กรี๊ดดดด มัมมี่พระ ที่ ญี่ปุ่น ตกลงมันคือลัทธิอะไร นี่ ใครแปลให้หน่อย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Kamen rider, 7 พฤษภาคม 2005.

  1. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=760 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=630>Japanese Buddhist Mummies



    Written by Maciamo on 11 November 2003

    [​IMG]They are called
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1845-1.jpg
      1845-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.7 KB
      เปิดดู:
      10,182
    • gyo1.jpg
      gyo1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.5 KB
      เปิดดู:
      2,152
    • m.jpg
      m.jpg
      ขนาดไฟล์:
      343.1 KB
      เปิดดู:
      1,426
  2. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
  3. pop

    pop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +313
    ไม่รู้ง่ะ .....
     
  4. fluke&best

    fluke&best Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2005
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +31
    น่าจะพอมีผู้รู้ สรุปที่มาที่ไป.(My eng.& jap. no strong.)
     
  5. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,077
    ค่าพลัง:
    +638
    เคยดูสารคดีเกี่ยวกับพระญี่ปุ่น คือนักบวชพวกนี้จิตใจกล้าแข็งมาก และมีความอดทนสูงเพื่อความสำเร็จที่จะเป็นมัมมี (แต่ญี่ปุ่นว่าเป็นพระอรหันต์) มีมากกว่าที่ทำไม่สำเร็จ
    พวกนี้เตรียมตัวมานานหลายปีคือก่อนที่จะทำมัมมี่ พระเหล่านี้ต้องอดอาหารโดยจะดูวิธีการทำมัมมีจากพระที่ทำสำเร็จ อาหารการกินก็จะเปลี่ยนไป เช่นไปกินเปลือกไม้สน (เปลื่อกไม้สนจะมีสารพวกแล็กเกอร์สามารถดองศพไม่ให้เน่าได้) บริมาณที่จะกินต้อง ช่วงที่จะกินเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อร่างกายก่อนตาย กินสารพิษ จะทำอย่างนี้ประมาณ 2 ปี จากนั้นจะขุดหลุมให้ใหญ่พอที่จะเข้าไปนั้งได้สบาย ๆ จากนั้นจะให้คนฝังโดยมีช่องอากาศพอที่จะหายใจได้ ช่วงนี้จะไม่กินอะไรเลยนอกจากน้ำ ทุก ๆเช้าจะมีคนคอยสังเกต การสังเกตจะฟังที่เสียงเคาะ (ที่พระญี่ปุ่นเคาะตอนสวดมนต์อ่ะ) ถ้ามีเสียงเคาะอยู่แสดงว่ายังมีชีวิตอยุ่ ถ้าวันไหนไม่มีเสียงเคาะ คนที่เฝ้าอยู่จะกลบหลุมเพื่อไม่ให้อากาศเข้าไปได้ แล้วอีก 2 ปีเค้าจะทำพิธีเพื่อเปิดปากหลุมดูว่าสำเร็จหรือไม่ (ผมว่าดินที่ใช้กลบนี้น่าจะผสมอะไรเข้าไปด้วยแน่ ๆ)
    พวกที่ไม่สำเร็จก็มีมาก ครับ เล่าหยาบ ๆ ได้เท่านี้เพราะจำรายละเอียดไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2005
  6. เจอมา

    เจอมา บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    จาก
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y3459471/Y3459471.html

    เข้าใจผิดแล้วครับ ไม่ใช่ท่านทำตัวเองให้เป็นมัมมี่
    ผมยังไม่ได้ตามไปอ่าน แต่เข้าใจว่าคงเป็นนิกายมิกเคียว หรือมนตรยาน
    พระเกจิสูงๆของนิกายนี้ ท่านมักจะเข้าฌานระดับสูง และดับขันธ์หลังออกจากฌาน จึงทำให้กายท่านไม่เน่าเปื่อย มีลักษณะเป็นมัมมี่แห้ง ก็เท่านั้นเอง ไม่ใชข่มัมมี่แบบที่เราเข้าใจกันว่า เป็นร่างที่รอเวลาวิญญาณกลับคืน แบบอียิปต์

