การทรงอารมณ์พระโสดาบัน เป็นไปได้จริงหรือ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย วิมุตติ, 8 ตุลาคม 2007.

  1. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ตอบมาแบบนี้ทำให้เห็นเลยว่ายังไม่เข้าใจโคตรภูญาณจริงๆ โคตรภูญาณคือเห็นนิพพานแล้วแว๊บหนึ่ง แล้วมีหรือจะยังมีความรู้สึกเหมือนเหยียบเรือสองแคม จะเอาความสุขอันเล็กน้อย มาช่างน้ำหนักกับความสุขที่เกิดจากนิพพานได้ยังไง (นิพพานัง ปรมัง สุขัง)

    ไม่รู้จริงแล้วอย่ามามั่วครับ เด๋วคนอื่นจะหลงเข้าใจผิดกลายเป็นมิจฉาทิฐิไปด้วย
     
  2. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    หมดสังสัยคือ รู้ความจริง แล้วถ้าเกิดว่ามีคนรู้ไม่จริงมาพูดทำให้คนอื่นเข้าใจผิด คุณคิดว่า คนที่รู้ความจริงไม่ควรจะเข้ามาอธิบายให้เข้าใจกันอย่างถูกต้องหรอกหรือ
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    อนุโมทนาด้วยกับ คุณ วิมุตติ
    คือ เมื่อมีคนหนึ่งคน กล่าวไม่ตรง ก็ต้องมีการแย้งกันเป็นเรื่องธรรมดา
    จะปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้

    ทีนี้ คำถามคือ แล้วจะเอาอะไรมาตัดสินว่า ธรรมอันไหนถูกต้อง
    ตอบว่า
    1 พิจารณาว่า ธรรมอันใดลึกซึ้งกว่า ในขณะที่ยังคงความจริงอยู่ และอธิบายสิ่งเดิมได้กว้างกว่า ลึกกว่า
    2 พิจารณาว่า ธรรมนั้นมีที่ติ หรือ มีข้อแย้งได้หรือไม่

    ก็ผมเคยอธิบายไปแล้วในเรื่องของธรรม

    ทีนี้ เรื่องที่ว่าโคตรภูญาณ ของ ปุถุชน นี่ มันคลาดเคลื่อน ไปมาก
    วิปัสสนาของ ปุถุชนก็คลาดเคลื่อนไปมาก

    ก็ต้องมาชี้แจง คนอ่านต้องเข้าใจว่า การเถียง นี่ มันต้องเถียงกันได้สิ ปัญญามันถึงจะเกิด
    อย่างหลวงตามหาบัวท่านก็เถียงกับ หลวงปู่มั่น
    จะนิ่ง เออออ ห่อหมกตามกันไปได้อย่างไรหละ แบบนั้นก็เท่ากับ เชื่อตามๆกันไป
     
  4. ปุถุชน

    ปุถุชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +715
    ขออนุโมทนาในความรู้ของทุกท่าน

    ผมเป็นศรัทธาจริต พระท่านว่าอย่างไร ผมก็คิด ก็ทำตามนั้น
    ผมจึงมีความรู้แค่หางอึ่ง เดินเฉียดนรกอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก

    ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยให้คำวิจารณ์
    เพราะเป็นเครื่องช่วยระวังไม่ให้ตัวเองเผลอหล่นตุ๊บ
     
  5. ปุถุชน

    ปุถุชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +715
    ต้องขออภัยทุกท่านที่ผมเขียนอธิบายไป
    ความรู้ผมก็แค่ชั้น ประถม ๑ ประถม ๒ เท่านั้น
    ประถม ๓ เขายังไม่ยอมให้เข้าห้องสอบเลยครับ เขาบอกไปสอบก็สอบตก
    ให้ทำการบ้านส่งครูจนกว่าจะพอใจ คงต้องพากเพียรอีกมาก

    ผมคิดว่าอาจได้คำอธิบาย จากคุณ " วิมุตติ " เพื่อประดับความรู้
    หรือหากคุณ " ขันธ์ " จะกรุณาช่วยตอบด้วยก็ขอบคุณ

