น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดยเตขปญฺโญ ภิกขุ

    จะเชื่อได้อย่างไร?<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    พุทธศาสนาเป็นศาสนาประเภทที่สอนให้ใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อคือพระพุทธเจ้าจะสอนไม่ให้เชื่อจากการฟังมา,จากเห็นเขาทำตามๆกันมา,จากคำล่ำลือ,จากตำรา, จากเหตุผลตรงๆ(ตรรกะ) ,จากเหตุผลแวดล้อม(ปรัชญา) ,จากที่มันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่,จากสามัญสำนึกของเราเอง, จากบุคคลที่ดูภายนอกแล้วน่าเชื่อถือ, และแม้จากครูอาจารย์ของเราเอง ต่อเมื่อได้รับรู้เหลักการใดมาก็ให้เอามาพิจารณาดูก่อนถ้าเห็นว่ามีโทษก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเห็นว่าไม่มีโทษและมีประโยชน์ก็ให้เอามาทดลองปฏิบัติดูก่อนถ้าปฏิบัติแล้วทุกข์ไม่ดับลงจริงก็ให้ละทิ้งอีกเหมือนกันต่อเมื่อทดลองปฏิบัติดูแล้วได้รับผลเป็นความดับลงของทุกข์จริงจึงค่อยเชื่อและปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป
    <o:p></o:p>
    หลักความเชื่อนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เราเกิดความเชื่อที่งมงายที่จะทำให้เราต้องสูญเสียโอกาสที่จะได้พบกับการปฏิบัติที่ถูกต้องถ้าเราเชื่อมั่นในคำสอนที่ผิด เราก็อาจจะต้องเสียโอกาสไปตลอดทั้งชีวิตเลยก็ได้ดังนั้นเราจึงควรใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อโดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะกล่าวหาว่าเนรคุณเพื่อจะได้ค้นพบวิธีการดับทุกข์ที่ถูกต้องกันต่อไป
    <o:p></o:p>
    ความจริงแล้วการศึกษาและปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ตามหลักพุทธศาสนานี้ก็เปรียบเหมือนกับการค้นคว้าหาความจริงในเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์นั่นเองคือการสอนของพระพุทธองค์นี้ก็เป็นเพียงแค่การชี้แนะแนวทางให้เท่านั้นไม่ได้บังคับว่าจะต้องเชื่อเสมอไป ผู้ที่ศึกษาก็เพียงนำหลักการนี้ไปทดลองปฏิบัติดูถ้าได้ผลก็ให้ปฏิบัติต่อไป แต่ถ้าไม่ได้ผลก็ให้ละทิ้ง
    <o:p></o:p>
    ถ้าเราศึกษาและทดลองปฏิบัติตามวิธีการหรือแนวทางต่างๆมาจนหมดแล้วแต่ก็ไม่ได้ผลก็ให้เราเปลี่ยนมาค้นคว้าศึกษาจากจิตใจของเราเองด้วยการทดลองปฏิบัติตามหลักการที่เราคิดค้นขึ้นมาเองถ้าหลักการใดใช้ไม่ได้ผลก็ให้ทดลองใช้หลักการใหม่เรื่อยไปจนกว่าจะค้นพบหลักการที่สามารถดับทุกข์ได้จริงก็ให้ยึดถือหลักการนั้นมาปฏิบัติเรื่อยไปซึ่งนี่คือการปลดปล่อยสติปัญญาของเราให้เป็นอิสระโดยไม่เป็นทาสทางสติปัญญาของใครแม้จากพระพุทธเจ้าเองก็ตาม
    <o:p></o:p>
    จากหนังสือ "ดับทุกข์โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์"
    www.whatami123.com/web-w/hatami/for/for6.html
    จากเวป ฉันคืออะไร?
    www.whatami123.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  2. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตขปญฺโญ ภิกขุ

    อะไรคือสิ่งสูงสุดที่เราควรเคารพเชื่อฟัง?<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>​

    พุทธศาสนาเป็นศาสนาประเภทที่นับถือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  3. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตขปญฺโญ ภิกขุ

    กฎสูงสุดนี้บอกความลับอะไรกับเราบ้าง?

