หลวงพ่อปัญญามรณภาพแล้ว

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย Catt Bewer, 10 ตุลาคม 2007.

  1. lasomchai

    lasomchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +2,035
    สุปฏิปันโณ ภะคะวะโต สาวกะสังโฆ

    สังฆังนะมามิ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  2. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกฺกสํโฆ

    อุชุปฏิปณฺโณ ภควโต สาวกฺกสํโฆ

    ยายะปฏิปณฺโณ ภควโต สาวกฺสํโฆ

    สามิจิปฏิปณฺโน ภควโต สาวกสํโฆ

    อาหุเณยฺโย ปาหุเณยฺโย ทกฺขิเณยฺโย

    อญฺชลี กรณีโย

    อนุตฺตรํ ปุญฺญเขตตํ โลกัสสาลาทิ
     
  3. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>พุทธศาสนิกชนที่สวนโมกข์เศร้าสลดหลวงพ่อปัญญาฯมรณภาพ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 ตุลาคม 2550 17:05 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>พุทธศาสนิกชนจำนวนมากมาร่วมไว้อาลัยที่วัดสวนโมกข์ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>พระภิกษุสงฆ์ ลุกศิษย์ร่วมไว้อาลัย</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>สุราษฎร์ธานี - พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติธรรมที่สวนโมกขพลาราม เศร้าสลด หลังทราบข่าวการมรณภาพของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

    จากกรณี พระพรหมมังคลาจารย์ หรือ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี ได้มรณภาพลงเมื่อเวลา 09.09 น.วันนี้ (10 ต.ค.) ที่โรงพยาบาลศิริราช สิริรวมอายุได้ 96 ปี

    ที่สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี บรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า บรรดาพระลูกวัดธารน้ำไหล หรือ สวนโมกข์ ร่วมทั้งพุทธศาสนิกชนที่กำลังปฏิบัติธรรม เมื่อทราบข่าว ได้นั่งทำสมาธิ จิตใจ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล พร้อมทั้งรำลึกถึงคุณงามความดี ที่ท่านมีต่อสวนโมกข์

    ขณะที่พระลูกวัด สวนโมกข์ ได้นำภาพถ่ายของ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ที่ถ่ายคู่กับ ท่านพุทธทาสภิกขุ มาตั้งที่เก้าอี้หินอ่อน ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เมื่อเดินทางมาที่สวนโมกข์ จะนั่งอยู่บนเก้าอี้ดังกล่าว เพื่อแสดงธรรมแก่ประชาชน

    ในขณะเดียวกัน ประชาชนที่เข้ามาท่องเที่ยว ศึกษาธรรม ที่สวนโมกข์ เมื่อทราบข่าวการมรณภาพ ต่างทยอยเข้ากราบไหว้ พร้อมกับหาหนังสือที่หลวงพ่อปัญญาได้บันทึกเผยแพร่ธรรม ที่วางจำหน่ายอยู่ในบริเวณสวนโมกข์

    ทางด้าน พระครูใบฎีกา มณเฑียน มณฺฑิโร (หลวงพ่อจ้อย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล (สวนโมขพลาราม ) ฐานานุกรมหลวงพ่อปัญญา กล่าวว่า พระภวนาโพธิกุณ (อาจารย์โพธิ) เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล (สวนโมขพลาราม) พร้อมพระผู้ใหญ่จำนวนหนึ่ง ได้เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร ด้วยรถตู้ เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ผ่านมา หลังทราบข่าวการมรณภาพของ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

    สำหรับ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ นั้นเป็นสหายธรรม ร่วมอุดมการณ์กับท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ และ พระราชญาณกวี (บ.ช.เขมาภิรัต) อดีตเจ้าสำนักเรียนวัดขันเงิน ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร ที่เปรียบเสมือนเป็นพี่น้องร่วมสาบานของทั้ง 3 ท่าน ที่มีจุดหมายบำรุงพระพุทธศาสนาในทิศทางเดียวกัน ที่จะเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธเจ้า

    ก่อนที่ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ จะมรณภาพ ได้แต่งตั้งให้หลวงพ่อปัญญา เป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพธรรม เมื่อเวลานี้หลวงพ่อปัญญาได้มรณภาพ เท่ากับว่า ทางสวนโมกข์ได้สูญเสียเสาหลักที่ยึดเหนี่ยวความผูกพัน ในการจากไปของท่าน ตลอดเวลาหลวงพ่อปัญญาเป็นแรงขับเคลื่อนผลักดัน ต่อจากท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ส่งพระมาอบรม เข้ากรรมฐาน ศึกษาธรรมในส่วนกิจกรรมต่างๆ ที่จะจัดขึ้นในบริเวณสวนโมกข์นั้น ต้องรอเจ้าอาวาสเป็นผู้กำหนดเดินทางกลับมาจากกรุงเทพฯ ก่อน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. Nongmaika

    Nongmaika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +394
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ความตาย" ของ "ปัญญานันทภิกขุ"</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 ตุลาคม 2550 06:16 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ความตายเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุดของมนุษย์" ไม่มีใครปฏิเสธคำกล่าวนี้

    "กมฺมุนา วตฺตติ โลโก - โลกหมุนไป ตามกฏของกรรม" เรื่องของโลกเป็นเช่นใด เรื่องของชีวิตก็เป็นเช่นกัน

    แม้ว่า ความตายเป็นสิ่งสามัญที่ไม่อาจหลีกพ้นได้ เช่นเดียวกับหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือ พระพรหมมังคลาจารย์ ที่มรณภาพจากเราไปแล้ว ท่านมีทัศนะต่อความตายในการเทศนาธรรมตามวาระต่างๆหลายต่อหลายครั้ง "ผู้จัดการปริทรรศน์"นำมาถ่ายทอดเพื่อเป็นอนุสติและรำลึกต่อการจากไปของพระที่แท้ของแผ่นดิน