    อยากทราบจริงๆ ว่า
    ที่คุณ " วิมุตติ " บอกว่า " เห็นนิพพานแล้วแว็บหนึ่ง "
    หรือที่คุณ " ขันธ์ " บอกว่า " พระนิพพานชั่วแวบ "
    นี่ มันมีอาการอย่างไรครับ และผมต้องทำอย่างไร
    จึงจะ " เห็นนิพพานแว็บหนึ่ง " เพราะผมก็อยากเห็นเหมือนกัน คงเท่ ดี
    ต่อไปมีใครมาถามจะได้บอกเขาถูก ว่า " เป็นอย่างนี้ ข้าทำมาแล้ว "

    เอาแบบง่ายๆ แบบที่เด็ก ป.๒ อย่างผมพอจะทำความเข้าใจได้นะครับ
     
  6. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    คำตรัสสอน ของ องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว สัมมาสัมพุทธองค์

    ที่องค์หลวงพ่อฯ ท่านนำมาแนะนำบรรดาศิษย์ เสมอ ๆ

    1. "..อัตนา โจทยัตตา นัง.." จงกล่าวโทษ โจษความผิด ของตนเองเสมอ ๆ
    ท่าน ก็คงเจตนาให้บรรดาศิษย์ ทำความเข้าใจ และนำไปใช้ ให้เกิดผล

    ..................................................................................

    2. เกลือ.. เค็มอย่างไร.. ผู้ที่เคย "ชิม" ก็จะรู้ได้ เข้าใจจริง

    คนที่ไม่เคย รู้จัก เกลือ มาก่อน จะรู้รสของ ความเค็ม ได้อย่างไร

    เมื่อไม่รู้ รสของเกลือ
    จะอธิบาย "ความเค็ม" ให้บุคคล ที่ ไม่เคยชิมเกลือ มาก่อน
    ให้เข้าใจ ได้อย่างไรกัน

    .................................................................................

    3. เปรียบดังว่า....
    คนที่ตาบอดมาแต่กำเนิด 4 คน ไม่เคยเห็น ช้าง ไม่รู้จัก ช้าง มาก่อน
    เมื่อมาคลำ ช้าง ทั้ง 4 ด้าน

    คนที่ 1 จับที่ งวง ก็อธิบายว่า ช้าง ลักษณะเหมือน ของที่ยืดหยุ่นได้
    คนที่ 2 จับที่ งา ก็บอกว่า ช้าง รู้สึกว่าเหมือน ของแข็ง
    คนที่ 3 จับที่ ขา ก็ชี้แจงว่า ช้าง รูปร่างเหมือน ต้นกล้วย
    คนที่ 4 จับที่ หาง ก็ร้องว่า ช้าง คล้าย ไม้กวาด

    มันก็เป็น ช้าง ตัวเดียวกัน แต่ทำไม จึงมีหลายลักษณะ

    ...................................................................................

    พวกเรา ได้อ่าน ได้ศึกษามา ในเรื่องสังโยชน์ ต่างก็รู้ว่า มี 10 ข้อ
    แต่ทว่า อารมณ์ ที่เข้าถึง ได้ ตามระดับต่าง ๆ ทั้ง 10 ข้อ นั้น

    เราก็จะสามารถ รู้ได้ เท่าที่ระดับของตนเองที่สามารถเข้าถึงได้ เท่านั้น

    ...................................................................................

    ท่านเจ้าของกระทู้ ที่ ถามว่า....

    การทรงอารมณ์ พระโสดาบัน เป็นไปได้ จริงหรือ

    นี่มันเป็นข้อ 2 ของสังโยน์ 10 คือ.. วิจิกิจฉา ไปเสียแล้ว....

    หากยังลังเลสงสัย ในคำตรัสสอนของ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ไม่เชื่อในคำสอน ของครูบา อาจารย์ แล้วจะมีความสำเร็จ ใด ๆ ได้ไหม

    หากใคร่รู้ ในอารมณ์พระโสดาบัน นี้ ก็พึงจะตั้ง หัวข้อกระทู้ ในลักษณะ ที่ว่า....

    อารมณ์ ของพระโสดาบัน เป็นอย่างไร
    ฝึกปฏิบัติ อย่างไร จึงจะสามารถเข้าถึง

    หากเป็นอย่างนี้ ได้....
    เราจึงได้ชื่อว่า.. เรามีความเคารพ ในพระบรมครู ใฝ่ธรรม ใคร่รู้จริง

    และคำตอบ อันน่าที่จะเป็นข้อสรุป ได้
    ก็คงเป็น อย่างที่พระเดชพระคุณองค์หลวงพ่อฯ กล่าวแนะนำไว้ นั่นเอง

    เราก็พึง ทดสอบ ความเค็มของเกลือ
    ด้วยการ ลองกินเกลือ กันเสียก่อน จะดีไหม ครับ.