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>




    กฎสูงสุดนี้ได้บอกความลับของธรรมชาติให้เราได้รู้อีกหลายอย่างคือ
    <o:p></o:p>
    ๑. สิ่งที่เป็นเหตุและปัจจัยแต่ละอย่างๆก็ล้วนเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยอื่นๆมาก่อนแล้วทั้งสิ้น
    <o:p></o:p>
    ๒. ทุกสิ่งล้วนมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม
    <o:p></o:p>
    ๓. ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหลายนี้ล้วนไม่มีสภาวะที่จะมาเป็นตัวตนของตนเองจริงๆ
    <o:p></o:p>
    ๔. สิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหลายนี้จะไม่สามารถตั้งอยู่อย่างถาวร(คือเป็นอมตะหรือไม่ตาย) หรือตั้งอยู่ชั่วนิรันดรได้
    <o:p></o:p>
    ๕. สิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหลายนี้ล้วนต้องทนอยู่ด้วยความยากลำบาก หรือทรมาน มากบ้างน้อยบ้างทั้งสิ้น
    <o:p></o:p>
    จากข้อ ๑ และข้อ ๒ นั้นก็บอกให้เรารู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหลายนั้นล้วนมีการปรุงแต่งผลักดันกันต่อไปเป็นทอดๆ คือ เมื่อมีเหตุจึงมีผล และผลนี้ก็ยังมาเป็นเหตุหรือเป็นปัจจัยให้เกิดผลใหม่ขึ้นมาได้อีก ซึ่งก็เท่ากับว่ามันเป็นเหตุ-เป็นผล เป็นเหตุ-เป็นผลผลักดันกันต่อไปเรื่อยๆเหมือนลูกโซ่อย่างยุ่งเหยิงและสลับซับซ้อน อันแสดงให้เข้าใจได้ว่า ทุกสิ่งในโลกหรือในจักรวาล ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่ทั้งสิ้น มากก็น้อย ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ซึ่งการพิจารณาเช่นนี้จะทำให้เราเป็นคนมีเหตุมีผล เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ดี และไม่เชื่ออะไรงมงายไร้เหตุผล(อย่างเช่นเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องโหราศาสตร์ เรื่องลึกลับไกลตัวทั้งหลาย เป็นต้น)
    <o:p></o:p>
    ส่วนข้อ ๓ ก็หมายถึงว่า เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหลายนั้น มันต้องอาศัยทั้งเหตุและปัจจัย เพื่อมาปรุงแต่งให้เกิดมันขึ้นมา ดังนั้นจึงเท่ากับว่าเราจะค้นหาสภาวะที่จะมาเป็นตัวตนจริงๆของมันไม่มีเลย เราจะพบก็แต่เหตุและปัจจัยที่มาปรุงแต่งมันขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งก็ทำให้สรุปได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหลายนี้ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง(ที่รียกว่าอัตตา) มันจะเป็นก็เพียงสิ่งที่เรียกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  4. Greenshade

    Greenshade เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +103
    เป็นสมาชิกเวปนี้ แบบเงียบๆ มานาน ขอพูดซักหน่อย

    --ท่าน เตขปญฺโญ ภิกขุ เรื่องที่ ท่านว่าหลักคำสอนบางอย่างในศาสนาพุทธเป็นเรื่องงมงายไร้เหตุผล เป็นเรื่องพิสูจไม่ได้ ขัดแย้งกับหลักวิทยาศาสตร์ ถ้าท่านเห็นว่านักวิทยาศาสตร์มีปัญญาดีกว่าพระพุทธเจ้า ผมก็จะขอนิมนต์ท่าน ไปเป็นสาวก ของพวกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย แทนสาวกของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วสึกจากความเป็นพระเสีย ไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ อย่ามัวมาห่มผ้าเหลืองหลอกคนอยู่เลย แล้วจากที่ท่านกล่าวมา เรื่องที่พระพุทธเจ้าสอน แล้ว พิสูจไม่ได้นั้นไม่มี ถ้าท่านจะเอาแค่ สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ผมก็เสียดายแทนท่านจริงๆ ที่โชคดีได้บวชในพุทธศาสนา แล้วได้ไปแค่นั้น

    --ที่ท่านว่าไม่ให้เชื่อตามพระไตรปิฏก แล้วท่านเอาอะไรมาเป็นหลักในการสอนคน ท่านบิดเบือนพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเพราะแค่ต้องการให้มันเป็นสากลเข้าใจง่าย มีพวกฝรั่งชอบ แต่ไม่ตรงความจริง ผมก็ขอบอกว่า ถ้าท่านยังไม่เปลี่ยนความคิด ก็ขอเชิญท่านไปนรกคนเดียว อย่าพาคนอื่นให้ลงไปตามท่านกับอาจารย์ของท่านเลย

