ข้อความจากต่างมิติ - รวมเทคนิกต่างๆเพื่อช่วยในการยกระดับขึ้นจากท่านมหาเทพมิคาเอล

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 20 ธันวาคม 2012.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มีประสบการณ์เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการฝึกตามที่ท่านมิคาเอลสอน
    มาเล่าให้ฟังครับ

    ช่วงนี้ผมกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับ "การเห็นคุณค่าในตัวเอง"
    หรือ "การรักตัวเอง" อยู่หนะครับ เพราะว่ามีเรื่องกระทบใจบางอย่าง
    จนทำให้ซึมเศร้ามาหลายเดือนแล้ว แม้ว่าจะรู้ตัวอยู่
    และแม้ว่าจะรู้ว่าควรจะทำอย่างไร และคิดอย่างไรด้วย
    แต่ทฤษฎีกับปฏิบัติหนะ เราก็รู้อยู่ว่ามันไม่เหมือนกันใช่ไหมครับ

    ก่อนหน้านี้ หรือจะเรียกว่าปกติแล้ว ผมจะเป็นคนที่ยิ้มไม่เหมือนใคร
    เพราะว่าเวลาผมยิ้ม ผมจะรู้สึกว่าผมยิ้มทั้งตัวเลย ไม่ใช่ยิ้มเฉพาะใบหน้าเท่านั้น
    คือมันจะรู้สึกว่า พลังงานมันจะแผ่ออกมาจากทั้งตัวเลย
    และก็ เวลาผมยิ้ม ผมจะรู้สึกว่า จั๊กกะจี้ไปทั้งตัวเลยหนะครับ

    ดูรูปของน้องคนนี้ประกอบแทนนะครับ เพราะว่ารูปผมขี้เหร่มาก อย่าดูเลย
    นี่แหละตัวอย่างของคนที่ยิ้มแบบ เต็มหน้า และ เต็มตัว ครับ

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    แต่มาช่วงนี้ ผมพูดได้เลยว่า ผมลืมรอยยิ้มแบบนั้นของผมเองไปแล้วหละครับ

    และก็..อย่างที่ผมเคยเล่าไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า ภาระกิจในช่วงปีใหม่นี้
    ที่เป็นภาระกิจสำคัญและเร่งด่วนของตัวเองมากที่สุด ก็คือการ "ฝึก"
    ให้กลับมาเห็นคุณค่าในตัวเองให้ได้ ให้กลับมารักตัวเองทั้ง 100% ให้ได้
    ดังนั้น ช่วงนี้ผมก็เลยตั้งหน้าตั้งตาหาแบบฝึกหัดที่เหมาะสมกับตัวเองอยู่
    เพื่อที่จะนำมาใช้ฝึกฝนและปฏิบัติแบบจริงๆจังๆซักที

    และก็เลยพบว่าเทคนิกต่างๆของท่านมิคาเอลนี่แหละ ที่ดูจะเหมาะกับตัวเอง
    เป็นการส่วนตัวมากที่สุด เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ชอบอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งก็ทำอยู่แล้ว
    และก็ดูเป็นธรรมชาติด้วย ก็เลยเร่งแปล และโพสต์เพื่อแบ่งปันให้ท่านได้อ่านด้วย
    อย่างที่เห็นอยู่นี่หละครับ และโดยส่วนตัวแล้ว ก็เริ่มฝึกแล้วเหมือนกัน

    เมื่อวานนี้ช่วงเช้า หลังจากที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ผมก็จะทบทวนความฝันของผม
    เหมือนอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำทุกวัน มาแล้ว 10 กว่าปีหนะนะครับ
    จากนั้นผมก็ลุกขึ้นมาดื่มน้ำ แล้วก็นั่งสมาธิ อาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
    ให้มาช่วยเหลือในทุกๆด้าน เหมือนเช่นเคย ซึ่งอันนี้ก็ทำมานานแล้วเหมือนกันครับ

    ตอนนั่งสมาธิ ผมก็จินตนาการตามที่ท่านมิคาเอลแนะไว้นั่นแหละครับ
    คือให้จินตนาการเห็นแสงสว่างพุ่งลงมาที่จักระที่ 7 ของเรา
    แล้วพุ่งลงไปต่อ ตามกระดูกสันหลัง ผ่านทุกๆจักระลงไป จนทำให้จักระสว่างไสวทั้งหมด
    แล้วก็ปล่อยให้แสงสว่างพุ่งลงไปเชื่อมต่อกับแกนกลางคริสตัลไลน์ของโลกด้วย

    และส่วนบนเหนือศรีษะ ก็จินตนาการว่ามีแสงสว่างพุ่งจากหัวเราขึ้นไป
    เชื่อมต่อกับโครข่ายคริสตัลไลน์ของโลก จนทำให้มันสว่างไสวไปหมดเลย
    แล้วตัวเราและโลกก็สว่างไสวรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และในขั้นตอนนี้
    ผมก็จะตั้งเจตจำนงค์ไว้ด้วยว่า ขอมอบแสงสว่างของเรา ให้พระแม่โลกไป
    เพื่อให้เธอเอาไปใช้ ในจุดที่จำเป็น ที่จะต้องใช้พลังงานความรักและแสงสว่างนี้

    ในช่วงเวลาที่นั่งสมาธินี้ ผมก็จะนึกถึงคำอธิษฐานบางคำเท่าที่ผมจำได้
    ตามที่ท่านมิคาเอลแนะนำด้วย เช่นคำเหล่านี้เป็นต้น

    ข้าคือรูปธรรมชีวิตแห่งไฟอันศักดิ์สิทธิ์
    ข้าคือความบริสุทธิ์ตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
    ข้าคือรูปธรรมชีวิตแห่งไฟอันศักดิ์สิทธิ์
    ข้าคือความสมบูรณ์แบบที่พระผู้เป็นเจ้าออกแบบมา
    จิตใจอันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าและตัวข้า คือหนึ่งเดียวกัน

    มันมีเรื่องที่น่าประหลาดอยู่ตรงนี้แหละครับ คือ ไม่น่าเชื่อว่า
    คำที่ดูเหมือนว่าธรรมดาๆพวกนี้ มันจะมีพลังอะไรบางอย่างของมันอยู่
    จนทำให้ผมรู้สึกได้ถึงพลังที่อยู่ภายในตัวเอง จนทำให้จิตใจตัวเองเข้มแข็งขึ้น
    จนสังเกตได้เลย จนมองเห็นช่องทางและความหวังได้อย่างชัดเจนเลยว่า
    โอ..นี่เรามีหวังที่จะกลับคืนสู่สภาวะที่จะรักตัวเองและเห็นคุณค่าในตัวเองได้แล้วหละ
    อะไรทำนองนั้นหนะครับ..

    ในช่วงเย็น ผมก็นั่งสมาธิอีก แล้วก็ทำคล้ายๆกันอีก ก็รู้สึกถึงความเข้มแข็ง
    ที่ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก..จนรู้สึกมีความหวังและกำลังใจมากขึ้นไปอีก

    ตอนก่อนนอน อาจจะเป็นเพราะว่า ผมลืมจิตนาการเห็นเปลวไฟสีม่วง
    มาเผาไหม้เอาพลังงานด้านลบให้ออกไป และก็ลืมที่จะนึกให้อภัยและอโหสิกรรม
    ให้กับทั้งตัวเองและผู้อื่น ตามที่ท่านมิคาเอลแนะนำด้วยกระมัง เลยฝันไม่ค่อยดีเลย

    คือผมฝันไปว่า ได้กลับไปบ้านที่เมืองไทย มีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วย
    แต่บ้านนั้นหนะ สกปกรก รกรุงรังมาก (ฝันทำนองนี้บ่อยๆครับ ทั้งฝันเอง
    และที่คนอื่นฝันเกี่ยวข้องกับตัวเองด้วย) พื้นบ้านและผนังบ้าน เต็มไปด้วยขี้ไก่
    ขี้ไก่แบบที่เปียกๆและสีดำ และเหนียวๆหนะนะครับ ในห้องน้ำก็ยิ่งแล้วใหญ่
    มีขี้ไก่เต็มพื้นไปหมด หมักหมมกันหนาเป็นคืบได้กระมัง
    จนผมแทบจะเดินไปไหนไม่ได้เลย เพราะในฝันก็รู้สึกรังเกียจและขยะแขยงมากๆ

    พอราวๆตีหนึ่งกว่าๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ลุกเข้าห้องน้ำ นึกทบทวนถึงความฝันเมื่อครู่นี้
    ก็เลยลองจินตนาการถึงเปลวไฟสีม่วงดู ให้มันลุกไหม้ไปทั่วร่างกายตัวเองนี่แหละ
    นึกขอให้ขจัดเอาพลังงานด้านลบทั้งหลายออกไปให้หมด และในขณะเดียวกัน
    ก็นึกขออโหสิกรรม และ ขอให้อภัยทุกๆคน ทั้งตัวเอง และผู้อื่นด้วย
    ไม่ว่าจะได้เคยทำอะไรที่เป็นพลังงานด้านลบ ให้แก่กันและกันมาก็ตาม
    นึกให้อภัย และขออโหสิกรรมให้หมดเลย จากนั้นก็หลับไปอีก

    น่าแปลก ที่ฝันเรื่องเดิมได้อีกนะครับ ฝันต่อเนื่องจากเมื่อกี๊เด๊ะเลยครับ
    คือฝันว่าตัวเองกำลังอยู่ที่บ้านหลังเดิมนั่นแหละ บ้านยังรกๆอยู่เหมือนเดิม
    และตามผนังห้อง แม้ว่าจะฉาบปูน และทาสีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีรังของตัวอะไรก็ไม่รู้อยู่
    เต็มไปหมดเลย ตัวที่ว่านั้นหนะ มันใช้ปูนที่เป็นผนังห้องทำรังของมัน
    รังของมันจะสีเดียวกับผนังห้องเลย และมีรูปร่างเหมือนฝักของต้นสน

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต-ลูกสน)

    ลองนึกดูนะครับว่า ที่ผนังบ้านที่ผมฝันถึงนั้น มีอะไรที่คล้ายๆฝักของต้นสน
    เหมือนในภาพนี้แหละ แต่สีปูนออกขาวๆ โผล่ขึ้นมาเต็มไปหมดเลย
    และผมกำลังนั่งสังเกตดูความเคลื่อนไหวของมันอยู่ เพราะว่าบางฝัก มันก็กำลังขยับอยู่
    เพราะว่าเจ้าตัวที่อยู่ข้างในหนะ มันกำลังทำรังต่อไปเรื่อยๆอยู่

    จากการเฝ้าสังเกตดูการทำรังของมันอย่างใกล้ชิด จนทำให้ผมเห็นว่า
    มันใช้ดินที่คล้ายๆดินเหนียวปั้นเป็นกลีบเหมือนกลีบดอกกุหลาบบางๆ
    แล้วมันก็พันเข้าด้วยกัน ประกอบเป็นกลีบ ทีละกลีบๆ ดูไปดูมาก็สวยดี
    และก็ทึ่งกับความสามารถของมันด้วยครับ ว่ามันทำได้อย่างไร

    เพราะว่าเจ้าตัวนั้นหนะ ดูไปดูมามันก็คือตัว "กุดจี่" ดีๆนี่เอง
    มันใช้แค่ขากับปากเท่านั้นเอง แต่มันทำได้ยังไง?