    ...................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2007
  7. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ขอแสดงความนับถือในความมีจิตใจกว้างขวางของคุณ ปุถุชนครับ ที่ยอมพิจารณาด้วยเหตุผล อาการเห็นนิพพานแล้วแว๊บหนึ่ง ผมขอความกรุณาให้ คุณ ขันธ์ อธิบายจะเหมาะกว่าครับ ส่วนการปฏิบัติก็ตามแนวสติปัฏฐานสี่ควบคู่กับการบำเพ็ญบารมีด้วย ทาน ศีล ภาวนา ครับ ให้ทำไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ไม่อยากได้ แต่ไม่ขี้เกียจ ทำแบบไม่พักไม่เพียร เมื่ออินทรีย์แก่กล้าแล้ว โคตรภูญาณจะเกิดเอง ขอให้เจริญในธรรมครับ

    ส่วนคุณมหาหิน การที่ผมตั้งกระทู้นี้ไม่ได้หมายความว่าผมสงสัยหรือมีวิจิกิจฉาในเรื่องนี้ แต่เจตนาที่แท้จริงคือ อยากให้ผู้ที่เข้าใจผิด ทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสียใหม่เท่านั้นเอง
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    นิพพานชั่วแวบ เป็นอย่างไร อันนี้ถ้าจะให้พรรณาถึง ความรู้สึกที่แท้จริงมันก็ลำบากนะ เพราะว่า เรายังเต็มไปด้วยสมมติ การจะเอาสมมติไปอธิบาย วิมุตติจึงเป็นไปไม่ได้ พระพุทธองค์ จึงไม่เคยอธิบาย เป็นรูปธรรม มีแต่อธิบายเชิงเปรียบเทียบ

    ทีนี้ ผมจะพยายามบรรยายให้ฟังแล้วกัน

    เมื่อ จิตคนเราละเอียดมากขึ้น คำว่าละเอียดมากขึ้นเพราะว่ามันไม่ได้ไปหยิบของหยาบมาเข้าใจ มันไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมาอยู่ที่ใจ ผมยกตัวอย่างว่า เด็กทารก ถามว่ามีจิตอยู่หรือไม่ ก็ตอบว่ามี แต่ทำไมเด็กจึงไม่มีอะไรเกาะใจ ก็เพราะว่า ไม่ได้หยิบอะไรภายนอกมาใส่ใจ คือ อะไรผ่านมาแล้วผ่านไป

    เราลองนึกว่า เวลาเราสบายใจไม่ได้คิดอะไรนั้น จิตก็ละสมมติบางประการไปได้ แต่พอเผลอ ใจมันก็หยิบสิ่งนั้นสิ่งนี้เข้ามา จนคิดไปนั่นไปนี่

    วกกลับมาเรื่องพระนิพพาน เมื่ออายตนะนั้น หรือ ใจที่คิดนั่นคิดนี่ อารมณ์นั้นอารมณ์นี้ หรือ ความรู้สึกนั้นนี้ ดับไปหมด เหลือแต่ สภาวะเช่นนั้นเองของปรากฎการณ์ทั้งหมด จะว่ามีตัวรู้มันก็ไม่รู้อะไร จะว่ามีตัวตนมันก็ไม่มี จะว่าต้องใช้สติมันก็ไม่ได้ใช้อะไร เพราะทั้งหมด สัมปยุตรวมเป็นหนึ่ง ก็ไม่มีสมมติอะไรเหลืออยู่ มันก็ว่างไปทั้งหมด
    เป็นอยู่แวบหนึ่ง แล้วก็กลับมาคิดนึกอีก ก็จะเห็นโคตรภูทันที รู้ทันทีว่า นี้คือ ญาณทัสนะปรากฎ แล้ว วิปัสสนาทั้งปวงจะชัดแจ้ง ก็เปรียบเทียบว่า มีปลาตัวหนึ่ง อยู่ใต้จอกแหนมืด ปิดบัง ปลามันก็ไม่เห็นแสงจากท้องฟ้า พอลมพัดมาแวบหนึ่ง จอกแหน ก็แยกจากกัน ทำให้ปลาเห็นว่า เหนือจากจอกแหนไปยังมีสิ่งต่างๆ สว่าง และพอลมผ่านไปทำให้จอกแหนกลับมาคลุมต่อ แต่ปลาก็รู้ไปแล้วว่าเหนือจอกแหนนั้นมี บางอย่างที่สว่างอยู่