    ******

    ความตายมันเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะเกิดมีแก่ทุกชีวิต อันนี้คนเราไม่ค่อยได้คิด เรื่องความตายไม่ค่อยคิด เพราะคนเราไม่ค่อยคิด เพราะคนเรามีความต้องการที่จะอยู่มาก ทุกคนเหมือนต้องการที่จะอยู่ทั้งนั้น ไม่มีใครอยากตาย แต่ว่าก็ไม่ได้ว่าไม่ให้อยู่ อยู่ไปตามเรื่อง แต่เราจะต้องคิดไว้บ้างว่าเราจะอยู่ค้ำฟ้าไม่ได้ ชีวิต เป็นของไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งมันต้องถึงจุดจบเป็นธรรมดา อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะได้คิด

    ปกติคนเราไม่ค่อยจะได้คิดถึงเรื่องนี้ เพราะไม่ได้คิดถึงเรื่องความตายนี้แหละ จึงทำให้คนเกิดความประมาทมัวเมาในทรัพย์สมบัติ มัวเมาในความเป็นใหญ่ในอำนาจวาสนา ในเรื่องอะไรต่างๆ อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตทั้งนั้น แล้วเกิดความวุ่นวายขึ้นในภายหลัง เพราะไม่ได้นึกถึงเรื่องเกี่ยวกับความตายไว้บ้าง ถ้าหากว่าได้เอาความตาย ที่เราได้เป็นข่าวมาเป็นเครื่องเตือนใจเราว่า แกเองนี่แหละสุดท้ายชีวิตมันก็จบลงกันที่ตรงนี้ แม้จะมีอำนาจสักเท่าใด ยิ่งใหญ่สักเท่าใด ใครๆ เขาก็จะเคารพบูชาสักเท่าใด ก็ต้องถึงจุดจบคือถึงแก่ความตาย เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น เมื่อเราคิดอย่างนั้นเราก็ควรจะถามตัวเราเอง พิจรารณาถึงสังขารร่างกายของเราเอง ว่ามันก็จะต้องเป็นอย่างนั้น เป็นเรื่องธรรมดา

    เพราะว่าความตายกับความเกิดนั้น เป็นของคู่กัน มาด้วยกันไปด้วยกันอยู่ตลอดเวลา แล้ววันหนึ่งมันจะปรากฏแก่ตาของเราเอง ว่ามันเป็นอย่างนั้น การนึกคิดในเรื่องความตายนี้ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เรียกว่าอัปมงคลอะไร แต่เป็นเรื่องเป็นมงคล เป็นเหตุให้คนมีความก้าวหน้าในชีวิต ในการงานด้วยประการต่างๆ เพราะเราได้นึกถึงเรื่องความตายไว้บ้าง คนที่นึกถึงความตายนั้น จะเป็นคนที่ขยันขันแข็งเอางานเอาการ เพราะรู้ว่าชีวิตนี้มันน้อย มันสั้น เราควรจะรีบทำให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ถ้านึกถูกต้อง แต่บางคนมานึกถึงความตายไม่ถูกเป้าหมาย คือพอไปเห็นคนอื่นตาย หรือใครตายแล้วใจอ่อนไป กลัวต่อความตาย มืออ่อนตีนอ่อน แล้วก็นึกว่า จะทำไปทำไปทำไม ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ไปนึกอย่างนั้น อันนี้ไม่ถูกเรื่อง ไม่ตรงตามจุดหมายของพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าสอนให้คิดถึงความตายนั้น ก็เพื่อให้รู้ว่าเราจะต้องตาย เราหนีจากความตายไปไม่พ้น และเมื่อรู้ว่าเราจะต้องตาย หนีจากความตายไปไม่พ้นแล้ว เราควรจะได้ใช้ชีวิตเท่าที่เหลืออยู่นี้ ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการประกอบหน้าที่ที่เราจะต้องกระทำ

    ทุกคนมีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น ใครมีหน้าที่อันใด จงทำหน้าที่อันนั้นให้สมบูรณ์ให้เรียบร้อย ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง อย่างนั้นจึงจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตแก่ครอบครัว ตลอดถึงประเทศชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นการนึกถึงความตาย คือให้นึกว่าเราจะต้องตาย เมื่อนึกว่าจะตายแล้วเราก็ไม่ประมาท รีบเร่งกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต เช่นในเรื่องการงาน ในด้านวัตถุ ที่เราพูดในภาษาธรรมะว่า ในด้านคดีโลก คดีโลกหมายความว่าในด้านวัตถุ เช่นการแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ประกอบการงานไปตามหน้าที่ เราก็ทำไปตามเรื่องตามหน้าที่ที่เราจะกระทำได้ แล้วก็ทำด้วยความตั้งอกตั้งใจ ทำให้เรียบร้อยทำให้ดีที่สุด เพราะเรานึกว่าชีวิตไม่แน่ไม่เที่ยง เราอาจจะดับลงไปเมื่อใดก็ได้

    ******

    ไม่มีสิ่งใดที่จักเกิดขึ้นและเป็นอยู่โดยมิได้อาศัยกรรม ต้องมีกฏนี้เข้าไปแทรก แซงอยู่เสมอ และที่ทุกอย่างดำเนินไปได้เป็นปกติ ก็เพราะยังมีกรรมของมันอยู่ ถ้าหากหมดกรรมลงเมื่อใดแล้วก็แตกสลาย แต่การสลายตัวของสิ่งหนึ่ง ทำให้เกิดสิ่งอื่นต่อไปอีก เช่นต้นไม้ต้นหนึ่งตายก็กลายเป็นไม้ท่อน คนเราเอาไม้ท่อนไปทำรถ ทำเรือน ทำอะ ไรหลายอย่าง ถ้าวัตถุที่ถูกทำนั้นตายคือผุต่อไปอีกก็กลายเป็นปุ๋ยก่อให้เกิดเป็นอาหาร แก่หญ้าแก่ต้นไม้ต่อไป วัตถุทั้งปวงในโลกจึงมิได้หายไปจากโลก มันหมุนเวียนเป็นสัง สารวัฏฏ์วนไปมาอยู่เสมอ เป็นเรื่องไม่จบ แต่เป็นวงกลมที่ไม่มีการตั้งต้นและไม่มีที่สุด เป็นแต่อาศัยเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปๆ แล้วก็เกิดขึ้นอีก เป็นวงเวียนตลอดสายจึงเรียกว่า เป็นไปตามอำนาจของกรรม

