หนึ่งในคำตอบของคำถาม..เพราะอะไรจึงมีการเลื่อนหรือเคลื่อนของเหตุการณ์?!?

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย วิญญ์ ชวาทิต, 12 ธันวาคม 2012.

  1. วิญญ์ ชวาทิต

    วิญญ์ ชวาทิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +490
    เกี่ยวกับการเลื่อนหรือเคลื่อนของเหตุการณ์

    สมมติว่าโลกธาตุนี้มีเพียงวัตถุ 2 มิติคือ x กับ y หรือเรามองเห็นวัตถุมีลักษณะแบนๆ ไม่มีความหนาหรือลึก
    (สัตว์บางชนิดมองเห็นโลกเป็นแบบนี้ และมันคงจะสรุปกับตัวเองไปแล้วว่า โลกมีอยู่เท่านั้น)

    ให้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เคลื่อนที่และดำเนินไปตามสเกลเวลาในแกน ct
    ขอบเขตของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นและเป็นไปได้ ขอเรียกว่า กรวยเหตุการณ์หรือกรวยแสงเหตุการณ์ (Light Cone)

    [​IMG]
    (image1 EYE M SICK: February 2007)

    [​IMG]
    (image2 Singularities and Black Holes > Lightcones and Causal Structure (Stanford Encyclopedia of Philosophy))


    [​IMG]
    (image3 Singularities and Black Holes > Lightcones and Causal Structure (Stanford Encyclopedia of Philosophy))

    สมมติว่าเราคือผู้สังเกตที่กำลังอยู่ในเหตุการณ์ P ตามภาพ 2 ณ เวลาเป็นศูนย์ คือ ปัจจุบัน
    หากเวลาเป็นบวก คือ อนาคต เวลาเป็นลบคืออดีต ตามภาพที่ 3
    เมื่อเวลาผ่านไปเป็น 1 อาจเป็นหนึ่งนาที หนึ่งชั่วโมง หนึ่งปี หนึ่งช่วงชีวิตหรือหนึ่งกัปก็ตาม
    ปริมาณของเหตุการณ์จากจุด p ที่จะเชื่อมต่อไปยังเหตุการณ์ต่างๆ ณ เวลาเท่ากับ 1 จะมีมากในระดับหนึ่ง
    ยิ่งหากเวลานานไปมีค่าเป็น 2 การกระจายของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นก็จะมีมากตามไปด้วย

    และจากจุด p นี้ เราอาจสามารถเลือกใช้ชีวิตไปตามจุดต่างๆ บนระนาบจุดใดก็ได้
    กล่าวคือ หากมองในแง่ของความเป็นไปได้แล้ว ล้วนสามารถเป็นไปได้และอาจเกิดขึ้นได้เสมอ
    ซึ่งทั้งหมดดำเนินไปตามวิถีทางที่เราเลือกส่วนหนึ่ง ดำเนินไปตามกรรมจัดสรรส่วนหนึ่ง ดำเนินไปตามธรรมจัดสรรส่วนหนึ่ง
    (ในที่นี้ ของดเว้นการกล่าวถึง ผลปฏิกิริยาที่เกิดจากกิริยาของกรรมโดยละเอียด
    หรือ เหตุการณ์ที่เกิดจากแรงดึงดูดของสภาพจิตบวกและลบเอาไว้ก่อน)


    หากมองย้อนกลับไปในอดีต คือ ทางด้านลบของกรวยเหตุการณ์ จะพบว่า มีความเป็นไปได้หลากหลายที่จะมีการเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ จนก่อกำเนิดมาเป็นจุด p ยิ่งมองย้อนกลับไปนานมากเท่าไร ความหลากหลายของเหตุการณ์ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

    “เวลา” คือ ค่าของความแปรเปลี่ยนที่กำลังดำเนินต่อเนื่องไปนับจากจุด p หรือปัจจุบัน ตามแผนภาพข้างต้นเป็นความแปรเปลี่ยนที่กำหนดให้มีอยู่เฉพาะในโลกนี้หรือภพภูมินี้ (ภพภูมิอื่นหรือ plane อื่นๆ อาจมีเวลายืดยาวกว่านี้หรือสั้นกว่านี้ แตกต่างกันไป)
    และความต่อเนื่องของเหตุการณ์แห่งความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายจากจุดเริ่มต้น p จะเป็นไปได้ภายในขอบเขตของเส้นกรวยเท่านั้น และทุกตำแหน่งของเหตุการณ์ในอนาคต จะต้องเชื่อมต่อเข้ากับจุด p ได้เท่านั้น มันจึงจะเกิดขึ้นให้เราประสบพบเห็นได้


    [​IMG]

    (image4 Spacetime: Light Cones)
    Every point in spacetime has exactly this same structure, with two "light cones" joined at a vertex at the location of the spacetime event. The one at positive times is called the future light cone. The one at negative times is called the past light cone. All physical worldlines that include Event A occur within these past and future light cones, and all other events outside these light cones are identified as existing in "Elsewhere" and cannot be directly connected to Event A without traveling faster than light.

    ภาพที่ 4 ในอนาคต ณ ตำแหน่ง B เป็นเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้และอยู่ภายในขอบเขตของกรวยเหตุการณ์และสามารถเชื่อมต่อมาจากเหตุ ณ A (คือจุด p) อันบังเกิดให้เป็นผลคือ B ได้
    ในระหว่าง A และ B อาจเกิดเหตุการณ์นับไม่ถ้วนเหตุการณ์ที่ช่วยผลักดันและช่วยขยับขยายไปจนถึงเหตุการณ์ B ได้

    และที่ B นี้เอง อาจมีเส้นทางอื่นๆ ที่เดินทางประเดประดังมาอีกมหาศาลเป็นองค์ประกอบเสริม ที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ B นี้ขึ้น
    กล่าวคือ บางครั้งอาศัยเพียงเส้นทางของเหตุการณ์จาก A มา B แต่อย่างเดียวอาจจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้

    แต่ ณ ตำแหน่ง C ซึ่งอยู่นอกกรวยเหตุการณ์ ไม่สามารถเชื่อมโยงจากจุดกำเนิด A ได้ ดังนั้นมันจะไม่เกิดขึ้นในขอบเขตของเวลาในภพภูมินี้ แต่มันอาจจะเกิดขึ้น ที่อื่น (Elsewhere) หรือภพภูมิอื่น (Another Plane of dimension) และการจะไปประสบพบเห็น C ด้วยศักยภาพปกติของมนุษย์ปุถุชนอันมีข้อจำกัดนี้ย่อมกระทำไม่ได้ (ยังไม่นับจักรวาลขนานที่เป็นเพียงทฤษฎีในเวลานี้)


    การที่สรรพสัตว์ทั้งหลายมาใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ในโลกในจักรวาลนี้ ก็เสมือนหนึ่งเป็นเหตุการณ์ B ซึ่งเชื่อมโยงมาจากเหตุการณ์ A ในอดีตชาติ โดยที่จุด A นั้น สัตว์ทั้งหลายรวมเราด้วย ยังคงมีความเกาะยึดเหนียวแน่นยึดติดอยู่ในตัวตน ในชีวิต ในทรัพย์สมบัติที่มันมีอยู่ เป็นอยู่ ครอบครองอยู่ในโลกในจักรวาล ยังคงก่อกรรมทำเข็ญ ยังคงคิดชั่วทำชั่ว ยังอาฆาตแค้นโกรธเคือง ชิงดี ชิงเด่นเอาชนะข่มเหงบาดหมาง ด้วยสภาพจิตยึดติดและยังไม่คลายสิ้นแล้วซึ่งกิเลส จึงทำให้เกิดวัฏฎะตามปฏิจจสมุปบาท วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในภพภูมิตามแผนรูปภาพข้างต้น (หรือ บ้างก็ลงสู่อบายภูมิซึ่งหนักกว่านี้ บ้างก็ขยับสู่ภูมิสูงกว่านี้ แต่ยังไม่จบ) จึงยังไม่คลาย ไม่กะเทาะเอาตะกอนที่ทับถมหนาแน่นในจิตออกไปจนเกิดความสว่างไสวในธรรม ถึงขั้นเกิดการตื่นรู้แจ้ง ยังไม่จบกิจแห่งการเวียนว่ายในระบบนี้

    ยิ่งมีการสละละตะกอนกิเลสออกไปมากเท่าใด มารในจิต ความมืดในจิต อัตตาคลายตัวเองออกไปมากเท่าใด จิตก็จะสว่างไสวขึ้นเท่านั้น วิชชา ความรู้ความเห็นที่ตรงเนื้อหาแห่งสัจธรรม ความตื่น ก็จะปรากฏชัดมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนั้น สำหรับบางท่านก็อาจสามารถเกิดอภิญญาขึ้นได้