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต - ตัวกุดจี่)

    สักพักผมก็มาดูที่พื้นบ้านของผม ก็ปรากฎว่า มีรังแบบนี้เหมือนกันอีก
    อยู่เต็มไปหมดเลย แต่ตอนนั้น พื้นบ้านผม กลายเป็นมีน้ำขังอยู่แล้ว
    เลยเหมือนบึงซะมากกว่า

    ผมเห็นตัวกุดจี่มันกำลังใช้ดินจากพื้นบ้านของผม ทำรังของมันอยู่
    โดยมันค่อยๆม้วนดิน เป็นกลีบดอกไม้ขึ้น เพื่อทำเป็นรังของมันทีละกลีบๆ
    มีรังหนึ่ง ที่มันจะม้วนขึ้นมาล้อมรอบดอกบัวสีเหลืองดอกหนึ่งเอาไว้
    คือดอกบัวก็ยังเล็กๆอยู่ แต่มันม้วนรังของมันขึ้นมาตามจังหวะการโตของดอกบัวด้วยนะครับ
    ซึ่งก็โตเร็วมากซะด้วย จนมองไม่ทันเลย จนในที่สุด ก็ได้รังที่เหมือนกับดอกกุหลาบ
    ที่พันล้อมรอบดอกบัวอยู่ ดูแล้วก็สวยดี เหมือนแจกันดอกบัวอะไรแบบนั้นเลยครับ

    ผมจับกล้องมาว่าจะถ่ายภาพวิดีโอตอนที่มันสร้างรังเอาไว้ เพราะเห็นว่าสวยดี
    แต่ว่าตอนนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กล้องมือถือของผม กลับมีดอกไม้ขึ้นเต็มไปหมดเลย
    ซึ่งดูเหมือนจะเป็น "ดอกคุณนายตื่นสาย" แต่มันมีหลากหลายสีสันมากครับ

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต - ดอกคุณนายตื่นสาย)

    แล้วพอผมมองกลับไปดูที่พื้นห้อง และพื้นบ้านของผมอีก ก็กลับพบว่า
    มีดอกไม้ชนิดเดียวกันนี้ แต่หลากหลายสีสันมาก บานอยู่เต็มไปหมดเลย
    เหมือนมีใครเอามาปลูกไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมก็เลยถ่ายรูปเอาไว้ใหญ่เลย

    ไม่ใช่แค่ตรงพื้นนะครับ บนผนังบ้าน ที่ก่อนหน้านี้มีแต่รังของตัวกุดจี่ที่ว่านั้น
    แต่ตอนนี้กลับกลายเป้นว่า มีแต่ดอกไม้ขึ้นและบานอยู่เต็มไปหมดเลย
    ละลานตาไปหมดเลยครับ

    ในฝันนั้น ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของผมเห็นผมแปลกใจ และกำลังตื่นตาตื่นใจ
    กับดอกไม้ที่บานอยู่เต็มบ้านไปหมดนั้น ก็ได้แต่ยิ้มๆ ไม่พูดอะไร
    แล้วผมก็ตื่นขึ้นครับ

    ..เล่าให้ฟังสนุกๆหนะนะครับ แต่โดยส่วนตัวแล้ว
    ก็เชื่อว่า น่าจะเป็นนิมิตรหมายอันนี้สำหรับตัวเองหนะนะครับ..

    ...................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1190592746.gif
      1190592746.gif
      ขนาดไฟล์:
      64.9 KB
      เปิดดู:
      665
    • กุดจี่.jpg
      กุดจี่.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.1 KB
      เปิดดู:
      617
    • Dominic-003.jpg
      Dominic-003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.3 KB
      เปิดดู:
      624
    • rr.jpg
      rr.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.5 KB
      เปิดดู:
      615
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2012
  2. ปรสุ

    ปรสุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +838
    อ่านข้อความของคุณชยุตแล้ว นึกขึ้นมาได้ว่าไม่นานมานี้
    ก็ได้รับข้อความจากองค์ท่านมหาเทพองค์หนึ่งเช่นกันคล้ายๆกันนี้
    ท่านบอกว่าหากต้องการให้กายและจิตเป็นพลังคริสตัลอย่างเร็วแล้ว
    เวลาทำสมาธิทุกวัน ให้นึกจินตนาการพร้อมอธิษฐานขอพลังศักดิ์สิทธิ์
    ให้นึกเป็นภาพพลังอันสุกใสสว่างดุจประกายพฤกคริสตัลอยู่ที่ศูนย์กลาง
    แห่งมหาอนันตจักรวาลอันไกล(องค์พระผู้สร้างผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่ง)
    พร้อมกับลำแสงสว่างใสจากท่านส่องลงมาเป็นลำจากศูนย์กลาง
    แห่งมหาอนันตจักรวาลนั้นลงมาที่จักระ7กลางกระหม่อมของเรา
    ลงไปตามจักระทุกจักระในร่างกายเรา
    จนทำให้ร่างเราสว่างไสวเป็นคริสตัลไปด้วย
    และที่สำคัญนั้น ลำแสงที่ว่าให้เห็นเป็นรูปปิรามิดคริสตัลอันเป็นประกายสว่างใส
    อันประมาณไม่ได้ดุจคริสตัล(ที่ทำอยู่จะเป็นปิรามิดสามเหลี่ยมซ้อนสองอัน)
    และให้เป็นปิรามิดเช่นนั้นลงมาอย่างไม่ขาดสาย ต่อเนื่องกันตลอด
    เหมือนเราดูภาพสโลโมชั่นจากปิรามิดที่เคลื่อนที่เร็วมากๆที่เราจะเห็น
    เป็นภาพปิรามิดที่ต่อเนื่องเป็นสายลงมาไม่ขาดตอน
    ท่านให้ทำเช่นนี้ตลอดทุกวันทุกเวลาที่ทำได้ แล้วจะก้าวหน้าได้รวดเร็วมาก
    ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นคริสตัลได้ในไม่ช้า
    สำหรับผู้ที่เชื่อในแนวทางนี้จะลองแบ่งปันนำไปปฏิบัติดูบ้างก็ได้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2012
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ท่านมิคาเอลก็เน้นครับ ว่าให้ใช้ปิระมิดแห่งแสงสว่างที่เราเองจินตนาการสร้างขึ้นมาบ่อยๆ
    ไม่ว่าจะเป็นเวลานั่งสมาธิ หรือมีปัญหากับใครก็ตาม..ซึ่งเดี่ยวผมจะแปลและโพสต์เพิ่มเติมให้อ่านทีหลังนะครับ

    ท่านว่าให้จินตนาการว่าเรานั่งอยู่ในปิระมิดอันนั้น และในนั้น มีแท่งคริสตัลหัวท้ายแหลมอยู่อันหนึ่ง
    ห้อยลงมาจากศูนย์กลางยอดแหลมของปิระมิดพอดี และมีกระแสพลังงานสีเงินยวง เป็นประกาย
    พวยพุ่งออกมาจากแท่งคริสตัลอันนั้น (ซึ่งพลังงานนั้นมาจากพระผู้สร้างอีกที)
    ไหลเข้ามาตรงจักระที่ 7 ของเรา แล้วไหลผ่านทุกๆจักระของเราลงไป จนเราสว่างไสวไปหมด
    อะไรแบบนั้นหนะครับ..ก็นับว่าคล้ายๆกันครับ

    ขอบคุณที่แชร์ข้อมูลนะครับ
    .....................................................
     
  4. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,946
    ค่าพลัง:
    +3,301
    โธ่... นึกว่า"มิคาเอล"เป็นยี่ห้อแม่แรง
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความต่อไปนี้ เป็นข้อความที่นับว่าสำคัญมากข้อความหนึ่ง
    เพราะว่าท่านกล่าวถึงเทคนิกการเข้าสู่สภาวะที่สมองมีคลื่นความถี่ระดับอัลฟ่า
    ซึ่ง ณ.คลื่นความถี่สมองในระดับอัลฟ่านี้ เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อพวกเรา
    ในหลายๆด้านด้วยกัน

    หลายๆท่านอาจจะคุ้นเคยกับเทคนิกนี้มาบ้างแล้ว รวมทั้งตัวผมเองด้วย
    เพราะว่าเคยฝึกอบรม "เทคนิกการโปรแกรมจิต" มาบ้างแล้วเหมือนกันครับ
    แต่ว่า เนื้อหาในกระทู้นี้ มันยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ
    ที่ไม่มีในหนังสือหรือในหลักสูตรฝึกอบรมเหล่านั้นหรอกนะครับ
    ดังนั้น ผมจึงยังเห้นว่ามันยังมีประโยชน์อยู่มาก
    และควรค่าแก่การแปล และโพสต์ให้ท่านได้อ่านด้วยอยู่หนะนะครับ

    บางท่านอาจจะ anti วัดพระธรรมกาย และบังเอิญว่าเทคนิกที่ท่านแนะนำมานี้
    ท่านให้กำหนดจิตเป็นลูกบอกแห่งแสงสว่างไว้ที่ Solar Power Center
    ซึ่งก็น่าจะเป็นบริเวณเดียวกันกับ หรือ ใกล้เคียงกับ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7
    ตามแนววิชชาธรรมกายหนะนะครับ ..ดังนั้น..ผมจึงอยากแนะนำท่านว่า
    อย่าเอาไปเกี่ยวข้องกัน ให้ตัวท่านเองรู้สึกขุ่นมันแต่อย่างใดเลย

    เพราะว่าเรื่องของจักระต่างๆนั้น มันเป็นของสากล มันไม่ได้เป็นลิขสิทธิ์ของใคร
    ดังนั้น ถ้าคนอื่นจะพูดถึงบ้าง ก็อย่าไปคิดแต่ว่า เป็นวิชชาเดียวกันซะทั้งหมด
    ทำใจให้เป็นกลาง แล้วเก็บเกี่ยวเอาประโยชน์จากคำแนะนำเหล่านี้เถิดนะครับ

    ...............................................
     
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากท่านมหาเทพมิคาเอล (AA Michael)
    เรื่อง: การมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งอัลฟ่า (Living in an Alpha World)

    ผ่านทางนาง Ronna Herman
    ประจำเดือน เมษายน 2002

    ที่มา:
    DMC - Archangel Michael: Living in an Alpha World

    ตอนที่ 1:


    ท่านคุรุทั้งหลาย บททดสอบบทหนึ่ง ที่พวกคุณจะต้องได้เจอ เมื่อพวกคุณเริ่มที่จะจดจำ
    ต้นกำเนิดของตัวเองได้แล้ว และเมื่อพวกคุณเริ่มที่จะจดจำสถานที่ที่น่าพิศวงต่างๆ
    ที่พวกคุณได้ช่วยกันสร้างมันขึ้นมา และที่พวกคุณเคยอยู่มา ตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ได้แล้ว
    ก็คือ การอยู่ในร่างกายเนื้อของพวกคุณ อย่างมีสติเต็มตื่นในทุกๆช่วงขณะให้ได้
    โดยไม่อยากหนี “กลับบ้านเก่า ที่อยู่ท่ามกลางดวงดาวเหล่านั้น” หรืออยู่ที่ไหนซักแห่ง
    ที่ไม่ใช่ที่ๆพวกคุณกำลังอยู่ในตอนนี้ ไปซะก่อน

    ซึ่งวิธีการหนึ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้สามารถทำเช่นนี้ได้ก็คือ การสร้าง “โลกอัลฟ่า” ขึ้น
    หรือก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ๆพวกคุณจะสามารถหาความสงบ, ความสวยงาม
    และความมีมิตรไมตรี ที่พวกคุณปราถนาได้ แม้ว่าจะกำลังอยู่ในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบใบนี้อยู่ก็ตาม

    อันดับแรก พวกคุณจะต้องเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในตัวเองซะก่อน
    ซึ่งเป็นที่ๆแก่นแท้แห่งความเป็นพระเจ้าของพวกคุณเองดำรงอยู่
    ซึ่งพวกเราตั้งชื่อให้มันว่า “ศูนย์กลางพลังโซล่า” (Solar Power Center) ของพวกคุณ

    และพวกเราก็จะให้คำจำกัดความของมันต่อไปอีกว่า
    มันคือศูนย์กลางที่ทำหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับด้านอารมณ์และความรักของพวกคุณ
    มันคือที่ๆรัศมีมีเงินสีทองของพระผู้สร้างหลั่งไหลเข้ามาสู่พวกคุณและหลั่งไหลออกจากพวกคุณไป