    ******

    ทีนี้มนุษย์ เรานี่มักจะฝืนธรรมชาติ ไม่คล้อยตามธรรมชาติในเรื่องธรรมชาติที่มันแน่นอนที่สุดที่จะต้องเป็น เราก็ไปคิดว่า ขอให้ท่านมีชีวิตอยู่โลกนานๆ แม้จะแก่ชราเท่าใดก็ไม่อยากให้ท่านจากไป ให้อยู่ได้เห็นหน้ากัน แล้วก็รู้สึกว่าอุ่นอกอุ่นใจ มีความสบายใจ นี่คือความคิดธรรมดาสามัญทั่วไปในมนุษย์เราทั้งหลายเราไม่เคยคิดในแง่ความจริงในสิ่งนั้น คือไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ที่ท่านจะไม่อยู่กับเราตลอดไป วันหนึ่งท่านก็จะจากเราไป เพราะสังขารร่างกายนี่มันเปลี่ยนแปลง ชรา ชำรุดทรุดโทรม ร่างกายของมนุษย์นี่เปลี่ยนแปลงทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็เปลี่ยนหายใจออกก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปสู่ความแตกดับทั้งนั้น ไม่มีร่างกายของคนใดที่จะคงทนถาวร อยู่ได้ตลอดกาลนาน มีความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แล้วผลที่สุดแตกดับไป นั่นเป็นเรื่องของธรรมชาติ แม้ไม่มีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียน มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องอย่างนั้นแล้วก็ต้องแตกดับไปตามเรื่องอย่างนั้น แต่ว่า มันไม่ได้เป็นเพียงเท่านั้นกฏธรรมชาติมันมีอยู่แล้วคือการไหลเวียน เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ว่ายังมีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียนร่างกายอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าว่า โรคนิทฺธํ ร่างกายนี้ เป็นเรือนโรค เป็นที่อาศัยของโรคนานาชนิด ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นมันเป็นตัวจุลินทรีย์ตัวเล็กๆ ลอยฟ่องอยู่ในอากาศ หายใจเข้าไปทางจมูกบ้าง ติดเข้าไปกับอาหารบ้าง มาเกาะที่ร่างกายของเราแล้วมันเจาะใชชอนเข้าไปในร่างกายไปยึดเอาร่างกายของเราเป็นที่อยู่อาศัย ร่างกายของมนุษย์นี่เป็นเรือนของโรคแท้ๆ

    ******

    ทำไม คนเราจึงเสียดายคนที่ตายไป ไม่ใช่เสียดายเรื่องคนตาย แต่ว่าเราเสียดาย ความงามความดีนั่นเอง เพราะว่าคนนั้นเป็นผู้มีความดี เรารักความดีเราเสียดายความดี เราอยากจะให้ความดีอยู่ต่อไป แต่ถ้าเรามานึกถึงว่าความดีนั้นไม่ได้ตาย ตายแต่คนที่ใช้ความดี เมื่อคนนั้นตายไปความดีก็ไม่ได้ตาย เราจะไปเสียใจอะไร เพราะร่างกายนี้เป็นของประสม เป็นของปรุงแต่ง ที่พระท่านเรียกว่า "สังขาร" เราสวดมนต์ตอนท้ายว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารคือร่างกายจิตใจ รูปธรรม นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา เราว่ากันบ่อยๆ อย่าเพียงแต่ว่าเฉยๆ ต้องเอามาคิดนึกตรึกเตือนจิตสะกิดใจไว้บ่อยๆ เพื่อให้เกิดปัญญา แล้วเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เราจะได้ปลงตกได้ว่า เรื่องธรรมดาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เราหนีจากสิ่งนี้ไปไม่พ้น จะไปนั่งกลุ้มอกกลุ้มใจเรื่องอะไร เศร้าโศรกเสียใจทำไม ควรจะคิดทำอะไรๆที่เป็นประโยชน์ต่อไป เช่นคุณพ่อคุณแม่เราถึงแก่กรรมไป เราก็คิดว่าควรจะทำอะไรเป็นเครื่องสนองบุญคุณของท่านทั้งสองนั้น อันจะเป็นประโยชน์เป็นความสุขต่อไป หรือว่าเราควรจะรับสิ่งใดของท่านไว้

    ******

    คนเราที่เกิดมาแล้วต้องจากกันทั้งนั้น ต้องตายทั้งนั้น เมื่อก่อนนี้เรามีพ่อแม่ มีคุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย เดี๋ยวนี้ปู่เราไปไหนแล้ว ทวดเราไปไหนแล้ว ย่าเราไปไหน ยายเราไปไหน ถ้าคิดดู อ้อ ท่านไปแล้ว ไปก่อนแล้ว ปู่ทวดไปก่อน แล้วปู่ตาไป ย่ายายไป พ่อแม่เราก็ไป สามีเราก็ไป ภรรยาเราก็ไปกันโดยลำดับ คนอื่นเขาไปกันแล้ว วันหนึ่งเราก็ต้องไป แต่เวลานี้ยังไม่ไป เพราะร่างกายมันยังมีปัจจัยเครื่องปรุงเครื่องแต่งอยู่ ยังพออยู่ในโลกมนุษย์ไปได้

