จะได้จัดการกับคนพรรค์นี้ให้หน่อย

    เพียงใจ

    ผมก็คิดถึงเหมือนกันครับ แม่เภานี่

    รู้ตัวไหมครับว่าที่คุณเรียกหาแม่เภา และอยากให้แม่เภา มาจัดการกับคนชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่นนั้น เป็นเพราะอะไร

    เมื่อปลายปีที่แล้วผมไปพูดที่ธรรมศาสตร์ เรื่องที่พูดก็เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับการเขียนหนังสือและการมองโลก มีกระดาษที่เขียนคำถามหลายแผ่น ส่งมาจากผู้ฟังพูดถึงแม่เภาของผม แล้วก็มีการพูดถึงแม่เภาในทำนองที่ว่า คนอย่าง "แม่เภา" นั้นน่าจะมีอยู่ในสังคมไทยเยอะๆ

    ประโยคข้างบนกำลังบอกพวกเราว่าอะไรรู้ไหมครับ

    ถ้าจะแปลแบบง่ายสุดก็คือสังคมไทย เป็นสังคม ที่มีคนชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่น อาศัยอยู่มากมาย ฟังดูน่าจะใช่

    แปลเป็นอย่างอื่นได้อีกไหม

    ผมคิดอย่างนี้ครับ ผมคิดว่าสังคมทุกสังคมในโลก ย่อมมีการเอารัดเอาเปรียบกันอยู่ตลอดเวลา ไม่มากก็น้อย คนที่แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า หรือหน้าด้านกว่ามักจะเป็นคนเอาเปรียบ และผมก็คิดว่ามันมีอยู่ทุกที่แหละครับ ไม่เพียงแต่ในบ้านเราหรอก ในอเมริกาประเทศที่แสนเจริญ นี่ก็ตัวดีเลย เอาเปรียบกันทุกวินาทีถ้ามีช่อง

    แต่มันผิดกันตรงนี้ครับ

    คนที่ถูกเอาเปรียบในบ้านเราไม่ใคร่ลุกขึ้นต่อกร และมักพูดกันว่า คนไทยเราเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ใครทำอะไรเรา เราก็ถือเสียว่าหยวนๆ แล้วก็ตามด้วยคำพูดว่า ขอกันกินยังมากกว่านี้เลย

    แต่แม่เภาของพวกเราไม่เป็นอย่างนั้น ใครทำอะไรไม่ดีต่อคนอื่นๆ แม่เภาก็ซัดเอาตรงๆ ดุจเกลือจิ้มเกลือเลยทีเดียว

    ผมจึงว่าจริงๆ แล้วในตัวทุกคนนั้นมี "แม่เภา" อยู่

    หลายครั้งที่ผมคิดถึงแม่เภา เพราะในบางโอกาสผมก็อยากทำ อย่างที่แม่เภาทำกับคนขี้ฉ้อเหล่านั้น แต่ที่เราไม่กล้าทำอย่างที่แม่เภาทำ เพราะคนไทยเป็นคนขี้เกรงใจ เรามักจะใช้ชีวิตประจำวันไปอย่างเดิมๆ โดยไม่กล้าเปลี่ยนแปลงอะไร ทั้งๆ ที่เราต้องยอมรับว่าบางครั้งชีวิตประจำวันบางเรื่อง มันก็ไม่ค่อยยุติธรรมนักสำหรับส่วนรวม

    ผมสร้างแม่เภาเราขึ้นมาเป็นตัวแทนของคนที่กล้าต่อกรกับความเห็นแก่ตัว แม่เภาไม่เคยมองข้าม แม้กระทั่งความฉ้อฉลเล็ก ๆ น้อยๆ อย่างกิโลชั่งเงาะถ่วงน้ำหนักของแม่ค้า

    พูดอย่างนี้เหมือนกับจะบอกว่า แม่เภาก็คือ ตำรวจดีๆ คนหนึ่งใช่ไหม

    แม่เภาไม่ได้ต่อสู้กับคนที่ทำผิดกฎหมาย แต่แม่เภาต่อสู้กับคนที่ทำผิด ต่อคนอื่นในแง่ความเป็นธรรม คนขายหนังสือห่อหนังสือด้วยพลาสติกอย่างมิดชิด โดยไม่ให้คนซื้อเห็นข้างใน ดูอย่างไรเขาไม่ผิดกฎหมายเลย แต่เขาผิดต่อคนอื่นในความเห็นของแม่เภา และเรื่องอย่างนี้แม่เภาก็ไม่ค่อยยอมเสียด้วย

    วันนี้ขอแม่เภาแสดงอีกสักครั้ง ตามคำเรียกร้องนะครับ แต่ก็อย่างที่ขึ้นหัวไว้ สงสัยคราวนี้แม่เภาจะเสียท่าเสียแล้ว

    แม่เภาลงมากรุงเทพฯเพื่อมาเยี่ยมลูกสาวที่เกษตร แต่ทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ ยายพิมพ์ลูกสาวแม่เภาก็ไม่ว่างเอาเสียเลย ตื่นเช้ามาก็ไปมหาวิทยาลัยทำกิจกรรมทั้งสองวัน แม่เภาไม่รู้จะอยู่บ้านคนเดียวทำไมเลยออกมาหาหนังดูสักเรื่อง

    ผมเปิดฉากนี้ที่แถวของผู้คนที่เข้าคิวรอซื้อตั๋วดูหนัง แม่เภายืนอยู่ประมาณกลางๆ แถว ข้างหลังแม่เภาเป็นหญิงสาวร่างอ้อนแอ้น เธอมากับแฟนหนุ่มผมยาวซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กัน ข้างหน้าแม่เภาเป็นเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษา

    ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินมองซ้ายมองขวา มาจากทางไหน แม่เภาเราก็ดูไม่ทัน มาถึงก็เดินเข้ามาแทรกตัวข้างหน้าเ ด็กหนุ่มนักศึกษาคนนั้น ภาพที่เกิดขึ้นทั้งหมดแม่เภาเห็นเต็มตา

    แม่เภาสะกิดชายหนุ่มนักศึกษา "พ่อหนุ่ม.. บอกเขาหน่อยว่า อย่าแซงคิวเลย" แม่เภาพูดเบาๆ

    เด็กหนุ่มท่าทางขี้เกรงใจ ทำท่ากระสับกระส่าย แล้วก็ส่งยิ้มให้แม่เภา "ไม่เป็นไรหรอกครับ"

    "ไม่ดีหรอกลูก..บอกเขาเถอะ" แม่เภาพูดยิ้มๆ เหมือนเวลาสอนลูกๆ ของแม่เภาเอง

    เด็กหนุ่มหันรีหันขวางแล้วก็ไม่กล้าพูดอะไร แม่เภาเห็นท่าไม่ได้การ จึงพูดขึ้นลอยๆ

    "เข้าคิว ไม่ดีกว่าหรือคะคุณ"

    ชายวัยกลางคนคนนั้นยังคงยืนเฉยอยู่เหมือนไม่ได้ยินเสียงแม่เภา

    "คุณคะ..เข้าคิวเหมือนคนอื่นๆ ไม่ดีกว่าหรือคะ" แม่เภาใช้เสียงที่ดังขึ้น ชายวัยกลางคนค่อยๆ หันมา

    "ผมไม่ได้แทรกหน้าคุณป้า คุณป้าเกี่ยวอะไรด้วย จริงไหมน้อง" เขาหันไปหาพวกเฉยเลย เด็กหนุ่มทำหน้าไม่ถูก

    "ไม่เป็นไรหรอกคุณป้า" เด็กหนุ่มยิ้มแหยๆ

    "ไม่เป็นไรไม่ได้หรอกลูก..แทรกหน้าหนูก็เหมือนแทรกหน้าป้าด้วย เพราะหนูยืนอยู่หน้าป้า"

    "คนเดียวแค่นี้ ไม่เสียเวลามากหรอก ขอแค่คนเดียวเอง" หนุ่มใหญ่เผชิญหน้าแม่เภา

    "ก็คิดกันอย่างนี้นะสิ บ้านเมืองถึงได้ยุ่งเหยิงแค่นิดจะเป็นไร ไอ้นิดหน่อยนี่ถ้ามันมารวมกันเยอะๆ นี่ปัญหาเต็มบ้านเต็มเมืองหมด คนเรามันต้องมี.."

    "ไม่ต้องหรอกคุณ" ชายวัยกลางคนตัดบท "ไม่ต้องมาสอนผมหรอก"

    เขาโบกมือให้แม่เภาหยุดพูดแล้วก็เดินออกจากแถวอ้อม มาแทรกในแถวใหม่ โดยยืนอยู่หลังแม่เภาและยืนอยู่หน้าหนุ่มสาวคู่นั้น

    "ขอลัดคิวคนหนึ่งนะครับ ขอบคุณมาก" ชายวัยกลางคนเหมาเอาดื้อๆ สองหนุ่มสาวหันมองหน้ากันพูดอะไรไม่ออก แม่เภาหันกลับไป

    "หนู..ไม่ทำอะไรสักหน่อยหรือ" แม่เภาชักอยากกัดไม่ปล่อยแล้ว

    "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ" หญิงสาวพูดขึ้น แต่ไอ้หนุ่มผมยาวแฟนเธอนั่นสิอยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมา "ผมว่าน้ากลับไปต่อคิวดีกว่า"

    "ต้อม..ไม่เป็นไรหรอกให้เขาแทรกคนเดียวเองนี่"

    "อย่าลูก...อย่าห้ามเขา" แม่เภาพูดขึ้น "หนูต้องให้กำลังใจเขาถึงจะถูก แฟนหนูทำถูกแล้วนี่" แม่เภาหยุดไม่ได้แล้ว

    "ผมขอแทรกคนเดียวเอง" ชายวัยกลางคนเสียงอ่อนลง "แถวมันยาวมาก ผมกลัวซื้อตั๋วไม่ทัน"

    "พูดอย่างนี้ก็เห็นแก่ตัวสิคะคุณ" แม่เภาพยายามคุมอารมณ์ "คนอื่นเขาก็มาคอยเหมือนกัน"

    "ปกติผมก็ไม่ทำอย่างนี้นะครับ แต่บังเอิญหนังเรื่องนี้ผมต้องพาหลานมาดู เด็กเขาต้องทำรายงานส่งวันจันทร์ ถ้าไม่ดูวันนี้ ก็ต้องดูรอบดึกกว่านี้อีก เดี๋ยวรายงานก็ไม่ทัน"

    ชายกลางคนชี้ไปที่เด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ห่างจากแถวไปประมาณสี่ห้าเมตร เด็กหญิงอายุประมาณสิบขวบเศษๆ ได้ เธอไว้ผมเปียหน้าตาเธอดูมีกังวล และยิ่งตอนนี้ผู้คนบริเวณนั้นเริ่มหันมาดูคู่กรณีที่เริ่มส่งเสียงถกเถียงกัน