    --หลักธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องละเอียด อย่าใช้ปัญญาที่ยังหยาบ ของท่านเป็นเครื่องตัดสินเลย พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปฏิบัติตามที่ท่านสอนจนเกิดผลแล้วจึงเชื่อตาม ไม่ใช่ให้อวดอุตริ เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างตาม เหตุผลของตัวเอง ไม่ได้ให้เอาไปเปรียบเทียบกับหลักการที่นักวิทยาศาสตร์คิดขึ้น

    --ที่ท่านมีความเห็นเป็นอย่างนี้คงเป็นเพราะประโยคที่ท่านกล่าวว่า
     
  5. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ขอให้ท่าน เตชปัญโญ
    เปิดหูเปิดตา ดูนักวิทยาศาสตร์ ทั้งไทยและฝรั่ง ทำวิทยานิพนธ์ ค้นคว้าศึกษา ทำรายงาน ตามหลักวิชาการดูบ้าง

    เรื่องเด็กระลึกชาติได้ ตายแล้วเกิด

    เผื่อจะเชื่อนักวิทยาศาสตร์

    เห็นเชื่อดีนักหนิ นักวิทยาศาสตร์ถูกอย่างนั้น ถูกอย่างนี้

    (เชื่อนักวิทยาศาสตร์ ก็ควรไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่ควรมาโกนหัว ห่มผ้าเหลือง ซึ่งเค้ามีไว้สำหรับคนที่เชื่อตามพระพุทธเจ้าเท่านั้น)

    จะได้ไม่เชื่อ แค่ตำราพุทธทาส

    อย่าลืมนะคำว่าพุทธทาส ไม่ใช่ พระพุทธเจ้า

    (เลือกเอาว่าจะเป็นสาวกพระพุทธเจ้า หรือจะเป็นสาวกพุทธทาส)

    หากอยากจะหาแนวทางปฏิบัติของตัวเอง
    กรุณา อย่าเอาผ้าเหลืองมาห่ม หลอกให้ชาวบ้านเข้าใจผิด
    คิดว่าท่านเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ที่เค้าเรียกว่าเถน
    คนที่เขาบวชเข้ามาในพระศาสนาคือ ต้องการพิสูจน์ตามธรรมคำสอน
    ตัดกิเลสไปให้ถึงซึ่งพระนิพพาน ไม่ใช่มาตั้งท่าจับผิดพระธรรม
    แล้วอย่างนี้สังโยชน์ข้อที่ว่า วิจิกิจฉา ลังเลสงสัยในพระรัตนไตรจะว่ายังไง

    เอ้าไปดูกันซะ
    http://blog.palungjit.org/a33/13031/
    น้องเค้าอุตสาห์หาสิ่งดีๆ มาลงเว็บบล็อก

    (มาวันนี้ขอพูดกันตรงๆ จะได้ไม่งงกันอีก ขออภัยไว้ด้วยหากพูดแทงใจดำใคร)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2007
  6. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +3,069
    กรุณาลืมตาดูโลกให้ทั่วๆ อย่าเพ่งเล็งที่จุดเดียว แล้วยึดไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย

    เอ้าไปดูกันซะ
    http://blog.palungjit.org/a33/13031/
    น้องเค้าอุตสาห์หาสิ่งดีๆ มาลงเว็บบล็อก


    ลืมตาอ่านเสียบ้าง อย่าทำเป็นผู้ทรงฌาน
    หลับตาอ่านแต่หนังสือพุทธทาส
    แล้วมาตั้งท่าเถียงพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้า

    อ่านเสร็จแล้วกรุณาเข้ามาตอบด้วย
    หลายข้อความในนี้ที่ถามท่านไว้
    ท่านไม่เคยตอบเลยก็มี
    (ทีตัวเองถาม แล้วไม่มีคนตอบ ทั้งเหยียบทั้งย่ำ ทั้งด่าหาว่าโง่สารพัด ฉลาดนักไปตั้งศาสนาของตัวเองดีว่า ว่าแต่ว่าจะห่มเขียว หรือห่มแดงดีล่ะ คิดเผื่อไว้บ้างก็ดีนะ เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน มีบวช ก็มีสึกได้ เป็นของไม่เที่ยง เป็นอนัตตาไงล่ะ)