    การเห็นพระนิพพานขั่วแวบนี้จึงเรียกว่า โคตรภู เพราะว่าผู้ที่เห็น จะไม่อยู่ในฐานะแบบสามัญชนแล้ว เพราะว่า เห็นอะไรบางอย่างแบบที่คนอื่นไม่เห็นได้ ทำให้ ทัสนะเดิมที่เคยถูกปกปิด เปลี่ยนไป


    ก็ นอกเหนือจากโคตรภู คือ เป็น อริยมรรค ใครทำถึงโคตรภูแล้วค่อยมาถาม ว่า อริยมรรคเดินอย่างไร แต่ถ้ายังไม่ถึงโคตรภู ผมก็ยังไม่ตอบ เพราะไม่มีประโยชน์
     
  9. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    คิดอยู่แล้วว่าคุณขันธ์ต้องตอบได้ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับคุณขันธ์ ตอบได้ชัด ตรง และเห็นภาพมาก บ่งบอกได้ถึงภูมิธรรมที่ไม่ธรรมดาเลย นับถือๆๆๆ
     
  10. ปุถุชน

    ปุถุชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +715
    จากที่คุณขันธ์อธิบายมา ผมต้องขอขอบคุณมากๆ

    ผมลองใช้ปัญญาทรามๆ ของผมมาทำการเทียบเคียงเพื่อให้ตัวเองสามารถเข้าใจและรู้ซึ้งยิ่งขึ้นในคำอธิบายของคุณขันธ์ ก็ออกมาอย่างนี้ครับ

    ตัวหนังสือสีดำคือที่คุณขันธ์เขียนอธิบายไว้
    ตัวหนังสือสีน้ำเงินเป็นของที่ผมเขียนไว้ในหน้า ๑ ของกระทู้ครับ

    เป็นอยู่แวบหนึ่ง​
    แล้วก็กลับมาคิดนึกอีก ก็จะเห็นโคตรภูทันที รู้ทันทีว่า
    นี้คือ ญาณทัสนะปรากฎ แล้ว วิปัสสนาทั้งปวงจะชัดแจ้ง

    ก็เปรียบเทียบว่า

    มีปลาตัวหนึ่ง​

    คนคนหนึ่ง เช่นคุณป้าข้างบ้านคุณขันธ์​

    อยู่ใต้จอกแหนมืด​
    ปิดบัง

    ที่ยังหลงกับกิเลสตัณหา​

    ปลามันก็ไม่เห็นแสงจากท้องฟ้า​

    คนคนนี้ยังไม่เห็นไม่รู้ว่า​
    นิพพานเป็นอย่างนี้ สว่างอย่างนี้

    พอลมพัดมาแวบหนึ่ง​

    พอบุญเก่าเข้ามาสนอง พระท่านมาสะกิดโดนแผลเก่า กำลังจิตพอเหมาะพอดี ​
    จอกแหน​
    ก็แยกจากกัน

    กิเลสตัณหาก็จางลงในขณะนั้นได้ยินใครเขาพูดถึงนิพพาน​
    นิพพานดีอย่างนั้น นิพพานเป็นอย่างนี้ หรือแค่รู้เรื่องพระพุทธเจ้า พระอริยสาวก บ้าง

    ทำให้ปลา ​
    ทำให้คนคนนี้​

    เห็นว่า​
    เหนือจากจอกแหนไปยังมีสิ่งต่างๆ สว่าง

    เห็นว่าในโลกที่อยู่กันนี้ ก็ยังมีความดับกิเลส สว่าง​
    และพอลมผ่านไปทำให้จอกแหนกลับมาคลุมต่อ​

    พอกำลังบุญ กำลังจิตขณะนั้นผ่านไปก็เป็นทาสกิเลสตัณหาเหมือนเดิม ​
    แต่ปลาก็รู้ไปแล้วว่าเหนือจอกแหนนั้นมี​
    บางอย่างที่สว่างอยู่