    "หนู..เป็นหลานน้าคนนี้เหรอ" ไอ้หนุ่มผมยาวร้องถามเด็กเพื่อความแน่ใจ เด็กหญิงพยักหน้า

    "ถ้าอย่างนั้น..เชิญแทรกตรงผมนี่ก็ได้" ชายหนุ่มเริ่มใจอ่อน ไม่เพียงแต่พ่อหนุ่มคนนี้หรอกที่เริ่มใจอ่อน แม่เภาเอง ก็ขี้สงสารเด็กง่ายไม่ใช่เล่น

    "ไม่รู้สิ" แม่เภาโพล่งขึ้นมา "มันไม่ค่อยถูกอย่างไรก็ไม่รู้ หรือหนูว่ามันดีแล้วอย่างนี้" แม่เภาหันมาหาชายหนุ่มหญิงสาวคู่นั้น เด็กหนุ่มสาว ไม่ตอบแต่ชายวัยกลางคนพูดขึ้นมาทันที

    "ทำไมล่ะคุณ..เด็กเขาเต็มใจแล้วนี่ แล้วผมก็แค่แทรกคนเดียวเอง ซื้อตั๋วแค่สองใบเท่านั้น"

    แม่เภารู้สึกจี๊ดขึ้นมาในสมองทันที เธอล่ะเกลียดเหลือเกินกับไอ้ประโยคมักง่ายที่ว่า "แค่คนเดียวเอง" นี้

    "ถ้าไม่อยากให้แทรกคิวไม่แทรกก็ได้ผมฝากซื้อแล้วกัน กลัวเด็กอดดู" ลุงของเด็กหญิงเริ่มเสียงดัง เขาเริ่มรู้สึกว่าคนแถวนั้นเริ่มมองแม่เภาด้วยสายตาตำหนิที่เรื่องมากไม่เข้าเรื่อง

    "คุณคิดว่าคิวเขามีไว้ทำไม คิวนี่เขามีไว้สำหรับการมาก่อนหลัง มันเป็นความยุติธรรมพื้นฐานของสังคมเลย" แม่เภาชักรู้ตัวว่าเสียงดังรีบลดเสียงลง "แล้วทุกคนก็มีเหตุผลส่วนตัวทุกคนนั่นแหละว่าต้องดูรอบนี้ อย่างฉันถ้าไม่ดูรอบนี้ก็คงอดดูเพราะพรุ่งนี้ก็ต้องขึ้นเครื่องบินแล้ว"

    "คนเดียวไม่เป็นไรหรอกป้า" ชายหนุ่มผมยาวพูดขึ้น สายตาหลายคู่มองมาที่แม่เภา.. เหมือนจะถามว่าแม่เภาจะว่าอย่างไร

    แม่เภาเองก็รู้สึกเหมือนจะจนมุม ความถูกผิดในความคิดของแม่เภานั้นมันเป็นเหมือนเสาไม้ที่ปักอยู่กลางบึง แต่ไอ้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเล็กๆ น้อยๆ นี่สิจะว่าไปมันช่างเหมือนโคลนเลนที่ไม้ปักอยู่เหลือเกิน แม่เภารู้สึกว่าการประคองเสาไม้ให้ยังคงปักอยู่ตรงๆ คราวนี้ทำไมมันยากเหลือเกิน

    และยังไม่ทันที่แม่เภาจะพูดอะไรออกไป ผู้คนแถวนั้นก็ต้องเงียบกริบไปทั้งหมด เมื่อเด็กหญิงผมเปียคนนั้นพูดขึ้น "คุณลุงขา..หนูอยากภูมิใจค่ะ"

    "อะไรเหรอลูก" ชายวัยกลางคนถามงงๆ

    "ถ้าเราได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วบังเอิญ มีใครอีกสักคนสองคนต้องอดดู เพราะเราแซงคิวเขา หนูคงรู้สึกไม่ดีแน่" ลุงของเธอยืนนิ่งไป

    "เราไปเข้าคิวกันเถอะ หนูอยากภูมิใจ"

    เด็กน้อยเดินมายกมือไหว้แม่เภา "หนูขอโทษด้วยค่ะคุณป้า"

    ส่วนผู้เป็นลุงนั้นท่าทางจะโมโหจัด "ถ้าไม่อยากดูก็ไม่ต้องดู รายงงรายงานไม่ต้องทำมันแล้ว" พูดจบเขาก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยรีบวิ่งตามไปทันที

    บนรถเมล์ขณะที่กำลังกลับบ้านหลังดูหนังจบ แม่เภานั่งนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ นี่แม่เภาแพ้หรือ ทำไมแม่เภารู้สึกสงสารเด็กคนนั้นขึ้นมาจับใจ

    เธอจะมีรายงานส่งครูหรือเปล่า เธอจะถูกผู้เป็นลุงทำโทษเอาหรือเปล่า

    รถเมล์แล่นเร็วขึ้น ลมจากหน้าต่างรถเมล์พัดผมแม่เภากระเจิงไป แม่เภารวบผมแล้วก็เอาที่คาดผมมาคาดใหม่ อย่างน้อยที่สุดแม่เภาก็มั่นใจว่า สังคมของเราน่าจะมีคนที่รู้สึกรับผิดชอบต่อคนอื่นอย่างมั่นคงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน แม่เภาคิดอย่างนั้น

    ด้วยความเคารพครับ
    โดยคุณ : new kid in town - ICQ : ๒๕๑๕๒๕๑๒ [​IMG] - [ 23 ม.ค. 2544 , 18:51:35 น.] <!--161.200.128.11 : : 161.200.128.11 -->
     
  8. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 35

    ชอบบทความชิ้นนี้มากค่ะ หลายอย่างโดนใจ แต่ก็มีหลายอย่างเหมือนกันที่ไม่โดน
    เราเองก็เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายคนหนึ่ง และมักจะมองเห็นอะไรร้ายๆ ที่แอบซ่อนเอาไว้ใต้หน้ากากที่ฉาบเคลือบน้ำตาลเอาไว้เสมอ จนทำให้มีคนไม่ชอบขี้หน้า เพราะดันไปทำให้ความเห็นแก่ตัวที่บางคนเขาปิดไว้จนมิดชิด ภายใต้ท่าทีแบบคนมองโลกในแง่ดี ความมีน้ำใจเล็กๆน้อยๆ (จนเขาเองก็หลงคิดไปว่าตัวเองเป็นคนดี) เปิดเผยออกมา
    แต่สำหรับอะ เดย์ กับซัมเมอร์ (รับประจำทั้งคู่) เราว่าเจตนาของคนทำหนังสือทั้ง 2 เล่ม คงไม่ได้แย่ขนาดนั้น เราก็ไม่รู้นะว่าคุณวงศ์ทนง กับคุณบก.ซัมเมอร์เป็นพวกที่เอาแต่แสวงหาความสุขให้กับตัวเอง ไม่ใส่ใจกับปัญหาของคนอื่นรึเปล่า เพราะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่อาจจะเป็นไปได้ไหมว่า พวกเขาทั้งคู่อาจต้องการทำหนังสือแบบเฉพาะทางก็ได้ คือ เฉพาะทาง positive thinking กับเฉพาะทางท่องเที่ยว เลยทำให้ดูเหมือนกับละเลยบางอย่าง (รวมถึงปัญหาสังคม) ที่ไม่ใช่แนวทางหนังสือของพวกเขาไป
    แต่คนอ่านนี่สิ เราว่าไม่ควรอ่านหนังสือเฉพาะทางมองโลกในแง่ดี หรือหาความรื่นรมย์ให้กับชีวิตอย่างเดียว ควรหาหนังสือเฉพาะทางอื่นๆ หรือจะหลากหลายแนวทางก็ได้มาอ่านด้วย จะไม่ได้มองอะไรแค่ด้านเดียว
    ขอบอกว่าชอบบทความชิ้นนี้มาก (แม้จะไม่เห็นด้วยซะทั้งหมด) ตรงที่ออกมากระตุ้นเตือนให้ตรวจสอบความคิด การกระทำของเราใหม่ ขุดลงไปให้ลึกๆ ยิ่งลึกเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะจิตคนเรามันซับซ้อนนัก ไอ้สิ่งที่เราคิดว่าดีน่ะ มันอาจแฝงไว้ด้วยภัยอันตรายจนน่าขนหัวลุกก็ได้
    โดยคุณ : คนมองโลกในแง่ร้าย - [ 23 ม.ค. 2544 , 20:00:40 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 36
    อ่านบทความแล้วรู้สึก ขอชื่นชมผู้เขียน ว่าคุณ ธดา นายแน่มาก ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นหญ้าที่โอนเอนไปมาจริงๆ ไม่ว่าบทความนี้จะเป็นของขมสำหรับบางคน แต่ก็เป็นการกระตุ้นเตือน ว่าโลกเรามีมากกว่าหนึ่งอย่าง และดีใจที่มีคนกล้าออกมาแสดงความคิดของตัวเองตรงไปตรงมาเช่นนี้
    อย่างไรก็ตามแล้วก็เห็นว่าหนังสือดังกล่าวก็ไม่ถือเป็นพิษเป็นภัยไปเสียหมด ในเมื่ออยู่บนกระแสของทุนนิยม ถ้าไม่ดี ก็ล้มไป ก็เท่านั้น แต่การปลูกฟังให้คนรักการอ่าน ทำให้วัยรุ่นหรือไม่รุ่นที่เบื่อหน่ายกับสิ่งเดิม ได้มีทางเลือกมากขึ้น มันก็เหมือนคนที่ลองคบทำความรู้จักกับคนหลายประเภทไปเรื่อยๆ นั้น ได้รู้จักโลกหลายๆแง่ และคิดว่าอานิสงของการอ่านหนังสือที่แตกต่างหลากหลายมากขึ้น ก็จะมีปัญญาแยกแยะ จนค้นพบหนังสือที่ใช่หรือไม่ใช่สำหรับตัวเอง แต่อ่านหนังสือไว้ ไม่เสียหายหรอกค่ะ ยังไงแล้วสถิติการอ่านหนังสือของคนไทยก็ยังต่ำจนหน้าใจหายเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
    ไม่แน่ว่าสักวันคนอ่านหนังสืออาจจะคิดได้อย่างคุณ หรือคิดต่างไปจากคุณ ต้องขอขอบคุณหนังสือต่างๆที่สื่อให้เรามาตั้งสติ และใช้ปัญญามากขึ้น พูดคุยกัน
    โดยคุณ : หนูดำ - [ 23 ม.ค. 2544 , 20:03:10 น.]