    (การเกิดอภิญญา เรียกว่ามันเกิดของมันเอง มันเป็นไปโดยธรรมชาติปกติ ไม่ใช่ความวิเศษอลังการเหนือใครแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่ามีผู้ได้รับอภิญญา การกล่าวว่ามีผู้ได้อภิญญา เป็นเพียงการอุปโลกน์พูดอุปโลกน์ใช้ในการถ่ายทอดสื่อความหมายเท่านั้น เพราะตัวตนที่เห็นทั้งหมดเป็นเพียงธาตุ เป็นเพียงขันธ์ ประกอบกันเข้ากับจิต เกิดอวิชชาการมองเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน โดยแต่ละตัวตนก็มีความหนาแน่นในการเกาะยึดโลกและจักรวาลแตกต่างกันไป ทั้งหมดกำลังดำเนินไป ดำเนินไป เท่านั้นเอง)

    เมื่อเกิดอภิญญาขึ้นในจิตนั้นๆ จะเสมือนกับว่ามิติ x-y และ กาลเวลาดังในแผนภาพ ไม่ได้เป็นกรอบล้อมจำกัดศักยภาพทางจิตอีกต่อไป หากเปรียบโลกจักรวาลเป็นเรือลำหนึ่งอาศัยพื้นน้ำในการแล่นไปตามสเกลเวลาและอวกาศ ปุถุชนได้แต่อาศัยเรือล่องลอยไปเรื่อยๆ คนหมู่มากพาไปทางไหน ใบเรือ ทิศลมหันไปทางไหนก็ได้แต่ไปเรื่อยๆ ตามเขาไป แต่หากจิตเกิดอภิญญาบางอย่างขึ้นแล้ว จิตจะสามารถเป็นเสมือนหนึ่งมหาสมุทรในตัวมันเอง สามารถรู้เหตุการณ์สภาพการณ์ของมหาสมุทร ณ ตำแหน่งที่อยู่ไกลแสนไกลในอนาคตได้ ยิ่งความสว่างมาก อานุภาพของอภิญญานี้ก็จะยิ่งกระจ่างชัด โดยพระพุทธองค์ทรงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทรงมีพลานุภาพนี้อย่างเต็มเปี่ยม (ขอละเว้นในการพูดถึงพลังจิตของฝ่ายมืด และพลังจิตในเนื้อหาศาสนาอื่น ซึ่งทั้งหมดเป็นเนื้อหาสัจธรรมเดียวกัน แต่มี ความต่างทางภาษา ชื่อเรียกตัวองค์สัจธรรม และมีทางแยกมีซอยเล็กซอยน้อยฉีกโค้งอ้อมออกไปไกลบ้างในบางหมู่เหล่าตามกรรมวิบาก)

    (ต่อ..)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  2. วิญญ์ ชวาทิต

    วิญญ์ ชวาทิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +490
    อนิจจัง ในระดับควอนตัม


    [​IMG]
    ไฮเซนเบิร์ก(Heisenberg)

    วิธีทำการทดลอง
    ไฮเซนเบิร์ก ทำการทดลองในหัวสมอง(thought experiment) เพื่อวัดตำแหน่งของอิเล็กตรอน

    ผลการทดลอง
    เขาสรุปว่า เราไม่สามารถระบุตำแหน่งของอิเล็กตรอนได้ ถ้าเราอยากรู้ว่าอิเล็กตรอนอยู่ที่ไหนอย่างแน่นอน เราต้องเห็นอิเล็กตรอนอย่างชัดเจน ถ้าเราต้องการเห็นอะไรอย่างชัดเจน เราก็ต้องให้แสงสว่างไปที่อิเล็กตรอน ปรากฎว่าเมื่อให้แสงสว่างแล้วอิเล็กตรอนก็เปลี่ยนตำแหน่งไปอีก เราก็ต้องให้แสงสว่างอีกครั้งเพื่อจะหาตำแหน่งใหม่ของอิเล็กตรอน ยกตัวอย่างในเชิงเปรียบเทียบ ให้ผึ้งแทนอิเล็กตรอน และแสงไฟเป็นแสงสว่าง


    (ดูรูปได้จากลิงค์ http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/ap-chemistry1/atomic_structure/heisenberg.htm)

    จะเห็นว่า ถ้าเรามองไม่เห็นผึ้ง เราจึงส่องไฟไปที่ผึ้งเพื่อหาตำแหน่งของผึ้ง เมื่อเราเห็นผึ้งแล้ว ผึ้งตกใจบินไปที่ตำแหน่งใหม่ เราจึงต้องส่องไฟหาผึ้งอีกครั้ง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราจึงไม่ทราบตำแหน่งและความเร็วที่แท้จริงของผึ้งได้ ในทำนองเดียวกันเราจึงไม่สามารถระบุตำแหน่งและความเร็วที่แท้จริงของอิเล็กตรอนได้เช่นกัน

    สรุปผลการทดลอง
    เขาจึงกล่าวว่า "เราไม่สามารถระบุตำแหน่งของคลื่นได้" ดังนั้น การที่จะบอกตำแหน่งที่แน่นอนของอิเล็กตรอนเป็นไปได้ยาก เขาจึงได้เสนอหลักความไม่แน่นอน(uncertainty principle) ซึ่งกล่าวว่า
    "เราไม่สามารถระบุตำแหน่งและโมเมนตัมที่แน่นอนของอิเล็กตรอนได้อย่างเที่ยงตรงพร้อม ๆ กันได้"

    สมการความไม่แน่นอนตามแนวแกน x ซึ่งได้จากการอนุพัทธ์สมการ(derive) ของกลศาสตร์ควอนตัม(quantum mechanics)

    เมื่อ = ความไม่แน่นอนในการวัดตำแหน่งตามแนวแกน x
    = ความไม่แน่นอนสำหรับค่าโมเมนตัมเชิงเส้นตรงในทิศทาง x

    แบบจำลองอะตอมของไฮเซนเบิร์ก

    [​IMG]

    (ดูรูปได้จากลิงค์ http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/ap-chemistry1/atomic_structure/heisenberg.htm)


    นิวเคลียสอยู่ตรงกลางอะตอมประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอน ส่วนอิเล็กตรอนอยู่รอบนิวเคลียสคล้ายกลุ่มหมอก เราจะพบอิเล็กตรอนในบริเวณที่มีสีเข้มมากกว่าสีอ่อน ซึ่งโอกาสที่จะพบอิเล็กตรอนเราเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าออร์บิทัลของอะตอม(atomic orbital)

    (ที่มา http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/ap-chemistry1/atomic_structure/heisenberg.htm)

    [​IMG]

    (credit: Heisenberg uncertainty principle News, Videos, Reviews and Gossip - io9)


    ................
    ตัวอย่างข้างต้นเป็นระดับซับอะตอมคือเล็กกว่าอะตอม แท้จริงแล้วหากจะเข้าไปตรวจวัดอนุภาคที่เล็กกว่านั้นอีก เช่น คว้าก (Quark) หรืออื่นๆ พฤติกรรมของมันจะพิสดารไปกว่านี้มากมาย ยิ่งขนาดเล็กลงจะยิ่งมีการปรับหนีสภาวะบีบคั้น(การตรวจจับ)เพื่อเข้าสู่สมดุลใหม่อย่างรวดเร็วขึ้น เร็วจนแทบจะไม่สามารถตรวจวัดอะไรได้ บางชนิดมีสภาพเคลื่อนที่รวดเร็วเป็นคลื่นแต่เมื่อเราจะไปตรวจมันในฐานะอนุภาคมันก็จะแสดงตัวเป็นอนุภาคให้ดูแต่แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นแบบไหนแบบหนึ่งโดยเฉพาะ ตัวคว้ากเองก็แบ่งออกเป็น 6 ชนิด บางชนิดก็จะมีการเสื่อมสลายมวลเพื่อปรับเปลี่ยนตัวเองไปเป็นคว้ากอีกชนิดหนึ่ง (เป็นกระบวนการปรับสมดุลโดยธรรมชาติ โดยตัวชีวิตของมันเอง คล้ายกับการปรับเพศผู้เป็นเพศเมียของไส้เดือนหรืออื่นๆ) และพวกมันจะมีปฏิอนุภาคคืออนุภาคที่มีลักษณะคล้ายกันแต่ประจุตรงกันข้าม ทำนองเดียวกับปฏิสสารอื่นๆ เช่นเดียวกันกับสภาพคู่ตรงข้ามของสิ่งต่างๆ หญิง- ชาย มืด- สว่าง หลุมดำ- ซูเปอร์โนวา ดี- เลว บวก- ลบ หยิน- หยาง ฯลฯ อนุภาคขนาดเล็กจะแสดงการปรับสมดุลให้เห็นชัดเจนด้วยเวลาเสี้ยววินาที ระบบที่ใหญ่กว่านั้นเช่น ต้นไม้ ป่า สัตว์ สิ่งมีชีวิต ห่วงโซ่อาหาร ระบบนิเวศน์ โลก กาแลกซี่ จักรวาล ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน มีการปรับสมดุลด้วยกฎแห่งความไม่แน่นอน แต่อยู่ภายใต้สเกลเวลาที่ยาวนานมากขึ้น แต่ไม่มีอะไรที่หลีกหนีกฎนี้ไปได้ มันคือกฎธรรมชาติ

    (ต่อ...)
     