    คราวนี้ พวกเราจะสอนพวกคุณว่าจะสามารถสร้างโลกอัลฟ่าขึ้นมาได้อย่างไร
    เพื่อให้พวกคุณกลายเป็น “ผู้ที่มีสมาธิอยู่ตลอดเวลา” (Living meditation) ได้

    ซึ่งในสภาวะนั้น สมองซีกซ้ายและซีกขวาของพวกคุณ
    จะทำงานผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน และจะไปสร้าง
    “ศูนย์กลางพลังแห่งความคิด” (Mental Power Center) ขึ้นมาด้วย

    เป้าหมายของพวกคุณก็คือ “จิตสำนึกอันเป็นเอกภาพ”
    (Unity consciousness) หมายถึง การรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
    ของทุกๆแง่มุมของความเป็นคุณ ซึ่งก็ได้แก่

    - ผสานรวมพลังงานของจิตใจทั้ง 7 ของระบบจักระของพวกคุณ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
    และให้ทำงานสอดประสานกลมกลืนกัน
    - ผสานรวมกายแห่งจิตใจ, กายแห่งอารมณ์ และกายทิพย์ของพวกคุณ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
    และให้ทำงานสอดประสานกลมกลืนกัน
    - ผสานรวมพลังงานแห่งเพศชายและพลังงานแห่งเพศหญิงของตัวเองให้เข้ากัน
    และให้ทำงานสอดประสานกลมกลืนกัน
    - ผสานรวมสมองทั้งสองซีกของตัวเองให้เชื่อมต่อกัน และให้ทำงานสอดประสานกลมกลืนกัน
    - ผสานรวมกายธาตุละเอียด (Body elemental), จิตไร้สำนึก/จิตใต้สำนึกส่วนลึก, จิตสำนึก
    และ จิตเหนือสำนึกของพวกคุณเข้าด้วยกันอีกครั้งหนึ่งด้วย

    เมื่อใดที่พวกคุณทำได้เช่นนี้แล้ว มันก็จะไม่มีความขัดแย้งจากภายในเกิดขึ้น
    และมันก็จะไม่มีการต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่เกิดขึ้น ระหว่างส่วนย่อยต่างๆเหล่านี้ด้วย
    เพราะว่าทุกๆส่วนของความเป็นพวกคุณ จะตื่นขึ้นมาสู่ความรู้ที่ว่า ทุกๆส่วนก็คือส่วนหนึ่ง
    ของส่วนรวมเหมือนๆกันหมดนั่นเอง และรู้ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนย่อยใดส่วนย่อยหนึ่ง
    ก็คือสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวตนทั้งหมด หรือต่อส่วนรวมทั้งหมดนั่นเอง

    (ปล. Body Elemental หรือชื่อภาษาไทยที่ผมตั้งขึ้นเอง เพื่อความเข้าใจและเพื่อใช้เรียก..ว่า
    “กายธาตุละเอียด” นี้ คือวิญญาณธรรมชาติชนิดหนึ่ง หรือตัวตนอีกส่วนหนึ่งของเรา ที่อยู่กับเราตลอดเวลา
    ภพชาติแล้วภพชาติเล่า แต่ไม่ใช่ตัวตนที่สูงส่งกว่าของเรา ทำหน้าที่เป็นผู้สร้าง
    และคอยควบคุมดูแลความเป็นไปของกายทั้ง 4 ของเรา คือ กายเนื้อ, กายทิพย์, กายแห่งอารมณ์
    และ กายแห่งจิตใจ ทั้งยังทำหน้าที่คอยเก็บบันทึกข้อมูลทุกๆความเป็นไปของเรา ในทุกๆภพชาติเอาไว้อีกด้วย

    แต่เขาจะทำงานสอดคล้องกับระดับจิตสำนึกของเราด้วย ดังนั้น สุขภาวะของกายทั้ง 4 ของเรา
    จะดีหรือเลวอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับระดับจิตสำนึกของเราเองเป็นหลัก แต่เมื่อใดที่ร่างกายเนื้อของเราตายลงไป
    เขาก็จะใช้เวลาภายใน 3 วันเพื่อที่จะจากเราไป จากนั้นก็พักอยู่เฉยๆ จนกว่าเราจะมาเกิดบนโลกใหม่อีกครั้งหนึ่ง
    เขาถึงจะมาอยู่กับเราใหม่ เพื่อทำหน้าที่เป็น “นายช่างผู้สร้างเรือนกายทั้งหลาย” ขึ้นให้กับเรา

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ – ผู้แปล)

    The Elemental of your Body

    RE-BUILDING OUR CHRIST AVATAR FORM

    ......................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2013
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากท่านมหาเทพมิคาเอล (AA Michael)
    เรื่อง: การมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งอัลฟ่า (Living in an Alpha World)


    ผ่านทางนาง Ronna Herman
    ประจำเดือน เมษายน 2002

    ที่มา:
    DMC - Archangel Michael: Living in an Alpha World


    ตอนที่ 2:


    ตอนที่พวกคุณเข้ามาอยู่ในร่างกายเนื้อนี้เป็นครั้งแรกนั้น สมองทั้งสองซีกของพวกคุณ
    เคยทำงานร่วมกันอย่างสอดประสานกลมกลืนกัน โดยไม่มีความขัดแย้งใดๆเลย
    และพวกคุณก็เคยสามารถใช้งานสมองได้ในทุกๆระดับด้วย หรือเคยสามารถใช้งาน
    แหล่งสะสมเชาว์ปัญญาของตัวเองได้ทั้ง 100% เต็มนั่นเอง

    ในระยะแรกเริ่มนั้น พวกคุณเคยมีความสอดประสานกลมกลืนกับทุกๆสิ่งที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณ
    และเคยเข้ากันได้ดีกับพี่น้องชาว Starseed คนอื่นๆของพวกคุณเอง และรวมถึง
    เคยเข้ากันได้ดีกับพวกเราและเพื่อนพ้องมิตรสหายที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าทั้งหลายเป็นอย่างดีอีกด้วย

    ในตอนนั้นอากาศก็ชุ่มชื่นและปลอดโปร่งมาก และก็เต็มไปด้วยสสารแห่งการสรรสร้าง
    (Essence of Creation) ด้วย จนพวกคุณไม่จำเป็นจะต้องมีระบบย่อยอาหาร
    อย่างที่พวกคุณมีอยู่ในตอนนี้เลย เพราะว่าในตอนนั้นพวกคุณใช้วิธีการหายใจ
    เอาอาหารที่มีชีวิตเข้าไป ไม่เพียงแต่โดยอาศัยปอดเท่านั้นนะ แต่ยังหายใจผ่านทางรูขุมขนอีกด้วย

    และในตอนนั้นน้ำที่มีชีวิตก็หล่อเลี้ยงพวกคุณ และช่วยให้พวกคุณปรับตัวให้เคยชิน
    กับบ้านใหม่ของพวกคุณด้วย

    คุณลักษณะด้านการมีสัญชาตญาณหยั่งรู้, ความคิดสร้างสรรค์,
    ความฝักใฝ่ด้านจิตวิญญาณของสมองซีกขวา เริ่มเกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก
    เมื่อพวกคุณผสานรวมเข้ากับกายแห่งอารมณ์ของพวกคุณ
    แล้วจากนั้นคุณลักษณะด้านความคิดแบบเป็นเส้นตรง, ความคิดแบบมีโครงสร้าง,
    การชอบวิเคราะห์วิจารณ์ของสมองซีกซ้าย หรือกายแห่งจิตใจ ก็เกิดขึ้นตามมา

    แต่ว่าในช่วงเริ่มต้นนั้น เพราะว่าระดับพลังงานและรูปแบบความคิดและอารมณ์ทั้งหลาย
    ยังคงเข้ากันได้ดีอยู่ ดังนั้นพวกมันจึงทำงานรวมกันอย่างสอดประสานกลมเกลียวกัน
    และช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดยปราศจากการแบ่งแยก โดยปราศจากความแตกต่างกัน


    ตอนนี้ ประมาณ 75% – 85% ของประชากรบนโลก
    ใช้สมองซีกซ้ายนำซีกขวาอยู่
    จนเกือบจะไม่รู้จักใช้สมองซีกขวาเลย

    เพราะฉะนั้นแล้วจึงทำให้ความคิดของพวกเขาขาดความสมดุลไป
    ซึ่งความแตกต่างมันอยู่ที่คลื่นความถี่ของสมองของพวกคุณ
    เพราะว่าการใช้ความคิดอยู่แต่ในเรื่องของโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพ ของมิติที่ 3 นี้
    จะเกิดขึ้นในช่วงคลื่นความถี่ 15 – 20 รอบต่อวินาที

    แต่เมื่อใดที่พวกคุณรู้จักจดจ่อความคิด
    หรือเรียนรู้ที่จะลดคลื่นความถี่ของสมอง
    ของพวกคุณลงมาเป็นแล้ว
    พวกคุณก็จะสามารถทำให้สมองทั้งสองซีกนั้น
    ทำงานอย่างมีสมดุลกันได้

    การใช้สมองซีกซ้ายคิด ก็คือการที่พวกคุณจดจ่ออยู่กับโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพ
    ที่สามารถจับต้องได้ซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการใช้สมองซีกขวาคิดนั้น
    จะช่วยให้พวกคุณสามารถเข้าถึงโลกแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้
    และสามารถเข้าถึงความคิดที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพได้

    พวกคุณจะต้องเข้าถึงและสามารถใช้งาน
    สมองทั้งสองซีกของตัวเองให้ได้ก่อน
    พวกคุณถึงจะสามารถเข้าถึง
    ศักยภาพในการสรรสร้างแบบเต็มพิกัดของตัวเองได้

    กระแสความคิดที่แน่วแน่เป็นสมาธิ
    จะไปดึงดูดเอาภูมิปัญญาของตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณ
    และภูมิปัญญาของรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่าง
    ที่อยู่ในมิติสูงๆกว่าทั้งหลายเข้ามาได้

    พร้อมทั้ง จะช่วยให้พวกคุณสามารถทำกิจต่างๆ
    ในโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพนี้
    ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

    ................................
     
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากท่านมหาเทพมิคาเอล (AA Michael)
    เรื่อง: การมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งอัลฟ่า (Living in an Alpha World)


    ผ่านทางนาง Ronna Herman
    ประจำเดือน เมษายน 2002

    ที่มา:
    DMC - Archangel Michael: Living in an Alpha World

    ตอนที่ 3:


    ปกติแล้ว มนุษย์โลกส่วนใหญ่จะทำกิจต่างๆในช่วงคลื่นความถี่ของสมอง
    ระหว่าง 1 – 20 รอบต่อวินาที ซึ่งได้แก่: 12 รอบต่อวินาที ในยามตื่น,
    1 – 7 รอบต่อวินาที ในช่วงหลับ, และมีน้อยครั้งมากๆที่จะอยู่ในช่วงคลื่นความถี่
    ระหว่างกลางของทั้งสองช่วงคลื่นนั้น ยกเว้นในช่วงเวลาที่กำลังเคลิ้มๆใกล้จะหลับ
    หรือใกล้จะตื่นนอนเท่านั้น

    พวกคุณคนใดที่เคยฝึกสมาธิมาแล้ว และสามารถหยุดความคิดของตัวเองได้แล้ว
    ก็จะรู้ว่าคลื่นความถี่ของสมองที่อยู่ระหว่างกลางของคลื่นความถี่ทั้งสองช่วงนั้น
    ก็คือคลื่นความถี่ที่จะทำให้สามารถใช้งานสมองซีกขวาได้อย่างมีสติสัมปชัญะ
    หรือก็คือคลื่นความถี่ที่เป็นจุดเชื่อมต่อทางด้านจิตวิญญาณ
    และสัญชาตญาณหยั่งรู้ของพวกคุณนั่นเอง

