...

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Kamen rider, 9 เมษายน 2005.

  1. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    <TABLE width=585><TBODY><TR><TD>
    .​



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 สิงหาคม 2005
  2. กระสือข้างส้วม

    กระสือข้างส้วม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,212
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +392
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2005
  3. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +1,936
    สมัยที่ผมสนใจธรรมใหม่ๆ
    ธรรมของเกจิอาจารย์ ท่านแรกที่ผมมีโอกาสได้ศึกษา
    คือหลวงพ่อชา นี่แร่ะครับ

    ถ้าไม่มี cdหลวงพ่อชา ผมก็อาจจะไม่มีวันนี้เหมือนกัน
     
  4. bankamo

    bankamo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2005
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +86
    ตามที่คุณ NARIT Post

    "โมกขราช เรากล่าวว่า นิพพานนั้นหมายถึงกิเลสดับ และขันธ์ ๕ ดับ"
    ก็ขันธ์ 5 ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ดับแล้ว คือ พระนิพพาน
    แล้วจะเอาขันธ์ที่ไหน มาปรากฏอีกเล่า ถ้ายังมีขันธ์ ก็ยังไม่ได้นิพพาน ถ้า มีแดนเกิด ก็ยังไม่ใช่นิพพาน เป็นเพียง ภพใดภพหนึ่ง...
    หลวงพ่อ ท่านก็สอนผิด....คนก็จำกันผิดๆ......หูตาสว่างกันสักที
    วิญญานขันธ์ กับ จิต ก็ ความหมายเดียวกัน วิญญานขันธิ์ดับ ก็ จิตดับนั่นแหละ........

    เหล่านี้ผมเห็นว่าคุณยังมีความเข้าใจที่ผิอ อยู่นะครับ ขันธ์ 5 ก็คือขันธ์ 5 นะครับ ไม่ใช่จิตหรืออาทิสมานกายแต่อย่างใด รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ คำว่าวิญญาณนี้ไม่ได้หมายถึง ตัวจิต หรือ กายทิพย์ อย่างใน TV นะครับ เป็นคนละตัวกันครับ อยากให้ศึกษาเข้าใจให้ถูกต้อง การเข้าสู่พระนิพพานไม่ได้หมายความว่าจิตดับ เงียบหายไปไร้ตัวไร้ตนนะครับ ที่ดับไปคือขันธ์ 5 เท่านั้น ขอยกตัวอย่าง ตามที่ผมเคยศึกษามา หลวงปู่มั่นเองท่านเคยกล่าวถึงพระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว ยังมาสนทนากับท่าน หรือแม้แต่ท่านเอง หลังจากท่านละขันธ์ 5 เข้าสู่พระนิพพานแล้ว ยังเคยเมตตามาโปรดสอนศิษย์ของท่านด้วยซำไป แล้วอย่างนี้คุณคิดว่าท่านจินตนาการไปเองทั้งนั้นหรือ ทั้งๆที่ท่านทั้งหลายปฎิบัติได้ดีถึงเพียงนั้น เทียบกับพวกเราแล้ว คุณกล้าแย้งความรู้ความเห็นของท่านหรือ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ท่านก็กล่าวว่า " นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง " แล้วถ้าการนิพพานคือ จิต ดับไปด้วยไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านจะทราบและเผยแพร่แก่พระสาวกได้อย่างไร ลองพิจารณา การมุ่งมั่นศึกษาพระไตรปิฎกให้ถ่องแท้นั้น นับว่าเป็นสิ่งที่พุทธสาสนิกชนควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง แต่ขอท่านอย่านำสัญญาเหล่านั้นมาเป็นเกณฑ์ในการปฎิบัติด้วยการทำให้แจ้งด้วนตนเอง จะไม่เกิดความก้าวหน้าในการปฎิบัติ ในอดีตก็เคยมีมาแล้ว (ขอกราบขอขมาท่านผู้ปฎิบัติดีแล้วท่านนั้นอย่างสูงครับ กระผมขออนุญาติกล่าวถึง) ปรากฎว่ามีศิษย์ท่านหนึ่งของท่านอาจารย์มั่น ศึกษาพระปริญัติธรรมมาอย่างเชี่ยวชาญ และเกิดความสงสัยในภูมิจิตภูมิธรรมของท่านอาจารย์มั่นในตอนแรก แต่ท้ายที่สุดเมื่อท่านประจักษ์แก่ใจถึงภูมิจิตภูมิธรรมของท่านอาจารย์มั่นแล้ว ก็ยอมตัวลงอย่างหมดสงสัย และมุ่งมั่นปฎิบัติจนได้ผลเป็นที่พอใจ ดังตัวอย่างจะเห็นได้ว่า การศึกษาจากตำราจนแตกฉานอย่างเดียวนั้น จะไม่ช่วยให้ท่านสำเร็จมรรคผลได้เลย พระพุทธเจ้าทรงเรียกบุคคลเหล่านี้ว่า "เถรใบลานเปล่า" การบรรลุมรรคผลนั้นสำคัญที่ปฎิบัติจริงจัง เอาชีวิตเข้าแลกมาจึงจะได้ครับ หลวงปู่มั่นเคยกล่าวว่า "ถ้ากิเลศไม่ตาย เราก็ต้องตาย" นี่เป็นเครื่องยืนยัน
    ความรู้จากตำรานั้นเป็นเพียงสัญญาครับ ไม่ใช่ปัญญา ต่อให้รู้รอบทั้ง 84000 พระธรรมขันธ์ แต่มัวนั่งเกาะตำรา ไม่ยอมปฎิบัติ อย่างมาก ก็เป็นยอดนักเทศนา ไม่ใช่อริยะบุคคลครับ ขอให้พิจารณาดูแล้วเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ คนเราผิดพลาดกันได้ ผมก็เคยคิดอย่างคุณมาก่อนครับ
    "นิพพานัง ปรมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง" ผมเชื่อพระพุทธเจ้าครับ อ้อ แล้วที่ว่า "นิพพานัง ปรมังสุญญัง นั้น" ท่านหมายถึงว่างจากกิเลศและความเร่าร้อนครับ ไม่ใช่ดับหายไปเฉยๆไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปนะครับ จิตนี่แหละครับที่เป็นตัวรู้ ไม่ใช่ขันธ์ทั้ง 5 หรือ อายตนะ ทั้ง 6 แต่รู้ได้ด้วยความเป็นทิพย์ของจิตครับ เฮ้อ อันนี่ไม่รู้จะอธิบายยังไง เป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่หวังความดีจงอย่าท้อถอยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...