การทำรูปฌาน 4 อย่างละเอียด...

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย mmie, 5 พฤศจิกายน 2007.

  1. mmie

    mmie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +1,986

    การทำสมาธิ
    สมารถทำได้ทุกอริยาบถ คือ นั่ง นอน เดิน ยืน การนั่งควรเลือกเอา 2 แบบ คือขัดสมาธิแบบทั่ว ๆ ไป(แบบพระปฏิมากร) หรือ นั่งพับเพียบ(คุ้บัลลังก์) คือการเอาเท้าซ้ายสอดใต้เข่าขวา ทั้ง 2 แบบนี้ มือจะต้องประสานกันบนตัก

    สมาธิลึกมี 3 ระดับ
    1.สมาธิขั้นต้น หรือ ขณิกสมาธิ
    2.สมาธิขั้นกลาง หรือ อุปจารสมาธิ
    3.สมาธิขั้นสูง หรือ อัปปนาสมาธิ

    เมื่อนั่งสมาธิแล้วจะไม่สามารถแยก 3 อย่างนี้ได้หรือจะแยกได้ยากมากซึ่งจะเรียกว่าเป็น ฌาณ ซึ่งฌาณจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ขั้น ที่เรียกว่า รูปฌาณ 4 คือ ฌาณ1 ฌาณ2 ฌาณ3 ฌาณ4 และก่อนที่เราจะเริ่มปฏิบัติ เราจำเป็นต้องรักษาศีล 5 ให้สมบูรณ์ หรือเรียกว่าเป็นคนไม่ผิดศีลเสียก่อน เพราะจิตที่ไม่บริสุทธิ์จะยากต่อการปฏิบัติธรรมให้สำเร็จได้

    ก่อนนั่งจะต้องทำปัญจเคารพทุกครั้ง คือ กราบพระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์ และจะต้องมีจิตใจที่เชื่อมั่นว่าเป็นของที่มีอยู่และจะต้องยึดมั่นในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบบิดามารดา และกราบครูอาจารย์ผู้ที่สั่งสอนทางธรรมให้กับเรา รวมแล้ว คือการกราบ 5 ครั้ง หรือ เรียกว่า ปัญจเคารพ ซึ่งเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที จะช่วยให้จิตใจเราผ่องใสและเป็นสิริมงคงลก่อนที่เราจะทำกรรมฐาน

    บริกรรมกรรมฐาน 5
    เมือ่นั่งถนัดดีแล้วให้นำมือขวาทับมือซ้ายบนตัก แล้วนั่งตัวตรง อย่างอตัว หน้าตรง อย่าก้ม เพราะถ้าหลังงอจะนั่งได่ไม่ทน จะทำให้ปวดหลังปวดเอว เมื่อนั่งได้ถูกต้องแล้ว ให้เริ่มบริกรรมภาวนาโดยท่องในใจว่า “เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ” แล้วให้ท่องถอยหลัง “ตโจ ทันตา นขา โลมา เกศา” เรียกว่า กรรมฐาน 5

    เริ่มเข้าฌาณ
    ในขณะที่บริกรรมอยู่นั้นให้เพ่งไปข้างหน้าประมาณ 1 ช่วงแขน โดยพยายามให้จิตนั้นยึดอยู่ใน กรรมฐาน 5 โดยให้ท่องกลับไปกลับมา โดยไม่ให้คิดถึงเรื่องอื่น แต่ถ้าคิดอยู่ให้นึกดูว่าคิดเรื่องอะไรแล้วก็ให้บอกตัวเองว่าให้หยุดคิด หรือพักไว้ก่อน แล้วให้กลับมานึกถึงกรรมฐาน 5 เพียงอย่างเดียว เมื่อท่องไปแล้ว สัก 10 เที่ยวแล้วไม่หลง แปลว่าจิตได้ยึดกับกรรมฐาน 5 แล้ว จิตก็จะตั้งมั่น เมื่อนั้น ฌาณ 1 ก็จะเกิดขึ้นโดยไม่มีความนึกคิดอื่นเข้ามาเจือปน จากนั้นก็จะเกิดปีติขึ้น คือจะรู้สึกขนลุกขนพอง หรือ ซาบซ่าที่ผิวกาย หรือรู้สึกตัวพอง บางทีก็จะมีอาการกระตุกที่มือ อาการแบบนี้แสดงว่าฌาณ 2 เริ่มเกิดขึ้นแล้ว

    ในขณะที่จะขึ้นฌาณ 2 ที่เรยกว่า ปีติ ให้บริกรรมภาวนากรรมฐาน 5 ให้เร็วขึ้น ๆ ๆ เรื่อย ๆ จนรู้สึกใจหวิวและตัวสั่น หรืออาจสั่นอย่างแรงก็อย่าไปตกใจเพราะนั่นคือ อุเพงคาปีติ แต่ถ้าเป็นอาการขนลุกขนพอง เรียกว่า ผรณาปีติ ซึ่งผู้ปฏิบัติ จะต้องทำให้เกิด อุเพงคาปีติ ให้ได้จึงเรียกว่าถึงฌาณ 2 แล้วอย่างสมบูรณ์ เพราะอุเพงคาปีติ นี้เองจะเป็นกำลังและฤทธิ์ เพื่อให้ถึงฌาณ 4 ได้เร็วยิ่งขึ้น และทำให้เกิดฤทธ์ต่างๆได้ในฌาณ 4 เช่น การเกิด หูทิพย์ ตาทิพย์ หยั่งรู้ใจคน ระลึกชาติได้ หรือแม้แต่กายทิพย์ที่เหาะเหินเดินอากาศ ล้วนแต่มาจาก ฤทธิ์ของอุเพงคาปีตินั่นเองในฌาณ 2 นั่นเอง