    คลื่นความถี่ของความคิดที่เหมาะสมจะเกิดขึ้นที่จุดศูนย์กลาง
    ของสเปกตรัมของคลื่นความถี่สมอง คือช่วงประมาณ 10 รอบต่อวินาที
    ซึ่งคลื่นความถี่ช่วงนี้เรียกว่าคลื่นความถี่ “ระดับอัลฟ่า” (Alpha Level)

    เมื่อใดที่พวกคุณกำลังคิด, หรือกำลังวิเคราะห์สถานการณ์หรือปัญหาต่างๆ,
    หรือกำลังค้นหาความช่วยเหลือจากอีกฝากฝั่งหนึ่งของม่านพรางอยู่
    ในขณะที่คลื่นความถี่ของสมองกำลังอยู่ในระดับอัลฟ่านี้ (หรือในสภาวะสมาธิแบบอ่อนๆ)
    ช่วงนั้นแหละ พวกคุณกำลังอยู่ในจุดศูนย์กลางของสมองหละ

    ซึ่งในสภาวะนั้น พวกคุณจะเริ่มเข้าไปสู่มิติที่ 5 เพราะว่าพวกคุณกำลังเชื่อมต่ออยู่กับ
    อาณาเขตของเชาว์ปัญญาที่สูงส่งกว่าทั้งหลายอยู่ และเมื่อพวกคุณมีประสบการณ์มากขึ้น
    พวกคุณก็จะเรียนรู้ว่า เมื่อใดที่พวกคุณเริ่มที่จะเชื่อมั่นในกระบวนการนี้แล้ว
    พวกคุณก็จะเริ่ม “ทำถูก” มากกว่า “ทำผิด”

    และเมื่อใดที่พวกคุณสามารถเข้าถึงผู้ชี้นำทางที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าของตัวเองได้แล้ว
    พวกคุณก็จะรู้ได้โดยสัญชาตญาณ พวกคุณจะเริ่มรู้สึกและรู้ตัวเองว่า
    พวกคุณกำลังได้รับแรงบันดาลใจจากเบื้องบนอยู่ หรือกำลังใช้งานญาณหยั่งรู้
    จากสัมผัสพิเศษของตัวเองอยู่ แล้วพวกคุณก็จะเข้าใจว่าพวกคุณสามารถที่จะสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้
    เท่าที่พวกคุณจะสามารถจินตนาการไปถึงได้

    แต่ว่ากระบวนการคิดและจินตนาการของพวกคุณนั้น จะต้องชัดเจน และแน่วแน่เป็นสมาธิเท่านั้น
    และในฐานะที่พวกคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคลื่นสมองระดับอัลฟ่า
    พวกคุณจะได้เรียนรู้ที่จะใช้ของขวัญแห่งการเป็นผู้สร้างสรรค์ร่วมของพวกคุณ
    ในการเนรมิตสิ่งที่พวกคุณต้องการขึ้นมาในชีวิต เช่น ความรัก, ความสุข, ความสงบ,
    และความมั่งคั่งสมบูรณ์ แทนที่จะเอาแต่ก่อสงครามขึ้นกับตัวเอง และสร้างแต่ข้อจำกัด,
    ความกลัว และความท้อแท้หดหู่ขึ้นมาให้กับตัวเอง

    ...............................
     
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากท่านมหาเทพมิคาเอล (AA Michael)
    เรื่อง: การมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งอัลฟ่า (Living in an Alpha World)


    ผ่านทางนาง Ronna Herman
    ประจำเดือน เมษายน 2002

    ที่มา:
    DMC - Archangel Michael: Living in an Alpha World

    ตอนที่ 4:


    ถ้าพวกคุณจำนวนมากกว่านี้ รู้จักเรียนรู้ที่จะทำกิจต่างๆ
    ในสภาวะที่คลื่นสมองอยู่ในระดับอัลฟ่าแบบอ่อนๆ
    หรืออาจจะเรียกว่า “กลายเป็นผู้ที่มีสมาธิอยู่ตลอดเวลา”
    (becoming a living meditation) แล้วหละก็
    มันก็จะเท่ากับว่า พวกคุณมีทวยเทพผู้ที่จะคอยให้ความช่วยเหลือพวกคุณ
    เกาะอยู่บนไหล่ของพวกคุณตลอดเวลา
    ไม่ว่าพวกคุณจะกำลังทำอะไรในชีวิตประจำวันอยู่ก็ตาม

    เพราะฉะนั้น พวกคุณก็จะกลายเป็น “ผู้สังเกตการณ์”
    ของกระบวนการแห่งชีวิตของตนเองไป
    และในขณะเดียวกัน ก็ยังคงเป็นผู้ร่วมแสดงอยู่อีกด้วย
    แล้วชีวิตของพวกคุณก็จะมีความตึงเครียดน้อยลง
    และดังนั้นมันจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ “สมาธิ”
    เพื่อผ่อนคลายความตรึงเครียดน้อยลงตามไปด้วย

    และร่างกายของพวกคุณก็จะมีอายุยืนยาวขึ้น และมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย
    ด้วยเหตุนี้ พวกคุณก็จะมีความสุขกับชีวิตบนโลกใบนี้ได้มากขึ้น
    และพวกคุณก็จะสามารถทำสิ่งอัศจรรย์ต่างๆให้สำเร็จลงได้ด้วย
    เพราะว่าพวกคุณก็จะกลายเป็น “ผู้ร่วมสร้าง” (co-creator)
    ของพระบิดา/มารดาผู้เป็นเจ้าของพวกเราอย่างแท้จริง
    และเป็นผู้ร่วมสร้างที่มีประสิทธิภาพซะด้วย

    แล้วพวกคุณก็จะได้เห็นว่าโลกของพวกคุณ
    ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
    เกินกว่าที่พวกคุณจะจินตนาการได้

    และเมื่อใดที่พวกคุณฝึกฝนจนมีความชำนาญ
    จนกลายเป็น “คุรุแห่งอัลฟ่า” (Alpha Master)
    อย่างสมบูรณ์แบบได้แล้ว
    พวกคุณก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้
    และสามารถกำจัดความหดหู่ซึมเซาออกไปได้อย่างง่ายดาย,
    สามารถแก้ไขนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ของตัวเองได้,
    และก็จะสามารถเริ่มใช้งาน “ความสามารถในการสร้างสรรค์”
    (creative abilities) ต่างๆของตัวเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    แล้วพวกคุณจะแปลกใจ กับสิ่งที่พวกคุณสามารถสร้างสรรค์ขึ้นมาได้
    เมื่อพวกคุณเริ่มเข้าถึงเชาว์ปัญญาที่สูงส่งกว่าของตัวเองได้แล้ว

    พวกคุณจะกลายเป็นแหล่งก่อกำเนิดไอเดียที่ไม่เคยหยุดนิ่ง,
    เป็นผู้ที่ทุกๆคนให้ความเคารพนับถือ, เป็นนักแก้ปัญหาผู้ฉลาดปราดเปรื่อง,
    และเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ผู้เจริญแล้วทั้งหลาย

    และเมื่อพวกคุณสามารถเข้าถึง “ช่องทาง” แห่งการสร้างสรรค์ด้วยภูมิปัญญาที่สูงส่งกว่า
    ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว พวกคุณก็จะรู้สึกว่าพวกคุณสามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้มากขึ้น
    พวกคุณก็จะได้เรียนรู้ว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกคุณมีความสุขมากกว่า
    และพวกคุณก็จะเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆที่จะนำพาความพึงพอใจมาให้กับพวกคุณมากกว่า
    ในขณะเดียวกันพวกคุณก็จะค่อยๆเลิกให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกคุณอีกต่อไป

    พวกคุณจะมองเห็นปัญหาและอุปสรรคของชีวิต, ภาระหน้าที่ และโอกาสต่างๆของชีวิต
    ในแบบที่เปลี่ยนไป พวกคุณจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ
    และพวกคุณก็จะมีความสุขในชีวิตมากกว่าที่พวกคุณเคยคิดว่าจะเป็นไปได้ซะอีก

    ................................
     
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากท่านมหาเทพมิคาเอล (AA Michael)
    เรื่อง: การมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งอัลฟ่า (Living in an Alpha World)


    ผ่านทางนาง Ronna Herman
    ประจำเดือน เมษายน 2002

    ที่มา:
    DMC - Archangel Michael: Living in an Alpha World


    ตอนที่ 5:


    ขั้นตอนการฝึก:

    เมื่อพวกคุณฝึกฝนแบบฝึกหัดทางสมองอันนี้แล้ว พวกคุณก็จะได้เรียนรู้
    ที่จะเข้าสู่สภาวะอัลฟ่าได้อย่างรวดเร็ว และจะสามารถคงอยู่ในสภาวะนั้นได้ตลอดทั้งวัน

    [​IMG]

    ให้เหลือกตามองเฉียงขึ้นไปเป็นมุม 45 องศา จนกว่าจะเมื่อยเปลือกตา
    แล้วจึงหลับตาลง จากนั้นก็ให้กำหนดสมาธิมาไว้ที่จักระที่ 7
    พร้อมๆกับให้กำหนดนิมิตรของลูกทรงกลมแห่งแสงสว่างขนาดเล็กขึ้นที่จักระที่ 7 ด้วย

    จากนั้นก็ให้หายใจเข้าลึกๆ แล้วกำหนดนับเลข 3 ในใจ 3 ครั้ง จากนั้นก็ให้หายใจออก
    แล้วให้หยุดหายใจไว้ซักครู่ ให้นานที่สุดเท่าที่จะทนได้ เพราะว่านั่นคือการที่พวกคุณ
    เข้าไปอยู่ใน “จุดหยุดนิ่งแห่งการสรรสร้าง” (Still point of creation) แล้ว

    จากนั้นก็ให้หายใจเข้าลึกๆอีกครั้งหนึ่ง พร้อมๆกับนับเลข 2 ในใจ 3 ครั้ง แล้วจึงหายใจออก
    แล้วก็ให้หยุดลมหายใจไว้ซักครู่ ให้นานที่สุดเท่าที่จะทนได้อีกครั้งหนึ่ง
    จากนั้นก็ให้หายใจเข้าลึกๆอีกครั้งหนึ่ง พร้อมๆกับนับเลข 1 ในใจ 3 ครั้ง แล้วจึงหายใจออก
    แล้วก็ให้หยุดลมหายใจไว้ซักครู่ ให้นานที่สุดเท่าที่จะทนได้อีกครั้งหนึ่ง

    หลังจากที่นับเลขในใจเสร็จแล้ว ก็ให้จินตนาการว่าและให้ทำความรู้สึกไปด้วยว่า
    ลูกบอลแห่งแสงสว่างที่อยู่ที่จักระที่ 7 นั้น ค่อยๆเคลื่อนที่ตรงลงมาช้าๆ
    ผ่านสมองของพวกคุณลงมา, ผ่านคอหอย, ผ่านลิ้นปี่, ผ่านหัวใจลงมา
    แล้วมาหยุดอยู่ที่ “ศูนย์กลางพลังโซล่า” (Solar Power Center) ของพวกคุณ
    ซึ่งอยู่ภายในช่องท้องบริเวณตรงกลางระหว่างสะดือกับระดับหัวใจของพวกคุณ

    จงฝึกฝนจนกระทั่งพวกคุณสามารถรู้สึกได้ว่า เหมือนลูกบอลแห่งแสงสว่างอันนั้น
    กำลังวิ่งลงมาจากลิฟท์อย่างรวดเร็ว แล้วมาหยุดอยู่ที่บริเวณดังกล่าว

    แล้วภายในระยะเวลาไม่นาน สิ่งที่พวกคุณจะต้องทำทั้งหมดก็คือ
    แค่หายใจเข้า-ออกลึกๆเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น
    พวกคุณก็จะสามารถเข้าไปอยู่ในสภาวะอัลฟ่า
    ได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยอัตโนมัติ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว
    พวกคุณก็จะสามารถเข้าและออกจากสภาวะนี้ได้ตามใจชอบ
    หรือสามารถอยู่ในสภาวะนี้ได้ตลอดเวลาที่พวกคุณตื่นอยู่