    ปล.
    คุณ Greenshade ทำอารมณ์ผมขึ้นไปด้วยเลย 55555
    หายใจเข้า พุท ............. หายใจออก โธ ..............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2007
  7. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ไหนบอกว่าอย่าเชื่อตำราไง
    ทำไมเชื่อแต่ตำราพุทธทาสล่ะ

    ไหนบอกว่าอย่าเชื่อแม้ครูสอนมาไง
    ทำไมเชื่อแต่ที่พุทธทาสสอนล่ะ

    ไหนบอกว่าอย่าเชื่อแม้โดยตรรกะ
    แล้วทำไมเอาตรรกะมาวัดกันล่ะ
    (วิญญาณ-จิต ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ตรรก ใช้เครื่องวัดได้นะครับ กรุณาอย่าเอาตาชั่งไปชั่งลม)

    พูดไปไม่มีวันจบสิ้นจริงๆ ไม่ได้เกิดประโยชน์แก่ท่านเตชปัญโญสักนิดเลย
    หวังก็เพียงว่า จะเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านท่านอื่นๆ ไม่มากก็น้อยเท่านั้น

    ความจริงน่าจะมีความละอายแก่ใจบ้างก็ยังดี แต่สงสัยเป็นเพราะโดนโมหะครอบงำ อย่างที่คนโบราณท่านเปรียบกับนรกขุมหนึ่งว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว (พูดไปก็คงไม่ฟังอยู่ดีสินะ เพราะไหนๆนรกก็ไม่มีแล้ว จะไปกลัวอะไร้...)
     
  8. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ขอให้ใช้สมาธิ พิจารณาข้อความนี้ โดยอนุโลม ปฏิโลมเถิด ปัญญาย่อมเกิดแก่ท่าน

    [​IMG]

    ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

    อุตตริ แปลผิด ปิดกั้นมรรคผล
    อุตตริ สอนผิด ตกนรกหมกไหม้

    อันดับแรก ทุกขัง คือ ความทนอยู่ไม่ได้
    อันดับสอง อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยงแท้
    อันดับสาม อนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวตนจริง

    ธรรมชาติใดทนอยู่ไม่ได้
    ไม่เที่ยงแท้
    ธรรมชาตินั้นไม่ใช่ตัวตนจริง

    ธรรมชาติใดไม่เที่ยงแท้
    ทนอยู่ไม่ได้
    ธรรมชาตินั้นไม่ใช่ตัวตนจริง

    ธรรมชาติใดไม่ใช่ตัวตนจริง
    ธรรมชาตินั้นทนอยู่ไม่ได้
    ไม่เที่ยงแท้

    ธรรมชาติใดไม่ใช่ตัวตนจริง
    ธรรมชาตินั้นไม่เที่ยงแท้
    ทนอยู่ไม่ได้

    ธรรมชาติใดไม่ใช่ตัวตนจริง
    ทนอยู่ไม่ได้
    ธรรมชาตินั้นไม่เที่ยงแท้

    ธรรมชาติใดไม่ใช่ตัวตนจริง
    ไม่เที่ยงแท้
    ธรรมชาตินั้นทนอยู่ไม่ได้

    จิตมหาบุรุษผู้ฝึกดีแล้ว
    ย่อมไม่เกาะเกี่ยวใน
    ธรรมชาติที่ไม่เที่ยงแท้
    ธรรมชาติที่ทนอยู่ไม่ได้
    และธรรมชาติที่ไม่ใช่ตัวตนจริง

    จิตมหาบุรุษผู้ฝึกดีแล้ว
    ย่อมสูญจากกิเลส อันเป็นข้าศึก
    เข้าถึงบรมสุข อันปราศจากอามิสอยู่
    ไม่มีกาล ไม่มีสมัย ไม่มีการมาการไป
    ถึงที่สุดแห่งธรรม ไม่มีกิจอื่นที่ยิ่งกว่าให้ทำอีก
    มีนิพพาน ปรากฏอยู่แก่ใจนั้น

    ธรรมของพระพุทธเจ้า
    งดงามในเบื้องต้น
    งดงามในท่ามกลาง
    งดงามในที่สุด
    บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ทั้งอรรถะ แลพยัญชนะ