    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 37
    จะเอาอะไรมากมาย
    กับหนังสือเล่มหนึ่ง
    คิดถึงตอนหนังสือของดำรงค์ อารีกุล
    ถูกโจมตีจาก "ฝ่ายซ้าย" ในขณะนั้น
    จะเอาอะไรกันนักหนา
    อ่านแล้วก็รู้สึกว่า
    "มองโลกในแง่ดี" นั้น สนุกกว่าเยอะเลย

    หวังว่าคงไม่ต้องมาอีกรอบนะ : )
    โดยคุณ : yas - [ 23 ม.ค. 2544 , 20:03:44 น.]


    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 41
    อ่านจนจบทั้งกระทู้ครับ
    ครึ่งชั่วโมง

    ผมเพิ่งรุ้สึกตัวว่า ผมกำลังอ่าน
    การมองโลกในแง่ดีที่ปะปนอยู่กับการมองโลกในแง่ร้ายของคุณธดาครับ

    ชอบและดีใจที่สังคมนี้ยังมีคนคิดมากอยู่ครับ
    คิดมากพอที่จะรู้สึกระแวดระวังภัยที่จะเกิดขึ้น
    กับตนเองหรือสังคมก็ตามแล้วส่งสัญญาณเตือนทันที
    (นี่เป็นสัญชาตญาณระวังภัยของมนุษย์อยู่แล้ว)

    แต่ที่ผมคิดต่อก็คือ การที่เราคิดมากจนเกินไป หรือทำอะไรบางสิ่ง
    ที่มากจนเกินไป ลืมคำนึงถึงความพอดี
    และไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เรากำลังกล่าวถึงมากพอ
    อันนี้มันก็กะไรๆอยู่ครับ

    อย่างไรก็ตาม
    ผมเชื่อในพลังของความฝัน ความหวัง...และความพยายาม

    ถ้าโลกนี้ มีแต่ความคิดในแง่ลบ ปราศจาก 3 สิ่งที่ว่านี้
    โชอิชิโร ฮอนด้า คงไม่มีโอกาสผันตัวเองจากเด็กยากจนลูกคนเผาถ่าน
    มาเป็นผู้ให้โอกาสวิศวกร ผลิตฮอนด้า ซีวิค กว่า 12 ล้านคัน
    ให้คนทั้งโลกขับขี่ เพื่อเอาเงินกลับไปลงแข่ง F-1 สานฝันกันต่อ

    เมจิก จอห์นสัน คงทุกข์ทรมาณ และเสียชีวิตเพราะเอดส์ไปตั้งแต่ ปีแรกที่รู้ตัวว่าตนติดเชื้อแล้ว

    ไมเคิล แจ็คสัน คงไม่มีโอกาสทำเพลง Heal the world และอาจยังเป็นคนงานดำๆในเมืองแกรี่
    รัฐอินเดียนนาเช่นเดียวกับพ่อและพี่น้องทั้งหมด

    คุณวันฉัตร ผดุงรัตน์ ก็อาจยังคงทำงานในการบินไทยต่อไป โดยไม่มีคิดทำเว็บไซต์ pantip.com

    แชมป์จักรยาน Tour de France คนล่าสุด อาจเป็นใครที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ หนุ่มคนที่ต่อสู้กับโรคมะเร็งคนนั้น

    และสังคมของเราอาจยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความน่าหดหู่และสะพรึงกลัวจากความไม่แน่นอนทางการเมืองอยู่
    เป็นไปได้ทั้งสิ้น


    ในฐานะ "คนทำหนังสือตัวเล็กๆ" คนนึง
    โปรดเชื่อเถอะครับ
    คนทำหนังสือจำนวนมากในเมืองไทย มีความเป็นห่วงและใส่ใจ
    ต่อปัญหาของสังคม ไม่ต่างอะไรจากคนอื่นๆเลย
    เพียงแต่ว่า เขามีอำนาจหน้าที่ได้เพียงแค่กระตุ้น
    ให้ผุ้คนในสังคมได้รับทราบถึงวิธีการแก้ไขเท่านั้น

    และหลังจากได้คุยกับพี่โหน่งเป็นการส่วนตัวแล้ว
    เชื่อและมั่นใจค่อนข้างมากว่า
    พี่โหน่ง ไม่ได้คิดที่จะสร้างภาพที่ฉาบฉวยในลัทธิทุนนิยม
    อะไรประการนั้นให้กับผู้อ่านเลย
    ทุกสิ่งที่เห็นเป็นเจตนาที่เพียวบริสุทธิ์มากๆ

    แต่มีข้อหนึ่งที่ต้องไม่ลืมกันก็คือ
    เมื่อเวลาผ่านไปอีกสัก 25 ปี
    ถ้าคุณเกิดอยากรุ้ว่าในปีนี้ 2544 มันมีอะไรเกิดขึ้น และ
    ความคิดอ่านของผุ้คนในสังคมนั้นเป็นไปประการใด

    คุณคงรู้แล้วใช่ไหมครับว่า
    หน้าที่หลักอีกหย่างหนึ่งที่นอกจากจะให้ความบันเทิง
    ทั้งในด้านสะเทือนใจ (จะด้านบวกหรือลบก็ตามแต่)
    หรือเบาสมองผ่นอคลายแล้ว

    การบันทึกประวัติศาสตร์ เป็นอีกหน้าที่หนึ่งของนิตยสารครับ และค่อนข้างจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีจุดยืน
    ระมัดระวังไม่ให้ส่อไปในเชิงที่คุณธดากำลังคิด

    ไม่ได้มาแก้ตัวให้ใครครับ เพียงแต่ว่าอยากให้
    ได้มองอะไรที่สมดุลกัน ไม่ใช่มองแต่แง่ดี หรือแง่ร้ายเพียงอย่างเดียว

    ผมไม่คิดเปลี่ยนความคิดให้คุณธดาคิดใหม่ครับ
    ไม่เคยแม้แต่คิด
    เพียงแต่กำลังจะเสนออีก 1 แนวคิดให้ลองพิจารณาดู

    ผมชอบความเห็นของคุณโตมรมากๆครับ

    และทำให้ผมได้คิดอะไรอีกอย่างนึง
    พฤติกรรมนี้ คนในสังคมไทยชอบเป็นกัน

    พฤติกรรม steriotyping แบบไม่มีเหตุผล
    และไม่มีวิจารณญาณที่ดีพอ

    ขอยกตัวอย่าง
    เกย์ต้องมั่ว sex อย่างเดียวเลยเหรอคับ?
    ที่ผมเห็นมา เกย์ที่เป็น NGO ที่ดีๆ ช่วยเหลือแก้ปัญหา
    เด็กถูกทอดทิ้งก็มีครับ

    อันต่อมา NGO นี่ต้องเลวไปหมดเหรอครับ?
    ไม่เสมอไปครับ แม้ว่าจะเป็นแบบนั้นเป็นส่วนน้อยก็ตาม

    อีกอันนึงพอ
    คนขับเบนซ์ต้องเป็นคนรวย
    อันนี้เถียงครับ ประเภทผ่อนไม่หมด หรือได้เงินมาจาก
    ทางสกปรกก็มี

    การ steriotyping หรือการจัดกลุ่มในความคิดของตน
    ตามสิ่งที่ได้เจอมา แบบนี้
    สืบเนืองมาจาก "พฤติกรรมการบริโภคสื่อ
    โดยปราศจากวิจารณญาณ" ครับ

    ผมชอบที่เจ้านายผมเคยพูดมากครับ
    อยากเอามาให้ได้อ่านกัน
    "คนไทย พอซื้อผักซื้อปลา เลือกแล้วเลือกอีก
    แต่พอจะรับข่าวสารมา ไม่เลือก แต่กลับเชื่อเลย"
    คนไทยอีกเยอะครับที่เป็นแบบนี้

    ก่อนจบ ก็อยากบอกว่ารู้สึกดีครับที่
    คุณธดา เลือกบริโภคสื่ออย่างชาญฉลาด
    แต่ก็ไม่อยากให้คุณธดา ใช้วิจารณญาณของตน
    ไปชี้เปรี้ยงว่าผู้อื่นอันตราย

    เราจะไม่มีทางรู้ว่าฆาตกรฆ่าขมขื่น
    เขารู้สึกอย่างไรเมื่อกำลังจะถูกแขวนคอ
    จนกว่าเราจะได้พุดคุยกับเขาก่อน
    โดยคุณ : JIMMY @ THAIDRiVER - ICQ : 51869965 [​IMG] - [ 23 ม.ค. 2544 , 21:11:35 น.] <!--203.148.218.8 : : --><!--203.147.53.92 : : 203.147.53.92 -->
    <!--161.200.152.166 : : 161.200.152.166 -->
    <!--129.0.10.53 : : 129.0.10.53 -->
     
  9. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 43

    "แต่ก็ไม่อยากให้คุณธดา ใช้วิจารณญาณของตน
    ไปชี้เปรี้ยงว่าผู้อื่นอันตราย "

    แล้วคนอ่าน คุณธดาไม่มี วิจารณญาณ เหรอฮับ
    เค้าชี้ แล้ว เชื่อไม่เชื่อ อยู่ที่คนอื่านนี่ครับ
    เมื่องานออกสู่สาธารณะ และ มันก็ไม่มี author แล้วนี่ครับ
    ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า author คิดอะไร
    แต่ จัดการมันในฐานะ ตัวบท ชิ้นหนึ่งๆ พอ
    อ่านคุณจิมมี่ แล้วงงๆ ว่า อย่าไปตัดสิน ตัวบท ของคนอื่นๆ
    แต่ขณะเดียวกัน คุณก็ตัดสิน ตัวบท ของ คุณธดาไปแล้ว
    โดยบอกว่า อย่ามาใช้วิจารณญา ฆ่า (ชี้นำ) คนอื่น ถ้าไม่ได้ คุณกับเค้าก่อน
    ยังไงๆ ไม่รู้

    ต่อมาฮับ คุณเจ้าชายน้อย ฮับ
    ผมว่า คุณอาจรับ "ประเด็oที่ code36" สื่ออกมาไม่หมด
    เค้าไม่ได้เอ่ยนะครับ ว่า คิดถึงหรือไม่คิดถึง
    แต่ให้ดู กลวิธีการเขียนตอบจมหมายนะครับ
    ว่าการเขียน ว่า "กลับบ้านเถอะ" นี่ มันสวยงามมาก แต่ขณะเดียวกัน ความสวยงามตรงนี้ ก็ไป "กลบปัญหา" อื่นๆ ไปเสียหมด จนลืมว่า มันมีปัญหาอื่นๆ ซ่อนอยู่ เช่น
    หมอนวดกลับไปอ่างก็ดี ปัญหา เรื่อง ชาย-หญิง ชายมีเมียน้อย การกดขี่ทางเพศ
    ซึ่งแน่นอน พอตอบว่า " กลับบ้านเถอะ" เราก็จะได้ ความซึ้งใจมาแทน จน ไม่เห็ฯความสำคัญ ของ เหตุการ์ และปัญหาอื่นๆ
    เห็นไหม ฮับ

    คิดว่า ประเด็นตรงนี้หล่ะ ที่มันอันตราย คงไม่ใช่ กลุ่มคน ที่คุณธดายกมา แต่เป็น วิธีการ
    คุณก็อ่าน กามู นี่ครับ น่าจะจำ การถกเถียงระหว่างกามู และซาร์ตร์ เรื่อง เป้าหมาย -กลวิธีได้นี่ครับ


    จริงไหมนี่
    โดยคุณ : ME - [ 23 ม.ค. 2544 , 21:37:14 น.]

    แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 44
    อาชีพใคร อาชีพมันครับ
    จะให้หนังสือทุกเล่มสะท้อนปัญหาสังคม มีบทความแก้ไขปัญหาความยากจนของประชากร..มันคงเป็นไปไม่ได้ หรือจะเอากัน
    ไฝ่เรียน ไฝ่รู้สิครับ จะได้ไม่ด้อยโอกาส
    ศิลปะ คือสิ่งจรรโลงจิตใจ และจรรโลงโลกนี้
    ปล่อยให้ศิลปินทำงานของเขาไปเถิดครับ
    อย่าให้ศิลปินต้องจับปืนออกรบเลย..ตายเปล่าๆ
    โดยคุณ : วัชระ ปานเอี่ยม - [ 23 ม.ค. 2544 , 21:40:16 น.]

    <TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 45
    ผมคิดว่าคนอ่านทั้งสองเล่มนี้
    น่าจะมีความคิดเป็นพื้นฐาน
    ผมอ่าน a day summer เพราะเรื่องการคิด
    ถ้าเกิดเขาหยุดคิด หรือยํ่าอยู่กับที่
    ผมคงหยุดอ่าน
    หรือถ้าเกิดผมเบื่อผมก็หยุดอ่าน
    เเละถ้าเดือนนั้นเงินหมดผมก็ต้องหยุดอ่าน
    เเละก็เป็นอย่างนี้กับนิตรสารทุกเล่ม
    โดยคุณ : เคน - [ 23 ม.ค. 2544 , 22:22:31 น.] <!--161.200.129.167 : : 161.200.129.167 --></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 46
    ผมเป็นนักศึกษาวิชาออกแบบสิ่งพิมพ์รู้สึกไม่สบายใจ กับความคิดของคุณธดา เรื่องที่มองการจัดหน้าอย่างดูแลเอาใจใส่เป็นการมอมเมา เท่ากับสิ่งที่ผมเรียนมามันผิด ต้องจัดหน้าโฆษณาให้มันแย่ๆ อย่างเดียวหรือ? คนทําหนังสือทั้งสองเล่ม ( summer จะชัดกว่า )มีความเคารพในวิชาชีพการออกแบบอย่างสูง จนปิดไว้ไม่มิด
    ปัญหาของการทําสิ่งพิมพ์ดีๆ พวกเราได้รับฟังจากอาจารย์ และรุ่นพี่มามากมาย ส่วนหนึ่งมาจากจํานวนคนอ่านหนังสือของประเทศเรามีน้อยนิด ระบบทุนนิยมก็ครอบคลุม ความคิดสร้างสรรค์ไว้ จนขยับตัวแทบจะไม่ได้ ผมรู้สึกเจ็บปวดกับการที่วิชาชีพ ไม่ได้รับการยอมรับดังที่ควรจะเป็นครับ
    เรื่องอื่นผมเห็นด้วยบ้างไม่เห็นด้วยบ้าง แต่ผมมีความรู้สึกคล้าย ๆ กับตอนที่ได้ยินคนที่ฟังดนตรีแบบนึง หรือดูหนังแบบนึง แล้ววันนึงมันมีคนทําเพลงอีกแนว หรือหนังอีกแบบที่ไม่เหมือนกับมาตรฐาน ที่เคยเป็นมา หมอนี้ออกมาชี้เลยว่าไม่ใช่แล้ว ความคิดแบบนี้ก็อันตรายครับ
    โดยคุณ : เอ - [ 23 ม.ค. 2544 , 22:46:44 น.] <!--203.147.54.29 : : 203.147.54.29 --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 47
    จะขอเสนอความเห็นเฉพาะ a day เนื่องจากเป็นหนังสือที่ซื้ออ่านตั้งแต่เล่มที่ 1 น่าสงสัยว่าคุณธดาอ่าน a day แค่เล่มเดียว (หรือไม่ก็ 2 เล่ม) เพราะที่เห็นยกข้อความมามันแคบและน้อยเหลือเกิน ที่สำคัญ เป็นการ QUOTE หรือ 'ตัดต่อ' เฉพาะบางข้อความที่ทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายๆถ้าใครไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อน a day ไม่สนใจสังคมอย่างนั้นหรือ a day เล่มล่าสุด เดือนม.ค. มีสารคดีภาพเรื่องเด็กป่วย เด็กถูกทำร้าย ที่อ่านแล้วสะเทือนใจมาก คุณธดาทำไมไม่หยิบยกมากล่าวถึงบ้างล่ะครับ ขอออกความเห็นด้วยความเคารพ
    โดยคุณ : วัฒน์ - [ 23 ม.ค. 2544 , 22:52:01 น.] <!--203.147.56.169 : : 203.147.56.169 --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><!--203.170.146.152 : : 203.170.146.152 -->

    <!--192.168.1.99, 203.149.42.28 : : 192.168.1.99, 203.149.42.28 -->
     
  10. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    <TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 48
    คนในโลก 100 คน จะให้เหมือนกันหมดได้อย่างไร
    สูง ต่ำ ดำ ขาว แสดงออกแตกต่างกันไป
    ก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยไหนแล้วไม่ใช่หรือ
    โดยคุณ : mmm - [ 23 ม.ค. 2544 , 23:19:43 น.] <!--203.147.9.30 : : 203.147.9.30 --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 49
    อ่านจนตาลาย ความคิดหลากหลาย... ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ใน "สาระ"

    บางทีผู้เขียนบทความนี้อาจจะเขียนยาวไปหน่อย รายละเอียดเยอะไปหน่อย .... เอาเป็นว่าผมจะคุย "สาระ" เท่าที่ผมเข้าใจก็แล้วกันครับ
    ...
    ...
    สำหรับคุณธดา บางทีอาจจะรู้สึกปวดใจกับประวัติศาสตร์บางตอนของฝรั่งเศสเมื่อ "ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ไม่มีข้าวจะกิน" แต่พระนางแมรี อังตัวเน็ตกลับตอบว่า "ไม่มีข้าวกิน ก็กินขนมปังแทนสิ"

    เช่นเดียวกับบทบาทของหนังสือทั้งสองเล่มที่คุณธดากล่าวถึง ถ้าหากเป็นเพียงหนังสือที่ซื้อ "เสพ" ตามความชอบใจส่วนบุคคลแล้ว ก็คงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด... การประกาศเป็น "ทางเลือก" ของการ "บริโภคด้วยสายตา" ก็คงจะไม่เป็นปัญหาเช่นเดียวกัน...

    สิ่งที่เป็นปัญหาคืออะไร?... คือประโยคนี้ของโตมรครับ
    ------------------------------------------
    "...ทุกวันนี้ การมองโลกในแง่ดีกลายเป็นกระแส กลายเป็นแฟชั่น กลายเป็นธงรบ กลายเป็นศาสนาและกลายเป็นของเก๋ของคนกลุ่มหนึ่ง แต่บางทีอาจจะเก๋เกินไป-เพราะการมองโลกในแง่ดีหลายครั้งไม่ได้
     
  11. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    <TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 55
    วิธีที่ดีที่สุดนะครับ ใคร่ชอบ ชอบ ใคร่อ่าน อ่าน ใคร่รู้ รู้
    โดยคุณ : zoolala - [ 24 ม.ค. 2544 , 1:26:10 น.] <!--203.148.188.163 : : 203.148.188.163 --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 56
    สมมติให้คุณธดาลองยกตัวอย่างสิ่งที่คุณธดาได้ทำเพื่อสังคมส่วนรวม อะไรก็ได้มาซัก 3 ข้อ.......................
    ......................................................................
    บางที..สิ่งเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่คนที่คุณธดาพาดพิงถึงได้ทำ
    มาก่อน..หรืออาจจะทำอยู่ก็ได้นะคะ
    โดยคุณ : ตะแบกบาน - [ 24 ม.ค. 2544 , 1:44:28 น.] <!--203.149.35.112 : : 203.149.35.112 --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 57
    คุณธดาเขียนมาอย่างนี้ ปิดทางตอบโต้ของหนังสือ2เล่มนี้เลยครับ(ดักไว้หมดแล้ว)
    คิดลึกซึ้งดี...เห็นด้วยครับ!
    a day น่าจะลดๆอะไรๆที่มัน in trend ลงหน่อยนะ
    โดยคุณ : winston - [ 24 ม.ค. 2544 , 2:54:56 น.] <!--203.146.64.166 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 58
    ชอบบทความของคุณค่ะ
    ความคิดนั้นจะถูกหรือผิด ไม่มีใครตัดสินได้
    จะให้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน หรือ ? ก็ใช่ที่
    เห็นด้วยกับที่มีคนบอกว่า อ่านแล้วก็ควรจะคิดตาม

    เพราะฉะนั้นจึงชอบที่คุณคิดมา
    และปลุกให้คนอื่นคิดตาม
    ตบกันคนละนิด เกลากันคนละหน่อย
    ตบซ้าย ตบขวา ตบไปตบมา
    เดี๋ยวก็พอเหมาะได้ที่พอดีค่ะ

    มันเป็นเช่นนั้นเอง มาแล้วทุกยุคทุกสมัยที่คนในสังคมต้องมานั่งถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิดกัน

    ดีใจที่ได้รู้จักค่ะ
    โดยคุณ : โมโม่ - [ 24 ม.ค. 2544 , 4:28:26 น.] <!--203.144.197.10 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 59
    เศร้า เสียใจ สนุกตรงไหน เสียน้ำตา
    ใช้เวลา เศร้าให้น้อยก้อคงดี