    ******

    คนเราเวลาเกิดไม่ได้เอาอะไรมา เวลาไปก็ไม่ได้เอาอะไรไป สิ่งทั้งหลายที่เราได้ใช้ได้กินอยู่ในชีวิตประจำวันนี้ ถือว่าเป็นของยืมมาทั้งนั้น ยืมมาชั่วคราว ยืมแล้วต้องส่งคืนเอาไปไม่ได้ พอเราจะไปก็ส่งคืนเขา ทรัพย์สมบัติก็ส่งคืนธรรมชาติ ร่างกายก็ส่งคืนธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นเนื้อแท้ เรานึกอย่างนั้น ใจก็ไม่ยึดมากเกินไป มีทรัพย์สมบัติก็ใช้ไปตามหน้าที่ บำรุงศาสนา บำรุงสาธารณกุศล อะไรพอจะช่วยได้ก็ช่วยไปตามเรื่อง ใช้สมบัติให้เป็นประโยชน์แก่ตัวแก่ท่านตามสมควรแก่ฐานะ พอถึงบทที่เราจะจากไป เราก็อย่าไปอาลัยอาวรณ์ ว่าเออ เสียดายสิ่งนั้น เสียดายสิ่งนี้ ไม่เข้าเรื่องเป็นทุกข์เปล่าๆ

    ความพลัดพรากจากของชอบใจเป็นทุกข์ เพราะว่าเราไม่ได้พิจารณา แต่ถ้าเราได้พิจารณาแก้ไขไว้ ความทุกข์ในเรื่องนั้นก็จะไม่เกิดมีขึ้น อันนี้เป็นการปฏิบัติชอบอันหนึ่ง

    ******

    การตายในขณะเป็นอยู่ เป็นการตายที่ร้ายแรงกว่า การตายของคนตายจริงๆ เพราะคนตายจริงๆ ไม่ให้โทษแก่ใคร แต่คนตายยังเป็นอยู่ เพราะขาดคุณความดีนั้น เป็นภัยต่อสังคมมาก จึงเป็นตายที่น่ากลัวโดยแท้ ชีวิตที่ต้อง การอยู่อย่างคนเป็นจึงต้องมีธรรมะประจำใจ

    ******

    ความตายทางกายไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ว่าความตายทางใจเป็นเรื่องสำคัญ คนที่มีความตายทางกายมันก็จบฉากกันไปตอนหนึ่ง แล้วก็เอาไปเผาที่ป่าช้า ส่วนคนที่ตายทางจิตนั้น มันไม่อย่างนั้น แต่ยังมีชีวิตอยู่เดินได้พูดได้ ยังก่อกรรมทำเข็ญให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน แก่บุคคลได้อยู่ เพราะฉะนั้น คนที่ตายทางจิต จึงเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงแก่มนุษย์ทั่วๆไป เราจึงควรกลัวสิ่งที่เรียกว่าทำให้เราตายใน ทางจิตใจ

    ไม่ต้องกลัวสิ่งที่ทำให้เราตายในทางร่างกาย ความกลัวในสิ่งที่ทำให้เราตายทางจิตใจนั้น ก็ไม่ใช่กลัวอะไรอื่นไกล แต่กลัวความคิดชั่ว ที่มันเกิดขึ้นในจิตใจของเราเอง มันทำลายตัวเรา มันส่งเราไปสู่ที่ทุกข์ที่ยาก ทำให้เกิดปัญหาแก่ชีวิตด้วยประการต่างๆ จึงควรจะสนใจในการที่จะไม่ให้จิตใจของคนตายไปจากคุณงามความดี แต่ควรจะได้ส่ง เสริมสนับสนุนให้จิตใจของตน ให้มีคุณธรรมประจำจิตใจอยู่ตลอดเวลา อันคนเราที่จะมีหลักธรรมประจำจิตใจอยู่เสมอนั้น ก็ต้องมีความภักดีต่อสิ่งที่เป็นหลักทางใจ จึงเป็นหัวใจสำคัญ ในการปฏิบัติธรรมะในทางพระศาสนา

    ******

    คนเราเวลาตายไปก็หมดเรื่องตอนหนึ่งของชีวิต ตายไปแล้วอะไรๆ ก็ทิ้งไว้ในโลกต่อไป เพราะเราทำเพื่อให้แผ่นดินนี้ไม่ใช่เพื่อจะเอาไป ทรัพย์สินเงินทองไม่มีใครเอาไปได้ รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ข้างหลังก็ได้ประโยชน์แก่คนข้างหลังต่อไป ไม่ใช่ทำเพื่อเรา ถ้าทำเพื่อเราก็คิดผิด แต่เราทำเพื่อส่วนรวมเพื่อชาติบ้านเมือง
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,674
    ค่าพลัง:
    +51,948
    *** สิ่งที่ตายที่ดับ กับ สิ่งที่ไม่ตายไม่ดับ ****

    ศาสนาพุทธ...สอนให้คนเข้มแข็ง
    หลวงพ่อ...เคยเป็นที่พึ่ง
    หลวงพ่อ....ไปแล้ว
    แต่...พระธรรม ยังอยู่
    คำสอน...ยังคงอยู่
    สิ่งที่ทำไปแล้ว...ยังอยู่ ไม่ตาย ไมสูญสลาย

    ต่อไป...เราต้องหันมาพึ่ง "พระธรรม"
    พึ่ง "หลักสัจจะธรรม" ให้มากขึ้น

    สุดท้ายแล้ว
    เราทุกคน...ต้องพึ่ง "ผลการกระทำ" ที่ได้ทำไปแล้ว
    ตน จึงเป็นที่พึ่งแห่งตน

    ค้นหา...หลักสัจจะธรรม
    คือ... ค้นหา ผลการกระทำที่ไม่ตาย ไม่สูญสลาย

    จริงจังในการทำความดี...ด้วย
     
  6. wassawas

    wassawas Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +98
    กราบลาหลวงปู่ขอรับ

    กราบลาหลวงปู่ ผู้มีคุณแก่สัตว์โลกทั้งหลาย
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ในหลวงทรงรับสรีระสังขาร'หลวงพ่อปัญญา'ในพระบรมราชานุเคราะห์100วัน

    โดยทีมข่าว INN News 11 ตุลาคม 2550 17:16:45 น.