  3. วิญญ์ ชวาทิต

    วิญญ์ ชวาทิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +490
    [​IMG]

    [​IMG]

    (Image5 quantum art and poetry: April 2009)

    ในระดับอะตอมหรือเล็กกว่านั้น เมื่อผู้สังเกตมองเข้าไป จะบอกได้เพียง “ความเป็นไปได้” แต่จะบอกความแน่นอนไม่ได้ ณ เวลาหนึ่งๆ แต่จะสามารถบอกความน่าจะเป็นภายใน “ช่วงกาล-อวกาศ” หนึ่งๆ เท่านั้น
    ยิ่งสเกลวัตถุใหญ่ขึ้น การจำแลงตัวของวัตถุจะยิ่งทำให้ดูเสมือนว่ามีความแน่นอน แต่แท้จริงแล้ว มันยังคงตกอยู่ภายใต้หลักของ “ความไม่แน่นอน” หรืออนิจจังเช่นเดิม แต่สเกลมันใหญ่และกว้างไกลมาก จนเกินกว่าที่มนุษย์ปุถุชนทั่วไปจะสังเกตหรือมองไปได้เห็น เช่นกันกับความเกิด-ดับ ของอนุภาค มีผลไปถึงระดับสเกลที่ใหญ่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แมลง มด สุนัข สัตว์ ต้นไม้ บ้าน ภูเขา มนุษย์ อารยธรรม โลก กาแล็กซี่และจักรวาล ทั้งหมดดำเนินขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง ก็จะโค้งกลับลงมาและดับลง ก่อนจะเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้งในรอบใหม่ (ดังนั้นการพัฒนาที่มนุษย์โดยรวมมองเห็นในระดับมนุษย์โลกนี้เป็นเพียงการพัฒนาทางวัตถุเท่านั้น ยังไม่ใช่การพัฒนาในระดับจิต ซึ่งตรงเนื้อหาและจริงแท้กว่า และการพัฒนาทางวัตถุนี้ มีประโยชน์แต่เพียงทางกายภาพ แทบจะไม่มีประโยชน์ในระดับจิต คือ มีอยู่ แต่น้อย หรือมีประโยชน์อยู่ แต่เป็นเพียงปัจจัยส่วนประกอบเสริมที่ช่วยเกื้อหนุนไปสู่การเรียนรู้เนื้อหาในระดับจิต – แต่โลกยุคนี้ดูเหมือนจะเป็นการหลงพัฒนาวัตถุตามแผนการควบคุมของมารและกำลังเพิกเฉยต่อเนื้อหาที่แท้กันเป็นส่วนใหญ่)


    กลับมาที่ภาพ 4 อีกครั้ง
    สำหรับจิตอภิญญาในบางประเภทแล้ว ไม่ว่า B จะอยู่ไกลแค่ไหน ก็สามารถรู้ สามารถเห็นได้ ยิ่งจิตสว่างมาก หรือยิ่งเป็นเสมือนมหาสมุทรแห่งจิตโดยตัวมันเองมากเท่าไรก็จะยิ่งมีความคมชัดมากในการมองเห็น หรือแม้แต่จะมองไปยัง C จิตอภิญญาก็ยังสามารถประสบพบเห็นได้ในทันทีเท่าที่จะคิดนึกขึ้น คิดเดี๋ยวนั้นก็เห็นเดี๋ยวนั้น เนื่องจากมหาสมุทรแห่งจิตนี้ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องกาลอวกาศและไม่ถูกจำกัดด้วยความเร็วแสงเช่นกัน

    <iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/eN24Sv0qS1w" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=eN24Sv0qS1w]Imagining the Fifth Dimension - YouTube[/ame]
    (คลิปเกี่ยวกับ The 5th Dimension)

    “เราอาจสามารถคิดถึงเส้นเวลาปกติว่าเป็นเส้นแนวราบเส้นหนึ่ง ทางด้านซ้ายมือคืออดีต ทางด้านขวามือคืออนาคต แต่มีเวลาอีกชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ในแนวตั้งของเส้นตรงเส้นนี้ เราเรียกมันว่า เวลาจินตภาพ เป็นเพราะว่ามันไม่ใช่เวลาที่เราคุ้นเคยไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับมัน แต่แท้จริงแล้วมันมีอยู่จริงและเราเรียกมันได้ว่า เวลาที่แท้จริง” (สตีเฟน ฮอว์คิง)



    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/XjsgoXvnStY" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=XjsgoXvnStY]Imagining the Tenth Dimension (annotated) - YouTube[/ame]
    (คลิปเกี่ยวกับ The 10th Dimension)


    ในกรณีนี้ (ผู้มี) จิตอภิญญานี้ เรียกได้ว่า ผ่านไปสู่มิติที่ 5 แล้ว เป็นอย่างน้อย นั่นคือ เกินขอบเขตจำกัดของเวลาหรือมิติที่ 4 และเข้าสู่มิติที่ 5 คือการเป็นมหาสมุทรแห่งจิตโดยตัวมันเอง คือตัวชีวิต คือจิตทั้งหมดนั้นเอง เป็นการเข้าร่วมสร้าง (Co-creator) เนื่องจากกระบวนการคิดนึก เจตนา การดำริหรือเจตจำนงในระดับนี้ อาจสามารถทำให้สิ่งที่คิดขึ้นมานั้นเกิดขึ้นจริงได้ (ผู้มีบุญบารมีมากหรือทำบุญในชาตินี้มากๆ ย่อมรู้จักคำว่า ธรรมจัดสรร ดี กล่าวคือ ไม่ว่าจะนึกคิดหรือเดินทางไปในที่แห่งใด จะดูคล้ายได้รับการเตรียมการให้ทุกอย่างราบรื่นไปด้วยดีอยู่เสมอ ธรรมจัดสรรเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของการร่วมสร้างนี้) และในการร่วมสร้างนี้จะไม่ได้มีการคิดสร้างอะไรเพื่อตัวเองเพื่อตนเอง แต่จะเป็นการแบ่งปัน ด้วยรักและเมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งมวล ภาษาอังกฤษเรียกว่า เป็นสภาวะของการ service เป็นกฎการดึงดูด Law of Attraction ระดับยิ่งยวด แท้จริงแล้วจิตสำหรับมิติที่ 5 คือ การโปรด (การโปรดนี้ไม่ใช่ศัพท์สูง และผู้โปรดก็ไม่ใช่ผู้ยกตนว่าสูงส่งเหนือใคร แต่เป็นเพียงผู้สละวางทุกอย่าง หรือ แทบจะทุกอย่างในระบบ 3มิติ แล้วช่วยเหลือสรรพสัตว์ในการสะท้อน ในการถ่ายทอดสัจธรรม ให้สรรพสัตว์มีความตื่น มีความคลายจากความยึดเกาะในโลกเดิมๆ มีความสว่างไสว ได้ร่วมเป็นจิตมหาสมุทรเช่นเดียวกัน- เนื้อหาในเรื่องนี้ยังมีต่ออีกยาว ฯลฯ)

    ดังนั้น หากท่านได้ยินคำว่า มิติที่ 5 ในช่วงเวลานี้ ขอได้โปรดเข้าใจว่า นั่นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ดังที่ได้ปรากฏในพระวจนะ ในพระสูตร หรือในคำสอนของพระเกจิอาจารย์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่ท่านผู้มีคุณทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้ใช้คำว่ามิติที่5 อันฟังดูเข้าใจยาก พระพุทธองค์และศาสดาของศาสนาที่แท้หลายๆ ท่านได้สั่งสอนกันเอาไว้หลายพันปีแล้ว เพียงแต่บางท่านอาจยังไม่เคยตั้งใจฟัง อาจยังไม่เคยตั้งใจศึกษากัน เท่านั้นเอง

    (ต่อ..)
     
  4. วิญญ์ ชวาทิต

    วิญญ์ ชวาทิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +490
    การเปลี่ยนแปลง เคลื่อน เลื่อน ของเหตุการณ์


    สมมติว่า สมชาย กำลังเดินตรงไปทางหนึ่ง แล้วมีสมศรี เดินสวนทางมา สมศรีบอกสมชายว่าอย่าเดินไปข้างหน้าเพราะเดินไปอีก100 ก้าวมันมีหลุมอยู่ เดี๋ยวจะตกลงไปเจ็บ สมชายไม่เชื่อก็เลยเดินตรงไป100ก้าวแล้วไม่พบว่ามีหลุมอะไร ซ้ำยังนึกตำหนิสมศรีว่าโกหกหลอกลวง คงจะซ่อนสมบัติอะไรเอาไว้แถวนี้แล้วพยายามขัดขวางไม่ให้คนอื่นมาเจอล่ะสิ!