    เหงาก้อพบคนโลกสับสนมีเยอะไป
    เพลียก้อตรงไป เก็บ โลกสดใสไว้บนเตียง


    เหนื่อยมั้ย กับการคิดแบบนี้น่ะ

    เราอ่านทั้งสองเล่มนะ ติดตามตลอด
    พออ่านบทความนี้จบ แล้วรู้สึกเหมือน เป็นคอมมูนิสต์เลย
    โดยคุณ : ไบก้อนไฟฟ้า - [ 24 ม.ค. 2544 , 4:48:05 น.] <!--192.168.9.35 : : 192.168.9.35 --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 60
    เห็นด้วยกับธดา
    โดยคุณ : ิำิำbe - [ 24 ม.ค. 2544 , 7:03:16 น.] <!--202.28.119.100 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 61
    อ่านอีกรอบและคิดตาม หากทั้ง a day และ suumer เห็นเรื่องเล็ก ๆ ในมุมมองที่โรแมนติก และมองโลกแง่ดี และยอมรับที่จะอยู่กับมัน จริงอยู่ในภาวะหนึ่งมันคือ สิทธิ แต่อีกภาวะหนึ่งคือ การยอมจำนนท์ การที่มีคนยอมจำนนท์อยู่สังคมจะขาดโอกาสได้ลิ้มลองของใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ถ้า พ่อค้ายอมรับระบอบกษัตริย์ ระบบศักดินาก็ยังคงดำรงอยู่ หรือถ้าพวกทาสยอมรับว่าการเป็นทาสเป็นสิ่งที่สวยงาม ระบบสังคมทาสก็ยังคงมีอยู่ ถ้ากรรมกรในโรงงานยอมรับว่า ค่าจ้างที่นายจ้างให้พอใจแล้ว ค่าแรงขั้นต่ำปานนี้คงเป็น 80 บาทต่อวันเหมือนเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ในเรื่องเล็ก ๆ เช่นกัน แต่เป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะใหญ่
    คือ ภาพ รายทาง ได้เขียนเรื่อง "ขอทานเกลื่อนกรุง เพราะคนกรุงกอบโกย"
    http://www.thaitopic.com/swebboard/00026.html
    เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำเช่นกัน แต่เขาโยงไปถึงปัญหาระดับชาติ ปัญหาระดับโครงสร้าง ในมุมมองของภาพ รายทาง ช่างแตกต่างจาก มุมมองของหนังสือสองเล่ม ที่สะท้อนผ่านคุณธดา เสียยิ่งกระไร
    โดยคุณ : กัลยา - [ 24 ม.ค. 2544 , 7:56:55 น.] <!--203.144.202.95 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 62
    น่าจะได้ไปพิจารณาความคิดของตนให้เป็นกลางก่อนแล้วค่อยมาเขียนบทความชิ้นนี้นะครับ เพราะคุณสุดไปขั้วหนึง
    การดำรงชีวิต น่าจะเดินสายกลางไม่ใช่หรือครับ แล้วมองและเปิดโอกาสให้กับสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นอีกด้านหนึง เพราะบางครั้งคุณเอง ก็มีความรู้เพียงแค่น้อยนิดในเรื่องหนึ่งๆ โดยเฉพาะเรื่องที่อยู่อีกขั้วหนึงของคุณด้วยแล้ว เพราะความรัก และความเชื่อในสิ่งใด ทำให้เห็นสิ่งนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น
    อย่าเลยครับ ถ้าจะปิดกั้นความคิด และความเชื่อที่กำลังจะสร้าง และเดินออกไปหลายๆ แนว ในทางเดินที่ไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่คนรุ่นก่อนแม้แต่คนรุ่นคุณ กำหนดไว้ ประเพณีนิยม นั้นทำได้แต่เพียงบางส่วนเท่านั้น
    อย่าทำให้เด็กรุ่นผม ต้องเดินอยู่ในกรอบเดิม และจากเส้นที่ขีดฆ่าเอาไว้ว่าอย่าไปใกล้ เพราะความรู้ที่เคยมีนั้นน้อยยิ่ง
    โดยคุณ : tetin - [ 24 ม.ค. 2544 , 8:43:58 น.] <!--161.200.128.51 : : 161.200.128.51 --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 63
    อ่านที่คุณธดาเขียนแล้วก็ทำให้สำนึกขึ้นมาได้ค่ะว่าตัวเองหลงลืมอะไรบางอย่างไป และปล่อยให้อะไรบางสิ่งมันล้นเลอะเทอะ ที่ใช้คำว่าสำนึกเพราะรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เขียนอย่างนี้อย่าเพิ่งสรุปว่าดิฉันเห็นด้วยกับคุณะดาในเรื่องของนิตยสารทั้งสองเล่ม เรื่องที่รู้สึกและสำนึกได้ไม่เกี่ยวกับการมี หรือไม่มีนิตยสารค่ะ

    .... .กลับมาเรื่องนิตยสาร ดิฉันคิดว่า มันอยู่ที่เราจะเอาทฤษฎีไหนมาจับ หรือมาวัด ความถูกผิด .... คิดให้ถูกก็ง่ายนิดเดียว ...คิดให้ผิดยิ่งง่ายใหญ่

    ....
    โดยคุณ : ชื่นเช้า ณ เช้าชื่น - ICQ : 97085533 [​IMG] - [ 24 ม.ค. 2544 , 9:13:51 น.] <!--161.200.139.107 : : 161.200.139.107 --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 64
    จดหมายถึงคุณ ธดา

    สวัสดีครับ
    ว่าจะอดใจไม่อ่านเพราะงานยุ่งทั้งๆที่วันนี้เป็นวันหยุด
    แต่แล้วก็เข้ามาอ่านจนได้ต้องลองนำเสนอซะหน่อย

    ถ้าผมคิดแบบคุณ ธดา ผมคงว่า คุณ ธดานี่แน่มาก นำเสนอถึงมุมมองที่ตั้งใจจะให้ถกกันต่อ
    อีกนานเลย เป็นการนำเสนอเชิงตรงกันข้ามกับคนที่ตามงานของ a day , summer และ นักเขียนรุ่นใหม่ รวมถึงมติชน หน้า 14 ล้วนๆ
    ละเลยที่จะพูดถึงแง่ดี ซึ่งหากมองแล้วคงมีบ้างเพราะ กลุ่มที่ถูกเขียนถึง คงจะมีแง่ดีในการนำเสนอให้เขียนถึงบ้าง
    แต่หาก ผมคิดอีกแบบ แบบที่คุณ ธดา พยายามจะสื่อถึง และผมก็เชื่อใจว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น

    คุณ ธดาคง อยากจะ(นี่ผมกำลังจะเสนอในมุมมองสวยๆอีกแล้ว) เตือนให้ระวังเรื่องกระแส ,เรื่องความฝัน เรื่องความสวยงามที่ว่า
    ฯลฯ แต่ให้หันมาใส่ใจกับโลกของความเป็นจริง ชีวิตและสังคมรอบข้างมากขึ้น เพราะข้อเขียนหรืออะไรก็ตามที่ปรากฎใน งานของ
    a day , summer และ นักเขียนรุ่นใหม่ รวมถึงมติชน หน้า 14 ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่ออกไปทางที่คุณ ธดายกมา
    ซึ่งจริงๆแล้วมีเรื่องที่นอกเหนือจากที่คุณ ธดายกมา ในมุมมองที่น่าขัดแย้งอยู่ด้วย ในตัวอย่างเรื่อง แม่ เภา ซึ่ง มีคนยกมาตอบไปแล้ว
    ซึ่ง คุณ ธดาเอง ก็คงตั้งใจที่จะไม่พูดถึง เพราะตั้งใจที่จะเตือนให้ระวังกันมากกว่า ในเรื่องของสิ่งสวยงาม ความฝัน ความหวัง
    ที่เป็นเรื่องดีๆ สวยๆ ที่a day , summer และ นักเขียนรุ่นใหม่ รวมถึงมติชน หน้า 14 รวมทั้งอีกหลายๆสื่อ นำเสนอ
    เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องดีๆ ที่อ่าน แล้วมีความสุข จนบางทีฝันตามไปด้วย
    แต่ คุณ ธดา คงอยากให้ มองที่เห็นสิ่งไม่ดี ไม่งามบ้าง
    ทุกเรื่อง ไม่ได้สวยไปซะหมด ดีไปซะหมด ความฝันแม้ไม่ทำร้ายใคร แต่ก็ใช่ว่า จะง่ายและจะสวยไปซะหมด
    บางที อาจจะเป็นกระแสให้มองโลกใบนี้กันงามๆบ้าง เพราะจริงๆแล้วทุกเรื่องในโลกก็ไม่งามไปซะหมด คนเห็นแก่ตัวยังมีอยู่เยอะแยะ
    อาชญากรรม สงคราม ความเสื่อมโทรม ก็มีอยู่เต็มไปหมด ซึ่ง คุณ ธดา คงจะกลัวว่า เรื่องดีๆ สวยๆงามๆ ที่คุณ ธดาคิดว่าเป็นกระแสอยู่ ตอนนี้
    จะฝังอยู่ในคนทั่วไปจนละเลยและมองข้ามมันไป และเผลอๆ หากไปหลงอยู่กับมันมาก ไม่คิดถึงความจริงและความเป็นไปได้เข้าจะยิ่งแย่
    เพราะหากเห็นทุกอย่างสวยไปหมด แล้วเกิดวันหนึ่ง กลับเห็นตรงข้าม หรือตั้งใจที่จะละเลยไป อย่าที่คุณ ธดาว่า จะยิ่งเลวร้าย

    อ่านจบผมยอมรับเลยว่าในแว๊ปแรกผมเห็นแตกต่าง ผมนึกถึงเรื่องแม่เภา ของพี่จิก ประภาส มาแย้งกับคุณ ธดา อยู่ในใจ
    แต่พอคิดอีกที ผมกลับคิดถึง เรื่องของฟอเรส กัมป์(สวยอีกแล้ว) ที่พูดถึง จอห์น เลนนอน ว่าไม่รู้คนบ้า อะไร มาพูดจาไม่รู้เรื่อง
    แล้วพ่น ควันบุหรี่ ออก ทีวี จากนั้นไม่นาน ก็ถูกคนบ้ายิงตาย คงจะเป็นแบบเดียวกันมั๊งครับ
    จอห์น เลนนอน ที่มีคนนิยมชมชอบ ชื่นชม เลียนแบบแม้กระทั่งคิดตาม ทั่วโลก
    ก็เขียนและร้องถึงแต่เรื่องดีๆ สวยๆ เช่น Imagine, Love me do, Hey jude
    เรื่องความงาม,ความฝัน ความรักตามแบบอย่างกันมาก แต่ตัวเองกลับพ่นควันบุหรี่ออกทีวี สุดท้ายถูกยิงตาย

    คุณธดาคงจะกลัวว่าหลายๆคนอาจจะหลงระเริงไปกลับความฝัน ความงาม ที่คุณ ธดาว่า เหมือนนางเอกในเรื่อง ฟอเรสกัมป์
    เรื่องร้องเสรีภาพ พยายามตามความฝันที่จะเป็นนักร้อง ละเลยหลายสิ่งหลายอย่างไป มองทุกอย่างสวยไปหมด สุดท้าย ทุกอย่างผิดคาด หลงเข้าไปมาก
    แล้วผิดหวังจนเกือบฆ่าตัวตาย (โชคยังดีที่เป็นหนังเพราะหนังมักชอบที่จะทำให้ตอนจบมีความสุข เนื่องจากคนดูชอบมากกว่า)

    ผมว่าคุณ ธดา คงจะอยากให้คิดกันอย่างนี้กันมากว่า
    แต่ผมเชื่ออยู่อย่างว่าคนอ่านทั่วๆไปมีวิจารณญานพอ คงจะไม่ละเลยอะไรบางอย่างกันไป ถ้าผมเข้าใจถูก ก็ขอบคุณที่เตือนกัน
    แต่ถ้าผมเข้าใจผิด????? คิดไม่ออกแฮะ
    นี่ผมเข้าใจถูกไหมนี่
    โดยคุณ : Korn - [ 24 ม.ค. 2544 , 9:30:44 น.] <!--203.114.230.84 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 65
    มองโลกในแง่ดี ให้ผลร้าย
    มองโลกในแง่ร้าย ให้ผลดี.....