    แต่คนคนนี้​
    ได้รับรู้ว่ามีธรรมชาติของความดับอยู่

    การเห็นพระนิพพานชั่วแวบนี้จึงเรียกว่า​
    โคตรภู เพราะว่า

    ผู้ที่เห็น​

    คนคนนี้​

    จะไม่อยู่ในฐานะแบบสามัญชนแล้ว​
    เพราะว่า


    เห็นอะไรบางอย่างแบบที่คนอื่นไม่เห็นได้​

    ได้รับรู้ว่ามีสิ่งที่ดีกว่าอยู่อีกฟากหนึ่ง​
    ในขณะที่คนอื่นๆไม่เห็นเลยว่ามันมีอีกฟากหนึ่ง

    ทำให้​
    ทัสนะเดิมที่เคยถูกปกปิด เปลี่ยนไป

    เกิดมีธรรมฉันทะ ในพระนิพพาน


    จึงตกลงใจก้าว ขาข้างหนึ่งยืนบนเรือ เพื่อจะข้ามไปอีกฟาก
    แต่ก็ยังไม่ก้าวขึ้นเรือทั้งตัว



    ผิดถูกอย่างไรกรุณาสั่งสอนด้วยครับ
    ผมพยายามจะเข้าใจในคำเปรียบเทียบของคุณขันธ์

    ตกลงคุณวิมุตติจะเป็นกองเชียร์อย่างเดียวหรือครับ ?​
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ถูกต้องแล้วครับ
    แต่ การเห็น ในครั้งนี้ ขณะที่เห็น ไม่รู้อะไร เพราะสมมติดับไป ขณะจิตอยู่ในนิพพาน ไม่มีตัวมีตน
    แต่ขณะจอกแหน กลับมาบังนั่นแหละ หรือกลับมามีตัวตนอีกนั่นแหละ ถึงระลึกได้ จึงเรียกว่า โคตรภูญาณ

    ก็ เดินสติ อย่างเดียวให้ชำนาญก่อนนะครับ คุณ ปุถุชน จึงจะเห็นได้ เพราะนิพพานเป็นของละเอียด สติก็ต้องไวและละเอียดตามจึงจะเห็นได้ ไม่เช่นนั้น ถ้าเป็นสติธรรมดากว่าเราจะระลึกได้ทีต้องมีเหตุการณ์หนักๆ เช่นโกรธขึ้นมาแรงๆ ที พอหายโกรธเพิ่งนึกได้ก็มี

    แต่จะเห็นนิพพานนี้ต้อง เบาละเอียด คือ แม้ว่า อยู่เฉยๆ นี้ก็เห็นการเกิดดับ สารพัดในใจได้ เพราะสติละเอียดมากแล้ว เป็น สติโพชฌงค์
    พอละเอียดมากๆ เข้าเราจะเห็น ว่า หูได้ยินอะไร ต่อมิอะไรตลอดเวลา และสิ่งเหล่านั้น ก็ดับไปๆ ตลอด
    ใจคิดนึกอะไรก็เห็นเกิดดับ ๆ ตลอด

    แต่ พอจิตนิ่งแล้ว เห็นแล้ว ก็ปล่อยวาง ไม่ต้องไปใช้สติอะไรกับ มัน ก็จะ นิ่ง สุข และเอกคตา ตลอดเวลาได้ จึงเรียกว่า ทรงอารมณ์ ไว้ได้
     
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    อ้อ มาอ่านอีกทีหนึ่ง ถ้าลำพังได้ยินใครพูด นี้ มันไม่เห็นนะ
    มันจะต้องเห็นเอง แม้พระท่านมาชี้ ก็มิได้จะเห็นนะ
    การเห็นพระนิพพาน จะต้อง เห็นด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตัง ระลึกไม่ได้ด้วย เพราะว่า ดับสมมติไป จะเอาสมมติที่ไหนมานึก

    ฉันทะ ในพระนิพพาน นั้น ไม่ใช่การระลึก แต่จะต้องเห็นแล้ว
    รู้ ทุกข์ สมุทัย แล้ว จึง จะพบนิโรธ นะ ตัวนิโรธ นั่นแหละ คือ โคตรภู
    ไม่ใช่ว่าฟังเฉยๆ ระลึกเฉยๆ หรือ อยู่ดีๆ บอกว่า จะรักพระนิพพาน