    [​IMG]



    สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ มีหลุมอยู่จริงๆ และมองเห็นลำบากแต่สมศรีมองเห็นเพราะสายตาดีเป็นพิเศษ ทว่าสมศรีคำนวณจำนวนก้าวตามช่วงก้าวของตัวเองแบบสั้นๆ แต่สมชายก้าวไปแบบยาวๆ ร้อยก้าวของสมชายจึงเป็นเพียงพื้นราบไม่มีหลุม เมื่อสมชายเดินต่อไปถึงจุดที่เป็นหลุมเขาก็ไม่ตกหลุมอีก เนื่องจากในขณะที่สมชายกำลังเดินไปนั้น มีก้อนหินจากบนหน้าผาใกล้ๆ หล่นลงมาปิดหลุมเอาไว้ได้พอดิบพอดี เมื่อสมชายเดินทางมาถึง จึงไม่เห็นหลุม และเขาไม่ตกลงไป ไม่มีใครบาดเจ็บและไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่อย่างใด

    สมศรีอาจจะเคยได้รับการช่วยเหลือจากสมชายในอดีต มาคราวนี้สมศรีเลยมาช่วยสมชายบ้าง แต่ “ก้อนหินแห่งความไม่แน่นอน” อันอาจเกิดจากบุญบางอย่าง ได้หล่นลงมาปิดปากหลุมเอาไว้ สมชายจึงไม่ได้ตกลงไป แต่ถ้าหากสมชายมีกรรมของการเดินตกหลุมและต้องชดใช้ กรรมคราวนี้อาจจะผ่านพ้นไป แต่ในที่สุดเมื่อเขาเดินต่อไปอีกสักพักเขาก็จะต้องตกหลุมอยู่ดี เป็นไปตามกฎ

    ก้อนหินนี้ มองเข้าไปในระดับควอนตัม มันก่อตัวประสานตัวเองขึ้นมาจากอะตอมจากโมเลกุลของเศษดินก้อนเล็กๆ เมื่อนานมาแล้ว มันอาจจะเกิดจากผลบุญที่สมชายได้กระทำเอาไว้ในอดีตชาติ เมื่อเวลาผ่านไป มันรวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่เข้า แล้วเมื่อถึงเวลามันก็มาอยู่บนหน้าผาตรงนั้น แล้วก็พร้อมที่จะตกลงไปปิดหลุมอย่างพอดิบพอดี หินก้อนนี้จึงไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นผลจากอดีต

    การมีอะไรบางอย่างเข้ามาแทรก เพื่อทำให้เหตุการณ์เคลื่อนเลื่อนออกไปนี้ บางที ณ จุดเริ่มต้นของการแทรก อาจจะไม่ต้องทำอะไรมากมายก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่นก้อนหินปิดหลุมที่หล่อตัวเองจากอนุภาคเล็กๆ ในอดีต บางเหตุการณ์อาจเกิดขึ้นเพราะมีผู้หยั่งรู้เด็ดดอกไม้สักใบ ตั้งแต่อดีตไกลโพ้น แต่สะเทือนต่อเนื่องไปถึงดวงดาวในกาลปัจจุบัน ก็เป็นได้

    หากเราไปเตะใครเข้า แล้วเราเดินหนี เขาก็ต้องอาฆาตแค้นมาเตะเราคืน ไม่ว่าเราจะหนีไปไกลหรือนานข้ามภพชาติแค่ไหนก็ตาม หากจิตเขายังแค้นอยู่ เขาต้องตามมาเตะคืนจนได้ในที่สุด

    วัฏจักรของอารยธรรมก็เป็นไปอย่างนั้น อารยธรรมไหนไปทำร้ายทำลายเข่นฆ่าข่มเหงอาณาจักรอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุอยู่นานแค่ไหนก็ตามในที่สุดก็ย่อมถึงกับการเสื่อมสลายลงแบบไม่ดี (มีเกิด รุ่งเรือง เสื่อมและ ดับกันทั้งนั้น แต่ต่างกันที่ว่าเสื่อมดับด้วยดีหรือด้วยไม่ดีเอามากๆ อย่างสาหัสสากรรจ์)
    หากจะมองในสเกลที่ใหญ่ขึ้นในระดับโลก กาแลกซี่หรือจักรวาล ก็อยู่ภายใต้กฎกติกาเดียวกัน กฎของการเกิดดับเป็นกฎเดียวกับกฎแห่งกรรม ทั้งหมดไม่ว่าจะเดินทางไปทางบวกหรือลบ ล้วนต้องกลับมาสู่ศูนย์คือระดับปกติ จิตก็ประภัสสรเองก็มีความสว่างไสวบริสุทธิ์เป็นปกติ แต่ที่ไม่ปกติขึ้นมาเพราะมันมีความหลงในตัวตน ว่ามีตัวมีตน เป็นเราเป็นเขา หลงความรู้ตัวเอง หลงลาภยศเกียรติศักดิ์ศรีสรรเสริญ หลงในทรัพย์สมบัติและสิ่งสมมติต่างๆ หลงในบารมีธรรม หลงในภูมิธรรม หลงในยศตำแหน่งทางธรรม ฯลฯ ในโลกและจักรวาลนี้กันอยู่ มีความเกาะยึดลูบคลำ ในระดับที่หนาแน่นหรือเบาบางแตกต่างกันไป เท่านั้นเอง จุดหมายที่แท้ของมนุษย์และสรรพสัตว์สรรพจิตวิญญาณทั้งปวงก็คือการเดินทางผ่านภพชาติอันยาวนานจนกว่าจะค้นพบและคลายตัวเองไปจากความยึดติดนี้เพื่อกลับเข้าไปสู่สภาพสมดุลสภาพปกติที่แท้นั่นเอง

    ตามภาพที่ 4 (image4) บางคนอาจจะเคยฝันเห็นสัญลักษณ์หรือตัวเลขแล้วเอามาซื้อหวยถูก เพราะฝันนั้นอาจเป็นนิมิตที่เทวดานำมาดลใจให้เห็นจากจุด B ด้วยเป็นการแทนคุณให้บางอย่าง บางคนอาจฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า แล้วเวลาในสเกลปกติผ่านไป มันเกิดแบบนั้นขึ้นจริงๆ ทั้งหมดล้วนเป็นคล้ายการกระโดดจาก A ไป B (เป็นเพียงการเปรียบเทียบ) ทั้งนี้ ความแม่นยำของตำแหน่งเวลาของเหตุการณ์ที่ B นั้น อาจไม่ได้เกิดขึ้นตรงกับที่ได้เห็น ณ ตำแหน่ง A ก็เป็นได้ เพราะอาจจะมี “ก้อนหินแห่งความไม่แน่นอน” หล่นเข้ามาแทรก หรือมีอะไรบางอย่างเข้ามาผลักดัน ทำให้เส้นทางระหว่าง A –B มีการโยกโย้ไปมา หรือเส้นทางขององค์ประกอบที่เกื้อหนุนเหตุการณ์ B ให้เกิดขึ้นนั้นมีองค์ประชุมไม่ครบ หรือ B อาจจะไปเกิดเอาตรงปลายขอบของกรวยเหตุการณ์ ไม่ได้เกิด ณ เวลาที่เข้าใจในคราวแรกก็เป็นได้ ทว่าดังเช่นกับกรณีของสมชาย หากเขามีกรรมจะต้องตกหลุม ไม่ว่าอย่างไรมันก็ย่อมต้องเกิดขึ้น เพียงแต่บุญบารมีบางอย่างอาจจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เท่านั้น


    ตัวอย่างเหตุการณ์ของการรับผลของกรรมไม่ว่าจะหมุนเวียนอยู่ในวัฏจักรและสำเร็จอย่างไรแล้วก็ตาม ก็ยังต้องรับกรรมในบางอย่างอยู่ (แต่ก็ไม่ใช่เหตุแห่งการเก็บกรรมวิบากที่กระทำไว้แล้วล่วงไปแล้ว นำมาแบก มาหิ้ว หรือเอามากดตัวเองให้จมลงไปหรือเพิ่มภาระให้พะรุงพะรังอีก พระท่านสอนไว้ว่า มีต้นไม้สองต้น รดน้ำใส่ปุ๋ยต้นหนึ่งให้ดี ไม่ต้องใส่อีกต้น ต้นหลังนี้ในที่สุดมันก็จะเหี่ยวเฉาของมันไปเอง แม้ซากตอของมันจะหลงเหลือผลให้เราชดใช้ ก็ชดใช้ไป แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะไปปริวิตกกับมัน)
    พระมหาโมคคัลลานะถูกโจรทุบ (Wikipedia)
    วันเวลาผ่านไปตามลำดับ เข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระพักอยู่ที่กาฬศิลา ในมคธชนบทนั้นพวกเดียรถีย์ ทั้งหลาย มีความโกรธแค้นพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นอย่างมาก เพราะความที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ ไปเยี่ยมชมสวรรค์และนรกได้ แล้วนำข่าวสารมาบอกแก่ญาติมิตรของผู้ไปเกิดในสวรรค์และนรกให้ได้ทราบประชาชน ทั้งหลายจึงพา กันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทำให้พวกเดียรถีย์ ต้องเสื่อมคลายความเคารพนับถือจากประชาชน ลาภสักการะก็เสื่อมลง ความเป็นอยู่ก็ลำบากฝืดเคือง จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นอันเดียวกันว่า “ต้องกำจัดพระมหาโมคคัลลานะ เพื่อตัดปัญหา” ตกลงกันแล้ว ก็เรี่ยไรเงินทุนจากบรรดาศิษย์ และอุปัฏฐากของตนเมื่อได้เงินมาพอแก่ความต้องการแล้ว ได้ติดต่อจ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ
    พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง 2 ครั้งในครั้งที่ 3 พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งใน ป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป(วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