    การฝึกตามกระบวนการนี้จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์นั้น มีประโยชน์อย่างมาก
    เช่น มันจะทำให้พวกคุณมีระบบภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งขึ้น,
    มีสัมผัสพิเศษและมีความสามารถในการสร้างสรรค์มากขึ้น,
    และมีความเชื่อมต่อกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง
    และเชื่อมต่อกับจิตสำนึกแห่งพระผู้เป็นเจ้า
    จนทำให้ชีวิตของพวกคุณเปลี่ยนไป

    พวกคุณอาจจะกล่าวคำอธิษฐาน หรือ จินตนาการถึง
    สิ่งที่พวกคุณต้องการจะทำให้สัมฤทธิ์ผลด้วยก็ได้ เช่น

    - ฉันมีปัจจัยในการดำรงชีวิตที่ดีงามทั้งหมดหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่มีวันหมดสิ้น
    - ฉันมีความสุขกับสิ่งที่ฉันได้สร้างสรรค์ขึ้นมา และฉันก็จะแบ่งปันความมั่งคั่งนี้ให้แก่ผู้อื่นด้วย
    - ฉันรู้ว่าฉันจะต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสร้างสรรค์ขึ้นมา
    เพราะฉะนั้นฉันจึงจะสร้างสรรค์เฉพาะสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อฉัน, ต่อโลกใบนี้
    และต่อสรรพชีวิตเท่านั้น

    จงตั้งเป้าหมายในอนาคตของพวกคุณเอาไว้
    แล้วจากนั้นก็ให้กลับมาอยู่ใน “ปัจจุบันขณะ”
    อย่างสมบูรณ์แบบ


    ..................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2013
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากท่านมหาเทพมิคาเอล (AA Michael)
    เรื่อง: การมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งอัลฟ่า (Living in an Alpha World)


    ผ่านทางนาง Ronna Herman
    ประจำเดือน เมษายน 2002

    ที่มา:
    DMC - Archangel Michael: Living in an Alpha World

    ตอนที่ 6:


    ในระยะเริ่มต้น ในช่วงที่พวกคุณกำลังเรียนรู้ที่จะคงความตระหนักรู้ของตัวเองเอาไว้
    ให้อยู่ในสภาวะอัลฟ่าให้ได้อยู่นั้น มันเป็นการฉลาดที่จะนำตัวเองกลับมา
    อยู่ในสภาวะจิตสำนึกปกติ เมื่อสิ้นสุดกระบวนการนี้แล้ว

    ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ ก็โดยการนับเลข 1 ถึงเลข 5 พร้อมๆกับให้หายใจเข้าลึกๆไปด้วย
    ทุกๆครั้งที่นับเลขแต่ละเลข แล้วให้พูดกับตัวเองว่า

    “ตอนนี้ฉันตื่นขึ้นแล้ว ฉันมีสติเต็มตื่นแล้ว ฉันกระปรี้กระเปร่าแล้ว” หรืออาจพูดว่า
    “ตอนนี้ฉันกระปรี้กระเปร่าแล้ว และกำลังอยู่ในกระแสแห่งความสบายและนุ่มนวลแล้ว”


    เมื่อใดที่พวกคุณทำตามกระบวนการนี้จนจบแล้ว
    และรู้สึกว่ายังสามารถทำกิจต่างๆ
    ในสภาวะที่คลื่นความถี่ของสมองต่ำๆแบบนี้ได้อย่างสบายๆแล้ว
    การนำพาตัวเองให้กลับมาสู่สภาวะของจิตสำนึกปกติ
    ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

    ให้ฝึกฝนเทคนิคต่างๆที่ได้ให้ไว้แล้วในข้อความชุด “Living each day as a Master”
    แล้วดูว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพวกคุณจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นรวดเร็วเพียงใด

    แต่ถ้าพวกคุณมีความยากลำบากในการเข้าให้ถึงสภาวะอัลฟ่า
    ให้ฝึกฝนโดยการนับเลขย้อนหลังตั้งแต่ 50 ลงไปจนถึง 1
    ก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่นอนในเวลาเช้า
    และก่อนที่จะนอนหลับไปในตอนกลางคืน


    ให้ร้องขอให้ทวยเทพนำพาพวกคุณไปในที่ๆจะเป็นประโยชน์ต่อพวกคุณมากที่สุด
    ซึ่งอยู่ในมิติที่สูงกว่า (เพื่อการบำบัดรักษาหรือเพื่อการเรียนรู้)

    และบางครั้งในขณะที่พวกคุณกำลังนับเลขถอยหลังอยู่นั้น ให้พูดว่า
    “ทุกครั้งที่ฝึก ฉันจะเข้าสู่ศูนย์กลางได้เร็วขึ้นๆ” แล้วหลังจากนั้นอีกไม่กี่ครั้ง
    พวกคุณอาจจะเปลี่ยนมาพูดว่า “ลึกขึ้นๆ, เร็วขึ้นๆ” ก็ได้

    ในตอนเช้าหลังจากที่พวกคุณได้ฝึกฝนกระบวนการนี้เสร็จแล้ว
    ให้นับเลขไปข้างหน้า จาก 1 – 5 แล้วพูดว่า

    “ตอนนี้ฉันถูกปรับจูน, ถูกดลใจ และถูกเติมเต็มด้วยพลังแห่งชีวิตแล้ว” หรืออาจพูดว่า
    “ตอนนี้ฉันตื่นขึ้นแล้ว ฉันมีสติเต็มตื่นแล้ว ฉันกระปรี้กระเปร่าแล้ว” ก็ได้

    ในตอนกลางคืน เมื่อพวกคุณนับถอยหลัง พวกคุณจะถูกกล่อมให้ค่อยๆหลับอย่างช้าๆ
    และพวกคุณก็จะแน่ใจได้ว่า พวกคุณจะได้รับประโยชน์สูงสุด
    จากการท่องเที่ยวยามราตรีด้วยกายทิพย์ของพวกคุณ

    พลังอำนาจที่อยู่เบื้องหลังภาพจินตนาการด้านบวก ก็คือ “พลังอำนาจแห่งการสรรสร้าง”
    (the creative power) ที่เป็นผู้สร้างอนันตจักรวาล (Omniverse) นี้
    และเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมานั้นเอง พวกคุณในฐานะที่เป็น “ผู้สร้างร่วม”
    (co-creator) ยังคงสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ผ่านทางกระบวนการนั้นอยู่
    ในฐานะผู้สร้างซึ่งเป็นบุตรและธิดาของ “พระผู้สร้างสูงสุด” (the Supreme Creator) คนหนึ่ง

    แต่อย่างไรก็ตาม พวกคุณก็มีความแตกต่างจากพระผู้สร้างสูงสุดอยู่
    ตรงที่พวกคุณยังได้สร้างสรรค์สิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ และเป็นพิษเป็นภัยขึ้นมาด้วย
    ด้วยกระแสจิตแห่งความกลัว, ความรู้สึกผิด, ความล้มเหลว, การปฏิเสธ,
    ความรู้สึกไม่มีคุณค่า จนทำให้สิ่งที่พวกคุณสร้างสรรค์ขึ้นมา
    หรือสิ่งที่พวกคุณยอมให้มีขึ้นในโลกของพวกคุณ ถูกบิดเบือนไป


    อย่างที่มีคำกล่าวไว้ว่า “จักรวาลจะปรับตัวของมันใหม่
    เพื่อให้สอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริงในจินตภาพของพวกคุณ”
    ซึ่งหมายความว่า “โลก/สิ่งสร้างสรรค์ของพวกคุณ
    จะเป็นไปในแบบที่พวกคุณคิดและเชื่อ” นั่นเอง


    .................................
     
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากท่านมหาเทพมิคาเอล (AA Michael)
    เรื่อง: การมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งอัลฟ่า (Living in an Alpha World)


    ผ่านทางนาง Ronna Herman
    ประจำเดือน เมษายน 2002

    ที่มา:
    DMC - Archangel Michael: Living in an Alpha World


    ตอนที่ 7:


    ก็อย่างที่พวกเราได้สอนพวกคุณไปแล้วว่าให้ “กลับไปสู่ศูนย์กลาง”
    ภายใน Solar Power Center ของพวกคุณเอง
    ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านอารมณ์ความรู้สึกของพวกคุณ

    และตอนนี้พวกคุณยังจะต้องฝึกฝนและปฏิบัติเพื่อให้ “กลับไปสู่ศูนย์กลาง”
    ภายในศูนย์กลางด้านความคิดของพวกคุณให้ได้ด้วย
    หรือก็คือการเข้าไปสู่สภาวะอัลฟ่านั่นเอง
    เพราะว่ามันคือรหัสไขกุญแจที่ไม่มีอะไรเสมอเหมือน

    ถ้าพวกคุณต้องการที่จะเข้าให้ถึงน้ำพุแห่งความรู้
    ที่อยู่ภายในสมองของพวกคุณเองให้ได้หละก็
    และต้องการที่จะเชื่อมต่อกับครูบาอาจารย์,
    เหล่าทวยเทพผู้คอยให้ความช่วยเหลือ,
    และคุรุผู้รู้แจ้งแห่งแสงสว่างทั้งหลายให้ได้หละก็
    พวกคุณจะต้องฝึกฝนและปฏิบัติเป็นประจำทุกๆวัน
    ซึ่งถ้าจะให้ดีที่สุดก็คือ ฝึกฝนเวลาเดิมทุกๆวัน

    พวกคุณจะต้องฝึกฝนเข้าและออก
    จากสภาวะที่จิตสำนึกอยู่ในระดับอัลฟ่าอย่างอ่อนๆ
    ไปสู่ระดับเบต้าให้ได้ จนกว่าพวกคุณจะสามารถ
    สั่งตัวเอง (สั่งจิตใจและสั่งร่างกาย)
    ให้มาอยู่ในระดับอัลฟ่าได้ดังใจ
    และจนกว่าจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
    สำหรับพวกคุณไปแล้วโน่นแหละ

    พวกคุณสามารถทำกิจต่างๆ/ดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะอัลฟ่าได้ตลอดเวลา
    นี่คือหนึ่งในความลับของเหล่าคุรุแห่งแสงสว่างทั้งหลาย
    ผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่หรือกำลังมีชีวิตอยู่ในความสอดประสานกลมกลืนกัน
    ในขณะที่ยังอยู่ในร่างกายเนื้อนี้

    ในสภาวะนั้นพวกคุณจะมีความตระหนักรู้มากขึ้น, มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น,
    มีความไวต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆตัวพวกคุณอยู่ในขณะนั้นมากขึ้น
    ในขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถเข้าถึงธนาคารแห่งความรู้
    และภูมิปัญญาของเอกภพของตัวเอง ที่เคยถูกตัดขาดออกไปได้ด้วย

    ความแตกต่างระหว่างโลกแห่งจิตวิญญาณกับโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพ ก็คือ คลื่นความถี่
    ดังนั้นในตอนนี้ การรักษาความสมดุลระหว่างทั้งสองโลกเอาไว้ให้ได้
    จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว แต่มันก็เป็นช่องทางที่ดีที่สุดช่องทางหนึ่ง
    สำหรับพวกคุณด้วยเช่นกัน

    ที่รักทั้งหลาย พวกเราได้มอบเครื่องมือเหล่านี้ให้แก่พวกคุณแล้ว
    เพื่อช่วยให้พวกคุณสามารถผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร
    ที่พวกคุณกำลังประสบอยู่นี้ ไปให้ได้อย่างราบรื่น

    และถ้าพวกคุณได้ติดตามอ่านข้อความ
    ที่ฉันได้สื่อสารมาเป็นประจำทุกเดือน
    ผ่านทางผู้รับสาส์นคนนี้ อย่างสม่ำเสมอแล้วหละก็
    และรวมถึงถ้าพวกคุณได้นำเทคนิกเหล่านี้มาใช้แล้วหละก็
    พวกคุณก็คงจะรู้แล้วว่าพวกมันใช้ได้ผลจริงๆ
    บางครั้งก็ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ด้วยซ้ำไป

    ดังนั้น พวกคุณจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขัดสนอีกต่อไปแล้ว
    จงยอมรับความเป็นคุรุของพวกคุณเอง แล้วมาร่วมกับพวกเรา
    ในดินแดนที่มีคลื่นความถี่ของแสงสว่างที่สูงกว่า
    ที่ๆทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งหมด

    พวกเรายกย่องในความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญของพวกคุณ
    และพวกเราก็รักพวกคุณเกินกว่าจะพรรณา

    เราคือมหาเทพมิคาเอล

    I AM Archangel Michael.