    การขึ้น ฌาณ 3 เรียกว่า ฌาณสุขนั้น ถ้าร่างกายมีอาการสั่นให้หยุดสั่นแล้วให้นึกคำว่า 3 จากนั้นกระตุกตัวขึ้น และให้ท่องกรรมฐาน 5 ให้ช้าลง ฌาณ 3 นี้ ท่านบอกว่าเป็นทางผ่านเท่านั้น เพราะถ้าขืนปล่อยใจเพ่งอยู่กับณาณเกินไปจะรู้สึกสบายกายสบายใจ ทำให้เพลินจนหลับได้ พยายามหายใจให้เป็นปกติให้นึกถึงคำว่า ฌาณ 4 พร้อมกับกระตุกตัวขึ้น จากนั้นท่องกรรมฐาน 5 ให้ช้าลงอีก เพื่อจะทำให้จิตนิ่งและแนบขึ้น ที่สำคัญในฌาณนี้ ห้ามกระดุกกระดิกตัวเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ฌาณตก เพราะในฌาณนี้จะเริ่มรู้สึกชาที่ข้อมือ ลามไปจนถึงขา และ ปลายเท้า บางครั้งชาจนทั่วใบหน้าไปถึงลิ้น ร่างกายของเราจะรู้สึกชาจนเหมือนก้อนหิน และอาจจะเกิดการเจ็บปวดตามร่างกายตามมาด้วย วึ่งถ้าทนไม่ได้จะไม่สำเร็จการเข้าฌาณ ความเจ็บปวดนี้เองที่พระพุทธเจ้าเคยเจอซึ่งเป็นความทุกข์กายทุกข์ใจ และถือเป็นมารที่ขัดขวางไม่ให้เราเข้าฌาณได่สำเร็จ ความเจ็บปวดตามร่างกายคือกรรมเก่าที่เราเคยทำมานั่นเองและทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึงการดับทุกข์ได้ในที่สุดเพราะสุดท้ายถ้าเราดับทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้ไปได้ ความเจ็บปวดก็จะหาย การนั่งฌาณจนมาถึงขั้นนี้จึงเป็นการเผาผลาญกรรมที่เราเคยทำมา และชดใช้กรรมให้เบาบางลงนั่นเอง ซึ่งมีหลายคนที่เมือ่นั่งจนถึงขั้นนี้ก็ต้องออกจากฌาณเสียก่อนเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว และก็ไม่สามารถชดใช้กรรม หรือเผาผลาญกรรมของตนให้เบาบางลงได้

    ฉะนั้นเมื่อเรานั่งฌาณแล้วเจอทุกข์ ขอให้เรารู้ไว้ว่าเราได้นั่งฌาณได้ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าทรงเคยนั่งมาก่อนแล้วทั้งสิ้น และขอให้เพียรต่อไป เพราะจะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิต และยังสามารถพิสูจน์ธรรมะของพระพุทธเจ้าได้จนถึงการที่สามารถมีกายทิพย์แล้วย้อนกลับไปในอดีตชาติ หรืออนาคต หรือท่องเที่ยวไปที่ไหนก็ได้ด้วยความเร็วของจิตที่นึกคิด หรือแม้แต่ไปดูนรก หรือสวรรค์ซึ่งภาวะนี้เรียกว่า “ถอดจิต หรือถอดกายในได้นั่นเอง” ซึ่งอาการเหล่านี้รับรองว่าท่านก็สามารถพิสูจน์ได้แน่นอน ถ้าท่านเป็นผู้รักษาศีลได้อย่างดี และทำฌาณได้สม่ำเสมออย่างถูกต้อง หมายถึงการทำฌาณ4 ให้ได้ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง

    *** ในการนั่งฌาณ ถ้าจะให้นั่งให้ได้คุณภาพ จะต้องให้ได้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพราะจะได้สมาธิขั้นกลางจนถึงขั้นสูง ซึ่งจำเป็นต้องตั้งนาฬิกาปลุกทุกครั้ง ตรงนี้ให้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถึงแม้ว่าเราจะนั่งให้ถึงขั้นดับทุกข์ไม่ได้ แต่เราก็สามารถเอาชนะเวลาได้ ซึ่งถือว่าเรานั้นได้สัจจาบารมี คือไม่แพ้มารนั่นเอง ที่สำคัญ อย่าออกจากฌาณก่อนนาฬิกาปลุกแม้ตานาทีเดียวเป็นอันขาด จะถือว่าแพ้มารทันที ***

    โทษของการแพ้มาร
    จะทำให้เราได้รับความหงุดหงิดรำคาญใจทั้งวัน และความโกรธซึ่งถือเป็นการผิดศีลข้อหนึ่งก็จะตามมา บางทีอาจเจอเรื่องที่ต้องทำให้เราหัวเสียไปทั้งวัน ทำอะไรก็จะติด ๆ ขัด ๆ และถ้าเรานั่งฌาณแล้วแพ้มารบ่อย ๆ ก็จะทำให้เราท้อและเลิกนั่งไปในที่สุด
    ตรงกันข้ามกับการชนะมาร จะทำให้เรารู้สึกมั่นใจ มีสติปัญญา สบายใจ และราบรื่นไปทั้งวัน เมื่อนั่งฌาณแล้วชนะมารได้บ่อย ๆ จะทำให้เราเกิดความเจริญก้าวหน้า ทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จ และที่สำคัญ จะทำให้เราเป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรมอย่างมั่นคง และทั้งสองอย่างนี้ ผู้ที่ได้ปฏิบัติจะเจอกับตัวเองอย่างแน่นอน