    สิ่งเล็กๆที่งดงาม....ชุมชนพึ่งตัวเองได้
    ปัญหาโครงสร้าง...โลกใบใหญ่

    โลกความจริง
    โลกความฝัน.....

    เมินเฉยต่อปัญหา-บิดเบือนความจริง
    ล้วนแต่คือผล...จากสิ่งที่กลุ่มนี้เป็น
    ทำไมหนอคุณถึงไม่หยิบยกข้อดีข้อเสียของทั้งสองฝ่ายมาพูด เพื่อให้เห็นความแตกต่าง
    อยากรู้เช่นเดียวกันว่า คนมองโลกในแง่ร้าย เค้าแก้ไขปัญหาระดับโครงสร้างอย่างไร

    นอกจากเอ่ยอ้างถึงความเลวร้ายของคนกลุ่มนี้แล้ว
    คุณยังพาดพิงไปถึง อาชีพของคนอีกหลายกลุ่ม
    ซี่งแต่ละอาชีพมีความรับผิดชอบต่างกัน และมีข้อดีข้อเสียเช่นเดียวกัน

    มองโลกคนละมุม มองฝันคนละด้าน
    และการมองสิ่งต่างๆด้วยมุมเดียว แล้วสรุป....

    ใครเป็นอย่างไรกันหนอ

    ไม่มีเลยหรือ แง่ดี (นอกจากสายตาที่มองโลกในแง่ดี)ในสิ่งที่พวกเรากำลังทำ กำลังเป็น ขณะนี้
    ล้วนส่งผลร้าย ให้โลกและชีวิตกระนั้น

    และเรา...เป็นอีกคนหนึ่งที่ตกอยู่ในภาวะการณ์ที่ถูกมอมเมาจาก
    พี่จิกและเหล่าสานุศิษย์สะดือ รวมปราย ด้วยใช่หรือเปล่า

    โดยคุณ : สายลมกบฎ - [ 24 ม.ค. 2544 , 10:34:28 น.] <!--203.149.37.119 : : 203.149.37.119 --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
     
  12. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    <TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 66
    ก็แค่...อ่านและรับมันอย่างมีสติ แค่นี้เองไม่เห็นมีอะไรมากเลย ส่วนไหนที่ไม่ดีในบางแง่ ก็อย่ารับซะ อันไหนดีชอบ ก็รับมัน แต่อย่ายึดติด....แค่นั่นเอง มองทุกสิ่งเป็นอนิจัง เท่านั้นเอง นะค่ะ
    โดยคุณ : เด็กน้อยไม่ยอมเรียน - [ 24 ม.ค. 2544 , 11:24:10 น.] <!--203.107.208.6 : : 203.107.208.6 --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 67
    ผมว่าคนเรามันควรจะมีความคิดที่ชัดเจนนะ ที่บอกๆว่าให้เดินทางสายกลางอะไรนั่นมันมีจริงหรือเปล่า เราทุกคนล้วนมีอคติกับเรื่องต่างๆอยู่แล้วเพียงแต่กล้าๆยอมรับหน่อย
    โดยคุณ : เอะอะอะไรก็สายกลางยันเต - [ 24 ม.ค. 2544 , 12:45:33 น.] <!--202.183.169.214 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 68
    ผมเอาความเห็นที่โพสท์ไว้ที่ไทยมุงมาแปะต่อที่นี่แล้วกันครับ อืม ก็ถูกเออะทางสายกลาง มันดูเป็นมุข"สิ้นคิด"ไปนิดนึง เอางี้ อ่านดูแล้วกัน รับรองไม่มีสายกลางแน่ๆ...


    ผมมองว่าเค้าแค่ต้องการให้"คิด"ให้มากขึ้นในการรับ และเลือกสื่อครับ รวมถึงการเท่าทันกระแส ไม่ใช่เรื่องของการออกมาบอกว่า เฮ้ย เอ็งอ่านหนังสือเล่มนั้นเอ็งแย่แล้วนะ เปล่าเลย ไม่ใช่ เพียงแต่เค้ามาแย๊ปๆว่า "เออ อ่านแล้วอย่าอินมากนะ มันไม่หอมหวานอย่างที่เพ้อหรอก"...


    ผมบอกตรงๆว่าที่ผมบอกว่า "ผมมองโลกในแง่ร้าย" มันก็ไม่ได้แปลว่า ผมอยู่คนละข้างกับคนมองโลกในแง่ดีนะ การมองโลกด้านใน ผมคิดว่ามันคือฐานการตั้งต้นที่คิด ที่จะเริ่มประเมิน เรื่องราวที่เรารับรู้ และสัมผัสมันมากกว่าครับ ไม่ว่าเราจะมองโลกในแง่ไหน แท้จริงสิ่งที่เราน่าจะทำก็คือ การประเมินผลดี-ร้าย ของเหตุการณ์ต่างๆอย่างรอบด้าน แล้วหยิบเอาแง่มุมที่มีผลกระทบเชิงลบน้อยที่สุดออกมาใช้
    กรณีของการหยิบยกเอาความคิดเห็นของคนที่เค้าบอกว่าเป็นพวก Positve อย่างพี่จิก พี่โหน่ง รึว่าเจ๊ปรายมา แล้วออกมาบอกว่า ดีเลิศ เยี่ยม ยอด แจ๋ว สุดแสนวินิศมาหราจะหาไหนปาน นั่นต่างหากจะให้เราลืมไปว่า ยังไงๆ ทุกๆคนที่กล่าว...

    "ก็ยังเป็นคนอยู่ครับ"


    ไม่ใช่ว่าเขาเหล่านั้น หรือว่าคนอื่นๆที่มีความคิดเห็นคล้ายๆกัน หรือ ตรงข้ามกัน จะสมบูรณ์ในการตอบปัญหาทุกๆอย่างบนโลก รึว่าในทุกกรณี ทุกๆคน มีจุดที่เค้า เอื้อมไม่ถึง ไม่รู้จะตอบจะแก้ยังไงอยู่ทุกคนครับ เราต้องยอมรับและพยายามมองให้คนเหล่านั้น ยังดำรงความเป็น"คน"ที่เค้าควรจะเป็นให้ได้


    ไม่ได้แปลว่าผมไม่ชอบรึไม่เห็นด้วยในกรณีนะครับ บางกรณีผมนิยมในความเห็นของพี่จิก ของเจ๊ปรายมาก แต่ในกรณีผมเองก็รู้สึกว่า มันเจือความเท่ห์มากจนเกินไป อย่างกรณีเมียน้อยที่พี่จิกตอบว่า "กลับบ้านเถอะครับ" อ่านแล้วรู้สึกว่า เออนะ ดีนะ แต่พออ่านหลายๆที ผมก็งงครับ "กลับบ้านไปเพื่ออะไร?" ในเมื่อเค้าเองเป็นคนสร้างปัญหา และ ปัญหานั้นมันก็ยังไม่จบ ยังวนเวียนอยู่รอบๆตัวเค้า มันไม่มีอะรไดกว่าการกลับบ้าน นอน รอวันให้ผู้หญิงมาร้องไห้ มาด่าทอกันต่อหน้าต่อตาเหรอ... ? นี่ไงครับ "กลับบ้าน" เท่ห์มาก แต่ไม่ช่วยอะไรเลย...


    ผมเองไม่เคยคิดจะตอบกระทู้ในนี้ยาวๆแบบนี้มาก่อนเลยครับ จนกระทั่งผมเองยังแปลกใจว่าทำไมจะตอบอะไรยาวขนาดนี้ ผมเองอชบแวะมาที่นี่ครับ แต่ไม่ได้บอกว่าผมเองคิดเห็นตรงกันกับ"กระแส" ที่เกิดขึ้นในนี้ทั้งหมด บางทีผมสวน บางทีผมเบื่อ ถ้า"กระแส"เป็นเหมือนน้ำในแม่น้ำที่เชี่ยวกราก บางคราว ผมก็อยากยืมเทียนระเบิดน้ำจากไกรทองมาใช้ ผมจะได้"ข้ามฝั่ง"ไปได้ซะที
    โดยคุณ : เอกเอง - ICQ : 47053608 [​IMG] - [ 24 ม.ค. 2544 , 13:51:02 น.] <!--203.170.180.62 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 69
    สรุปคุณธดาก็คือ
    หนังสือ aday, summer มันสนุก แต่ก็เอามายึดเป็นหลักการมองโลก การใช้ชีวิตไม่ได้นะครับ แถมมันยังสอนให้ฟุ่มเฟือยด้วย ทั้งที่เปลือกนอกมันดูเหมือนมีสาระที่คนอ่านจะนึกว่าเอามาเป็นหลักยึดในชีวิตได้ ให้ระวัง มันเป็นทอฟฟี่ติดฉลากยา

    สรุปชองผม
    หนังสืออย่างนี้มีก็ดีครับ มีหนังสือแนวเดียวในตลาดมันก็แย่สิครับ ผมว่าไม่อันตรายหรอก โดยปกโดยสำนวนเนื้อหาก็ไม่น่าจะทำให้คนอ่านเชื่อถือนำไปเป็นหลักมองโลกดำเนินชีวิตหรอกครับ ในแง่นี้ไม่ต่างกับพวกหนังสือบันเทิงหรูหราเต็มรูปแบบเลยนะ เท่าที่ผมมองเองและดูจากเสียงคนรอบข้างผม มันไม่ใช่ทอฟฟี่ที่ติดฉลากยาอย่างที่คุณกลัวหรอก ฉลากมันยังเป็นทอฟฟี่นะผมว่า หรือใครว่าฉลากมันเป็นยาบ้างครับ ?
    โดยคุณ : ImagineeR - ICQ : 9779077 [​IMG] - [ 24 ม.ค. 2544 , 13:54:23 น.] <!--172.17.0.9 : : 172.17.0.9 --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 70
    งงความเห็นที่ 69
    ไปสรุปบทความที่ยาวเหยียดของเขามา เหลือแค่สามบรรทัดครึ่ง
    ถูกต้องตามเจตนารมย์ของผู้เขียนหรือเปล่าก็ไม่รู้ กลายเป็นทอฟฟี่ยาอะไร
    แล้วก็เอามาตีๆ ชกๆ แล้วบอกว่าบทความฉบับเต็มของเขาไม่เข้าท่า
    ผมคิดว่าระบบคิดของคุณน่าจะมีปัญหานะ
    โดยคุณ : ddd - [ 24 ม.ค. 2544 , 17:04:23 น.] <!--203.146.64.166 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 71
    ส่วนใหญ่ที่เขียนตอบโต้คุณธดา ล้วนแล้วแต่นำเสนอ "มุมมองส่วนบุคคล" ของแต่ละคนออกมาทั้งสิ้น

    ถ้าหากเป็นเรื่องส่วนบุคคล คุณจะคิดอะไรอย่างไรมันก็เป็นสิทธิอิสระของคุณ ยังไงเสียมันไม่มีวันผิดครับ และไม่ต้องไปสนใจด้วยว่าคุณธดาจะโจมตีพวกคุณอย่างไรบ้าง

    แต่กรอบที่คุณธดานำเสนอเป็นกรอบในระดับ "สังคม" ถ้ามีคนที่เท่ห์ๆ แต่ต่างคนต่างอยู่กับความเท่ห์ของตนจำนวนมาก ผมไม่แน่ใจนักว่ามันจะเกิดเป็นปัญหาหรือไม่?....