    พระระดับสูงที่ดับขันธ์แล้วกายไม่เน่าเปื่อย ที่โด่งดังที่สุด คือพระอรหันต์คูไค หรือโกโบไดชิ พระอาจารย์ใหญ่ผู้ก่อตั้งนิกายมิกเคียว ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ในตำนานว่า ท่านเป็นผู้ได้บรรลุธรรม และสำเร็จอภิญญาด้วย ดังนั้นจึงปรากฏว่ามีอภินิหารหลายประการ
    จากคุณ : p.p_upasmo - [ 7 พ.ค. 48 09:54:01 ]

    อืม ผมก็ดูนะครับ เค้าทำตัวเองเป็นมัมมีจริงๆครับ ที่คุณคหที่3ยกมาอาจจะเป็นอีกกรณีนึง แต่ที่คุณ จขกท กำลังตั้งหัวข้อขึ้นมาเพื่อสนทนาเค้าทำตัวเองเป็นมัมมีจริงๆ ผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้หมือนกันครับเพราะตอนที่ผมดูนะมันดูมาหลายเดือนแล้ว แต่ที่พอจะจำได้เค้าไช้เวลาหลายปีเลยก็ทีเดียวกว่าจะทำไห้ไขมันในร่างกายหมดไปโดยกินแต่ไปของต้นสนและก็เปลือกไม้เป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะฝังตนเองลงในหลุมและกินชาที่ทำจากอะไรซักอย่างเหมือนกับเป็นสารที่ใช้เคลือบร่างกาย เป็นชาสีแดงๆนะถ้าจำไม่ผิดเออ แล้วเค้าก็กินสารหนูด้วยนะที่ไปเอามาจากน้ำตกหรือบ่นร้ำผุอะไรซักอย่าง แล้วก็ฝังตนเองลงใต้ดิน อืมผมจำได้แค่นี้เหละ คุณ จขกท พึ่งดูมาลองอธิบายแบบละเอียดหน่อยครับ เพราะมันน่าสนใจดี ว่าจะถามมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ลืมทุกที
    จากคุณ : กังซี - [ 7 พ.ค. 48 10:55:36 ]

    เค้าทำไปเพราะ อยากให้ อนุชนรุ่นหลัง
    ดูความเพียร ของเค้า เป็น คำสอน
    จากคุณ : ปป - [ 7 พ.ค. 48 15:37:51 A:203.113.35.6 X:203.151.140.119 TicketID:086082 ]
     
  7. vibe

    vibe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    731
    ค่าพลัง:
    +3,146
    They are called
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2005
  8. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    .....ขอมอบดอกไม้ช่อนี้ (bb-flower ให้คนแปลครับ กระจ่าง ชัดเจน ขึ้นเลย
    ขอบคุณมากครับ วันหลังขอใช้บริการอีก :cool: คิ คิ คิ
     
  9. vibe

    vibe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    731
    ค่าพลัง:
    +3,146
    Estimates of the number of self-mummified priests in <st1:country-region w:st="on"><st1:place w:st="on">Japan</st1:place></st1:country-region> range between sixteen and twenty-four priests. Impressive though this number is, many more have tried to self-mummify themselves; In fact, the practice of self-mummification -- which is a form of suicide, after all -- had to be outlawed towards the end of the 19th century to prevent Buddhist priests from offing themselves this way... and yet the grand majority of priests who have tried to do this have failed. The reasons will take some explaining -- but first, some background on the whole practice and the reasons for it.<o:p></o:p>

    จำนวนโดยประมาณของพระมัมมี่(ทำเอง)ตกอยู่ประมาณ 16-24 องค์ ยังมีอีกมากมายที่พยายามจะทำให้ตนเป็นมัมมี่ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการฆ่าตัวตายจึงมีการร่างกฏหมายห้ามช่วงศตวรรษที่ 19 เพื่อป้องกันไม่ให้พระกระทำเยี่ยงนี้ แต่ยังไงก็แล้วแต่พระส่วนมากที่พยายามจะทำให้ตนเป็นมัมมี่กลับพบกับความล้มเหลว เห็นผลต้องมีการอธิบายเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะพูดถึงตรงนั้น เราควรมาดูพิ้นฐานและเหตุผลของการกระทำก่อน<o:p></o:p>