    เพราะว่า ผมถามว่า มีใคร มาบอกคนนั้น สวยอย่างนั้น คนนี้สวยอย่างนี้ หรือว่า พิซซ่า นี้มันอร่อยอย่างนั้น อร่อยอย่างนี้ เราไม่เคยไปกินเลย เราบอกว่าเรารัก เราชอบอาหารรสนี้ ก็ไม่ได้ หรือ เราบอกว่า เราชอบคนสวยคนนี้ก็ไม่ได้ ต้องเห็นเองก่อนนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2007
  13. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    ผมออกความเห็นนำว่าไม่ต้องคิดก็ได้ว่าเป็นอะไรกัน ปฏิบัติตามเเนวทางไปเป็นไม่เป็นช่างมันคิดอย่างเดียวตายขอไปนิพพานไม่เอาทั้ง3โลก
    ไม่ขอเกิดอีก คือมีความเข้าใจไม่ต้องการร่างกายเป็นที่สุด หรือ เรียกว่าผู้ไม่ประมาทครับ เพราะไม่ใยดีกับของเลวๆอย่างนี้อีก ปฏิบัติจริงจัง เช่นยอมตายถ้าละเมิดศีล เเละมีใจรักนิพพาพ พระรัตนไตรเป็นที่สุด ทำด้วยชีวิต ตายขอไม่มาเกิดอีก
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    เสริมให้อีกนิดหนึ่ง
    ที่เรียกว่า อริยสัจสี่ นั้นคือ ความจริงที่เห็นได้ เฉพาะ อริยบุคคลรอบแรก ก่อนโสดาปัตติมรรคญาณ

    1 ทุกข์ รู้ทัน ทุกข ที่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วย มหาสติ และ วิปัสสนาญาณ
    2 สมุทัย รู้ทัน ลำดับแห่งการเกิดทุกข์ ด้วย มหาสติ และ วิปัสสนาญาณ
    3 นิโรธ เมื่อ ทันต่อ ทุกข์กับสมุทัย ไม่ปรุงต่อ รอให้มันดับลงด้วยอำนาจไตรลักษณ์ ดับไปทั้งหมดแล้วจะพบ
    โคตรภู หรือ นิโรธ หรือ นิพพาน แวบแรก
    4 มรรค เมื่อพบแล้ว ใช้ปัญญาพิจารณา ใข้สติระลึกรู้ ใน ทุกข์ กับ สมุทัย อีกรอบ ก็จะกลายเป็น อริยมรรคญาณ

    ตัว มรรคเอง ก็คือ วนกลับมาที่การมองเห็น ทุกข์กับ สมุทัย อีกครั้งแต่ละเอียดขึ้น จนดับ ตัวละเอียดอีกรอบหนึ่ง กลายเป็น นิโรธรอบที่สอง หรือ โคตรภู รอบที่สอง ก็จะเรียกว่า ผลญาณ แห่ง โสดาปัตติผล

    ก็ใช้ สติและ ปัญญามองทุกข์และสมุทัยอีกครั้ง ก็จะกลายเป็น สกิทาคามีมรรคญาณ

    วนรอบแบบนี้ไปจน ไปที่สุด คือ อรหัตตผล ดับ ทุกข์สิ้นเชิง มองทุกข์ไม่เห็นอีกแล้วในจิตตน ก็จะเป็น นิพพาน ไม่มีมรรค อีกต่อไปสืบจาก อรหัตตผล


    ทีนี้ มันตั้งต้น แต่ละครั้งของ มรรค ด้วย สัมมาทิฎฐิเสมอ คือ มองเห็นทุกข์ เกิดดับๆ ด้วยตนเอง ละเอียดละออมากขึ้นด้วยตนเอง ก็ สัมมาทิฎฐิ ตัวแรก คือ การมองขันธ์ ทั้ง 5 เกิดดับๆ