    การถอยฌาณ
    ในการนั่งฌาณนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากที่เมื่อติดฌาณแล้ว เมื่อครบเวลา 1 หรือ 2 ชั่วโมงจะต้องถอยฌาณให้เป็นเพราะจะทำให้เป็นอันตรายถึงขั้นสติไม่ดี หรือบางรายอาจเป็นบ้าไปเลยก็มี เพราะฉะนั้น เมื่อ่เราอยู่ในฌาณที่ 4 ให้เรานึกถึงคำว่า 3 แล้วให้ลดตัวลง แล้วให้แผ่เมตตา เสร็จแล้วให้นึกถึงคำว่า 2 พร้อมกับสั่นร่างกายทันที และการสั่นถอยนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะจะเป็นการสลัดออกจากฌาณ 4 ซึ่งถ้าสลัดออกไม่หมดจะทำให้เราติดฌาณได้ เพราะการนั่งฌาณสำหรับคนที่ไม่รู้ก็จะไม่รู้สึกตัวว่าอยู่ฌาณไหน เพราะฌาณสามารถเลือ่นขึ้นเองได้อัตโนมัติ และเมื่อถึงฌาณ 4 โดยไม่รู้ตัว เมื่อต้องการจะออกจากสมาธิเขาก็จะลืมตาขึ้นมาโดยที่ยังไม่ได้ถอยฌาณ ถ้าเป็นช่วงแรก ๆ จะมีอาการปวดหัว ปวดตามตัว บางครั้งเกร็งจนขยับตัวไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่เกิดจาการเส้นยึด แต่เป็นเพราะจิตยังติดอยู่ในฌาณที่เรียกว่า อุเบกขาฌาณ คือ ฌาณที่อยู่ในฌาณ 4 นั่นเอง ซึ่งเป็นฌาณแห่งการวางเฉย หนักเข้าก็จะกลายเป็นคนเบลอ ๆ ไม่พูดไม่จา บางทีพูดคำหนึ่งก็หยุดไปเลย จะกลายเป็นคนเชื่องช้า เซื่องซึม ไม่กระตือรือร้น พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง และกลายเป็นคนเกียจคร้าน เสื้อผ้าไม่เปลี่ยนไม่ซัก ข้าวปลาไม่กิน ไม่พูดไม่จากับใคร เมื่อใครเห็นก็ต้องคิดว่าไม่ต่างจากคนบ้าแน่นอน เช่นพระบางองค์ที่ท่านไม่รู้จักการถอยฌาณที่เราคงเคยเห็น ท่านจะนั่งสมาธิเป็นเวลานาน ๆ มองดูแล้วเหมือแก่กล้าอาคม แต่แท้จริงแล้วท่านไม่รู้จักการถอยฌาณ ซึ่งท่าทีจะดูสงบนิ่ง ดูเหม่อลอย แต่แท้จริงแล้วนั่นคืออาการติดฌาณ แต่ในเรื่องของฤทธิ์นั้นท่านมีแน่นอนเพราะมาจากอำนาจของฌาณที่ท่านบริกรรมครั้งละเป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วโมงนั่นเอง
    เมื่อสั่นที่ ฌาณ 2 จนออกจากฌาณได้หมด ให้เรานึกถึง 1 แล้วลดตัว ในฌาณ 1 นี้ เราจะต้องทำการกรวดน้ำเพื่อแบ่งบุญให้คนเป็น และ อุทิศบุญให้คนตาย และการที่เรามีฌาณก็ถือว่าเราเป็นผู้มีอำนาจ อย่างน้อยก็สามารถกรวดน้ำแบ่งบุญและอุทิศบุญได้ ซึ่งคนธรรมดาทำไม่ได้ แม้กระทั่งพระที่ไม่มีศีลไม่มีฌาณสมาธิก็จะไม่สามารถกรวดน้ำได้ดีเท่าเรา ดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “ทำบุญกับพระที่ไม่มีศีลไม่มีฌาณ เรียกว่า ทำบุญแล้วผีอด”
    เมื่อกรวดน้ำในฌาณที่ 1 เสร็จ ให้นึกถึงฌาณที่ 2 แล้วสั่นตัวเบา ๆ ไปข้างหน้า 3 ครั้ง เสร็จแล้วให้นึกถึง ฌาณ 1
    แล้วลดตัวลง เมื่อต้องการจะออกจากฌาณ ให้เราสะบัดหน้าแล้วนึกคำว่า ออก แล้วค่อย ๆ ลืมตา และก้มกราบ 5 ครั้งเหมือนตอนเริ่มนั่งฌาณ

    คำอธิษฐาน
    ในการนั่งฌาณ 15 นาที หรือครึ่งชั่วโมงแรกเมื่อถึง ฌาณ 4 โดยรอจนเริ่มรู้สึกชา แล้วให้ค่อย ๆ ถอยฌาณมาอยู่ที่ฌาณ 1 และจึงเริ่มเข้าฌาณ 1 อีกครั้ง โดยให้อธิษฐานดังนี้ก่อนจึงเริ่มเข้าฌาณอีกครั้ง ให้อธิษฐานจิตดังนี้โดยพนม หลับตา
    “ด้วยอานุภาพคุณพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ด้วยบุญบารมีที่ขาพเจ้าสร้าง และด้วยอธิษฐานบารมี ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า..... และขอให้ได้รับผลเกินคาดด้วยเทอญ”

    คำแผ่เมตตา
    “ด้วยอานุภาพคุณพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตา ขอให้ข้าพเจ้ามีแต่ความสุข
    ขอให้ ลูก (สามี,ภรรยา) พ่อ แม่ พี่น้อง และญาติทั้งหลาย ของข้าพเจ้า จงมีแต่ความสุข
    ขอให้ทั้งศัตรู และหมู่มิตรทั้งหลายของข้าพเจ้าจงมีความสุข
    ขอให้มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย เบื้องบนจดอรูปพรหม เบื้องล่างจดมหาอเวจีนรก เบื้องขวาง รายรอบสุดขอบจักรวาล จงมีแต่ความสุข”

    คำกรวดน้ำแบบอธิษฐานเอง
    “ด้วยอานุภาพคุณพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำในวันนี้ ข้าพเจ้าขอแบ่งบุญนี้ให้แก่....(ใช้กับบคนเป็น) และขออุทิศบุญนี้ให้แก่....(ใช้กับคนตายหรือเทวดา) และขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้รับบุญของข้าพเจ้านี้ด้วยเทอญ”

    ที่มา : www.budpage.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2007
  2. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    อนุโมทนาครับ...
    หัวใจสติปัฏฐาน ๔ ใจมีสติอยู่กับกายผลลัพท์เท่ากับปกติ(ศีล)
     
  3. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    เป็นคำสอนของครูบาอาจารย์ท่านใดครับ?

    ขออนุโมทนาบุญกับท่านผู้ตั้งกระทู้ และทุกๆท่านที่ร่วมอนุโมทนาครับ<O:p</O:p
    สาาาาา...ธุ<O:p</O:p
    สาาาาา...ธุ<O:p</O:p
    สาาาาา...ธุ<O:p</O:p
    ให้ดังไปถึงพระนิพพาน<O:p</O:p
     
  4. หนูแว่น

    หนูแว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,188
    ค่าพลัง:
    +3,207
    อนุโมทนา บางครั้งลืมปิดมือถือ แล้วนั่งอยู่กำลังรู้สึกดีๆ กำลังเกิดสมาธิ
    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตกใจมาก หลุดจากสมาธิทันที
    ต่อไปต้องระวังปิดโทรศัพท์ให้หมดแล้วล่ะ จะว่าเป็นมารก็คงได้
    เพราะตอนไหนก็ไม่โทร ชอบโทรตอนเรานั่งสมาธิกันเสียจริง
     
  5. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    การพูดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวัน

    ก็ช่วยเรื่องคงสมาธิของฌานได้มาก

    เพราะจิตเราจะสงบที่สุดเมื่ออยู่คนเดียว
     
  6. kobporn

    kobporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +782
    การที่เรานั่งสมาธิโดยไม่มีครู-อาจารย์กำกับ จะมีผลอะไรหรือเปล่าคะ

    อนุโมทนาค่ะ
     
  7. ผู้เดินทาง

    ผู้เดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +407
    ลีลาการเข้าฌาณ-ออกฌาณ เป็นความถนัดเฉพาะตน ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนๆกัน

    เปรียบเหมือนนักกีฬา ฝึกฝนพื้นฐานมาเหมือนๆกัน แต่จะมีลีลาเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
     