    So truely devote Buddhist priests are not afraid of death; but they don't normally seek it either, as this too would be an abnormal obsession with the physical world. The priests that chose to practice self-mummification were usually all older men, who knew they had limited time left to their lives anyway... and since the practice takes years to lead to a sucessful death and mummification, it cannot be characterized as an attempt to reach enlightenment quickly as a normal suicide might be. Rather, the intended purpose of this practice for these priests is to both push their ability to disregard their physical selves to the limit of their ability, and to try and leave an artifact of this struggle that will stand as a symbol of their beliefs to those that are priests after them. <o:p></o:p>

    พระที่มั่นคงในศาสนาไม่กลัวความตายแต่ก็ไม่ควรคนหาความตาย เพราะว่าจะกลายความปรารถนาทางโลกจนเกินควร พระที่ตัดสินใจทำแบบนี้ ส่วนมากเป็นพระที่ค่อนข้างมีอายุและรู้ว่าจะอยู่อีกไม่นานอยู่ดี และในเมื่อต้องใช้เวลาในกลายตายและกลายเป็นมัมมี่ วิธีนี้จึงไม่สามารถถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ในการพยายามให้เกิดปัญญาได้เร็วกว่าการฆ่าตัวตายแบบธรรมดา พวกเขาพยายามที่ผลักดันความสามารถในการเพิกเฉยต่อร่างกายของพวกเขาให้ได้มากที่สุด และพยายามที่จะทิ้งไว้ซึ่งสิ่งที่จะแสดงถึงความดิ้นรนเพื่อที่จะเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อให้พระรุ่นหลังได้เห็น<o:p></o:p>
     
  10. vibe

    vibe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    731
    ค่าพลัง:
    +3,146
    How to be a self-made mummify <O:p></O:p>

    ทำไงให้ตัวคุณเป็นมัมมี่<O:p></O:p>

    The first step is a change of diet. The priest was only allowed to eat nuts and seeds that could be found in the forests surrounding his temple; this diet had to be stuck to for a 1000 day period, a little under three years. During this time, the priest was to continue to subject himself to all sorts of physical hardship in his daily training. The results were that the body fat of the priest was reduced to nearly nothing, thus removing a section of the body that easily decomposes after death.<O:p</O:p

    อันดับแรกต้องเปลี่ยนการฉัน ฉันได้แค่ถั่วและเมล็ดที่หาได้ตามป่ารอบๆวัด และจะต้องทำอย่างนั้นไป 1000 วัน ตกประมาณเกือบสามปี ในช่วงนี้พระยังต้องฝึกฝนความทุกข์ยากของร่างกายโดยวิธีต่างๆ ผลลัพธ์ก็คือไขมันจะลดลงจนแทบจะไม่มีเหลือ ง่ายต่อการแยกชิ้นส่วน<O:p</O:p

    In the second stage, the diet became more restrictive. The priest was now only allowed to eat a small amount of bark and roots from pine trees (mokujiki). This had to be endured for another 1000 day period, by the end of which the priest looked like a living skeleton. This also decreased the overall moisture contained in the body; and the less fluid left in the body, the easier to preserve it.<O:p</O:p

    อันดับสอง การควบคุมอาหารจะมีขอบเขตุที่หนักกว่าเดิม พระฉันได้แค่เปลือกและรากจากต้นสน ทำอย่างนี้ไป 1000 วัน พบครบ 1000 วันช่วงนี้พระจะดูเหมือนกระดูกเดินได้ การทำแบบนี้เป็นการลดความชื้นที่อยู่ในร่างกาย ของเหลวน้อยเท่าไหร่ก็ง่ายต่อการอนุรักษ์ของร่างกายเท่านั้น<O:p</O:p

    Towards the end of this 1000 day period, the priest also had to start to drink a special tea made from the sap of the urushi tree. This sap is used to make lacquer for bowls and furniture; but it is also very poisonous for most people. Drinking this tea induced vomenting, sweating, and urination, further reducing the fluid content of the priest's body. But even more importantly, the build up of the poison in the priest's body would kill any maggots or insects that tried to eat the priest's remains after death, thus protecting it from yet another source of decay. <O:p</O:p

    ช่วงใกล้ครบ 1000 วันพระค้องดื่มชาชนิดพิเศษที่ทำจากยางของต้นUrushi สิ่งนี้ปกติใช้ทำน้ำแล็ตเกอร์ไว้ทาเฟอร์นิเจอร์ไม้และเป็นพิษต่อคนส่วนมาก นอกจากนี้จะทำให้อาเจียน เหงื่ออก และปัสวะบ่อยทำให้ปริมาณของเหลวลดลง และที่สำคัญที่สุดก่อสร้างพิษในร่างกายเพื่อฆ่าพวกแมลงต่างๆที่จะมากินศพตอนตาย<O:p</O:p