    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับ "หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ" ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์เป็นเวลา 100 วัน ขณะ ศิษยานุศิษย์ยังเดินทางร่วมลงนามไว้อาลัยไม่ขาดสาย

    พระเทพปริยัติเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ได้เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณารับสรีระสังขาร หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์เป็นเวลา 100 วัน ขณะเดียวกันยังได้ฝากถึงญาติโยมและพุทธศาสนิกชน หากจะนำพวงรีดมานมัสการสรีระสังขารหลวงพ่อปัญญา ให้เปลี่ยนเป็นเงินเพื่อนำไปบริจาคการกุศลแทนจะดีกว่า

    อย่างไรก็ตามเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีต ส.ว.กทม.ได้เดินทางมาลงนามไว้อาลัยและเข้ากราบนมัสการสรีระสังขารของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ด้วยความเคารพ แล้วจึงเดินทางกลับ
     
  8. poramase

    poramase เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +592
    อาทิตย์ก่อน อยู่ๆก็มีความคิดอยากนำวีดีโอรายการ คนค้นตน ที่ได้มาจากคุณแม่ได้ซักสองเดือนแล้วมาเปิดดูเรื่องราวของหลวงพ่อปัญญา ไม่นึกเลยว่าอาทิตย์นี้จะเป็นอาทิตย์สุดท้ายของท่าน ในฐานะที่เคยไปเรียนโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่วัดหลวงพ่อ และเคยได้เฝ้าหลวงพ่อใกล้ ๆ ผมขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อปัญญา สำหรับธรรมมะที่หลวงพ่อได้สอนสั่ง ขอกราบลาหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้ายครับ
     
  9. Catt Bewer

    Catt Bewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,768
    ค่าพลัง:
    +16,673
    ทรงรับเป็นเจ้าภาพ ทุกขั้นตอน พิธีศพ"ท่านปัญญา"

    ตั้งแต่สวดถึงออกเมรุ ปีติพระกรุณา"ในหลวง" เคลื่อนย้ายสังขารวันนี้ ให้ศิษย์ร่วมสรงน้ำศพ



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    กราบศพ- พระพยอม กัลยาโณ เดินทางมากราบศพหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ที่บรรจุอยู่ในโลงศพปรับอุณหภูมิ ที่ ร.พ.ชลประทาน โดยหลวงพ่อปัญญากับพระพยอม ต่างเป็นพระชื่อดังที่เป็นเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่จ.นนทบุรี ด้วยกัน เมื่อ 11 ต.ค.

    </TD></TR></TBODY></TABLE>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์พิธีศพหลวงพ่อปัญญานันทะ เป็นอเนกประการ ทั้งพระราชทานพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมรวม 7 คืน การบำเพ็ญพระราชกุศล 7 วัน , 50 วัน , 100 วัน รวมทั้งบำเพ็ญพระราชกุศลออกเมรุพระราชทานเป็นกรณีพิเศษ โดยพระราชทานหีบพร้อมเครื่องสุกำศพ,พร้อมดอกไม้ประดับศพ เมรุ ดอกไม้จันทน์แก่แขกที่มาร่วมพิธี,ผ้าไตรพร้อมจตุปัจจัยถวายพระสงฆ์ ลุ้งสำหรับใส่อังคาร น้ำเลี้ยงพระสงฆ์และแขกที่มาร่วมงานทั้งหมด กำหนดเคลื่อนศพจากโรงพยาบาลไปตั้งบำเพ็ญกุศลถายในวัดชลประทานฯวันนี้ คณะศิษย์วอนงดพวงหรีดแต่ให้บริจาคเงินเพื่อนำไปสร้างโบสถ์กลางน้ำที่มหาจุฬาฯ วิทยาเขตวังน้อยแทน

    เมื่อวันที่ 11 ต.ค. นายมนตรี บำรุง ผอ.ส่วนกิจการคณะสงฆ์ สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า สำนักพระราชวังได้ทำหนังสือแจ้งกลับมายังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ศพ พระพรหมมังคลาจารย์ หรือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ไว้อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ 7 วัน, 50 วัน, 100 วัน พร้อมกันนี้ พระราชทานพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม 7 คืน และพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ ในวันที่ 12 ต.ค.

    นางจุฬารัตน์ บุณยากร ผอ.สำนักงานพระพุทธ ศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เปิดเผยว่า นอกจากนี้ สำนักพระราชวัง ยังได้ทำหนังสือแจ้งกลับมายังสำนักพุทธฯด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ศพพระพรหมมังคลาจารย์ ดังนี้ 1.พระราชทานพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม กำหนด 7 คืน 2.การบำเพ็ญพระราชกุศล 7 วัน , 50 วัน , 100 วัน 3.บำเพ็ญพระราชกุศลออกเมรุพระราชทาน พร้อมทั้งพระราชทานสิ่งของ ได้แก่ หีบพร้อมเครื่องสุกำศพ,พร้อมดอกไม้ประดับศพ เมรุ ดอกไม้จันทน์แก่แขกที่มาพระราชทานเพลิงศพ,ผ้าไตรพร้อมจตุปัจจัยถวายพระสงฆ์บังสุกุลก่อนเคลื่อนศพ,พระนำศพ พระบังสุกุลก่อนพระราชทานเพลิงศพ,พระสามหาบ (พระเก็บกระดูก),จตุปัจจัยถวายพระสงฆ์หน้าไฟ,ภัตตาหารถวายบรรจุปิ่นโตถวายพระพระราชทาน,ลุ้งสำหรับใส่อังคาร, น้ำเลี้ยงพระสงฆ์และแขกที่มาร่วมงานทั้งหมด โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราช ทานเป็นกรณีพิเศษ ส่วนโกศแปดเหลี่ยม น้ำหลวงสรงศพ สวดพระอภิธรรม 3 คืน ไตรครอง 1 ไตร เป็นสิ่งที่ต้องได้รับพระราชทานตามระดับชั้นสมณศักดิ์อยู่แล้ว