  8. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ขออนุโมทนาครับ

    ความสุขจากฌานจากสมาธิเป็นความสุขที่ประณีตมีโทษน้อย เป็นความสุขที่ได้มาโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาวัตถุภายนอกหรือบุคคลอื่น จะมีโทษมีทุกข์อยู่บ้างก็ตรงที่ไม่เที่ยงมีความแปรปรวนได้ ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่น ยามที่ฌานสมาธิเปลี่ยนแปลงไปก็จะเกิดทุกข์ขึ้น แต่โดยรวมๆแล้วถือว่าดีครับ

    ในพระสูตรพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตรัสสอนให้ภิกษุและสาวกนั่งสมาธิเป็นประจำครับ
     
  9. bavorn_tong

    bavorn_tong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +18
    อนุโมทนาครับ

    แต่ผมอยากรู้ว่าเมื่อไรถึงขั้นที่4แล้วหากจิตออกจากร่างไปแล้วจะกลับยังไงละครับ แล้ววิธีการถอยจิตหากไม่ถอยจะได้หรือเปล่าครับ แล้วที่บอกว่าอาการช้ามันจะเหมือนตระคริวกินหรือเปล่าครับ...สงสัยมากเลยครับผู้รู้ชอบตอบด้วยนะครับ
     
  10. bavorn_tong

    bavorn_tong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +18
    อนุโมทนาครับ

    แต่ผมอยากรู้ว่าเมื่อไรถึงขั้นที่4แล้วหากจิตออกจากร่างไปแล้วจะกลับยังไงละครับ แล้ววิธีการถอยจิตหากไม่ถอยจะได้หรือเปล่าครับ แล้วที่บอกว่าอาการช้ามันจะเหมือนตระคริวกินหรือเปล่าครับ...สงสัยมากเลยครับผู้รู้ชอบตอบด้วยนะครับ
     
  11. bavorn_tong

    bavorn_tong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +18
    อนุโมทนาครับ

    แต่ผมอยากรู้ว่าเมื่อไรถึงขั้นที่4แล้วหากจิตออกจากร่างไปแล้วจะกลับยังไงละครับ แล้ววิธีการถอยจิตหากไม่ถอยจะได้หรือเปล่าครับ แล้วที่บอกว่าอาการช้ามันจะเหมือนตระคริวกินหรือเปล่าครับ...สงสัยมากเลยครับผู้รู้ชอบตอบด้วยนะครับ
     
  12. สิงห์แดง

    สิงห์แดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +153
    ทำ 2 ให้ชำนาญ ใช้มือประสานดึงตัวเองแล้วเขย่าตัวโยกให้แรงสามารถขึ้นอุเพงฯ ได้เหมือนกัน หลังจากนั้นค่อยหัดทำ 3 ข้อดีของอุเพงฯ นั้น จะทำให้ 4 แน่นทีเดียว เหมือนขึงพืดเลย เสร็จแล้วค่อยลงมา 2 นึกทำอะไรก็นึกเอา หรืออยากพิจารณาธรรม 2 นี่แหละกำลังสบาย
     
  13. chentenryu

    chentenryu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +206
     
  14. ผู้เดินทาง

    ผู้เดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +407
    เมื่อชำนาญแล้วเพียงโยกตัวหรือศีรษะไปข้างๆ ช้าๆ นิดเดียว แทบสังเกตุไม่ออก ก็ขึ้นอุเพงฯ แล้วไปฌาณ 4 ได้เลย หลักการคือพิจารณาวาโยธาตุ (ความสั่นไหว) เป็นเทคนิคเฉพาะบุคคลครับ
     
  15. ผู้เดินทาง

    ผู้เดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +407
    ได้ยินมาว่าเพียงแค่นึกอยากกลับ หรือเกิดนิวรณ์ 5 (ตัวใดตัวหนึ่ง) สมาธิตก จิตก็อยู่ในกายแล้วครับ

    การถอยจิต หรือการคลายจิต ออกจากฌาณ เป็นการฝึกไม่ให้ติดสุขอยู่ในฌาณจน ไม่อาจพัฒนาขึ้นสู่วิปัสสนาหรืออภิญญาได้ ซึ่งต้องอาศัยการควบคุมจิตจนเกิดเป็นวสีความชำนาญในการเข้า-ออกฌาณ

    ปกติจิตจะถอยออกจากฌาณเองเมื่อร่างกายไม่สามารถทนต่อไปได้ หรือเกิดนิวรณ์ 5 (ตัวใดตัวหนึ่ง) ขึ้น

    อาการชาในฌาณ 4 ไม่ทราบว่าคืออะไรเช่นกันเพราะไม่เคยปรากฏ จากประสพการณ์คือ ทุกข์ทางกายต่างๆ หายไปตั้งแต่ ฌาณ 1 แล้ว ต่อเมื่อคลายออกจากฌาณจึงจะรู้สึกว่า เป็นเหน็บชาจนลุกไม่ขึ้น ขยับไม่ได้อยู่พักหนึ่งบ้าง ปวดเมื่อยต้นคอบ้าง เหงื่อออกบ้าง พอเข้าฌาณก็ไม่รู้สึกอีก

    มีอาการหนึ่งของสมาธิที่คล้ายอาการชา คือปิติซาบซ่านเอิบอาบร่างกาย อาจเกิดเฉพาะบริเวณ หรือเป็นบริเวณกว้างทั่วตัว บ้างก็ว่าคล้ายถูกคลุมด้วยพลังไฟไฟ้สถิตย์ รู้สึกสบายเอิบอาบและมีพลัง ทำให้ร่างกายสดชื่นสบาย แต่เมื่อเข้าสู่ฌาณ 3 เต็มที่ อาการนี้ก็จะหายไป มีแต่สุขทางใจอย่างเดียว
     
  16. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    พระครูภาวนาภิรมย์ (หลวงพ่อสรวง ปริสุทฺโธ) อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำขวัญเมือง
    ต.นาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร

    ซึ่งเป็นอริยสงฆ์ได้บรรลุธรรมขั้นที่ ๔ ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ประเภทขีณาสพ ผู้ซึ่งมีวิชา ๓ มีอภิญญา ๖ และมีปฎิสัมภิทาญาณ ๔ อย่างครบถ้วน

    ปัจจุบันท่านได้มรณะภาพแล้ว ท่านใช้เวลา ๑ปี ๗ เดือน ๑๕ วัน โดยใช้คติที่ว่า "จริงตัวเดียวสำเร็จ" บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ประเภทขีณาสพ
    ลองหาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ

    www.wattham.com


     
  17. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    อย่าใช้คำว่า มั่ว เลยครับ

    เพราะเป็นวิชาสายของหลวงพ่อสรวง วัดถ้ำขวัญเมือง
    เป็นการทำสมาธิสมถกรรมฐาน รูปฌาณ ๔ กรรมฐาน ๕ เท่าที่ผมทราบวิชานี้จะมีเพียงแค่วัดถ้ำขวัญเมือง ใช้ในการทำสมาธิกันครับ