    เหตุที่เกิดเหตุการณ์ B นี้ขึ้น เนื่องจากครั้งหนึ่งในอดีตชาติท่านมหาโมคคัลลานะเคยก่อกรรม A เอาไว้ นั่นคือบุพกรรมวิบากที่ชาติหนึ่งเคยทุบตีพ่อแม่ตาบอด ในครั้งนั้นเมื่อตายแล้วต้องชดใช้กรรมในนรกเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกแล้วมาเกิดใหม่ ต้องถูกทุบตีจนแหลกละเอียดอีกหลายร้อยชาติ ในชาติสุดท้ายนี้แม้จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์ สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีผลกรรมได้ ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลวดังกล่าวมานั่นเอง

    (ในระดับใหญ่กว่านั้น คือ กรรมของเมือง ของประเทศ ของโลก ก็เป็นกรรมร่วมเหมือนกัน เมื่อโลกถึงจุดเสื่อมมันก็ย่อมที่จะต้องเกิดขึ้นในความเสื่อม เมื่อถึงจุดต้องเปลี่ยนมันก็ย่อมที่จะต้องเปลี่ยน ต้นไม้จะผลิใบได้ ก็ต้องย่อมจะปลิดใบเก่าให้หลุดร่วงออกไปก่อน มันเป็นวัฏจักรเช่นนั้น แต่การปลิดใบของต้นไม้มีการปลิดทิ้งเรื่อยๆ ตลอดทั้งปีทุกฤดูกาล บางฤดูกาลมากเป็นพิเศษ บางฤดูกาลน้อย โลกก็มีการชำระล้างตัวเองเรื่องๆ เช่นกัน แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะชำระล้างไม่ทันการสร้างมลพิษของมนุษย์ โลกจะถึงจุดเปลี่ยนชำระล้างมากมายแค่ไหนหรือไม่อย่างไร ก็ขอได้โปรดจับมือกันไว้ มอบความรักความปรารถนาดีให้แก่กัน เฝ้าระแวดระวังติดตามเหตุการณ์ไปพร้อมๆ กันเถิด..)


    ในขณะที่ บางเส้นทางของเหตุการณ์ B ที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อได้รับการมองเห็นล่วงหน้าแล้ว ท่านผู้นั้นสามารถเลือกที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วยการกระทำเพื่อผลักดันเหตุการณ์องค์ประกอบ ไม่ให้เดินทางเข้าไปเกื้อหนุนเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ เช่น เมื่อครั้งพระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ..

    ..พระอานนท์
    พระพุทธองค์อย่าได้ปรินิพพานที่เมืองเล็กๆ อย่างกุสินารานี่เลย … ขอพระพุทธองค์เสด็จไปปรินิพพานที่เมืองใหญ่ๆ อย่างเมืองสาวัตถี โกสัมพี หรือเมืองพาราณสีเถิด เมืองเหล่านั้นมีกษัตริย์ มีพราหมณ์และคหบดีมากมายล้วนแต่ศรัทธาในพระพุทธองค์ทั้งนั้น

    พระพุทธเจ้า
    อานนท์ … อย่าได้ตำหนิว่าเมือง กุสินารานี้เป็นเมืองเล็ก … ในอดีตกาลเมืองนี้เป็นราชธานีที่ยิ่งใหญ่ มั่งคั่ง พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ผู้คนมากมายเต็มไปด้วย เสียงเพลง กล่อมประโคมทั้งกลางวันกลางคืน…อีกประการหนึ่งถ้าเราไปปรินิพพานที่เมืองอื่น สุภัททปริพาชก ซึ่งเป็นนักบวชลัทธิอื่น ก็จะไม่ได้พบเราไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ประการสุดท้ายถ้าเราไปปรินิพพานที่เมืองอื่น สงคราม
    ครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้น เพราะเหตุแย่งสรีรธาตุของเรา แต่ในเมืองกุสินารานี้มีโทณพราหมณ์อยู่ จะได้ช่วยห้ามปรามระงับสงครามนั้น แล้วแจกสรีรธาตุของเราแก่กษัตริย์ที่มาจากเมืองต่างๆ สงครามก็จะไม่เกิด นี่คือเหตุผลที่เราอดทนบากบั่นเดินทางมาจนถึงเมืองกุสินารานี้

    (ที่มา พยากรณ์บิณฑบาต ๒ ครั้ง)


    ...........

    เราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย ต่างก็เป็นสัตว์โลกที่กำลังร่วมทุกข์ในชีวิตประจำวันกันหลากหลายสารพัดเรื่องราว ต่างก็ยังมีอัตตามีตัวตน มีความโง่ มีความหลง มีตัณหา มีความยึดติดเกาะติด เหนียวแน่นบ้างบางเบาบ้างคละเคล้ากันไปด้วยกันทั้งหมดทุกรูปทุกนาม ต่างก็ล้วนแล้วแต่กำลังเวียนว่ายอยู่บนเรือไหลระเรื่อยไปบนท้องสมุทรพร้อมๆ กัน ต่างก็เป็นเพียงธาตุ ขันธ์และองค์ประกอบทางจิตอื่นๆ เหมือนๆ กัน ต่างก็ถูกหลอกให้หลงในตัวตน หลงในภพชาติอวิชชา ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเดียวกัน โลกเดียวกัน กาแลกซี่เดียวกัน ภายในจักรวาลและโลกธาตุเดียวกัน ตัวตนที่เราๆ ท่านๆ เห็นกันอยู่นี้พระพุทธองค์ (หรือศาสดาของศาสนาแท้อื่นๆ) ท่านก็สอนสั่งกันมาชัดเจนและต่างก็เข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าทั้งหมดนี้คืออะไร ขอได้โปรดอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย ขออย่าได้เบียดเบียน ตำหนิติเตียนกล่าวร้าย อาฆาตแค้นต่อกันและกันเลย..

    (ต่อ..)
     
  5. วิญญ์ ชวาทิต

    วิญญ์ ชวาทิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +490
    รัก ห่วงใยกัน ปรารถนาดีต่อกัน ค่อยๆ บอกค่อยๆ เตือนกันไป ภายในเมตริกซ์นี้เถิด..

    “ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่และเสื่อมสิ้นไป
    นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ”
    (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ วชิราสูตรที่ ๑๐ )

    The Matrix นี้ มีชื่อว่า “ทุกข์”
    “ตัวตน” เป็นเพียงมายา เป็นสภาพปลอมๆ ที่จำแลงตัวมาดึงให้หลง เท่านั้นเอง

    [​IMG]

    The Very Best Matrix Memes - PandaWhale




    ขอได้โปรดสอบถามตนเอง (ตนเอง คือ คำสมมติ) สักนิด ดังนี้

    1) เราเป็นผู้หนึ่งหรือไม่ ที่กราบไหว้ศาลเจ้า บูชาเทพ ทำพิธีทางพราหมณ์ ตั้งศาลพระภูมิที่บ้าน เอาอาหารไปเชงเม้ง กลัวความมืด แต่บอกใครต่อใครว่าผีไม่มีจริงและไม่เชื่อเรื่องผี ตำหนิทุกคนที่เชื่อเรื่องผีว่างมงาย

    2) เราเป็นผู้หนึ่งหรือไม่ ที่เชื่อเรื่องกรรมเวร เชื่อเรื่องการอุทิศบุญและอื่นๆ แล้วบอกใครต่อใครว่าอะไรที่มองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ด้วยตาและประสาทสัมผัสที่มีอยู่จะไม่เชื่อเด็ดขาด

    3) เราเป็นผู้หนึ่งหรือไม่ ที่มีความเชื่อในสิ่งลี้ลับบางอย่างอย่างเหนียวแน่น มั่นอกมั่นใจว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น ในขณะที่โจมตีความเชื่อสิ่งลี้ลับของบุคคลอื่นว่ามันไม่ใช่ ทั้งๆ ที่สิ่งลี้ลับของตนเองนั้นก็พิสูจน์ในทางกายภาพไม่ได้เช่นกัน และอาจไม่กล้าโจมตีอย่างเปิดเผยหากความเชื่อของกลุ่มอื่นนั้นเป็นกลุ่มชนใหญ่ๆ คือ ความมั่นใจลดน้อยลงหากไม่มีพรรคพวก

    4) เราเป็นผู้หนึ่งหรือไม่ ที่ปฏิเสธคำกล่าวของบุคคลผู้หวังดีที่บอกเราว่า “ท่านรู้ไหม ความเชื่อทั้งหมดที่มนุษย์โลกถือกันอยู่ทั้งหลายนั้น แท้จริงแล้วในระดับโลกุตตระมันไม่มีอยู่จริงเลยสักอย่างเดียว การโจมตีความเชื่อบุคคลอื่น และยึดถือเฉพาะความเชื่อของตนเองเท่านั้น เป็นเรื่องไร้สาระ” ในขณะที่เราบอกใครต่อใครว่าเราเข้าใจธรรมะทุกระดับอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว

    5) เราเป็นผู้หนึ่งหรือไม่ที่เคยยื่นมือเสนอสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่น แต่ถูกมองกลับมาด้วยความเข้าใจผิดว่าเรากำลังไปแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวหรือไม่ก็ เรากำลังแส่เข้าไปเสนอในสิ่งที่เขาไม่ได้ร้องขอ (เพราะสังคมทุกวันนี้ เป็นสังคมแห่งการไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ซึ่งระบบความคิดและมุมมองที่มองต่อกันแบบนี้ พวกเราทั้งหมดช่วยกันสร้างมันขึ้นมาเอง) แล้วเรากำลังกระทำสิ่งที่เราถูกกระทำนั้นต่อบุคคลอื่นอยู่หรือไม่ ในเวลานี้?