    ด้านพระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม(มส.) กล่าวว่า ในวันที่ 12 ต.ค. คณะกรรมการมหาเถรสมาคม จะไปร่วมพิธีที่วัดชลประทานฯ ตั้งแต่เช้า และในเวลา 17.00 น. สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จะเดินทางไปร่วมพิธี นอกจากนี้ กรรมการมหาเถรสมาคม จะรับเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลด้วย 1 วัน ส่วนจะเป็นวันใด ต้องหารือกับทางวัดชลประทานฯ ก่อน

    สำหรับบรรยากาศภายในวัดชลประทานรังสฤษฏ์ พระภิกษุ และสามเณรลูกวัดต่างจัดเตรียมการทำความสะอาดและตกแต่งศาลาขจรประศาสน์ ที่ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีรดน้ำศพหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ โดยมีพระเทพปริยัติเมธี เจ้าคณะภาค 17 ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ เป็นผู้ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด โดยพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ พร้อมด้วยภริยา ได้เดินทางมาอำนวยความสะดวกในการจัดตกแต่งศาลาด้วย รวมทั้ง มี "ถั่วแระ เชิญยิ้ม" นายกสมาคมตลกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยศิลปินตลกอีกหลายคน ได้อาสาเข้ามาช่วยงานกันด้วยจิตศรัทธา

    ถั่วแระ กล่าวว่า ตามปกติ หากว่างจากงานแสดงตลก จะมาที่วัดชลประทานฯ เป็นประจำ ไม่ว่าจะมาทำบุญ ฟังเทศน์จากหลวงพ่อ หรือช่วยงานอื่นๆ รักและเคารพในหลวงพ่อ หากมีโอกาส ตนจะอาสาเข้ามาช่วยหลวงพ่อ โดยจะสนับสนุนทั้งในด้านแรงกายแรงใจและกำลังทรัพย์ เมื่อหลวงพ่อมาจากไป เสมือนกับว่าสูญเสียบิดาผู้บังเกิดเกล้าเลยทีเดียว ทราบว่าหลวงพ่อยังห่วงเรื่องการสร้างโบสถ์กลางน้ำให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่จ.พระนครศรีอยุธยา เชื่อว่าคณะศิษยานุศิษย์ทุกคนที่รักหลวงพ่อจะช่วยกันสานปณิธานของท่านให้ลุล่วงไปได้อย่างแน่นอน

    พระเทพปริยัติเมธี เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมในเรื่องของสถานที่จัดงานศพว่า ไม่มีปัญหา สามารถทันเสร็จตามกำหนดอย่างแน่นอน ด้วยทุกคนรักและศรัทธาในหลวงพ่อ ต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจกันอย่างไม่ย่อท้อ ส่วนการประสานงานอำนวยความสะดวกในเรื่องของแขกที่มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทางวัดได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร จ.นนทบุรี ทั้งในด้านการจราจรและด้านการรักษาความปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อย ส่วนกุฏิพำนักของหลวงพ่อ ได้ให้ลูกศิษย์เข้าไปทำความสะอาดแล้ว พร้อมกับสั่งปิดไม่ให้ใครเข้าไปอีก จนกว่างานศพหลวงพ่อจะเสร็จเรียบร้อย

    สำหรับกำหนดการบำเพ็ญกุศลศพหลวงพ่อในวันที่ 12 ต.ค.นั้น พระเทพปริยัติเมธี เปิดเผยว่าเวลา 08.30-09.00 น.จะเคลื่อนศพจากโรงพยาบาลชลประทานไปยังศาลาขจรประศาสน์ วัดชลประทานฯ เวลา 09.00-16.45 น. พระเถรานุเถระ ข้าราชการ พุทธศาสนิกชน ศิษยานุศิษย์ กราบเคารพศพ สรงน้ำ และวางพวงหรีด เวลา 17.00 น. พระราชทานน้ำสรงศพ และเวลา 19.00 น.พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม ถวายเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา เสร็จพิธี

    "มติของทางวัดจะตั้งศพหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ บำเพ็ญกุศล เป็นเวลา 100 วัน และขอให้ประชาชนที่จะส่งพวงหรีดมาร่วมไว้อาลัย เปลี่ยนเป็นร่วมสมทบเงินเพื่อตั้งกองทุน นำไปสืบสานปณิธานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ในโครงการสร้างอุโบสถกลางน้ำ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา" พระเทพปริยัติเมธีกล่าว

    ด้าน พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา ผบก.นนทบุรี กล่าวว่า จะมีการปิดการจราจรบนถนนติวานนท์ ด้านหน้าโรงพยาบาลชลประทานและด้านหน้าวัดชลประทานฯ ในเวลา 08.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ จะไม่ทำให้การจราจรติดขัดนาน และได้มีการประสานงานที่จอดรถสำหรับประชาชนที่จะมาร่วมพิธีพระราชทานน้ำสรงศพ ภายในบริเวณสนามหญ้าโรงเรียนชลประทานวิทยา แต่ยังกังวลว่าหากมีฝนตกต่อเนื่อง จะทำให้พื้นที่จอดรถน้อยลง เพราะจะจอดในบริเวณสนามหญ้าโรงเรียนไม่ได้