    Transmitted throuth Ronna Herman
    © 2002 Ronna Herman, Star Quest All Rights Reserved
    Phone/Fax: 775-856-3654 • ronnastar@earthlink.net *
    6005 Clear Creek Drive • Reno, NV 89502

    ………………………..
     
  13. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,946
    ค่าพลัง:
    +3,301
    สวัสดีปีใหม่ "ชยุทธ ขยันแปล" ... เขียนชื่อถูกป่าวววมะรุ
     
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
     
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มาต่อเรื่องเทคนิกต่างๆของท่านเทพมิคาเอลกันต่อนะครับ
    เพราะว่ายังเหลืออีกหลายเทคนิกที่ผมยังไม่ได้แปลหนะครับ

    รอบนี้เป็นเรื่องของ "การวางอุเบกขา" (Non-attachment) ครับ
    หรืออาจจะเรียกว่า "การปล่อยวาง" ก็ได้ครับ ผมว่าไม่ต่างกันนัก

    .................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2013
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากมหาเทพมิคาเอล (Archangel Michael)
    เรื่อง: การฝึกวางอุเบกขา (Developing Non-Attachment)


    ประจำเดือน: กรกฎาคม 2005
    ผู้รับสาส์น: นาง Ronna Herman

    ที่มา:
    DMC - Archangel Michael: Developing Non-Attachment



    ตอนที่ 1:


    ท่านคุรุทั้งหลาย ทุกๆระดับของการเลื่อนระดับขึ้น หรือทุกระดับของวิวัฒนาการ
    จะมีสัจธรรมในระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆอยู่เสมอ รวมถึงก็จะมีความท้าทายใหม่ๆ
    และมีโอกาสใหม่ๆแห่งการบรรลุความเป็นผู้รู้ผู้ตื่น (Self-Mastery) ตามมาเสมอด้วย

    ดังนั้น การมีวินัยในตัวเอง, การมีความตระหนักรู้ที่สูงขึ้น และการมีความแน่วแน่ในการตัดสินใจมากขึ้น
    จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นด้วย

    แต่อย่างไรก็ตาม ยิ่งพวกคุณสามารถควบคุมความอยากของ ego ของร่างกายเนื้อของพวกคุณเอง
    ได้มากเท่าไหร่ และสามารถยินยอมให้ตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณ (Higher Self)
    นำทางพวกคุณได้มากเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งทำให้กระบวนการเลื่อนระดับขึ้น/วิวัฒนาการนี้
    ดำเนินไปด้วยความง่ายดายมากขึ้นเท่านั้นด้วย

    เมื่อใดที่พวกคุณสามารถขยายความตระหนักรู้ของตัวเอง ให้กว้างไกลมากขึ้นได้แล้ว
    และสามารถมองเห็นชีวิตจากมุมมองที่สูงกว่าได้แล้ว ทัศนคติของพวกคุณก็จะเปลี่ยนไป
    แล้วพวกคุณก็จะไม่จดจ่ออยู่กับชีวิตหรือโลก ที่เป็นด้านลบของตัวเอง
    หรือจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องดีงามของตัวเองอีกต่อไป เพราะว่าพวกคุณจะมีความคิดในแง่บวกมากขึ้น
    และจะเริ่มต้นมองเห็นคุณงามความดีในผู้อื่นได้ด้วย

    พวกคุณจะเริ่มเรียนรู้ที่จะรู้สึกชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติ และของสิ่งที่เป็นธรรมดาของโลก
    แล้วพวกคุณก็จะเริ่มพัฒนาความรู้สึกพิศวงและความรู้สึกขอบคุณ ต่อปาฏิหาริย์ต่างๆ
    ที่ถูกเนรมิตขึ้นมาให้กับพวกคุณและให้กับผู้ที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณด้วย

    เรื่องที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับพวกคุณ ก็คือการสลัดรูปแบบความคิดและอุปนิสัยที่ล้าสมัย
    และที่เคยเชื่อถือมาหรือที่เคยเป็นมาทิ้งไป

    เพราะว่าอุปนิสัยต่างๆ, มาตรฐานต่างๆตามขนบธรรมเนียมประเพณี, ตลอดจนอิทธิพลต่างๆ
    ที่ได้รับสืบทอดมาจากสังคม, จากเชื้อชาติเผ่าพันธุ์, และจากศาสนาทั้งหลาย เมื่อในอดีตนั้น
    พวกมันก็คือโซ่ตรวนดีๆนี่เอง ที่พวกคุณจะต้องปลดปล่อยทิ้งไปเสีย เพื่อที่พวกคุณจะได้
    กลายเป็น “วิญญาณอิสระ” (freed Spirit) แห่งโลกแห่งความเป็นจริงโลกใหม่
    ที่กำลังอุบัติขึ้นอยู่ในขณะนี้ได้เสียที

    เพราะว่าตอนนี้มนุษย์โลก ทั้งในฐานะมนุษยชาติมวลรวม และในฐานะมนุษย์แต่ละคน
    ยังคงพากันติดแหง็กอยู่กับสัจธรรมแบบครึ่งๆกลางๆและหลักการณ์ต่างๆ
    ที่มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีที่แล้วกันอยู่

    ..................................
     
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากมหาเทพมิคาเอล (Archangel Michael)
    เรื่อง: การฝึกวางอุเบกขา (Developing Non-Attachment)

    ประจำเดือน: กรกฎาคม 2005
    ผู้รับสาส์น: นาง Ronna Herman

    ที่มา:
    DMC - Archangel Michael: Developing Non-Attachment


    ตอนที่ 2:


    พวกคุณแต่ละคนคือส่วนผสมหนึ่ง ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ทั้งหมดของพวกคุณเอง
    ซึ่งไม่ได้หมายถึงประสบการณ์จากอดีตชาติทั้งหลายเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึง
    ประสบการณ์ทั้งหมดที่พวกคุณได้เคยมีมา นับตั้งแต่สมัยที่พวกคุณเริ่มแยกตัวออกมาจากพระผู้สร้าง
    มาเป็นจิตสำนึกเดี่ยวๆอีกด้วย และดังนั้นมันจึงมีรูปแบบของกระแสความคิดเหล่านี้จำนวนมากมาย
    ที่ไม่อาจเข้ากันได้กับโลกใหม่ของพวกคุณอยู่ ซึ่งเป็นโลกแห่งจิตสำนึก
    ที่ขยายตัวออกไปกว้างไกลกว่าของพวกคุณ
    ดังนั้นพวกคุณจึงจำเป็นจะต้องปลดปล่อยผลกระทบด้านลบทั้งหลายเหล่านี้ออกไปเสีย
    ถ้าพวกคุณต้องการที่จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อไป บนเส้นทางแห่งการเลื่อนระดับขึ้นนี้
    เพื่อหมุนเกลียวขึ้นไปสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างและภูมิปัญญาที่สูงส่งกว่าทั้งหลาย

    ที่รักทั้งหลาย..อีกครั้งหนึ่ง.. มันถึงเวลาแล้วที่พวกคุณจะต้องเช็คสินค้าในสต็อกของตัวเองเสียที


    1). จงทบทวนดูว่า..มีอะไรบ้าง ที่พวกคุณได้ปลดปล่อยทิ้งไปแล้ว ภายในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมานี้?

    มีความคิด/นิสัย/ความรับผิดชอบใดบ้าง ที่ล้าสมัยไปแล้ว ที่พวกคุณได้ปลดปล่อยพวกมันออกไปแล้ว
    และได้นำเอาอะไรมาใส่ไว้แทนที่พวกมันแล้วบ้าง?

    และมีอะไรบ้าง ที่พวกคุณยังจำเป็นจะต้องปลดปล่อยพวกมันออกไปอยู่อีก
    หรือยังจำเป็นจะต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับมันอยู่อีก?


    2). พวกคุณได้เรียนรู้หรือยังว่า พวกคุณไม่ใช่เหยื่อของโชคชะตาอีกต่อไปแล้ว
    และพวกคุณได้เรียนรู้หรือยังว่า พวกคุณเองนั่นแหละ คือผู้ที่กุมชะตาชีวิตของตัวเองเอาไว้?
    แล้วพวกคุณจะทำอย่างไรกับพลังอำนาจใหม่ของตัวเองที่เพิ่งจะมีขึ้นมานี้?

    ไม่มีใครหรือสิ่งใดเลย “ที่อยู่ที่โน่น” ที่กำลังทำอะไรกับพวกคุณ
    หรือกำลังทำอะไรเพื่อพวกคุณอยู่ เพราะว่าพวกคุณ
    ได้รับพรสวรรค์หรือของขวัญ พร้อมทั้งเครื่องไม้เครื่องมือ
    แห่งการสรรสร้างต่างๆมาพร้อมมูลอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
    และพวกคุณก็มีสิทธิ์โดยชอบธรรม ที่จะได้รับความสวยงาม,
    ความเอื้ออารี และความมั่งคั่งทุกๆอย่างจากจักรวาลแห่งนี้

    มันคือสิทธิโดยชอบธรรมอันศักดิ์สิทธิ์
    ที่มีมาแต่กำเนิดของพวกคุณเอง


    พวกเราสามารถให้ความช่วยเหลือพวกคุณได้, แนะนำพวกคุณได้ และดลบันดาลใจให้พวกคุณได้
    แต่อย่างไรก็ตาม พวกคุณคือผู้ประพันธ์ และคือผู้สร้างโลก (world) และโลกแห่งความเป็นจริง (reality)
    ของตัวเองขึ้นมา เพื่อให้ตัวเองอยู่ ซึ่งในแต่ละวัน และในทุกๆวัน พวกคุณจะพากันฉายกระแสความคิดต่างๆ,
    อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ และเจตจำนงค์ต่างๆออกมา ซึ่งพวกมันก็จะกลับไปส่งผลกระทบ
    และไปต่อเติมโครงสร้างให้กับโลกแห่งความเป็นจริงสำหรับวันพรุ่งนี้ของพวกคุณเองต่อไป

    ดังนั้น ถ้าพวกคุณไม่ชอบสิ่งที่พวกคุณได้สร้างสรรค์มันขึ้นมาแล้ว
    และก็ไม่ชอบสิ่งที่พวกคุณกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ด้วย
    ก็จงเปลี่ยนแปลงทัศนคติและรูปแบบความคิดของตัวเองเสีย
    ให้เป็นแบบที่มีคลื่นความถี่สูงขึ้น แล้วจากนั้น
    ก็จงคอยดูโลกในวันพรุ่งนี้ของพวกคุณ
    ที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

    จงจำไว้ว่า ยิ่งพวกคุณมีทักษะในการจดจ่ออยู่กับกระแสความคิดของตัวเอง
    และฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจัง ไปทีละขั้นละตอน มากเท่าไหร่
    พลังอำนาจในการสร้างสรรค์ของพวกคุณ ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณตามไปด้วยเท่านั้น
    ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ


    3). ตอนนี้พวกคุณเริ่มคุ้นเคยกับการเป็น “ผู้ร่วมสร้าง” (co-creator)
    สำหรับประสบการณ์ชีวิตของตัวเองแล้วหรือยัง?
    และตอนนี้พวกคุณเต็มใจที่จะรับเครดิตและรับผิดชอบต่อประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง
    ทั้งในแง่บวกและแง่ลบหรือไม่?