    6) เราเป็นผู้หนึ่งหรือไม่ที่เคยพยายามสร้างผลงานสร้างสรรค์บางอย่างขึ้นมา แต่ก็ถูกต่อต้าน ถูกคัดค้าน ถูกตำหนิให้หมดไฟไปดื้อๆ ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ แล้วเราก็กำลังพยายามเอาความรู้สึกตรงนั้นไประบายถ่ายทอดให้คนอื่นๆ รับเคราะห์ไปหรือไม่?

    7) เราเป็นผู้หนึ่งหรือเปล่า ที่เฝ้าแต่แบกตำแหน่ง ถือวิชาความรู้จากต่างประเทศที่คนอื่นศึกษาและค้นคว้ากันมา โดยเราไม่ได้วิจัยไม่ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นเลย แต่เรากลับไปต่อต้านและคัดค้านแนวคิดใหม่ๆ ความรู้ข้อมูลพิสดาร ไม่เชื่อในแนวทางใหม่ๆ ที่มันดูไม่น่าเป็นไปได้อย่างสนิทใจ ไม่เปิดโอกาสให้ใครๆ ได้ค้นคิด ได้ลองผิด และกล่าวโจมตีนักวิทยาศาสตร์ช่างฝันเหล่านั้นเสียๆ หายๆ เพื่อประสงค์จะดิสเครดิตเขาแล้วเราได้รับคำชื่นชม มีชื่อเสียงเกียรติยศในสังคม หากเอดิสันเพิ่งประดิษฐ์หลอดไฟในยุคนี้ เราจะเข้าไปด่าเขาหรือเปล่าว่าเพ้อฝัน โลกนี้มีเพียงเทียนไขเท่านั้นที่ส่องสว่างในบ้านได้?

    8) เราเป็นผู้หนึ่งหรือเปล่าที่รู้สึกสบายอกสบายใจมากขึ้น ที่ได้รับรู้ว่าคนอื่นทุกข์กว่าเรา เราเบิกบานขึ้นไหมเมื่อพบว่า การแจ้งเตือนภัยของคนอื่นล้มเหลวไม่เป็นท่าทั้งๆ ที่เขาก็ปรารถนาดีกับผู้อื่นไม่น้อยไปกว่าเรา และเราได้ท้าทายเขาไปในคราวนั้นและเราชนะ เขาแพ้ เราท้าทายไม่เลือกหน้าไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการหรือพระสงฆ์องค์เจ้าผู้ปฏิบัติชอบ แต่เราตัดสินแล้วว่าบุคคลนี้พระรูปนี้ปฏิบัติไม่ชอบด้วยตรรกะและวิสัยทัศน์ของเราเอง (เราไม่สนใจคำตัดสินอื่นๆอีกแล้ว ที่เราสรุปเกี่ยวกับบุคคลนี้ไป ถูกต้องจริงแท้แน่นอนและเราต้องทำลาย) มีผู้คนชื่นชมเรามาก เราเจ๋งสุด เราภาคภูมิใจยิ่งนัก มีความสุขโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร เราเป็นอย่างนั้นไหม? เรามีความสุขและภาคภูมิใจมากที่ได้ทำลายเขาลงจากวงสังคม ชอบใจที่สังคมประณามเขามาก กระนั้นหรือ? หรือเราจะช่วยกันประคองกันไป จับมือกันไป ระแวดระวังไปด้วยกัน ด้วยความไม่ประมาท สิ่งใดดูจะผิดพลาด คลาดเคลื่อนก็สนทนาปราศรัยกันด้วยความห่วงใยและให้กำลังใจ มิใช่จ้องจะทำลาย เราควรจะเลือกกระทำอย่างไหนดี?

    9) สมศรีเดินสวนทางสมชายมา บอกสมชายว่าข้างหน้า100หลามีหลุม ทั้งๆ ที่พื้นที่บริเวณนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีหลุม หากเราเป็นสมชายเราจะเบะปากส่ายหัว เดินต่อไป100ก้าวไม่เจอหลุม หันกลับมาตะโกนด่าสมศรีไหม และจะตำหนิสมศรีอีกไหมที่เขาใช้คำว่า 100หลา ทั้งๆ ที่จริงๆ มันอาจจะเป็น 100เมตร 100ฟุตหรืออะไรก็ตาม เราจะเรียกร้องจากสมศรีไหมว่าสมศรีจะมารับผิดชอบอย่างไรกับการเตือนแล้วมันไม่เห็นมีหลุม หรือทางที่ถูกแล้วไม่ว่าสมศรีเห็นหลุมหรืออันตรายอะไร ไม่ว่าจะคำนวณระยะทางผิดหรือไม่ผิด ก็ไม่ต้องเตือนไม่ต้องปรารถนาดีอะไรต่อใครทั้งนั้น สมศรีควรจะเงียบๆ แล้วเดินผ่านสมชายไปเฉยๆ ให้สมชายระวังตัวเอาเอง?

    หรือเราควรจะขอบคุณสมศรีที่เมตตาเตือนล่วงหน้า เดินไปถึงระยะทางข้างหน้าไม่เจอหลุม ก็ยิ้มและนึกขอบคุณสมศรีอีกรอบในความปรารถนาดีที่มีให้ เราจะเลือกคิดและกระทำอย่างไรต่อสมศรีดี?

    10) เราเป็นผู้หนึ่งหรือเปล่าที่เห็นข่าวสงครามประเทศนั้นประเทศนี้ยิงขีปนาวุธทำลายล้างกันแล้วไม่ชอบใจ ในขณะที่เราเอง หากผู้คนแวดล้อมผิดนิดผิดหน่อย เราคอยจ้องจับผิดเอาชนะและไม่มีวันยอมแพ้ ไม่มีวันอภัยให้ในความผิดพลาดใดๆ ของเขา

    [​IMG]

    11) เราเป็นผู้หนึ่งหรือเปล่าที่ยังไม่ค่อยเข้าใจในระบบเวลาของจักรวาล ยังไม่ค่อยรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงของดวงดาวในอวกาศที่มีผลต่อการหักเหของแสงและกาลเวลา พวกเรายังไม่ค่อยรู้จักหลุมดำที่อาจสามารถหยุดเวลาให้นิ่งในอวกาศได้ ไม่นานมานี้บรรพบุรุษของพวกเรายังบูชาไฟกันอยู่เลย วิชาการและความรู้ไม่ว่าจะทางโลกและทางจิตเราพัฒนากันจนกระจ่างแจ้งในจักรวาลกันแล้วอย่างนั้นหรือ?-เราทั้งหมดเป็นผู้แตกฉานในทุกวิชาการในกัปนี้กันแล้วอย่างนั้นหรือ? และเราเป็นผู้หนึ่งหรือเปล่าที่ยังไม่รู้ว่า ระยะเวลาในเพลนอื่นหรือภพภูมิอื่นที่บางท่านได้พบได้เห็นแล้วนำมาบอกต่อนั้นอาจมีความยืดหยุ่นคลาดเคลื่อนของสเกลเวลาที่ไม่เท่ากันกับโลกนี้ (ทั้งนี้ ขอไม่กล่าวถึงนิมิตลวงและขอไม่ตำหนิผู้ที่เข้าใจว่าตนมีนิมิตแล้วแจ้งเตือนผู้อื่นแต่ไม่ใช่นิมิติแท้ ไม่ตำหนิในความปรารถนาดี และให้กำลังใจให้สู่เนื้อหาที่แท้แห่งพระสัจธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป) บางท่านอาจบอกกล่าวเราด้วยปรารถนาดีแต่เรากลับไปจ้องคอยจับผิดและตำหนิท่าน เฝ้าคอยวันเวลาที่ท่านแจ้งเอาไว้ หากมันไม่เกิดอะไรขึ้น เราชนะและเราจะปลาบปลื้มยินดีมากที่ชนะ พวกเราเป็นอย่างนั้นกันไหม?