    สมาธิลึกมี 3 ระดับ
    1.สมาธิขั้นต้น หรือ ขณิกสมาธิ
    2.สมาธิขั้นกลาง หรือ อุปจารสมาธิ
    3.สมาธิขั้นสูง หรือ อัปปนาสมาธิ

    สมาธิทั้ง 24 ระดับและ 3 ขั้นนี้ เป็นการยากที่เราจะแยกได้ เพราะตั้งแต่ขณิกสมาธิ ไปจนถึงอุปจารสมาธิ และจนถึงอัปปนาสมาธินั้น สมาธิจะค่อย ๆ ทำให้จิตละเอียดขึ้นเรื่อย ๆ จึงยากที่จะแยกได้

    หลวงพ่อสรวงท่านคงแบ่งออกมาเป็น 3 ระดับ คงไม่เหมือนตามที่คุณศึกษามาครับ ผมเกรงว่าคุณchentenryu จะไปปรามาสหลวงพ่อสรวงท่านครับ

    ด้วยความเคารพ
     
  18. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    ขอกราบอนุญาติหลวงปู่สรวง

    ประวัติหลวงปู่สรวง ปริสุทฺโธ <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=center align=middle width=202>[​IMG]</TD><TD class=pback vAlign=top align=left>
    อัตตชีวประวัติพระครูภาวนาภิรมย์ (หลวงพ่อสรวง ปริสุทฺโธ)
    นามเดิม สรวง นามสกุล เกษธำรง เกิดเมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๒ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ปีระกา ณ บ้านนาคราม ต.นาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร บิดาชื่อ นายหวั่นเซี่ยว มารดาชื่อ นางลิ่น มีน้องอีก ๒ คน เป็นชาย ๑ คน เป็นหญิง ๑ คน หลวงพ่อเล่าว่าเมื่อแรกเกิด ญาติได้นำผ้ามารับไว้แล้วนำไป วางไว้ที่ซองประตู และพากันลืมท่านเพราะในขณะนั้นแม่มีการหนักเนื่องจาก จากตกเลือด ทุกคนจึง ต่างมุ่งแต่จะช่วยชีวิตแม่ เผอิญคุณป้ามาถึงถามว่าเด็ก อยู่ที่ไหน ผู้ที่นำผ้าไป รับเด็กจึงนึกได้ เมื่อไปอุ้มขึ้นมาปรากฏว่ามีมดเต็มหู ท่านไปหมด จึงนำไป อาบน้ำทำความสะอาด เด็กจึงร้องออกมาได้หลวงพ่อ เป็นเด็กขี้โรคเลี้ยงยาก รูปร่างผ่ายผอม เพราะเจ็บป่วยเป็นประจำอยู่ตลอดปีพออายุได้ ๔ ขวบ บิดาของหลวงพ่อได้ถึงแก่กรรม หลังจากนั้นอีก ประมาณปีเศษคุณตาของท่านก็จัดการให้มารดาของท่าน แต่งงานใหม่กับคนจีน ตาเลี้ยง
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left width=467>ของท่านเป็นคนดีให้ความรัก เมตตาท่านเสมอกันกับบุตรของท่านเอง มารดาของท่านมีบุตร กับสามีใหม่อีก ๒ คนเป็นหญิงทั้งคู่ ชีวิตของเริ่มเปลี่ยนแปรไป เมื่อมารดาของท่านคลอดบุตรคนเล็กได้เพียง ๓ วัน ก็ถึงแก่ กรรมลงหลวงพ่อต้องกำพร้าบิดามารดาเมื่ออายุเพียง เพียง ๗ ขวบ นับว่ายัง เด็กมาก เมื่อหมดที่พึ่งป้าจึงนำน้องชายไปเลี้ยง ส่วนน้องสาวไปอยู่กับน้า สำหรับ ตัวท่านคุณตาพาไปอยู่ด้วย การอยู่กับคุณตาต้องขี่ควายนำฝูงประมาณ ๓๐ ตัว ไปเลี้ยงร่วมกับพี่ชาย ซึ่งเป็นลูกของลุง แต่เนื่องจากยังเด็กมากวันหนึ่ง ท่านมัวแต่ หลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ได้ยินเสียงพี่ชายเรียกก็ตกใจตื่น ลุกขึ้นมาได้ ก็ยืนปัสสาวะ โคนต้นไม้ใหญ่ซึ่งพี่ชายทราบว่ามีเทวดาอาศัยอยู่ พี่ชายจึงไป ฟ้องคุณตาคุณตา โกรธนำท่านไปถวายวัดให้อยู่กับ พระอาจารย์ดำ จนฺทสโร เจ้าคณะอำเภอสวี หลวงพ่อเริ่มหัดอ่านหนังสือกับพระชื่อ แคล้ว ซึ่งไม่เข้าใจ วิธีการสอนหนังสือเด็ก สอนให้ท่องจำทั้งพยัญชนะและสระ หากถามแล้วตอบไม่ได้หรือตอบผิด จะต้องถูกเฆี่ยนด้วย</TD><TD class=pback vAlign=center align=middle width=200>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left>ไม้ข่อยที่ก้นคำละ ๑ ทีจนหลวงพ่อสุดจะทนได้แอบหนีลง ไปซ่อนในเรือมาดข้างวัดตลอดคืน ทางวัดช่วยกันค้นหาเท่าไรๆก็ไม่พบในที่สุดเมื่อใกล้รุ่งหลวงพ่อทนหิวน้ำไม่ไหว จึงคลานออกมาขอโทษ อาจารย์ดำ จนฺทสโร เจ้าอาวาสวัดสวี ชี้แจงสิ่งที่ได้กระทำไปซึ่งท่านอาจารย์ก็เข้าใจ และเปลี่ยนให้ไปเรียนกับท่านอาจารย์์โดย ตรง และเรียนจบ ป.๔ ที่โรงเรียนประชาบาล ตำบลสวี วัดสวีนั่นเอง </TD></TR><TR><TD class=pback vAlign=top align=left></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left width=180>[​IMG] </TD><TD class=pback vAlign=top align=left width=500><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=490 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left>การศึกษาและการทำงาน</TD></TR></TBODY></TABLE>ท่านเข้าเรียนโรงเรียนประชาบาล จบแล้วก็ไปเรียนรัฐบาลที่อำเภอสวี มีครูช่วง จันทร์แก้ว เป็นครูประจำชั้น หลวงพ่อเป็นคน เรียนเก่ง มีความขยันหมั่นเพียรสอบไล่ได้ที่ ๑ ที่ ๒ ตลอดมาเมื่อเรียนจบชั้น ม.