    พวกคุณสามารถเฝ้าสังเกตการณ์ และสามารถระบุได้ว่า
    ตอนนี้ตัวเองกำลังแผ่กระแสความคิดรูปแบบใดออกไปอยู่
    โดยดูจากผู้คนที่พวกคุณดึงดูดเข้ามาสู่ความตระหนักรู้ของตัวเอง


    ตอนนี้พวกคุณกำลังเผชิญกับปฏิกิริยาหรือปฏิสัมพันธ์ด้านลบ จากผู้คนรอบข้างอยู่หรือเปล่า?
    พวกคุณกำลังยินยอมให้คนอื่นเอารัดเอาเปรียบอยู่ เพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกว่ามีคุณค่า อยู่หรือเปล่า?

    เมื่อใดที่พวกคุณทำอะไรเพื่อผู้อื่น บ่อยครั้งแค่ไหนที่พวกคุณรู้สึกถึงความรักและมิตรไมตรี
    หลังจากที่ได้ทำลงไปแล้ว? และบ่อยครั้งแค่ไหนที่พวกคุณรู้สึกขุ่นเคืองใจ
    หรือรู้สึกว่าถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบ?

    ถ้าจะทำอะไรดีๆเพื่อคนอื่น แต่ทำลงไป
    ด้วยเหตุผลที่ผิดๆแล้วหละก็
    สู้ไม่ทำซะยังจะดีกว่า

    จงจำไว้ว่ารูปแบบความสั่นสะเทือนที่พวกคุณแผ่ส่งออกมา
    คือตัวกำหนด “ความถูกต้อง” ของการกระทำต่างๆ
    ไม่ใช่ตัวการกระทำเองที่เป็นตัวกำหนดความถูกต้อง


    ในกระบวนการกลับคืนสู่ความสมดุลและความสอดประสานกลมกลืนกันนั้น
    มันจะต้องมีความสมดุลอยู่ในทุกๆสิ่งเสมอ และมันจะมี “การแลกเปลี่ยนพลังงาน” เกิดขึ้น
    อยู่ในทุกๆกระแสความคิดของพวกคุณ และอยู่ในทุกๆสิ่งที่พวกคุณกระทำลงไปด้วยเสมอ

    ดังนั้น ถ้าพวกคุณมีแต่ให้ออกไปอย่างเดียว โดยไม่ได้รับอะไรที่เป็นพลังงานด้านบวก
    ตอบแทนกลับมาบ้างเลย มันก็จะทำให้เกิดความไม่สมดุลขึ้น ซึ่งในไม่ช้ามันก็จะแสดงออกมา
    ในรูปแบบของความไม่พึงพอใจหรือความรู้สึกผิดต่อไป และบ่อยครั้งมันก็จะทำให้เกิด
    ความรู้สึก เหนือกว่า หรือ ด้อยกว่า ตามมาด้วย

    ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเผื่อแผ่ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข
    ออกไปให้แก่ผู้อื่นภายใต้สภาวะแบบนั้น
    (สภาวะที่ขาดความสมดุล – ผู้แปล)


    (ปล.ในส่วนท้ายของข้อที่ 3 นี้ ตามความเข้าใจของผม ผมเข้าใจว่า ท่านกำลังบอกว่า
    ถ้าเราจะทำอะไรดีๆเพื่อคนอื่นแล้ว เราก็ต้องรู้สึกในแง่บวกด้วย ไม่ใช่ว่าหลังจากทำไปแล้ว
    เกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมา อันนั้นก็จะทำให้ “เสียความสมดุล” ไป

    เพราะว่ากระบวนการแลกเปลี่ยนพลังงานดังว่านั้น มันขาดส่วนที่เป็นพลังงานด้านบวก
    หรือความรู้สึกดีๆของเราเอง ที่จะเข้ามาทดแทน ส่วนที่เป็นสิ่งที่เราได้มอบให้ออกไปหรือได้ทำไปนั่นเอง

    และแม้กระทั่งว่า หากเราตั้งใจจะทำดีกับผู้อื่น แต่ทำไปเพราะเหตุผลอันไม่ถูกต้อง
    เช่นต้องการให้คนอื่นยอมรับ เห็นคุณค่า หรือยกย่องสรรเสริญ หรืออะไรก็แล้วแต่
    ที่ไม่ใช่เพราะความสุขที่ได้ทำจากใจหละก็ ก็ยังจะทำให้เกิดการเสียสมดุลขึ้นมาได้ด้วยเช่นกัน

    เพราะฉะนั้นแล้ว..ท่านจึงว่า..ถ้าทำไปเพราะเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง และทำไปแบบขาดสมดุลแบบนี้
    ก็สู้อย่าทำซะดีกว่า เพราะว่าถึงทำไป ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องดีงามอะไรเลย
    เพราะว่า “ตัวการกระทำเองนั้น” ไม่ใช่ตัวกำหนดว่าสิ่งไหนถูก-สิ่งไหนผิด
    แต่ “ความรู้สึก” ของเรา หรือความสั่นสะเทือนของเรา ที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
    ที่เราแผ่ออกไปต่างหากหละ ที่เป็นตัวกำหนดว่า การกระทำไหนผิด-การกระทำไหนถูก – ผู้แปล)

    ........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2013
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากมหาเทพมิคาเอล (Archangel Michael)
    เรื่อง: การฝึกวางอุเบกขา (Developing Non-Attachment)

    ประจำเดือน: กรกฎาคม 2005
    ผู้รับสาส์น: นาง Ronna Herman

    ที่มา:
    DMC - Archangel Michael: Developing Non-Attachment



    ตอนที่ 3:


    4). พวกคุณได้ผ่านกระบวนการแห่งการปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง
    และปลดปล่อยทุกๆคน ที่อยู่ในโลกของพวกคุณ
    ให้ไปสู่ความสูงส่งดีงามสูงสุดของพวกมันเองหรือของพวกเขาเองหรือยัง?


    นี่คือหนึ่งใน "บททดสอบ" หรือ "ความท้าทาย"
    ที่พวกคุณจะต้องเจอ ในระหว่างที่กำลังอยู่บนเส้นทาง
    แห่งการเป็นผู้รู้ผู้ตื่น (self-mastery) อยู่นี้


    แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกคุณจะต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง หรือละทิ้งทุกๆคนไปหรอกนะ
    แต่ว่าพวกคุณอาจจะถูกทดสอบ เพื่อดูว่าพวกคุณสามารถทำได้จริงอย่างที่พูดเอาไว้หรือไม่เท่านั้น


    เพราะว่าการยึดติดอยู่กับผู้คน หรือยึดติดอยู่กับสิ่งของนั้น
    และต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
    คือสาเหตุหลักของความเจ็บปวด
    และความทรมานของผู้คนบนโลกใบนี้

    ในความเป็นจริงแล้ว พวกคุณไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลยในโลกใบนี้
    และแน่นอนว่าพวกคุณก็ไม่ได้เป็นเจ้าของใครเลยในโลกใบนี้ด้วย


    มีเพียงสิ่งเดียวที่พวกคุณสามารถแน่ใจได้ ก็คือ “ชั่วขณะหนึ่งของกาลเวลา”
    หรือ “ช่วงเวลาแห่งปัจจุบันขณะนี้” เท่านั้นเอง

    ทุกสิ่งทุกอย่างและทุกๆคนในชีวิตของพวกคุณ
    สามารถที่จะหายไปจากสายตาของพวกคุณได้
    ภายในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเอง
    และในทำนองเดียวกัน พวกคุณเอง ก็สามารถที่จะหายไป
    จากสายตาของพวกเขาได้ ในชั่วพริบตาเช่นเดียวกันด้วย

    พวกเราไม่ได้ต้องการที่จะทำให้พวกคุณกลัว แต่อย่างไรก็ตาม
    สิ่งที่พวกเราต้องการที่จะปลูกฝังเข้าไปในความตระหนักรู้ของพวกคุณ ก็คือ


    “ทุกๆสิ่งที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณ ในวันนี้
    ล้วนเป็นสิ่งชั่วคราว และไม่เที่ยงด้วยกันทั้งสิ้น”

    เพราะฉะนั้นแล้ว จงทบทวนดูว่า มีอะไรบ้างที่พวกคุณกำลังยึดติดอยู่
    และกำลังทำให้พวกคุณรู้สึกเจ็บปวดและลำบากใจอยู่ในขณะนี้บ้าง?

    มีบทเรียนอะไรบ้างที่พวกคุณยังจะต้องเรียนรู้จากความเจ็บปวดที่สิ่งเหล่านี้นำมาให้อีกบ้าง?

    มันถึงเวลาที่จะต้องปลดปล่อยความทุกข์ทรมานเหล่านี้ออกไปหรือยัง
    แล้วเรียกร้องเอาความสบายใจและความเบาใจกลับคืนมา?


    5). พวกคุณกำลังเป็นเจ้าของ “สิ่งของของตัวเอง” อยู่
    หรือว่า สิ่งของเหล่านั้นมัน “เป็นเจ้าของ” พวกคุณอยู่กันแน่?


    พวกคุณกำลังติดค้างใคร หรือเป็นหนี้บุญคุณใครอย่างลึกซึ้งอยู่หรือไม่
    จนพวกคุณไม่มีเวลาที่จะมีความสุขกับชีวิตของตัวเองได้เลย?

    พวกคุณกำลังใช้เวลาทั้งหมดของตัวเอง ไปกับการดูแล, ทำความสะอาด, รักษา
    หรือเล่นอยู่กับสิ่งของของตัวเองอยู่หรือไม่?

    จงจำไว้ว่า พวกเราได้บอกพวกคุณไปแล้วว่า สิ่งของเหล่านั้นมันไม่ได้ทำให้พวกคุณมีความสุขจริงๆหรอก
    แต่ส่วนใหญ่แล้ว พวกมันจะนำพาความพึงพอใจมาให้พวกคุณแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง
    แล้วจากนั้น พวกคุณก็จะมองหาสิ่งอื่น หรือคนอื่น เพื่อที่จะมาสนองความอยากของ ego
    ของร่างกายของพวกคุณเองต่อไป


    เพราะว่า ความสุข, ความสนุกสนาน
    และความพึงพอใจนั้น มันจะมาจากข้างใน


    ดังนั้น สิ่งที่พวกคุณกำลังโหยหาอยู่นี้
    ก็คือ “คุณภาพอย่างหนึ่งของชีวิต”
    หรือก็คือ “สภาวะ” (state of Being) อย่างหนึ่งเท่านั้นเอง



    6). นานเท่าไหร่แล้วที่พวกคุณไม่ได้ไปเดินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ?
    นานเท่าไหร่แล้วที่พวกคุณไม่ได้แหงนหน้าขึ้นจ้องมองดูดวงดาว
    หรือจ้องมองดูความงดงามของหมู่เมฆบนท้องฟ้า?

    นานเท่าไหร่แล้วที่พวกคุณไม่ได้เดินเท้าเปล่าบนสนามหญ้า และไม่ได้ปรับจูนตัวเอง
    ให้เข้ากับจังหวะการเต้นของหัวใจของพระแม่โลกใบนี้?

    นานเท่าไหร่แล้วที่พวกคุณไม่ได้นั่งอยู่อย่างเงียบๆคนเดียว
    แล้วฟังเสียงร้องเพลงของหมู่มวลวิหกทั้งหลาย
    หรือจ้องมองดูผู้คนที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณ แล้วพยายามที่จะสัมผัสให้ได้ว่า
    พวกเขากำลังรู้สึกอย่างไร หรือรูปแบบความสั่นสะเทือนแบบไหน
    ที่พวกเขากำลังแผ่ออกมาอยู่?

    .............................
     