    ส่วนใหญ่ผมเห็นด้วยกับคุณธดา แต่ปรากฎการณ์ฝูงชน "สาธารณ์" ที่ไม่สนใจปัญหาจริงๆ จังๆ ต่างคนต่างอยู่ คิดแต่มุมมองของตน ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากหนังสือครับ แต่เป็นสิ่งที่มีและเกิดขึ้นอยู่แล้ว... ชนชั้นกลางส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วครับ เมื่อมีตลาดหนังสือที่ตรงกับลักษณะของตน การเกิดเป็นกระแสขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ใช่เรื่องที่อันตรายแต่อย่างใด

    กลับมาที่เรื่อง "ความคิดในแง่ดี" ที่ไม่ได้ "ดี" จริง.... ผมอ่านจากหลายความเห็นเข้าใจว่า ยังมีแฟนของหนังสือทั้งสองเล่มจำนวนมากที่ยังคง "เชื่อมั่น" ว่า อย่างไรเสียความคิดในแง่ดีก็เป็นเรื่องที่ดีในตัวมันอยู่แล้ว เป็นเรื่องสร้างสรรค์ และเป็นเรื่องที่อย่างไรเสียก็ดีกว่าการคิดในแง่ร้ายแน่ๆ แถมเป็นสุขสนุกกว่าด้วย.... นั่นเป็นข้อเด่นของการคิดในแง่ดี ที่ให้ผลทันทีและชัดเจนว่า คนที่คิดแบบนี้ล้วนแล้วแต่มีความสุข

    ทำอะไรดีๆ แล้วมีความสุข... กินยาอีก็มีความสุขเช่นเดียวกัน.... แล้วอะไรคือข้อแตกต่างที่แยกความสร้างสรรค์ออกจากยาพิษเคลือบน้ำตาล?

    สิ่งที่ต่างกันระหว่างความสร้างสรรค์กับยาพิษเคลือบน้ำตาล ก็คือ "การต่อสู้และอยู่กับความจริง" การทำอะไรดีๆ เพื่อคนอื่นเป็นการอยู่กับความจริง ในขณะที่ยาอีเป็นรสนิยมที่พาเราหลีกหนีไปจากความจริง... มีความสุขเหมือนกัน แต่ศักดิ์ศรีต่างกันเยอะ

    สำหรับนิตยสารทั้งสองฉบับ กับคำพูด "กลับบ้านเถอะ" ในเรื่องเมียน้อย และคำพูด "ช้าง.. ยานพาหนะคนเมืองยุค2000" แม้จะเป็นการมองในแง่ดี และดูเหมือนว่าจะพาผู้อ่านพบหนทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมาหยุดที่มุมมองในแง่ดีต่างๆ ... เรารู้สึกทันทีว่า "ดี" เมื่ออ่านจบ แต่ที่จริงมันเพียงแต่พาเรา "หลบหนี" ความจริงออกมา และกลบทิ้งด้วยความรู้สึกเท่ห์ๆ เท่านั้น... ก็ไม่รู้ว่า "ศักดิ์ศรี" ของนิตยสารที่วางระดับของตนให้เป็น "ทางเลือก" ของคนรุ่นใหม่นั้นอยู่ตรงไหนครับ?
    โดยคุณ : มังกรซ่อนผ้า - [ 24 ม.ค. 2544 , 17:52:48 น.] <!--158.108.104.108 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 72
    ไม่น่าเชื่อ ว่าเรากลับเข้ามาอ่านอีกครั้ง ใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีกตั้งมากมาย ได้แก่นสารใกล้เคียงเดิมเลยเนอะ
    ปัญหาโลกแตก เรื่องความแตกต่างระหว่างความคิด
    บทสรุปคงไม่มีหลายทางนักหรอก
    แต่ความจริง คำว่าบทสรุป ก็อาจจะไม่จำเป็นก็ได้
    เพราะยังมีอะไรอีกตั้งหลายอย่างในโลก
    ที่ปราศจากข้อสรุป ดูมีเสน่ห์และชวนติดตามต่อไป
    (มองโลกในแง่ดีไปหรือเปล่าล่ะ อีฉัน...)
    ทิ้งๆ เอาไว้บ้างให้รุ่นหลานเหลนเราต่อไป
    ได้มีหัวข้ออภิปรัชญา ญานวิทยา เมตาฟิสิกส์
    มาบริหารร่องสมองกันเล่นๆ ก็ดีเหมือนกันนะเจ้าคะ
    โดยคุณ : ไผ่แก้ว - [ 24 ม.ค. 2544 , 18:13:25 น.] <!--203.149.38.207 : : 203.149.38.207 --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 73
    กลับมาอีกครั้ง

    ด้วยคำถามสั้นๆครับว่า

    จะมีประโยชน์อะไร
    ถ้าคุณมัวแต่มานั่งชี้ให้ทุกคนดูถึงปัญหา
    แต่ตัวคุณเองหรือใครก็ตามกลับไม่มีความพยามยามเสนอทางออก
    แม้เพียงสักทางเดียว?

    "ทำอะไรดีๆ แล้วมีความสุข... กินยาอีก็มีความสุขเช่นเดียวกัน.... แล้วอะไรคือข้อแตกต่างที่แยกความสร้างสรรค์ออกจากยาพิษเคลือบน้ำตาล? "

    เอ่อ ถามหน่อยครับว่า ไม่มีวิจารณญาณถึงขนาด
    แยกไม่ถูกเลยหรือครับว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งดี หรือไม่ดี ควรหรือไม่ควร
    หรือคิดบ้างหรือไม่ครับว่าผลกระทบอะไรตามมา

    มองโลกสายกลางอย่างพระพุทธเจ้านั่นแหละครับ
    คือทางออก

    โดยคุณ : JIMMY @ THAIDRiVER - [ 24 ม.ค. 2544 , 18:19:10 น.] <!--203.148.218.22 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 74
    ..."สิ่งที่ต่างกันระหว่างความสร้างสรรค์กับยาพิษเคลือบน้ำตาล ก็คือ "การต่อสู้และอยู่กับความจริง" การทำอะไรดีๆ เพื่อคนอื่นเป็นการอยู่กับความจริง ในขณะที่ยาอีเป็นรสนิยมที่พาเราหลีกหนีไปจากความจริง... มีความสุขเหมือนกัน แต่ศักดิ์ศรีต่างกันเยอะ " ...
    จิมมี่ คุณม้ามังกรเค้าอธิบายไว้ต่อจากที่จิมมี่ยกมาแล้ว อ่านให้ละเอียดนิดนึงนะ อย่าเอาแต่ต่อว่าสิ เอาว่าเข้าใจจิมมี่นะ


    การพูดเรื่องทางสายกลางมันง่ายนะจิมมี่ พี่ก็พูดได้หว่ะ เสียแต่ว่า พูดแล้วทำได้ไหมตะหาก พี่เองจะไม่พยายามพูดเรื่องทางสายกลางเพราะพูดแล้วคลุมเคลือ ดูเท่ห์ แต่ทำไม่ได้ มันไม่มีประโยชน์นะจิมมี่
    โดยคุณ : เอกเอง - ICQ : 47053608 [​IMG] - [ 24 ม.ค. 2544 , 19:09:08 น.] <!--203.170.180.62 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 75
    อ่านแล้วอ่านอีก
    ....
    ในมุมมองของ นักวิจารณ์ ก็ต้องการประเด็นในการขบคิด
    ในมุมมองของ ศิลปะ ก็ต้องการเสพงานทางอารมณ์
    ....
    แต่เราจะทำอย่างไร ให้งานศิลปะมีประเด็นในการขบคิด
    และ งานทางการวิชาการ การวิจารณ์ มีแง่มุมที่เป็นศิลปะ
    .....
    สมองสองซีก นักนิยมจินตนาการ ย่อมละเอียดอ่อนต่อโลกและชีวิต
    นักแสวงหาความจริง ย่อมขบคิดในเรื่องของสังคมการเมืองและโครงสร้างโดยรวม

    หากปรับกันไม่ได้ ก็ขอให้เข้าใจกัน
    สองด้าน ล้วนแล้วแต่มีแง่งามและประเด็นความจริงแฝงอยู่
    ......
    เพียงแต่ เราจะนำมา "ปรับใช้" ได้แค่ไหน

    บทความที่เขานำเสนอ เพียงแต่เป็น คำ "วิจารณ์" แต่ไม่ได้เสนอทางออก เพียงแต่ "ชี้" ให้มอง แต่ไม่ได้สรุปประเมินแง่ดีแง่เลว เป็นการนำเสนอ "ภาพผ่าน" ที่เขามอง

    เขามีหน้าที่ "ชี้" ให้เห็น
    นักเขียนมีหน้าที่ สร้างสรรค์ผลงาน
    นักวิจารณ์ มีหน้าที่สะท้อนความนึกคิด และความคิดเห็น มุมมองที่ภาพมันออกมา เป็นสื่อกลางระหว่างคนรับสื่อกับคนสร้างสื่อ รวมไปถึงคนเสพสื่อ
    .....
    ทุกคนล้วนทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว

    ด้วยความเคารพ: )
    โดยคุณ : ทอตะวัน - [ 24 ม.ค. 2544 , 19:37:22 น.] <!--202.59.255.94 : : 202.59.255.94 --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 76
    เพิ่งผ่านๆไปแถวเว็บบอร์ดที่โดนพาดพิงถึงในบทความนี้
    และยิ่งทำให้เห็นว่าบทความนี้เขียนวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้ว
    ลองไปดูที่
    http://www.thaitle.com/prapas/webboard/07284.html
    http://www.thaitle.com/prapas/webboard/07282.html
    สองกระทู้นี้เขียนโดยเจ้าของเว็บบอร์ดเอง เพื่อตอบโต้กระแส
    ที่เกิดจากบทความชิ้นนี้
    ดูความเห็นของเขา คำที่เขาใช้ สำนวน แนวทาง ความคิด
    และลองดูปฏิกริยาของเด็กๆ ที่ใช้เว็บบอร์ดนั้นประจำ
    ที่มีต่อความเห็นของเขาดูสิ เห็นแล้วสยองนะ น่ากลัวไงไม่รู้
    เหมือนลัทธิไปแล้ว แห่กันเข้ามายิ้มเคลิบเคลิ้มรับคำสั่ง
    โดยคุณ : ผ่านมาเล่าให้ฟัง - [ 24 ม.ค. 2544 , 19:59:07 น.] <!--203.170.141.160 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
     
  13. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    <TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 76
    เพิ่งผ่านๆไปแถวเว็บบอร์ดที่โดนพาดพิงถึงในบทความนี้
    และยิ่งทำให้เห็นว่าบทความนี้เขียนวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้ว
    ลองไปดูที่
    http://www.thaitle.com/prapas/webboard/07284.html
    http://www.thaitle.com/prapas/webboard/07282.html
    สองกระทู้นี้เขียนโดยเจ้าของเว็บบอร์ดเอง เพื่อตอบโต้กระแส
    ที่เกิดจากบทความชิ้นนี้
    ดูความเห็นของเขา คำที่เขาใช้ สำนวน แนวทาง ความคิด
    และลองดูปฏิกริยาของเด็กๆ ที่ใช้เว็บบอร์ดนั้นประจำ
    ที่มีต่อความเห็นของเขาดูสิ เห็นแล้วสยองนะ น่ากลัวไงไม่รู้
    เหมือนลัทธิไปแล้ว แห่กันเข้ามายิ้มเคลิบเคลิ้มรับคำสั่ง
    โดยคุณ : ผ่านมาเล่าให้ฟัง - [ 24 ม.ค. 2544 , 19:59:07 น.] <!--203.170.141.160 : : --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR width="70%" SIZE=1><CENTER><TABLE cols=1 width="85%" align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD>แสดงความคิดเห็นลำดับที่ 77
    คุณธดา
    อ่านมาถึงตรงนี้แล้วผมก็ยังนึกไม่ออกว่า การมองโลกในแง่ดี หรือการนำเสนองานที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ มันเป็นสิ่งที่เสียหายตรงไหน ผมอยากจะบอกว่า นี่คือสิ่งที่ประเทศเรากำลังขาดแคลนซะด้วยซ้ำไป ผมว่าคุณกำลังจังแพะมาชนแกะโดยเจาะจงเลือก
     
  14. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
  15. กระเจียว

    กระเจียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +2,010
    อืมมมมม

    จะบอกให้ว่ากระเจียวติดอ่านA dayมาก ถ้าไม่รวมคลีโอ คอสโมโพลิแทน คู่สร้างคู่สมและขวัญเรือนนะเพราะคนละเรื่องกันเลย

    อะเดย์นั้นแรงมาจากการนำเสนอที่เป็น แนว ของคนยุคใหม่ มีการใส่สาระแบบใส่มุมมองเยอะๆ
    ไม่มีกรอบมากเกินไป และดูเท่ห์

    พอพลิกอ่านอีกที ก็เอ๊ะ อ่านแล้วได้ไรวะ

    แต่ก็นะ

    เล่มที่ชอบมากที่สุด ก็เล่มหน้าปก คุณอาว์ 'รงษ์ วงศ์สวรรค์
     
  16. mikky

    mikky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +577
    ผมเองไม่ได้อ่าน Summer แต่อ่าน A day เพราะเห็นว่าโฆษณาน่าสนใจดี เลยลองซื้อหามาอ่านดู แต่เมื่ออ่านไปแล้วสองเล่ม (แค่นั้น) ไม่ค่ยจะถูกใจนัก ก็เลยเลิกอ่าน สาเหตุเพราะผมไม่บริโภคอะไรแนวนี้อยู่แล้ว อย่างศิลปิน "ศุ บุญเลี้ยง" นี่ใครอย่าเปิดให้ได้ยินเลย เดินหนีตลอด

    การเขียนของ A day ในหลาย ๆ คอลัมน์มันเป็นการแสดงความเป็นสื่อมวลชนที่มีความสามารถ(มาก) แต่ไม่ได้ให้อะไรกับสังคม เพราะเรื่องที่เขียนนั้น ผมเห็นตรงกับคุณโตมร สุขปรีชา ว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ทำให้ดูสำคัญ เนื่องจากความสามารถพิเศษของสื่อนั้น ทำเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก หรือ ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ได้ แต่ผมก็ไม่เห็นตรงกับโตมรทั้งหมด เช่นเรื่องทุนนิยมนั้น ผมว่าหนังสืเล่มนี้จัดว่าเป็นสุขนิยมถูกต้อง แต่โตมรอาจต้องไปเข้าใจคำว่าทุนนิยมเสี่ยใหม่ ทุนนิยมกับสุขนิยมนั้นเป็นคำคนละคำกัน คนที่มีแยวความคิดสุขนิยม จะหาความเจริญได้ยากจากเศรษกิจแบบทุนนิยม เพราะการใช้ระบบเศรษกิจแบบทุนนิยมนั้น ทุกคนทีอิสระในการแข่งขัน และในการประกอบอาชีพ ใครทำคนั้นก็ได้ ใครไม่ทำคนนั้นก็อด รัฐบาลก็เก็บภาษีจากคนที่มีรายได้ คนไม่มีรายได้ ไม่ต้องเสียภาษี แต่เมื่อใดก็ตามที่มีคนมีกำลังซื้อ เมื่อนั้นเขาจะถูกเก็บภาษีผ่านระบบภาษีด้วย (เช่น VAT เป็นต้น) จะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ตามหลักธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าเทียบกับเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม คนต้องทำงานแบบไร้ชีวิต ไร้หัวใจ ทำเท่าไหร่ก็ต้องเข้ากองกลาง แล้วให้ดองกลางนำมาแบ่งสันปันส่วน รัฐไม่เก็บภาษี แต่ราษฏรจ่ายยิ่งกว่าภาษี เพราะราษฏรทำให้รัฐ การที่จะตัดสินใจประปอบอาชีพอะไรหรือเรีนยอะไรนั้น ถูกตัดสินโดยรัฐ ระบบนี้ทำให้ผมผลิตของประเทศตกต่ำ เมื่อสมัยก่อนที่จีนใช้ระบบนี้ ผมผลิตของจีน ต่ำมาก เพราะคนไม่อยากจะทำ มมันฝืนธรรมชาติและที่สำคัญ "ฝืนใจ" ทำนาโดยไม่ได้เป็นเจ้าของที่นา รัฐเอาเงินไปสร้างอาวุธแต่ประชาชน ต้องทนนี่จักรยาน ในที่สุดประเทศสังคมนิยมแบบจีน ยังต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบเษรษกิจแบบ ทุนนิยม โดยการแยกระหว่างระบบการปกครอง กับระบบเศรษกิจ รัฐเอาที่นาคืนให้ประชาชนให้ทำมาหากิน อย่างอิสระ ผมผลิตเพิ่งขึ้น 3 เท่าทันทีมนปีแรก และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดจีนก็เป็นประเทศที่ส่งออกมากที่สุดในโลก ปักกิ่งนั้นเจริญแซงหน้าเมืองใหญ่ๆ ของโลกใ

    ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ใช้เศรษกิจแบบสังคมนิยมแล้วเจริญทัดเทียมนานาอารยะประเทศ แต่มีคนไทยประเภทโคถึกบางกลุ่มเท่านั้น ที่เรียกร้องกาความเป็นสังคมนิยม เช่น ส ศิวรักษ์, หงา คาราวาน, โคทม อาริยา, หมอประเวศ วะสี, และพวกนักวิชาการขาประจำต่าง ๆ พวกนี้จะมา pattern เดียวกันหมดคือ เรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตย และเศรษกิจแบบสังคมินยม ตัวอย่างที่สำคัญของพวกนิยมเศาฐกิจแบบสังคมนิยมคือ "สันติ อโศก" สันติอโศกนั้นสร้างสังคมของตัวเองขึ้นมา ทำเกษตรกินกันเอง ทำสหกรณ์ร้านค้าซื้อขายกันเอง ดูเหมือนจะดี แต่มีใครเคยคิดหรือไม่ว่า ในที่สุดสันติอโศก ต้องยอมซื้อสินค้าจากสังคมภายนอก เพราะตัวเองผลิตไม่ได้ทั้งหมด น้ำมันท่จะเอาไปใส่เครื่องจักร สบู่ ยาสีฟัน และสินค้านับร้อยรายการ ต้องหาซื้อจากข้างนอกเข้าไปใช้ พอสันติอโศกต้องติดต่อกับสัวคมภายนอก ก็กลายเป็นเพียงสังคมกลุ่มเล็ก ๆ จน ๆ เพราะสิ่งที่พวกเขามุ่งผลิตมา มันแทบไม่มีค่า เมื่อมาเทียบกับสังคมภายนอก สินค่าเกษตรแบ่งกันกินภายในสังคมก็แทบจะหมดแล้ว คนทำเกษตรเองก็ไม่มีเงิน เป็นสังคมที่อิ่มอยู่กับความภาคภูมิใจในความอยู่ได้ของตัวเอง แต่เรื่องปากท้องแสนจะลำบาก ที่จริงจะบอกว่าพึ่งตัวเองได้ก็ไม่ใช่ ก็อย่างที่บอกว่า ผลิตน้ำมันไม่ได้ ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมไม่ได้ อย่างนี้ไม่เรียกถอยหลังเข้าคลอง แล้วจะเรียกว่าอะไร สิ่งที่สันติอโศกทำตอนนี้ มันเป็นสิ่งที่สังคมโลกทำเมื่อก่อนที่จะมีการใช้เงินเป็นตัวแลกเปลี่ยนสินค้า หลังจากนั้นโลกได้พัฒนาขึ้นมามาก แต่ยังมีคนบางพวกที่โหยหาจะให้โลกกลับไปเป็นอย่างนั้น โดยไม่คิดว่าสิ่งที่โลกเปลี่ยนแปลงนั้นมัยเป็นพลวัตต์ ที่เกิดจากธรรมชาติ มันเป็นการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปตามธรรมชาติของมัน สังคมโลกต้องปรับตัวในทุก เรื่อง


    แม้แต่จีนเป็นจ้าวแห่งความคิดในโลกนี้ ยังต้องเปลี่ยนมาใช้ทุนนิยม ... แล้วพวกต่อต้านทุนนิยมในบ้านเรา เมื่อไหร่จะมีความคิดเสียที??

    หันมาใช้เศ่รษกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำหริดีกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...