    สัมมาทิฎฐิรอบที่สอง คือ การมอง โทสะ และ ราคะ

    ตามลักษณะสังโยชน์ จนถึง อรหัตตมรรค คือ มอง อวิชชา ตัวสุดท้ายเกิดดับๆ

    ก็ ผมไม่ถึง อรหัตตมรรค หรอก แต่ที่รู้ก็เพราะว่า มันเสมือนกัน เพราะเมื่อเข้ามรรคแล้ว ย่อมตกถึงกระแสนิพพาน รู้มรรค ด้วยตนเองว่าอะไรคือ ทางอะไรไม่ใช่ทาง รู้แจ้งแทงตลอดเอง เป็นปัจจัตตัง
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ผู้ที่บอกว่า ไม่ต้องคิดว่า เป็นอะไรกันถุกต้องแล้ว
    แต่ ถ้าคนอยากรู้ ก็ตอบให้ ก็ถุกแล้ว
    ถ้าไม่เช่นนั้น เขาจะมีพระไตรปิฎกทำไม ก็บอกให้ไปทำกันเอง รู้เองถึงเอง มันก็ไม่ได้ มันต้องมีสิ่งที่เรียกว่า เอาต์ไลน์ หรือ กระบวนทัศน์

    ก่อนเดินทาง ไม่เคยไป จะบอกว่า เดินไปเถอะ ไม่ได้ ต้องกางแผนที่ก่อนนะ

    และลำพังคิดอย่างเดียว มันไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว พระพุทธองค์ ไม่ทรงท้อพระทัยนะ มันต้องตั้งใจและรู้จุดเลย
     
  16. ปุถุชน

    ปุถุชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +715
    แหม ได้ความรู้มากขึ้นจริงๆ ขอบพระคุณจริงๆ
    เพิ่งเข้าใจว่า ที่เขาว่าพุทธจริต คงเป็นอย่างนี้นี่เอง

    แต่ในเมื่อผมเป็นศรัทธาจริต ไม่ถนัดอย่างคุณขันธ์
    ก็เลยขอเลือกไปตามทางของผม
    เนื่องจากผมเองไม่เคยไว้ใจตัวเอง ไม่เคยไว้ใจความรู้ของตัวเอง
    จึงต้องคอยระวังว่าจะหาพระไม่เจอเดี่ยวจะหลงกับท่าน
    เอาแต่เดินตามพระ แต่แน่ใจอยู่อย่าง พระองค์นี้ท่านไม่พาเดินลงนรก
    เอาหละครับ ถึงแม้ชาตินี้ จะ แว๊บ อย่างคุณขันธ์, คุณวิมุตติ หรือไม่แว๊บ ก็ตาม
    ผมก็จะเดินตามพระท่านไปเรื่อยๆ ท่านจะพาไปไหนก็ไปกับท่าน
    ตอนนี้ท่านให้พิจารณาว่า โลกทั้งโลกว่างหมด ไม่มีอะไรเหลือ
    ผมก็ขอลาไปทำตามท่านสั่งก่อน
    คนโง่ๆอย่างผมก็ต้องเอาของกล้วยๆ ไว้ก่อนนะครับ
    สวัสดี
     
  17. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    ถ้าคุณอยากรู้ความจริง . . . ต้องศึกษาไปเรื่อยๆครับแล้วจะรู้เอง มากขึ้นเรื่อยๆ การที่คุณสนใจอยากรู้ก้ดีแล้วหละ แต่เชื่อสิว่าคุณรู้เองได้
    วันนี้คุณอาจคิดว่าคุณรู้แล้ว ถูกแล้วที่รู้ แต่วันข้างหน้าจะรู้มากขึ้นไปเรื่อยๆ
    และจะได้รู้ว่าที่เราเคยคิดว่าได้รู้แล้วนั้น มันแค่นิดเดียวเอง . . .
     
  18. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    <สาธุ....อนุโมทามิ>
    [-/_\-]
    การให้ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง
    ความยินดีในธรรมชนะความยินดีทั้งปวง
    รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง
    หน้าอานิสงส์ มี 40 อานิสงส์
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    จะเดินตามพระหรือเดินตามพาลก็ได้ สำคัญคุณ ปุถุชน จะต้องดูที่ใจตนเอง ว่ามันคิดไม่ดีอย่างไร
    ไม่ใช่ว่า จะเอาศรัทธาจริตนำ มันเข้ารกเข้าพงหมด
    ตัวศรัทธาจริตนี้ก่อให้เกิดความงมงาย ไม่สืบหาเนื้อแท้ของคำสอน
    มันจะต้องประกอบไปด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
    จะเอา นึกขึ้นมา นึกขึ้นมา แทนปัญญา มันจะไปเห็นอะไรหละ
    ก็พระพุทธองค์วางหลักเอาไว้ให้ ก็ไม่ทำกัน จะเอาง่ายๆ นึกถึงนิพพาน ก็ได้แล้ว เพียงพอแล้ว
    เวลาหิวก็นึกถึงข้าว นึกถึงข้าว มันคงจะอิ่มอยู่หรอก