๑ ซึ่งเป็นชั้นเรียนสูงสุดของอำเภอสวี หากจะ เรียนต่อชั้นสูงขึ้นไปต้องเดินทางไปเรียนที่อำเภอหลังสวน ประกอบกับท่านอาจารย์ไม่มีเงินที่จะส่งเสียเล่าเรียนได้ฉะนั้นจึง ต้อง หยุดเรียนเพียงเท่านั้น ในช่วงนั้นคิดว่าจะบวชเณร จึงได้ท่องหลักพระปริยัติธรรม,ธรรมวิภาคและคิหิปฏิบัติจนจำได้ ท่องคำขอบรรพชาได้หมดและยังได้อ่านวินัยบัญญัติสำหรับภิกษุด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้หลวงพ่อรู้อย่างแน่ชัดว่าอาจารย์ของ ตนทำผิดศีล ขั้น "ครุกาบัติ" ทำให้ท่านไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จะหนีออกจากวัดไปให้พ้นก็ใช่ที่ จึงนำเรื่องราวที่ได้พบได้เห็นทั้งหมดไปเล่าให้น้า</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left>ฟัง กลับถูกน้าด่าว่า จนหมดกำลังใจเกือบจะฆ่าตัวตาย พอดีมีพระในวัดมาห้ามไว้และคิดหาทาง แก้ โดยเขียนสิ่งที่อาจารย์ทำผิดไปติดไว้ที่ส้วม ทำให้อาจารย์โกรธอย่างมาก จึงแจ้งเรื่องไปยังเจ้าคณะจังหวัด ทางจังหวัด ได้ตั้งกรรมการมาสอบหาข้อเท็จจริง แต่ในที่สุดเรื่องกลับเงียบหายไปกลายเป็นอธรรมเป็นฝ่ายชนะ เลยไม่ได้บวชเณรดังที่ตั้ง ใจเอาไว้ หลวงพ่อได้ออกจากวัดไปเก็บตัวที่บ้านมิให้ถูกทำร้ายหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น หลวงพ่อเกิดเสื่อมศรัทธา เกือบจะไม่นับถือพุทธศาสนาอีกจึงหันไปศึกษาค้นคว้าคัมภีร์ ของศาสนาคริสต์ ก็เชื่อไม่ลง เพราะไม่มีเหตุผลไปศึกษาศาสนาอิสลามก็เชื่อไม่ลงอีกเช่นกัน จึงได้เสาะแสวงหาความรู้ไป เรื่อย ๆ และหันไป ศึกษาทางไสยศาสตร์ สามารถทำพิธีทางไสยศาสตร์ได้หลายอย่าง เช่น สามารถเรียกจิตให้คนมาหาได้ เป็นต้น ทั้งยังแก้การกระทำของผู้ที่ถูกคุณไสยได้ด้วย แต่ก็เป็นไปในทางโลกียะทั้งสิ้น ระยะที่หลวงพ่อเล่นทางไสยศาสตร์ นี้มีอายุ</TD><TD class=pback vAlign=top align=left width=180>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left>เพียง ๑๖ - ๑๗ ปี เท่านั้นในช่วงนั้นก็ช่วยคุณน้าทำสวนตลอด เมื่ออายุ ๑๗ ปี ได้สมัครเป็นครูประชาบาลสอนอยู่ที่ โรงเรียนประชาบาลวัดหัวเขา ( วัดโพธิเกษตร ปัจจุบัน ) อำเภอสวี เมื่อสมัครเป็นครูได้ ๑ ปี ทางอำเภอรัตภูมิ มณฑลนครศรีธรรมราช ( ปัจจุบันเป็นจังหวัดสงขลา ) ได้ประกาศรับสมัครบุคคลเข้าเรียนครูมูล หลักสูตรเร่งรัด ๒ ปี โดยไม่จำกัดพื้นความรู้เดิม ซึ่งมีผู้สมัครเรียนทั้งหมดภายในมณฑล ซึ่งมีอยู่ ๗ จังหวัด รวม ๒๙ คนการเรียนครูมูลรัฐบาล เป็นผู้ให้ทุนเรียนฟรี พร้อมอาหารและที่พักฟรี ส่วนหนังสือตำราเครื่องนุ่งห่มและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ผู้เรียนต้องออกเอง ในขณะ นั้นหลวงพ่อไม่มีเงิน จึงต้องนำที่ดินของมารดา ๒ ไร่ ไปจำนองไว้กับน้าเส้ง พุ่มคง ในราคา ๘๐ บาท เพื่อนำเงินมาเป็นค่า ใช้จ่ายในการเรียน หลวงพ่อเริ่มเรียนครูมูลในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ อาจารย์ใหญ่โรงเรียนฝึกหัดครูตอนนั้นคือ อาจารย์ช่วง ชนะณรงค์ แต่ละวันต้องเรียน ภาคทฤษฎี ๔ ชั่วโมง และภาคปฏิบัติอีก ๔ ชั่วโมง ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจะต้องพิจารณาคะแนน จากการงานและความประพฤติ ใน จำนวนนักเรียน ๒๙ คน หลวงพ่อสามารถทำคะแนนได้ดังนี้</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left><TABLE class=pback cellSpacing=0 cellPadding=0 width=340 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width=170>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=170>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=pred vAlign=top align=left height=18>ความประพฤติ</TD><TD class=pred vAlign=top align=left>ได้คะแนนในลำดับที่ ๑</TD></TR><TR><TD class=pred vAlign=top align=left height=21>การงาน</TD><TD class=pred vAlign=top align=left>ได้คะแนนในลำดับที่ ๒</TD></TR><TR><TD class=pred vAlign=top align=left height=19>คะแนนรวมคะแนนรวม</TD><TD class=pred vAlign=top align=left>ได้คะแนนในลำดับที่ ๕</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left>อายุ ๒๑ ปี หลวงพ่อสำเร็จการศึกษา ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่งครูใหญ่ในทันที ณ .