    อโหพุทโธ พระพุทธเจ้าอํศจรรย์จริง
    อโหธัมโม พระธรรมเจ้าอัศจรรย์จริง
    อโหสังโฆ พระสงฆเจ้าอัศจรรย์จริง
    อโห สุขิโต โหมิ
    ขอบรมสุขอันมหัศจรรย์ จงมีแก่ข้าพเจ้าเถิด


    "ธรรมชาติทั้งหลาย มีกายเป็นต้น ยังพอทราบได้ว่า เป็นของไม่เที่ยง, แต่จิตนั้นแม้เกิดจนตาย บางคนก็มิอาจทำให้แจ้งได้"

    "เรื่องจิตนั้น เป็นเรื่องอจินไตย จะถามหาที่มา ที่ไปนั้น ไม่ควรจะคิด"
    พระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสพยากรณ์

    "กายกับจิต เป็นคนละส่วน จิตไม่ได้เกิดเพราะกายเกิด ดับเพราะกายดับ"

    "เมื่อทำสมาธิภาวนา จนถึงที่สุดแล้ว จะเห็นจิตกันทุกคน จะเห็นกายกับจิต แยกกันได้อย่างเด็ดขาด ว่านี่กาย นี่จิต"

    "ก็จิตดวงนี้ เมื่อไม่เกาะกาย มีกำลัง ย่อมสามารถยกจิตดวงนี้ ออกจากกาย เหมือนชักไส้ออกจากหญ้าปล้องฉันนั้น"


    ถ้าหากคุณเตชปัญโญ ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วทำไม่ได้
    ก็ขอให้สึกออกไปเถิด เพราะบวชอยู่กับนับว่าเป็นเหลือบพระศาสนา
    จะบวชหรือไม่ ก็ปฏิบัติตนให้พ้นทุกข์ได้ เพราะทำลายกิเลสทำลายที่ใจ
    ต่อเมื่อหากปฏิบัติตนจนเห็นจริงตามธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้แล้ว
    จึงค่อยบวชใหม่อีกรอบก็ได้ ไม่ว่ากัน จะตามไปส่งข้าวส่งน้ำถึงเกาะสีชังเลย
    ว่าแต่ว่า อย่าเพิ่งรีบดับขันธ์นิพพานไปก่อนก็แล้วกัน​


    BYE BYE
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2007
  9. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตขปญฺโญ ภิกขุ

    อาตมาใคร่อยากถามหน่อยว่า คุณโยมทั้งหลายจะยอมรับหรือไม่ว่า :

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  10. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +3,069
    จบกัน
    Ending
     
  11. pupu_8

    pupu_8 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอด้วยความเข้าใจ

    ความเชื่อต้องมาจาก ปัญญา และสามารถพิจารณาไตร่ตรองได้ด้วยมโนธรรม กรอปทั้งสามารถพิสูจน์ได้ จากการปฎิบัติจริง

    จงดูก่อนถึงข้อความที่กล่าวอ้างเพียงแค่ ผู้เขียนไม่ต้องการให้ผู้ปฏิบัติยึดติด กับความสุข หรือหาคำตอบจากสิ่งที่ยากจะพิสูจน์ และนำจิตใจของตัวเองไปวนเวียนกับสิ่งนั้นๆ แล้วความสงบก็จะเกิดได้ยาก

    ผู้เขียนเป็นผู้ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้พยายามอธิบายสิ่งที่ปฏิบัติแล้วเกิดความสงบขึ้นกับตนเอง โดยต้องการถ่ายทอด

    พระพุทธเจ้าเคยตรัสเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ว่าเปรียบเสมือน เรือข้ามฟาก มิใช่ให้ผู้โดยสารนั้นไปยึดติดกับเรือ หรืออะไรว่าจะมีจริง หรือไม่จริง แต่พระองค์ทรงสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันต่างหาก ซึ่งจะนำมาสู่ความสงบ ทั้ง อริยะสัจจ์ 4 หรือ มรรคมีองค์ 8 ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้แก่ผู้ปฏิบัติ ว่าจะนำมาถึงความสุขและสงบในชีวิต ซึ่งไม่ใช่การตั้งใจจดจ่อกับการหาความุขสงบในชีวิตจนกลายเป็นการยึดติด เมื่อไม่ได้สิ่งนั้น กิเลสก็จะเกิดขึ้น