    ทีนี้ อ้างไปถึงหลวงพ่อฤาษีท่านสอน ท่านก็สอนกลุ่มบุคคลทั่วไป ท่านไม่ได้เจาะรายละเอียด เพราะทราบดีว่า สอนยากๆ ไปใครจะรู้ ก็ต้องสอนว่า เอา นึกถึงนิพพานพอนะ คนมันจะได้มีจริตที่ น้อมไปสู่ พระนิพพานบ้าง
    ท่านก็สอนถูกแล้ว แต่ไอ้พวกลูกศิษย์นี่แหละตัวดี ฟังหลวงพ่อมา แล้วก็ปิดทางอื่นหมด บอกอย่างเดียวว่า อันนี้ถูก
    ก็จริงๆ ก็ถูกต้องไม่ผิด แต่ ที่กว้างกว่า ลึกกว่า ยังมี อันนี้ก็ต้องเข้าใจ
     
  20. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ศรัทธาอย่างเดียว เห็นได้ชัดว่าไปนิพพานไม่ได้แน่ๆ เพราะอินทรีย์ห้าไม่ครบ ถ้าศรัทธาอย่างเดียวแล้วไปนิพพานได้ พระพุทธองค์ก็คงไม่ต้องบอกเรื่องอินทรีย์ห้า เอาแค่อินทรีย์หนึ่งก็พอ คือ ศรัทธา อย่างเดียว ไม่ต้องมี วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา หรอก แบบนี้ไม่ง่ายกว่าเหรอ แต่การที่พระพุทธองค์ตรัสถึงอินทรีย์ทั้งห้า ก็เพราะว่ามันจำเป็นทั้งหมด อันนี้ต่างกับสมาธิหรือสมถะกรรมฐานนะ เพราะสมถะกรรมฐานเดินได้หลายทางและสามารถถึงเป้าหมายเดียวกันได้ (กรรมฐาน 40 กอง) แต่วิปัสสนากรรมฐานนี่ ในระดับอริยมรรค มีทางเดียวครับ ดังนั้นเราจึงต้องเดินให้ถูก ถ้าเดินไม่ถูก ก็ไปไม่ถึงปลายทางสักที การเดินทางมรรคไม่เหมือนกับเดินทางไปเที่ยวนะ ถ้าไปเที่ยว มีทางไปชัดเจน มีทิศเหนือ ทิศใต้ แยกได้ชัดเจน แต่ทางมรรคนี่แยกลำบาก เช่น เราเห็นนักปฏิบัติท่านหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ แต่เราไม่รู้เลยว่า สภาวะภายในเค้าเป็นอย่างไร กำลังสงบนิ่งติดสมถะอยู่ หรือว่ากำลังฟุ้งซ่านคิดโน่นคิดนี่อยู่ หรือว่ากำลังวิปัสสนาพิจารณาองค์ธรรมอยู่ อันนี้มิอาจรู้ได้ เจ้าตัวเองอาจจะไม่แน่ใจตัวเองด้วยซ้ำ สรุปว่า ถ้าไม่เดินทางมรรคที่ถูก ก็ไปไม่ถึงจุดหมายแน่นอน

    ส่วนเรื่องการอธิบายสภาวะปิ้งแว๊บ คุณขันธ์อธิบายได้ถูกต้องดีแล้ว และคุณขันธ์ภูมิธรรมสูงกว่าผมมาก จึงเหมาะที่สุดที่จะอธิบายเรื่องนี้ กระทู้นี้ผมเป็นคนตั้งขึ้นมา ดังนั้นผมก็จะตรวจสอบตลอดว่าที่กล่าวกันมาถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องตามหลักการ เหตุผล และพระไตรปิฎก คุณขันธ์โดนผมแย้งกลับแน่นอน แต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีส่วนไหนที่ไม่ตรงเลย ดังนั้นผมจึงทำได้แค่เป็นกองเชียร์เท่านั้น แต่รับรองว่าถ้าคุณขันธ์ไม่เข้ามาอธิบายเรื่องโคตรภูญาณให้ฟัง ผมจะรับหน้าที่อธิบายเอง แต่นี่คงไม่จำเป็นอีกแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...