    12) เริ่มต้นอโหสิกรรมต่อกันนับตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าจะติดค้างขุ่นเคืองอะไรต่อกันก็ขอได้โปรดหันหน้าเข้าหากัน จับมือกัน ขอขมากันและอโหสิกรรมต่อกัน โลก 3 มิตินี้ไม่ได้มีสาระอะไรให้ยึดเกาะมากมายเลยพี่น้องร่วมกองทุกข์ทั้งหลายเอ๋ย ใครจะยังบาดหมางเรา จ้องเอาเปรียบเรา แก่งแย่งชิงดีเรา ก็ให้เขาทำไป แต่เราอย่าไปทำอย่างเขาและเราอย่าไปแบกไปหิ้วอะไรหนักๆ ให้พะรุงพะรังอย่างเขา ปล่อยโลกสามมิตินี้ให้มันดำเนินต่อไปของมันเอง ไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นช่วงไหนหรือไม่เกิด ก็ให้มันเป็นไปของมันเอง ปล่อยวางปล่อยทิ้งทุกสิ่งลงให้มากเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้จะไม่หมดจดแต่ก็ดีกว่ายึดเกาะเหนียวแน่นหมดทั้งสิบนิ้วไม่มีคลายสักนิ้ว หากสิ่งที่เรียกว่าตัวตนของเราจะต้องตาย ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ของที่หวงก็ปล่อยมันทิ้งไปในสามมิตินี้ ถึงแม้มันไม่เกิดภัยพิบัติใดๆ ขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเราทั้งหมด 7,000 ล้านกว่าชีวิตและสรรพสัตว์อีกนับไม่ถ้วนชีวิตก็ต้องจากของรัก จากโลกนี้ไปอยู่ดีในวันหนึ่งข้างหน้า มันไม่ใช่ของเราตั้งแต่แรกและเราก็ไม่ได้เป็นของมันหรือของใครเช่นกันตั้งแต่แรก มันเป็นอย่างนั้นในกาลและอวกาศแห่งนี้ เสมอมาและตลอดไป..


    ด้วยรักและปรารถนาดี

    ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม
    12-12-12
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  6. จันทิพา

    จันทิพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +460
    สาธุ อนุโมทนาด้วยค่ะ
    เริ่มต้นอโหสิกรรมต่อกันนับตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าจะติดค้างขุ่นเคืองอะไรต่อกันก็ขอได้โปรดหันหน้าเข้าหากัน จับมือกัน ขอขมากันและอโหสิกรรมต่อกัน โลก 3 มิตินี้ไม่ได้มีสาระอะไรให้ยึดเกาะมากมายเลยพี่น้องร่วมกองทุกข์ทั้งหลายเอ๋ย ใครจะยังบาดหมางเรา จ้องเอาเปรียบเรา แก่งแย่งชิงดีเรา ก็ให้เขาทำไป แต่เราอย่าไปทำอย่างเขาและเราอย่าไปแบกไปหิ้วอะไรหนักๆ ให้พะรุงพะรังอย่างเขา ปล่อยโลกสามมิตินี้ให้มันดำเนินต่อไปของมันเอง ไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นช่วงไหนหรือไม่เกิด ก็ให้มันเป็นไปของมันเอง ปล่อยวางปล่อยทิ้งทุกสิ่งลงให้มากเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้จะไม่หมดจดแต่ก็ดีกว่ายึดเกาะเหนียวแน่นหมดทั้งสิบนิ้วไม่มีคลายสักนิ้ว หากสิ่งที่เรียกว่าตัวตนของเราจะต้องตาย ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ของที่หวงก็ปล่อยมันทิ้งไปในสามมิตินี้ ถึงแม้มันไม่เกิดภัยพิบัติใดๆ ขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเราทั้งหมด 7,000 ล้านกว่าชีวิตและสรรพสัตว์อีกนับไม่ถ้วนชีวิตก็ต้องจากของรัก จากโลกนี้ไปอยู่ดีในวันหนึ่งข้างหน้า มันไม่ใช่ของเราตั้งแต่แรกและเราก็ไม่ได้เป็นของมันหรือของใครเช่นกันตั้งแต่แรก มันเป็นอย่างนั้นในกาลและอวกาศแห่งนี้ เสมอมาและตลอดไป..

    เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ...
     
  7. ลี้ท่ำฮวย

    ลี้ท่ำฮวย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +178
    เป็นการประสมประสานหลักทางฟิสิกส์และศาสนาได้อย่างงดงาม ลงตัว
     
  8. octobernism

    octobernism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +150
    กระทู้นี้ เป็นของขวัญส่งท้ายปีเลยครับ ขอบคุณครับ
     
  9. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571
    พวกเมพ ฟุ้งๆ ปรุงแต่งจิตหลอนๆ คงจะได้หลักการไปอ้างแล้วว่า

    ภัยพิบัติที่ได้บอกกล่าวไว้นั้น มันเลื่อนไปได้ด้วยเหตุฉะนี้





    แต่อะไรทำนองนี้ เอามาใช้กับเรื่องการเงินไม่ได้แฮะ
    พระท่านว่า กรรมเกิดแต่เหตุ เมื่อสิ่งนี้เกิดสิ่งนั้นจึงเกิด

    เมื่อไม่จ่ายตามกำหนด ดอกเบี้ยย่อมเกิด ......... แน่นอน เที่ยงตรง และไม่เคยเลื่อนเคลือนไปภพภูมิอื่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  10. วิญญ์ ชวาทิต

    วิญญ์ ชวาทิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +490

    ด้วยความยินดียิ่งครับ

    หากมีข้อความส่วนไหนหรือทั้งหมดก็ตาม ที่คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
    สามารถหยิบไปแบ่งปันได้ทันที โดยไม่ต้องขออนุญาต ไม่ต้องแจ้ง และไม่ต้องให้เครดิตอะไรครับ..
     
  11. chiron

    chiron Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +52
    เป็นกระทู้ที่ เขียนได้ดีแฮะ
     
  12. kingmengkim

    kingmengkim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +119
    ขอประทานโทษนะครับ ที่เขียนมาทั้งหมด ท่านจขกท หมายถึงคำทำนายใดครับ
    12/12/2012 ที่ผ่านมาแล้ว หรือเผื่อไว้สำหรับ 21/12/2012 หรือว่าคำทำนายของปีหน้าช่วงเดือนมกรา-กุมภา ครับ
     
  13. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    1. ตอบ ไม่ทำอะไรพวกนี้นะ แต่ไม่ยุ่ง ไม่ว่าคนอื่นที่ทำ ก็มองดูแบบขำๆ ไป

    2. ตอบ เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม แล้วก็เชื่อกาลามสูตรนะ

    3. ตอบ เชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่ไม่เชื่อเรื่องขอหวยจากสัตว์พิการ พืชประหลาด อะไรทำนองนี้ เชื่อนะ ว่ามีผีบางตน ที่ตั้งตัวเองหรือถูกอุปโลกให้เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ แต่ไม่สนใจ ไม่บูชา เพราะเคารพแต่พระพุทธเจ้า

    4. ตอบ ประเด็นนี้ ปล่อยให้เป็นเรื่องของแต่ละคน ที่จะคิดกันไปนะ จะทำอะไรก็ทำไป แค่มองดูเฉยๆ

    5. ตอบ สงสัยจะเคยทำนะ แต่ลืมไปแล้ว ไม่ค่อยเก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาคิดนานนะ

    6. ตอบ เหมือนข้อ 5 คือ ไม่สะสมความคิดจุกจิกไว้นาน มันไม่สนุกนะ

    7. ตอบ อันนี้นะ ถ้าเจออะไรน่าสนใจกว่า เช่น ข้อมูล ประมาณนี้นะ ก็จะไปศึกษาดู ไม่แบกของเก่าไว้นาน อย่างที่เค้าบอกว่า ไม่ยึดติด รากงอก

    8. ตอบ ไม่ทำแบบนั้นนะ เพราะคิดว่าการซ้ำเติมคนอื่นเป็นบาป ไม่อยากมีบาป มองว่าควรคุยกันดีๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่จ้องจะห้ำหั่นกัน เพราะเถียงกันไปเรื่อยๆ ก้ลงเอยต้องทะเลาะกัน บรรยากาศไม่ดีนะ

    9. ตอบ ขอบคุณสมศรีไว้ก่อนนะ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง เพราะเค้าก็หวังดี ส่วนจะแฝงอย่างอื่นหรือเปล่า ช่างเค้าเหอะ ไม่สนใจ ไม่เป็นสาระ

    10. ตอบ ไม่ชอบนะ สงสารประชาชนที่ไม่ได้กระหายสงคราม ส่วนคนแวดล้อม ก็ขี้เกียจไปเอาชนะด้วยนะ เสียเวลา เครียดด้วย ไม่เอาดีกว่า

    11. ตอบ จริงๆ ชาวโลก เป็นเหมือนมดปวกเองนะ ถ้าเทียบกับจักรวาล เอาแค่จักรวาลเดียวละกัน เพราะชาวโลกมีอายุอยู่ได้แป๊บเดียว คนละไม่เกิน 100 ปี โดยเฉลี่ย

    12. ตอบ ก็ใช้นโยบายไม่เก็บขยะที่เน่าเหม็นไว้ในความรู้สึกนะ เลือกเก็บบางอย่างที่ดี แต่ก็เก็บไม่ได้หมด ความจำมีจำกัด
     