    ประเด็นของข้อความนี้คงตั้งใจจะบอกแบบนี้
     
  12. ไพลิน

    ไพลิน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +11
    เคยอ่านหนังสือพระพุทธศาสนาของลูกมาก่อน อ่านตั่งแต่ ม.1 -ม. 6 เลย คือเก็ยไว้ทุกเล่ม ไว้ให้น้อง

    โรงเรียนเปลี่ยนสำนักพิมพ์บ้างบางปี จึงรู้ว่าขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่เขียนแบบไม่ค่อยเข้าใจพระพุทธศาสนา
    บางสำนักพิมพ์ก็ดีนะค๊ะ

    มีความเห็นว่า แทนที่จะสอนแบบเด็กๆ เป็นนิทานสอนใจ คติธรรมง่ายๆ ไม่น่าสอนเรื่องยากเกินไป เด็กส่วนใหญ่ก็ได้แต่ท่องจำ
     
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตขปญฺโญ ภิกขุ

    ***คนไทยส่วนใหญ่กลัวความจริงกัน
    ***ถ้าใครแหกคอกก็กลัวถูกโดดเดี่ยว
    ***พอจะเอาเหตุผลจริงๆมาพูดก็รับกันไม่ได้
    ***เอะอะก็จะเอาแต่อำนาจมาข่มขู่กัน ไม่ยอมสอนให้เด็กรู้จักใช้ความคิดอย่างอิสระ
    ***หรือกลัวว่าจะหลอกเอาเงินเขามาใช้สบายๆไม่ได้ง่ายๆเหมือนเก่า
    ***ก็เลยต้องหาทางด่าหรือทำลายความน่าเชื่อถือของคนที่เขามีเหตุผล เพื่อเรียกศรัทธากลับมา<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ***เด็กไทยส่วนใหญ่ทุกวันนี้ใกล้จะกลายเป็นเด็กปัญญาอ่อนกันไปจะหมดแล้ว
    ***ก็ไม่เพราะการปลูกฝังเรื่องไร้สาระ ไร้เหตุผลจากศาสนาส่วนที่ผิดเพี้ยนมิใช่หรือ?
    ***แล้วอย่างนี้ประเทศไทยเมื่อไรจึงจะพัฒนาทัดเทียมอารยะประเทศเขาเสียที
    ***มีแต่ตามก้นเขาอยู่ทุกวันนี้ ต้องซื้อคอมของเขา ซื้อมือถือของเขา ซื้อรถยนต์ของเขา ฯลฯ
    ***ทำไมเราไม่ส่งจตุคามของเราออกไปขายต่างประเทศบ้างล่ะ???จะได้ร่ำรวยมหาศาลเสียที<o:p></o:p>
    ***หรือพวกเครื่องลางของขลัง พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆที่เราโอ้อวดกันนักน่ะ
    ***เห็นเอาแต่เรี่ยรายกันทั่วไปหมดทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ฯลฯ
    ***ให้อะไรกับสังคมกันบ้างซิ อย่างน้อยก็ให้สติปัญญากับเขาบ้าง
    ***ไม่ใช่เอาแต่กดหัวเขาเอาไว้ไม่ให้เงยหน้ามองฟ้ามองโลกกันบ้างเลย<o:p></o:p>
     
  14. art

    art เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +407
    ทู้นี้ดีมาก ไม่เสียเปล่า
    เพราะอ่านมาทุก คห.แล้วทำให้รู้จักใคร่ควร
    ได้ยินแต่คำร่ำลือ ว่าซ้าย ว่าขวา
    ทีนี้รู้แล้ว ที่ไหนควรใกล้ ที่ไหนควรไกล
    การเกิดเป็นมนุษย์ นับเป็นบุญ การเกิดเป็นมนุษย์และพบพระศาสนาพุทธเป็นบุญยิ่งกว่า
    มาจนถึงที่แล้ว ยังจะต้องมีบุญเก่าให้เลือกผิดเลือกถูกอีก เฮ้ออ
    จะได้กินอยู่แล้ว วางอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ ยังหยิบจานผิดจานถูกอีก คนแบบนี้น่าสงสารอย่างสุดหัวใจ
    ยิ่งตอนนี้ส่อเค้าว่าจะให้มีคนประสบเคราะห์กรรมแบบนี้เกิดขึ้นอีก สงสารเพื่อนทุกข์จังเลย