    The third and last step of the process was to be entombed alive in a stone room just big enough for a man to sit lotus style in for a final 1000 day period. As long as the priest could ring a bell each day a tube remained in place to supply air; but when the bell finally stopped, the tube was removed and the tomb was sealed. <O:p</O:p

    อันดับสุดท้าย คือการฝังทั้งเป็นในห้องหิน ใหญ่พอที่คนคนหนึ่งนั่งขัตสมาธิได้พอดีเป็นเวลา 1000 วัน จะมีการแหย่ท่อให้อากาศเข้าไปหากพระสั่นกระดิ่งวันต่อวัน แต่เมื่อกระดิ่งไม่ได้ถูกสั่น สายจะถูกดึงออกและหลุมจะถูกปิดลง<O:p</O:p


    When the tomb was finally opened, the results would be known. Some few would be fully mummified, and immediately be raised to the rank of Buddha; but most just rotted and, while respected for their incredible endurance, were not considered to be Buddhas. These were simply sealed back into their tombs. But why did some mummify and some not? This is the tricky part of the whole process. <O:p</O:p



    เมื่อหลุมถูกเปิดออก บ้างก็เป็นมัมมี่และถูกยกย่องให้เป็นพระพุทธเจ้าแต่ส่วนมากก็เน่าและไม่ถูกยกย่องให้เป็นพระพุทธเจ้าแต่ก็ยังได้รับความนับถือ พวกที่เน่าจะถูกปิดหลุมแต่ทำไมบางองค์เป็นบางองค์ไม่เป็น<O:p</O:p

    As you can see, the process of self-mummification was a long and extremely painful process that required a mastery of self-control and denial of physical sensation. The self-made mummies of <ST1:place w:st="on"><?xml:namespace prefix = st1 /><st1:country-region w:st="on">Japan</st1:country-region></ST1:place> are people who have earned the respect now shown to them, as they exemplify the teachings of the Shingon sect of Japanese Buddhism. <O:p</O:p

    เห็นแล้วว่าเป็นวิธีการที่ยาวและเจ็บปวดมาก ต้องมีความชำนาญในการบังคับตัวเองและต้องปฎิเสธความสุขทางกาย สมควรแล้วซึ่งความเคารพที่มัมมี่ญี่ปุ่นได้รับ รวมไปถึงการเป็นตังอย่างของคำสอนในนิกาย Shingon ของศาสนาพุทธญี่ปุ่น<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2005
  11. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,228
    ค่าพลัง:
    +10,593
    อืม ตอนแรกนึกว่าจะเหมือน thaimummy (พระที่มรณภาพไปแล้วแต่ไม่เน่าไม่เปื่อย) ที่แท้ก็ต้องผ่านกรรมวิธีก่อน แต่ต้องทำตอนมีชีวิตอยู่ น่าทรมานแฮะ
     
  12. jeds22

    jeds22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +498
    พระพุทธเจ้าห้ามฆ่าตัวตาย แต่นี่คล้ายๆเลย จะบาปไหม
     
  13. เหงามาก

    เหงามาก บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    มิคเคียว

    มิคเคียว แปลว่า นิกายลับ
    +
    หรือเรียกว่า คูยยาน(คูยะยาน) สาขานิกายตันตระ
     
  14. เหงามาก

    เหงามาก บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    มิคเคียว

    ชินงอน แปลว่า มันตรยาน
     
  15. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,107
    ค่าพลัง:
    +2,695
    ม้นจะเป็นยังไงก็ปล่อยมันไปเหอะร่างกายน่ะ
     
  16. แมงโม้

    แมงโม้ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    มัมมี่แบบนี้เมืองไทยมีเป็นสิบๆองค์ ยกตัวอย่าง
    1. หลวงพ่อเกษมเขมโก สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง
    2. หลวงพ่อก๋ง วัดเขาสมอคอน อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี
    3. หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

    อย่าไปยึดติดอะไรตรงนี้เลยครับ ท่านก็สำเร็จของท่าน ไม่แปลกอะไร
    ท่านผู้อ่านปฏิบัติธรรมดีกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...