  14. Sestulee

    Sestulee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    379
    ค่าพลัง:
    +2,386


    ใครจะมีความเชื่ออย่างไรก็คงไม่ผิดหรอกครับมันเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่บางคนนี่สิถือโอกาศเล็งเห็นผลประโยชน์จากความเชื่อของผู้อื่น นำความเชื่อนั้นไปปรุงแต่งแต้มเติมเพื่อผลประโยชน์แห่งตนและพวกพ้อง จนทำให้คนที่มีความเชื่อเดิมอยู่แล้วขาดการยั้งคิด พิจาราณาจนบางครั้งทำให้ขาดสติในการดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควร
     
  15. ฟาสิรี

    ฟาสิรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    396
    ค่าพลัง:
    +729
    มันเลื่อนเพราะผู้ทำนาย นั่งเทียนเอา ไม่มีใครรู้ และทำนายได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไร ที่ไหน ที่ทำนายมามั่วกันมาเอง มันจึงไม่ตรง และพอไม่ตรงก็มาอ้างว่ามันเลื่อนไป ... ง่าย ๆ จบ ไม่ต้องไปคำณง คำณวณอะไร ไม่ต้องไปคิดมากหรอก
     
  16. โมก

    โมก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,737
    ทุกอย่างตั้งอยู่บนสภาวะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมลง ดับไป
    เกิดคือเกิด ไม่เกิดคือไม่เกิด ไม่มีจะเกิดแล้วเลื่อนออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว เลื่อนกันไม่ได้ หากว่าต้องเลื่อน ก็แสดงว่ายังไม่เกิด
    เรื่องนี้ชวนให้นึกถึงตอนเกิดแผ่นดินไหวและมีสึนามิที่ไทย ที่ภูเก็ตมีศาลเจ้าอยู่แห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ทะเลไม่ได้รับความเสียหายเลย แต่บริเวณข้างๆและข้างหลังถูกคลื่นน้ำซัดไม่เหลือ เหมือนน้ำแยกออกไปสองข้าง โดยไม่โดนศาลเจ้า ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยในแง่วิทยาศาสตร์สร้างความฮือฮามากให้กับชาวบ้านจนรายการไปถ่ายทำ และพบว่าสามสี่ปีก่อนเกิดสึนามิมีการทำพิธีสักการะบูชาที่ศาลเจ้า(ไม่แน่ใจว่าเป็นวันตั้งศาลเจ้ารึปล่าว) เทพเจ้าได้สื่อสารกับมนุษย์ผ่านตัวอักษรที่เขียนลงบนกระบะทราย โดยจะมีคนนำอักษรข้อความเหล่านั้นไปเรียบเรียง ใจความมีว่าในปี....(ปีพ.ศ.เกิดสึนามิ)จะเกิดภัยพิบัติรุนแรง สร้างความเสียหายมากมาย มีการนำข้อความสื่อสารจากเทพเจ้าจารึกไว้ที่ศาลเจ้า แต่ไม่มีใครสนใจจนกระทั่งหลังสึนามิ ที่มีผู้คนมาแห่ดูว่าเหตุใดที่ศาลเจ้าแห่งนั้นยังตั้งอยู่ได้โดยปกติ ไม่โดนคลื่นน้ำพัดพาไปทั้งที่บริเวณโดยรอบเหลือแต่ซาก เห็นได้ว่า ถ้ามันจะเกิด คือเกิดค่ะ พวกข้างบนรู้ว่าจะเกิดก็จะเตือนได้ถูกต้อง ระบุปีและอาจระบุช่วงเดือนในระยะสามเดือนใกล้เคียงได้ แต่จะพูดมากกว่านั้นไม่ได้ เพราะมันเป็นกฏ เป็นเรื่องของวัฏจักรการเปลี่ยนแปลง

    ถ้ามีใครเลื่อนได้จริง สึนามิครั้งนั้นคงไม่เกิด ภัยพิบัติธรรมชาติใดๆบนโลกคงไม่มี เพราะไม่มีใครอยากให้เกิด ไม่ใช่แค่ดินแดนพุทธศาสนาอย่างประเทศไทย ที่อื่นศาสนาอื่นเขาก็มีเทวดาของเขา ถ้าเขาเลื่อนกันได้อย่างที่ว่าจริง เขาคงทำให้เลื่อนกันหมด ทุกคนในโลกจะได้อยู่กันอย่างสงบสุขปลอดภัย
    และด้วยกรรรมดีและกรรมชั่ว ภัยพิบัติจึงมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตไม่เท่ากัน เป็นไปตามกำลังบุญและแรงกรรม โลกมีสมดุลย์เสมอ ไม่อย่างนั้นสิ่งมีชีวิตใดๆบนโลกคงไม่เหลือแล้วค่ะเมื่อภัยพิบัติมา ถ้าทุกชีวิตถูกกวาดต้อนไปหมด ทุกอย่างมีเหตุและผลของมัน
     
  17. llilliilliiill

    llilliilliiill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    589
    ค่าพลัง:
    +2,741
    รู้แต่ว่า นัดแล้ว... ไม่มาตามนัด เรียก ผิดนัด
    ผิดนัดบ่อยๆ เรียก ไม่มีสัจจะ... ไม่ควรคบ

    สมมุติ...
    นาย ก บอกว่าจะนำเงินมาใช้หนี้1ล้านบาทที่ยืมคุณไป ในวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยงที่บ้านคุณ
    พอถึงเวลา นาย ก บอกว่าเลื่อน เพราะมีคนบอกทางผิด
    วันต่อมา เลื่อน เพราะญาติป่วย
    อีกวัน เลื่อน เพราะเมียให้ไปซื้อของ
    คุณโทรไปทุกวัน นาย ก มีเหตุผลอ้างทุกวัน
    อยู่มาวันหนึ่ง คุณบังเอิญเดินไปเจอนาย ก .. นาย ก ให้เงินคุณมา 100 นึง แล้วบอกว่าที่เหลือติดไว้ก่อน มีครบเมื่อไหร่จะใช้ให้

    คุณคิดว่า นาย ก เป็นคนอย่างไร?
    หลายคนที่ยังมีข้อสงสัย คิดตามแล้วคงกระจ่างนะครับ...


    และถ้าใครจะมาแก้ต่างให้ นาย ก ว่า... เป็นเพราะนาย ก มีเหตุจำเป็นจริงๆต้องใช้เงินด่วนในขณะนั้น เพราะแม่ป่วย, ญาติเสีย, โดยขโมย ฯลฯ

    ถามว่า ทำไม นาย ก ไม่บอกมาตรงๆเลยว่าเพราะอะไรถึงใช้หนี้ไม่ได้?
    ทำไมโทรไปทีไร ต้องเลื่อนวันนัดชำระไปก่อน?

    ถ้าสุดท้ายแล้ว บอกว่า นาย ก มีเมื่อไหร่ก็เอามาจ่ายเองแหล่ะ...
    มันไม่ได้ต่างอะไรกับ "อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด"
    ถ้างั้นก็ไม่ต้องมาบอกหรอกว่า อะไรๆจะเกิดเมื่อไหร่ ปีไหน



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2012
  18. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,652
    ส่วนตัว...คิดว่า


    เมื่อ 100 วันบนโลกมนุษย์...เท่ากับ 1 วันสวรรค์

    เมื่อจิตเข้าสู่สมาธิ...และสัมผัสฌาน 4 ...เท่ากับได้สัมผัสจิตที่บริสุทธิ์...ไม่มีกิเลส...ชั่วระยะเวลานั้นๆ


    ความบริสุทธิ์ของจิต...ความพ้นจากกิเลส...มีหลายระดับ...เช่น

    ความบริสุทธิ์ของจิตของพระโสดาบัน....พระสะกิทาคามี...พระอนาคามี...พระอรหันต์เจ้า

    ดังนั้น...เมื่อความบริสุทธิ์ของจิตต่างกัน...ย่อมทำให้ความแม่นยำของการรับรู้ต่างกัน


    แม้ความคลาดเคลื่อน 1 % สวรรค์ (ด้วยอารมณ์ที่ยังไม่ถึงอารมณ์ของพระอรหันต์เจ้า)... ย่อมไม่เท่ากับ...ความคลาดเคลื่อน 1 % มนุษย์โลก



    (แก้ไข) 100 ปี บนโลกมนุษย์...เท่ากับ 1 วัน สวรรค์


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2012
  19. llilliilliiill

    llilliilliiill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    589
    ค่าพลัง:
    +2,741
    อนุโมทนาครับ...


    ว่าแต่... ตอนนี้ท่าน zz มีเงินและทรัพย์สินอยู่เท่าไหร่ครับ?
    ผมขอยืมหมดเลยได้มั้ยครับ? วันหลังค่อยคืน

    (ล้อเล่นครับท่าน แต่ให้จริงๆก็เอานะ :cool: )


    .
     
  20. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,652
    น่าจะถามว่า...ผมมีหนี้เท่าไหร่

    555


    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...