โรงเรียนประชาบาลตำบลทุ่งระยะ (ชุมแสง)ได้รับเงินเดือน เดือนละ ๑๕ บาท เมื่อยังไม่ทราบผลการสอบไล่ พอถึงเดือนกันยายน ๒๔๗๓ ทราบผลการสอบไล่ได้เพิ่มเป็นเดือนละ ๓๐ บาท และทำการสอนวิชาเลข ภาษาไทย ประวัติศาสตร์และอื่น ๆ ยกเว้นวิชาภาษาอังกฤษไม่ได้สอน สอนอยู่ที่โรงเรียนประชาบาลทุ่งระยะได้ ๕ ปี ๑๕ วัน จึงมีคำสั่งย้ายด่วนให้ไปดำรงตำแหน่งใหม่ เป็น ครูใหญ่โรงเรียนประถมการช่างที่จังหวัดชุมพร ในเดือนกรกฎาคม ๒๔๗๘</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD class=pback width=131 height=197>[​IMG]</TD><TD class=pback width=549 height=197>หลวงพ่อได้อุปสมบทตามประเพณีเมื่ออายุ ๒๓ ปี หลังจากเข้ารับราชการครูได้ ๒ ปี จึงลาบวชได้ ๑๕ วัน ณ วัดดอนสะท้อน ตำบลปากแพรก อำเภอสวี จังหวัดชุมพร เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ เมื่อบวชอยู่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยบ้างเล็กน้อยและนั่งสมาธิเองโดยไม่บริกรรม ภาวนาอะไรเลย นั่งนิ่ง ๆ เฉย ๆ แต่จิตใจสงบมากรู้สึกว่ามีความสุขสงบทำให้ไม่อยากสึกจึงขอ ลาราชการต่ออีก ๔ วัน ครั้นได้บวชอยู่เป็นเวลา ๑๙ วัน ใจไม่อยากจะสึกเลยถึงกับร้องไห้ แต่ จำเป็นต้องลาสิกขาเพราะต้องทำงานใช้หนี้ทุนรัฐบาลถ้าไม่ทำงานใช้ต้องเสียเงินให้รัฐบาลเป็นจำนวนเงินถึง ๔ พันกว่าบาท จึงต้องจำใจลาสิกขาด้วยใจที่อาลัยอาวรณ์เป็นอย่างยิ่งหลวงพ่อไปเป็นครูใหญ่อยู่โรงเรียนประถมการช่าง (วิทยาลัยเทคนิคชุมพร ปัจจุบัน ) ได้ ๒ ปี ก็ได้ยกฐานะขึ้นเป็นครูรัฐบาลสังกัดกรมอาชีวศึกษา ได้รับเงินเดือน เดือนละ ๓๔ บาท (พ.ศ. ๒๔๘๐) เมื่อไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนประถมการช่างใหม่ ๆ มีนักเรียนเพียง ๑๖ คนล้วนแต่เป็นเด็กที่เกเรเหลือขอจนกระทั่งครูใหญ่คนก่อนต้องขอย้ายไป เมื่อเป็นครูใหญ่อยู่ที่ นี่ก็ต้องทำงานหนักมาก หลักสูตรการเรียนการสอนไม่มีเลย อาศัยความรู้เมื่อครั้งที่ไปเรียนฝึกหัดครู ฯ ร่างหลักสูตรขึ้นมาเองทั้งหมด ได้เอาใจใส่ทุ่มเทให้กับการงานอย่างจริงจัง ปราบนักเรียนเกเรจนอยู่ในโอวาททุกอย่าง เรียนจบทุกคน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left>การศึกษาและการทำงาน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left>ก็เป็นที่ยอมรับของจังหวัด หลวงพ่อได้ครองถ้วยชนะเลิศบาสเกตบอลและแบดมินตัน หลายสมัยด้วยกัน ท่านสอนอยู่โรงเรียนประถมการช่างชุมพร ได้ ๘ ปี</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left><TABLE height=179 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="85%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width="22%" height=124>[​IMG]</TD><TD vAlign=center align=middle width="25%">[​IMG]</TD><TD vAlign=center align=middle width="27%">[​IMG]</TD><TD vAlign=center align=middle width="26%">[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=pgreen vAlign=center align=middle width="22%" height=42>ชนะเลิศแบตมินตัน
    พ.ศ.๒๔๗๕
    </TD><TD class=pgreen vAlign=center align=middle width="25%" height=42>แข่งขันบาสเกตบอลกับ
    ร.ร.จีนทีมหัวเขียว
    </TD><TD class=pgreen vAlign=center align=middle width="27%" height=42>จบการศึกษาฝึกหัดครู
    พ.ศ. ๒๔๗๓
    </TD><TD class=pgreen vAlign=center align=middle width="26%" height=42>วันพุธ ที่ ๒๔ ก.ค.
    พ.ศ. ๒๕๐๖
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left>๑๗ กรกฎาคม ๒๔๘๔ หลวงพ่อได้ลาออกจากราชการ เพราะมีเรื่องขัดแย้งกับผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรในสมัยนั้น ภายหลังจากออกจากราชการแล้วได้ประกอบอาชีพส่วนตัว ด้วยการรับเหมาก่อสร้าง รับจ้างทำเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ต่าง ๆ อยู่ภาคใต้ที่ ยะลา เบตง และทุ่งสง นครศรีธรรมราช</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left>ประวัติครอบครัว
    ปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ได้อยู่กินกับโยมอุปัฏฐากคนแรกชื่อ ผาย นามสกุลเดิม ทองคำ มีบุตรด้วยกัน ๔ คน เป็นชาย ๒ หญิง ๒ คือ
    ๑. ด.ช.อนุ แซ่ลิ่น ถึงแก่กรรมเมื่อยังเด็กอายุ ๗ ขวบ
    ๒. ด.ญ.สุดา แซ่ลิ่น ถึงแก่กรรมเมื่อยังเด็กอายุ ๖ ขวบ
    ๓. นางอุษา เกษธำรง ปัจจุบันเกษียณอายุราชการในตำแหน่งสุดท้ายหัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป
    สำนักงานการปะถมศึกษา อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
    ๔. นายวีระ เกษธำรง ปัจจุบันทำงานส่วนตัวอยู่ที่อำเภอละงู จังหวัดสตูล ต่อมา โยมอุปัฏฐากคนแรกได้ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓
    ได้แต่งงานใหม่ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔กับโยมอุปัฏฐากคนปัจจุบัน ชื่อ สมศรี อนุเผ่า มีบุตรด้วยกัน ๒ คนคือ
    ๑. นายชัชวาล เกษธำรง ปัจจุบันรับราชการในหน่วยงานอุตสาหกรรมจังหวัดชุมพร เป็นลูกจ้างประจำ
    ๒. นางฤดี แจ้งใจ ปัจจุบันเกษียณก่อนอายุราชการ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นครูโรงเรียนบ้านท่าแซะ อ.ท่าแซะ จังหวัด ชุมพร
    สามีเป็นอดีตศึกษานิเทศก์