    วันเดียวกัน นายวิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะกรรมการบริหารขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) กล่าวถึงการจะเสนอชื่อหลวงพ่อปัญญานันทะ ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ว่า การจะเสนอชื่อหลวงพ่อปัญญาฯ เป็นบุคคลดีเด่นของโลกต่อองค์การยูเนสโกนั้น ผู้ที่จะถูกนำเสนอได้จะต้องมีอายุครบ 100 ปี หรือหากเสียชีวิตไปแล้วจะต้องรอให้ครบรอบวันเกิดของบุคคลคนนั้นให้ครบ 100 ปี และต้องทำเรื่องเสนอต่อยูเนสโกล่วงหน้า 2 ปี ก่อนที่ผู้ที่จะถูกเสนอชื่อจะมีอายุครบ 100 ปี ดังนั้น หากจะเสนอชื่อหลวงพ่อปัญญาฯ จะต้องเสนอชื่อในปี 2552 เพราะหลวงพ่อปัญญาฯ จะมีอายุครบ 100 ปี ในปี 2554 อย่างไรก็ตาม คงต้องศึกษาประวัติของหลวงพ่อปัญญาฯว่า มีผลงานดีเด่นในด้านใดบ้าง เข้าหลักเกณฑ์ของยูเนสโกหรือไม่ เพราะหลักเกณฑ์ไม่ได้ระบุถึงคุณประโยชน์ที่ทำต่อประเทศไทยอย่างเดียว แต่ต้องมีผลต่อประชาคมโลกด้วย และคงจะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลหน้าที่จะต้องตัดสินใจ เพราะหากเสนอไปในช่วงเวลานี้ก็ไม่ได้รับการพิจารณา เพราะยังถือว่าไม่เข้าเกณฑ์

    ด้านนายวิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า มีโอกาสได้กราบนมัสการหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนที่กฎหมายการโอนโรงพยาบาลชลประทานมาอยู่ในการกำกับดูแลของมศว ท่านบอกให้ มศว ช่วยดูแล พัฒนา พร้อมสนับสนุนโรงพยาบาลชลประทานและโรงเรียนชลประทานวิทยา สืบเนื่องจากทั้งโรงพยาบาลและโรงเรียน เป็นแนวคิดของท่านหลวงพ่อ

    "จากความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ได้ศึกษาหนังสือธรรมะของหลวงพ่อ ทำให้เห็นว่าธรรมะของหลวงพ่อปัญญาฯ เป็นพุทธปลอดจากไสยเวท เป็นเนื้อแท้ของธรรมะจริง ๆ คนที่ศึกษาจะสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ท่านไม่ได้เป็นเพียงแค่พระภิกษุเท่านั้น หากแต่ท่านยังเป็นนักการศึกษาผู้ยิ่งใหญ่ สามารถเชื่อมโยงธรรมะเข้ากับทุกเรื่องราวได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคม การเมือง การศึกษา สิ่งแวดล้อม สุขภาพ สันติภาพ และธรรมชาติ การที่ท่านละสังขารทำให้ประเทศไทยสูญเสียนักการศึกษาผู้ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้หลวงพ่อยังทำให้ชาวโลกจำนวนมากได้เรียนรู้แก่นแท้ของศาสนาพุทธ มศวได้ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตแด่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ในสาขาการศึกษา เมื่อ ปี 2532" นายวิรุณ กล่าว

    นายวิรุณ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ มศว กำลังดำเนินการจัดตั้งกองทุนหลวงพ่อปัญญาฯ ขึ้น เพื่อระดมทุนพัฒนาร.พ.ชลประทาน ซึ่งตั้งเป้าว่าจะต้องระดมทุนให้ถึง 100 ล้านบาท นอกจากนี้ จะตั้งศูนย์ศึกษาเผยแพร่พุทธธรรม ให้ชาวพุทธเป็นพุทธศาสนิกชนที่ปลอดไสยเวท คาดว่าศูนย์ฯ ดังกล่าวจะจัดตั้งที่มศว องครักษ์ หรือที่ร.พ.ชลประทาน นอกจากนี้ จะสร้างรูปปั้นเหมือนหลวงพ่อปัญญานันทะ ขนาด 50 เซนติเมตร เพื่อให้ชาวมศว และคนไข้ที่มารักษาในโรงพยาบาลชลประทานและวัดระลึกถึงหลวงพ่อ อยู่เสมอ ทั้งนี้ ได้ให้นโยบายกับทาง ร.พ.ชลประทานอำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้ไปเคารพศพ และสรงน้ำศพในวันที่ 12 ต.ค.นี้

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโรงพยาบาลชลประทาน ปากเกร็ด ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าไปกราบสักการะศพหลวงพ่อปัญญาฯถึงภายในห้องจินดาสงวน ซึ่งเป็นห้องที่เก็บศพของหลวงพ่อไว้ในโลงปรับอุณหภูมิอย่างดี โดยผู้ที่ต้องการจะเข้าไปกราบสักการะศพของหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด จะต้องลงชื่อเพื่อเรียงลำดับคิวในการเข้าสักการะครั้งละไม่เกิน 5 คน ตามที่โรงพยาบาลกำหนดไว้ ท่ามกลางการดูแลจัดระเบียบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีประชาชนเข้าคิวทยอยต่อแถวเพื่อเข้าสักการะศพอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งวัน

    เมื่อเวลา 10.00 น. นายเชิดวิทย์ ฤทธิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีพร้อมด้วยนางจริยาภรณ์ ฤทธิประศาสน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนนทบุรี นายวิชัย บรรดาศักดิ์ นายกเทศมนตรีนครปากเกร็ด พร้อมด้วยนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดนนทบุรี ได้เดินทางมากราบสักการะศพ