    พุทโธอัปปมาโณ ธรรมโมอัปปมาโณ สังโฆอัปปมาโณ
    (คิดถึงตอนนี้แล้วทำให้ซาบซึ้งพระคุณของพระรัตนตรัยจริง ๆเพราะเรื่องนี้มันเศร้ามาก ๆ)

    หากบวช ความหวังสุงสุดเราก็หวังนิพพานเท่านั้น
    หากนิพพานไม่มี นอนอยู่บ้านก็ตายเหมือนกัน บวชอดข้าวเย็นไปทำไมเรา

    คิรีมานนทสูตร
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=84552

    ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ไม่รู้แจ้ง ไม่เข้าใจพระนิพพาน ไม่ควรจะสั่งสอนพระนิพพานแก่ท่านผู้อื่น ถ้าขืนสั่งสอนก็จะพาท่านหลงหกทาง จักเป็นบาปเป็นกรรมแก่ตน ควรจะสั่งสอนแต่เพียงคลองแห่งทางมนุษย์สุคติ สวรรค์สุคติ เป็นต้น ว่าสอนให้รู้จักทาน ให้รู้จักศีล ๕ ศีล ๘ ให้รู้คลองแห่งกุศลกรรมบถ ให้รู้จักปฏิบัติมารดาบิดา ให้รู้จักอุปัชฌาย์อาจารย์ ให้รู้จักก่อสร้างบุญกุศลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น เพียงเท่านี้ก็อาจจะได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติพอสมควรอยู่แล้ว ส่วนความสุขในโลกุตตรนิพพานนั้น ผู้ใดต้องการจริง ต้องรักษาศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีลพระปาติโมกข์เสียก่อน จึงชื่อว่าเข้าใกล้ทาง มีโอกาสที่จักได้ถึงโลกุตตรนิพพานโดยแท้ แม้ผู้จะเจริญคลองพระนิพพานนั้น ก็ให้รู้จักท่านผู้เป็นครูว่ารู้แจ้งทางพระนิพพานจริง จึงไปอยู่เล่าเรียน ถ้าไปอยู่เล่าเรียนในสำนักของท่านผู้ไม่รู้แจ้ง เรียนได้ด้วยยากยิ่งนัก ด้วยเหตุสัตว์ยินดีอยู่ในกามคุณ อันเป็นข้าศึกแก่พระนิพพานโดยมากฯ

    ภนฺเต อริยกสฺสป ข้าแต่พระอริยกัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการฉะนี้ ขอให้พระสงฆ์ทั้งหลายจงทราบด้วยพลญาณแห่งตน ดังแสดงมานี้เถิดฯ
     
  15. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    522
    ค่าพลัง:
    +494
    ยังอยู่กันอีกหรือครับเนี่ย ผมนึกว่าจบกันไปแล้วซะอีก
    แบบนี้น่าจะโดนผีสิงบ้าง จะได้รู้ว่ามีจริง
    อย่าใช้อารมณ์กันสิครับ
    นี่ที่พระพุทธองค์อุตส่าห์เปลี่ยนอนาคตบางส่วนแล้วนะครับเนี่ย(ละมั้ง) ช่วยๆกันหน่อยละกัน
    อย่าคิดว่าจะฟังเลยในเมื่อมันไม่ได้ใช้แล้วมันจะอ่านคัมภีร์ไปทำไมกันละ...สร้างสถานะการขึ้นมาให้ใช้ก็พอแล้วละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ตุลาคม 2007
  16. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    522
    ค่าพลัง:
    +494
    พุทธแท้เค้าอยู่ป่าดอยเศรษฐกิจพอเพียง...มัชฌิมาปฏิปทา
    มรรคแปด...
    ผมว่าหลวงพี่ไปสึกมาก่อนแล้วค่อยมาสอนดีกว่า(ไปเรียนเศรษฐศาสตร์,รัฐศาสตร์มาก่อน)
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตขปญฺโญ ภิกขุ

    ใคร่อยากให้ทุกท่านไปแสดงความเห็นที่เวบบอร์ดนี้บ้าง
    http://www.whatami.ob.tc/
     
  18. ร้องเรียน

    ร้องเรียน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +394
    เชิญร่วมร้องเรียนที่พุทธทาสสอนบิดเบือนพระพุทธดำรัสย่ำยีลบหลู่ดูถุกดูหมิ่นปรามาสพระพุทธเจ้าศาสดาของตนเองแท้ๆ