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากมหาเทพมิคาเอล (Archangel Michael)
    เรื่อง: การฝึกวางอุเบกขา (Developing Non-Attachment)


    ประจำเดือน: กรกฎาคม 2005
    ผู้รับสาส์น: นาง Ronna Herman

    ที่มา:
    DMC - Archangel Michael: Developing Non-Attachment


    ตอนที่ 4:


    7). ในวิถีชีวิตที่เร่งรีบของพวกคุณ มันยังไม่ถึงเวลาที่จะทำให้ช้าลงอีกเหรอ
    เพื่อที่จะได้สัมผัสกับความสมบูรณ์แบบของ “ชั่วขณะนั้นๆ” ได้?
    ซึ่งหากว่าทำเช่นนี้แล้ว พวกคุณก็จะสามารถสร้าง “ชั่วขณะที่สมบูรณ์แบบ” ได้มากขึ้น
    แทนที่จะสร้างแต่วิถีชีวิตที่บ้าคลั่งขึ้นมามากมาย ซึ่งได้กลายมาเป็นเรื่องปกติ
    สำหรับผู้คนมากมายบนโลกนี้ ในทุกวันนี้ ไปเสียแล้ว


    8). พวกคุณจำเป็นจะต้องมีสิ่งบันเทิงเริงรมย์ หรือว่ามีสิ่งกระตุ้นจากภายนอกอยู่เสมอๆ
    เพื่อที่จะทำให้พวกคุณหายเบื่อใช่หรือไม่?


    9). อะไรที่พวกคุณสามารถที่จะปลดปล่อยออกไปได้บ้าง เพื่อที่จะทำให้ชีวิตของพวกคุณง่ายดายยิ่งขึ้น
    และทำให้ประสบการณ์ชีวิตในแต่ละวันของพวกคุณน่าอภิรมย์ยิ่งขึ้น?


    10). บ่อยครั้งแค่ไหนที่พวกคุณใช้เวลาอยู่อย่างสันโดษ และมีความสุขอยู่กับความคิดของตัวเอง
    หรือมีความสุขอยู่กับเพื่อนฝูงของตัวเอง?

    พวกคุณจำเป็นจะต้องพึ่งพาดนตรี หรือทีวี หรือสิ่งล่อลวงจากภายนอกอื่นๆอยู่เสมอๆ
    เพื่อที่จะทำให้พวกคุณไม่ต้องคิด และรู้จักตัวเองใช่หรือไม่?

    พวกคุณมีความสุขกับการอยู่ลำพังเพียงคนเดียวหรือไม่?

    พวกคุณจะต้องเรียนรู้ที่จะเข้าไปสู่ “ความเงียบสงบภายในของตัวเอง”
    เพื่อที่จะเชื่อมต่อกับพระวิญญาณ (Spirit) ให้ได้

    ตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง (your Higher Self)
    และตัวตนแห่งพระผู้เป็นเจ้าของพวกคุณเอง (Your God Self)
    กำลังรอคอยให้พวกคุณเข้าไปสู่กระแสธารแห่งแสงสว่างของจิตสำนึกอันศักดิ์สิทธิ์
    และมหัศจรรย์นี้อยู่

    พวกเราสัมผัสได้ถึงความปราถนาอันแรงกล้าของพวกคุณจำนวนมากมายหลายล้านคน
    ในอันที่จะสามารถติดต่อสื่อสารกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกเขาเอง
    และติดต่อสื่อสารกับพวกเราให้ได้ แม้ว่า มันจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมากก็ตาม

    เพราะว่าทั้งหมดที่พวกคุณจะต้องทำก็คือ
    แค่ระบุความต้องการของพวกคุณออกมา
    แล้วจากนั้น ก็ฝึกฝนเข้าไปสู่ความเงียบสงบ
    และความหยุดนิ่งอยู่ภายในของตัวเอง

    แล้วต่อจากนั้นพวกเราก็จะเคลียร์เส้นทางและทำให้การเชื่อมต่อนั้นเข้มแข็งขึ้นมาให้กับพวกคุณเอง
    เพราะว่าการเชื่อมต่อที่ว่านั้นมันมีอยู่แล้ว แต่แค่มันถูกทำให้ฝ่อหรือลีบไป
    เพราะว่าไม่ได้ถูกใช้งานเลย หรือเพราะว่าถูกนำไปใช้งานในทางที่ผิดเท่านั้นเอง


    11). มีนิสัยด้านลบอะไรบ้างที่พวกคุณได้ปลดปล่อยทิ้งไปแล้ว?
    และพวกคุณได้นำเอานิสัยด้านบวกอะไรบ้างมาแทนที่พวกมันแล้ว
    แล้วมีผลลัพธ์อะไรบ้างที่พวกคุณเริ่มสังเกตเห็นแล้ว?

    พวกคุณจะพบว่ามันจะค่อยๆง่ายขึ้นเรื่อยๆ ที่จะปลดปล่อยนิสัยด้านลบและรูปแบบความคิดด้านลบออกไป

    เมื่อพวกคุณเริ่มมองเห็นผลลัพธ์ของการกระทำด้านบวก
    ของตัวเองแล้ว พวกคุณก็จะเริ่มค่อยๆปรับจูน
    การกระทำในแต่ละวันของตัวเอง อย่างมีสติสัมปชัญญะ
    ให้ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ จนพวกคุณค่อยๆกลายเป็น
    “ผู้สังเกตการณ์” ความคิดและเจตนารมณ์ของตัวเองไป
    และพวกคุณก็จะ “มีสติรู้” ถึงรูปแบบความคิด
    ที่พวกคุณกำลังแผ่ส่งออกมาอยู่ในขณะนั้นๆด้วย
    รวมถึงมีสติรู้ถึงคำพูดที่พวกคุณกำลังใช้อยู่ในขณะนั้นๆด้วย

    ดังนั้น จงเลือกใช้แต่ถ้อยคำที่เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์อยู่เสมอๆ
    และจงเฝ้าดู “จิตที่ไม่หยุดนิ่งของตัวเอง” อยู่เสมอๆด้วย


    ……………………………
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2013
  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากมหาเทพมิคาเอล (Archangel Michael)
    เรื่อง: การฝึกวางอุเบกขา (Developing Non-Attachment)

    ประจำเดือน: กรกฎาคม 2005
    ผู้รับสาส์น: นาง Ronna Herman

    ที่มา:
    DMC - Archangel Michael: Developing Non-Attachment


    ตอนที่ 5:


    12). การฝึกฝนและปฏิบัติ “รักแบบไม่มีเงื่อนไข” นั้น
    มันง่ายกว่าการ “รักแบบมีเงื่อนไข” ขึ้นมาบ้างหรือเปล่า?


    อันดับแรก พวกคุณจะต้อง “ให้อภัยตัวเอง” ซะก่อน
    แล้วฝึกรักตัวเองแบบไม่มีเงื่อนไขให้ได้ซะก่อน
    ก่อนที่พวกคุณจะไปฝึกรักคนอื่นแบบไม่มีเงื่อนไขต่อไป

    เพราะว่าพวกคุณจะไม่สามารถที่จะแผ่ส่ง
    หรือ มอบสิ่งที่พวกคุณไม่มีอยู่ภายในตัวเองไปให้คนอื่นๆได้


    แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกคุณจะไม่จำเป็นต้องพยายามที่จะทำให้ดีที่สุด
    หรือไม่จำเป็นจะต้องพยายามที่จะบรรลุให้ถึงขั้นที่สูงกว่าของการเป็นผู้รู้ผู้ตื่นหรอกนะ


    เพราะว่ามันหมายความว่า พวกคุณจะต้องยอมรับตัวเอง
    และรักตัวเองในแบบที่พวกคุณเป็นอยู่ในขณะนั้นๆให้ได้
    ในขณะเดียวกันก็ต้องพากเพียรพยายาม
    ที่จะบูรณาการเอาความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง
    และเอาแสงสว่างแห่งพระวิญญาณ (Spirit)
    เข้ามาให้ได้มากขึ้นเรื่อยๆด้วย


    13). จำไว้ว่า: “จงเยียวยารักษาอดีต,
    จงเขียนบทชีวิตแห่งอนาคตของตัวเองขึ้นมา,
    และจงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะ”


    การกลัวอนาคตเป็นผลมาจากการไม่เชื่อมั่นในตัวเอง และไม่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง
    ที่ได้ทำลงไปแล้ว และที่กำลังจะทำต่อไปในอนาคตด้วย

    นี่คือผลพวงของความทรงจำแห่งความผิดพลาด-ล้มเหลว และเจ็บปวดทั้งหลายจากในอดีต
    (ทั้งของปัจจุบันชาตินี้ และของอดีตชาติทั้งหลายด้วย) ที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของพวกคุณ

    ความรู้สึกผิด และ ความรู้สึกละอาย ก็เป็นอีกอารมณ์ความรู้สึกหนึ่ง ที่ถูกขับเคลื่อนโดย ego
    ที่เกิดจากความไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้ หรือไม่สามารถบรรลุความสมบูรณ์แบบ
    ที่ได้ตั้งความปราถนาเอาไว้ได้ เมื่อในอดีต

    ความกลัว, ความรู้สึกผิด และ ความละอาย มักจะถูกนำเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่น
    ผู้ที่อยู่ในชีวิตของพวกคุณ และเป็นผู้ที่กำลังสะท้อนภาพกลับมาให้พวกคุณได้เห็น
    ถึงรูปแบบความสั่นสะเทือนที่พวกคุณจำเป็นจะต้องทำให้มันกลับเข้าสู่สมดุลให้ได้อยู่
    เพื่อที่จะปลดปล่อยเรื่องราวหรือประสบการณ์ในอดีตทั้งหลายเหล่านั้นทิ้งไป

    (ปล.ตรงนี้ผมเข้าใจว่า ถ้าภายในตัวเราเองกำลังมีความรู้สึกกลัว, รู้สึกผิด และละอายอยู่
    ผู้คนที่อยู่ในชีวิตของพวกเรา ก็จะต้องมีใครสักคนหละ ที่จะกำลังแสดงอาการทั้งสามอย่างที่ว่านี้
    ให้พวกเราได้เห็นอยู่ เพราะว่าพวกเขากำลังสะท้อนสิ่งนี้ให้เราได้เห็นอยู่
    เพราะว่าหากภายในเราเป็นอย่างไร ภายนอกเราก็จะไปดึงดูดเอาสิ่งเหล่านี้
    ที่เหมือนกันและเข้ากันได้นี้ ให้เข้ามาหาเราเองด้วย – ผู้แปล)

    เมื่อใดที่พวกคุณเรียนรู้ที่จะแผ่แต่พลังงานแห่งความสมดุลและพลังงานแห่งความรักออกมาได้แล้ว
    มันก็จะถูกสะท้อนกลับมาที่ตัวพวกคุณเอง โดยผู้คนที่พวกคุณไปมีปฏิสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วย
    และโดยผ่านทางประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของพวกคุณเองด้วย


    14). จงจำแนกให้ออกว่า มีการยึดติดใดบ้าง ที่พวกคุณกำลังเป็นอยู่
    ซึ่งมันไม่เป็นประโยชน์ต่อความสูงส่งดีงามสูงสุดของพวกคุณเองอีกต่อไปแล้ว
    และมันยังเหนี่ยวรั้งพวกคุณเอาไว้เสียด้วยซ้ำ

    จงใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุด ในทุกๆวิถีทาง เพื่อที่จะปลดปล่อยการยึดติดเหล่านี้ออกไปให้ได้
    แล้วจงนำเอาสสารแห่งแสงสว่างคริสตัลไลน์อันบริสุทธิ์ไปแทนที่พวกมันเสีย

    (ปล.คงจะคล้ายๆกับการจัดการกับความกลัว ในเรื่อง Fear Processing Exercise
    ที่ Inelia เคยกล่าวไว้ ในลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ โพสต์ที่ 4 – ผู้แปล)

    “Inelia-ผู้มาจากต่างมิติ-บทสัมภาษณ์-และบทความจากเธอ-เกี่ยวกับปี-2012-และการ-ascension-ของโลก”

    http://palungjit.org/threads/inelia...่ยวกับปี-2012-และการ-ascension-ของโลก.293099/

    ……………………………….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...