    นายเชิดวิทย์ กล่าวว่า หลวงพ่อปัญญานันทะนับได้ว่าเป็นผู้ทำประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เป็นบุคคลตัวอย่างที่ควรยกย่อง สรรเสริญ เพราะท่านเป็นแบบอย่างอย่างที่ดี และจะอยู่ในความทรงจำของพุทธศาสนิกชนตลอดไป ดังนั้นการสูญเสียท่านไปไม่ใช่แต่เฉพาะคนนนทบุรีเท่านั้นที่สูญเสียบุคคลสำคัญไป แต่เป็นการสูญเสียปูชนียบุคคลที่สำคัญของประเทศด้วย ในส่วนของความช่วยเหลือจากทางจังหวัดนั้น ทางจังหวัดจะเข้าไปดูแลให้การสนับสนุนในเรื่องต่างๆ ที่ทางวัดต้องการความช่วยเหลือในการจัดงานพิธีศพก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ และทางจังหวัดจะปรึกษาหารือดำเนินการสร้างรูปปั้นหลวงพ่อปัญญานันทะ ซึ่งถือเป็นเสาหลักของจังหวัดนนทบุรี ประดิษฐานให้ประชาชนได้กราบสักการบูชาต่อไป

    ด้าน พ.ต.อ.วสันต์ บุญเจริญ ผกก.สภ.อ.ปากเกร็ด กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกในเส้นทางจราจรที่จะมีการเคลื่อนย้ายศพจากโรงพยาบาลชลประทานไปยังวัดชลประทานในช่วงเช้าของวันที่ 12 ต.ค.ว่า ได้ประชุมวางแผนในการ เตรียมอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งเตรียมกำลังรักษาความสงบภายในวัดประมาณ 300 นาย เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลรักษาความสงบในพิธีสรงน้ำศพที่จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าสักการะอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าและตลอดทั้งวัน

    เมื่อเวลา 18.00 น. พระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว พร้อมด้วยคณะกรรมการวัดสวนแก้วได้เดินทางมาเคารพศพ หลวงพ่อปัญญานันทะ โดยพระราชธรรมนิเทศ ได้ลงนามไว้อาลัยในสมุดที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้ ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 4 เพื่อเข้าไปกราบศพภายในห้องจินดาสงวน พร้อมทั้งก้มมองดูศพหลวงพ่อปัญญานันทะผ่านช่องกระจกของโลงเย็น

    พระราชธรรมนิเทศ กล่าวว่าอาตมาคงจะไม่มาร่วมงานสวดศพ เพราะติดจำพรรษาอยู่ที่วัดสวนแก้ว สาขาบุรีรัมย์ แต่คงจะมีสักวันที่อาตมาจะรับเป็นเจ้าภาพสวดศพ และก็เทศน์ด้วย และต่อจากนี้ไปก็คงจะเทศน์ให้มากขึ้นและต้องการเจริญรอยตามคุณงามความดีให้ได้มากที่สุดอาจจะไม่เทียบเท่าผงฝุ่น "การสูญเสียหลวงพ่อปัญญาฯไป ถือได้ว่าเป็นการสูญเสียแม่ทัพธรรมระดับแนวหน้าของศาสนาพุทธไป จะมีพระสงฆ์องค์ไหนที่กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ ในสิ่งที่ถูกต้องเหมือนหลวงพ่อปัญญาฯอีกแล้วไม่ เพราะท่านเป็นพระสงฆ์ที่กล้าทะลวงฟันกิเลสสังคม ก่อนหน้านี้อาตมาเคยพูดคุยบอกกับหลวงพ่อปัญญาฯไว้ว่า หากมีเวลาว่างๆ จะมารับท่านไปดูศูนย์ปฏิบัติธรรมสาขาบุรีรัมย์ ที่อาตมากำลังก่อสร้างอยู่ แต่ไม่ทันที่จะได้รับหลวงพ่อไป ท่านก็จากไปเสียก่อนแล้ว"

    พระพยอม กล่าวต่อว่า อาตมาพยายามที่อยากจะทำตามแนวทางของหลวงพ่อ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ได้ขี้ฝุ่นของท่านเลย กระดูกมันคนละเบอร์ ทำให้นึกถึงตอนสมัยแรกๆ ที่อาตมาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดชลประทานใหม่ๆ ก่อนที่จะเริ่มเทศน์เป็น หลังจากที่เทศน์เป็นแล้ว หลวงพ่อปัญญานันทะมาบอกกับอาตมาว่า ในเมื่ออาตมาสามารถที่เทศน์สอนคนได้แล้วและเจอทางที่ถนัด ก็ควรที่แยกกันไปตามทางเพื่อทำงานช่วยเหลือสังคมกันตามที่ถนัด ไม่ควรเสียเวลาที่จะช่วยเหลือคน อาตมาจึงเริ่มออกเดินทางโดยนับถือแนวทางปฏิบัติของท่านตั้งแต่นั้นมา

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 12 ต.ค. เวลาประมาณ 08.00 น. ทางคณะลูกศิษย์และกรรมการวัดจะเคลื่อนศพไปตั้งภายในอาคารขจรประศาสน์ โดยจะใช้รถบรรทุก 6 ล้อ ตกแต่งด้วยดอกไม้ คาดว่าน่าจะมีประชาชนเดินทางมาร่วมในขบวนแห่ศพกันเป็นจำนวนมาก

    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...01ERXdNVEV5TVRBMU1BPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=
     
  10. หมูพรครูบา

    หมูพรครูบา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2007
    โพสต์:
    4,941
    ค่าพลัง:
    +4,300
    ดูข่าวท่านพระพยอมท่านกล่าวไว้ว่าหลวงพ่อท่านเป็นดั่งเหมือน "หลวงพ่อไม้บรรทัด" ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับท่านเช่นกันครับ

    ขอกราบไว้อาลัยหลวงพ่อมา ณ โอกาสนี้ด้วยคับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...