    พุทธทาส:-พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้ etc...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด....เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น ....เชื่อไม่ได้

    หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์

    พุทธทาส:-สำหรับสัตว์เดียรฉาน ก็คือสัตว์เดียรฉานที่ไม่มีความร้อน ความร้อนของสัตว์เดียรฉานก็คือความร้ายกาจที่เป็นอันตรายแก่มนุษย์ นี่เรียกว่าความร้อน ถ้าสัตว์เดียรฉานนั้นได้รับการฝึกดี จนเป็นสัตว์ที่ดีไม่มีอันตรายอีกต่อไป หมดพยศร้ายแล้ว เช่น ช้างป่า วัวป่า ที่เอามาฝึกจนหมดพยศร้ายแล้ว ก็เรียกว่ามัน นิพพาน

    นิพพานในชีวิตประจำวัน


    พุทธทาสภิกขุ:-สัตว์ป่าจับมาจากในป่า เช่นควายป่า ช้างป่า อะไรป่านี่ มันดุร้ายเหลือประมาณ อันตรายเหลือประมาณ; เขาเอามาเข้าคอกเข้าที่ บังคับฝึกหัดไปจนสัตว์เหล่านั้นเชื่องเหมือนกับแมว จนช้างป่านั้นเชื่องเหมือนกับแมว ทำอะไรก็ได้; อย่างนี้ก็เรียกว่า มันนิพพาน

    นิพพานสำหรับทุกคน

    พุทธทาส:-แม้คนโง่ไม่รู้จักพระนิพพานเอาเสียเลย เขาก็ยังลงไปกินไปอาบในสระแห่งนิพพานนั้นได้โดยไม่รู้สึกตัว ข้อนี้ก็เพราะว่า พระนิพพานเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในที่ทั่วไป

    นิพพานสำหรับทุกคน

    พุทธทาส:-ให้โกยอภิธรรมทิ้งไปให้หมด อภิธรรมตามที่รู้กันนั่นแหละ อภิธรรมปิฏก อภิธัมมัตถสังคหะ อภิธรรมอะไรก็ตาม ที่ระบุไปยังอภิธรรมเฟ้อนี้โกยทิ้งไปเสียให้หมด
    บางสูตรก็ตัดออกไปหมดเลย บางสูตรก็ต้องตัดออกไปบางส่วน บางสูตรก็ตัดออกไปราว 40%

    อภิรรมคืออะไร?


    ผู้คัดค้านพระอภิธรรมชื่อว่า ทำลายชินจักร

    "บุคคลเมื่อคัดค้านพระอภิธรรม ชื่อว่า ย่อมให้การประหารในชินจักรนี้ ย่อมคัดค้านพระสัพพัญญุตญาณ ย่อมหมิ่นเวสารัชชญาณของพระศาสดา ย่อมขัดแย้งบริษัทผู้ต้องการฟังย่อมผูกเครื่องกั้นอริยมรรค จักปรากฏในเภทกรวัตถุ ๑๘ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้ควรแก่อุกเขปนิยกรรม นิยสกรรม ตัชชนียกรรม เพราะทำกรรมนั้น จึงควรส่งเธอไปว่า เจ้าจงไป จงเป็นคนกินเดนเลี้ยงชีพเถิด ดังนี้ "

    พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล มหามกุฏราชวิทยาลัย
    ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 75 อภิธรรมปิฎก หน้า 60-63 อรรถกถาธรรมสังคณี
    <!-- / message -->
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2007
  19. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***เก่าไปแล้ว เรื่องร้องเรียนแบบนี้***
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    ***มีคนเขาทำกันมามากแล้ว และนานมาแล้ว***
    <o:p> </o:p>
    **แต่ก็เข้าตำรา
     
  20. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    ใคร่อยากให้ทุกท่านไปแสดงความเห็นที่เวบบอร์ดนี้บ้าง
    http://www.whatami.ob.tc/
    --------------------------------------------------------------------

    พื้นฐานความเชื่อแตกต่างกันครับ สนทนาไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

    ต่างคนต่างปฏิบัติในความเชื่อของตนเองจะดีกว่า สบายใจกว่ากันเยอะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2007

แชร์หน้านี้

Loading...