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left>ก่อนที่หลวงพ่อตัดสินใจบวชไม่สึก มีเหตุการณ์สืบเนื่องกันมาจากงานรับเหมาของท่านหมดลงจึงได้ไปติดต่องานที่ บริษัทปูนซีเมนต์ ตำบลท่าวัง อำเภอทุ่งสง วันหนึ่งหลังจากมีงานเลี้ยงกันในพวกที่ทำงานร่วมกัน ท่านได้ขี่จักรยานกลับบ้านเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม สวนกับรถ๑๐ ล้อ จึงหลบรถ ทำให้ท่านตกลงไปในคูข้างถนน แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรท่านมาคิดสังหรณ์ใจว่าหากมีชีวิตเป็นฆราวาส สักวันหนึ่งคงประสบอันตรายถึงชีวิตต่อมาประมาณ ๗ วันก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอีก โดยรถสอง แถวขับมาเฉี่ยวรถจักรยาน ของท่านทำให้ล้มลง บาดเจ็บมีบาดแผลบริเวณคิ้วแตกเย็บ ๓ เข็ม ท่านจึงค่อนข้างแน่ใจว่าหากไม่บวชคงต้องตายโหงแน่ พอดีได้ข่าวว่าคุณน้าที่สวี หกล้มหัวแตกเลยกลับมาเยี่ยม คุณน้าเล่าให้ฟังว่า มีพระธุดงค์มาจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำขวัญเมือง ๑ รูป</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD class=pback width=602>ท่านนั่ง กรรมฐานเก่งเป็นพระปฏิบัติทางด้านสมถวิปัสสนาสามารถทำฌานได้จึงให้คุณน้าพาไปพบท่าน ได้เรียน ถามถึงเรื่องการทำสมาธิ คือรูปฌาน ๔ ท่านก็อธิบายให้ฟังได้และอุบาสกอุบาสิกาศิษย์ของท่านก็ทำได้ ตัวท่านเองก็สามารถเห็นนิมิตต่าง ๆ ได้ เมื่อได้พบกับครูอาจารย์ที่ทำฌานเป็น ซึ่งหลวงพ่อท่านได้เสาะ แสวงหามานาน ยังไม่เคยพบอาจารย์ องค์ไหนทำฌาน ๔ เป็น จึงคิดอยากจะบวช เมื่อกลับไปบ้านคุณน้า ก็นอนคิดอยู่ คุณน้าก็ก็พูดว่า "บวชเสียเถอะ ขืนเที่ยวอย่างนี้ตายไปคงไม่มีใครพบกระดูกแน่" และน้อง - สาว ( ลูกคุณน้า ) ยังได้พูดสบประมาทและท้าทาย ว่า "หากบวชได้จะให้ผ้าไตร ๑ ชุด ถ้าไม่บวชจะไม่ ่ให้เข้าบ้าน" ท่านรู้สึกโกรธจึงรับคำท้านั้นว่า "ถ้าซื้อมาเมื่อไรจะบวชทัน ที" คุณน้าของท่านรู้ดีว่าท่าน เป็น คนพูดจริงทำจริง จึงได้ไปซื้อผ้าไตรมาให้ และวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๑๐ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หลวงพ่อได้บวช ณ วัดโพธิเกษตร อำเภอสวี มี พระครูวิจิตรกรณีย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เพ็ชร เป็นกรรมวาจาจารย์ บวชแล้วมาจำพรรษาอยู่วัดถ้ำขวัญเมืองกับ พระอาจารย์ทองเชื้อ ฐิตสิริ ซึ่งเป็นศิษย์กรรมฐานของ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล พอตอนเย็นพระอาจารย์ทองเชื้อก็เขียนกรรมฐาน ๕ (เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ)ให้ไปท่องบริกรรมภาวนา ท่านจึงขออนุญาตไปภาวนาที่กุฏิเพราะอาย อุบาสกอุบาสิกาที่เขาทำฌาน กันเป็นแล้ว เมื่อภาวนา กรรมฐาน ๕ ได้ไม่กี่นาที ฌาน ๒ อุพเพงคาปีติ ก็ขึ้นทันทีสั่นไปทั้งตัว เสียงดังโครมครามไปหมดได้แค่ฌาน ๒ เท่านั้นก็เห็นนิมิตตัวเองนั่งอยู่ข้างหน้าแต่เป็น คฤหัสถ์อยู่ เห็นครึ่งตัวสวมเสื้อยืด คอแบะสีน้ำตาล ไว้ผมยาวหวีแสกข้าง สักประเดี๋ยวก็เห็นขันน้ำมาวางอยู่ข้างหน้า มีน้ำใสอยู่เต็มขันก็รู้ขึ้นมาทันทีว่า อ๋อ น้ำใส เต็มขันนั้นเป็นปริศนา เปรียบเทียบ เหมือนจิตเรานั่นเอง เพราะจิตไม่มีตัวตน เมื่อออกจากกรรมฐานแล้วจึงไป เล่าให้อาจารย์ ้ฟัง ท่านอาจารย์ก็ถามว่า "หลวงน้า ( หมายถึงหลวงพ่อ) เห็นอย่างนั้นหรือ" ก็ตอบท่านว่า " เห็น" อาจารย์ทองเชื้อก็พยากรณ์ว่า "ผู้ที่เห็นนิมิตอย่างนี้มีน้อย(คือผู้ที่เห็นตัวเองออกมานั่งอยู่ข้าง หน้าอย่างนี้)เป็นผู้มีวาสนาสามารถปฏิบัติให้บรรลุถึง นิพพานในชาตินี้ได้"หลวงพ่อท่านก็ตอบอาจารย์ของ</TD><TD class=pback width=78>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=left border=0><TBODY><TR><TD class=pback vAlign=top align=left>ท่านว่า"กระผมไม่ได้คิดอะไรถึงขั้นนั้นครับท่านอาจารย์ เพราะผมไม่รู้ ว่า นิพพานไปทางไหน" ในขณะที่ทำฌาน ๒ ได้แล้วนั้นรู้สึกเกิดความอิ่มเอิบใจเป็นที่สุด มีความมั่นใจและเชื่อมั่นถึงคำสั่ง สอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเป็นของแท้แน่นอนเมื่อบวชแล้วท่านอาจารย์ผู้สอนเรายังไม่รู้ก็จะแสวงหาอาจารย์ ผู้รู้ต่อไปไม่คิดกลับบ้านแน่นอน เมื่อบวชแล้ต้องเรียนให้รู้ ถ้าไม่รู้ก็ขอสู้แค่ตาย และหลวงพ่อท่านก็ได้ ้รู้ซึ้งถึงพระธรรม สมปรารถนา มีเหตุการณ์ที่หลวงพ่อจะออกไปจากวัดถ้ำขวัญเมืองหลายครั้ง เพราะวัดนี้ใครมาอยู่ก็มักจะอยู่ไม่ได้ แต่วันหนึ่ง มีเทวดาหกองค์มาทำอัญชลี นิมนต์ให้หลวงพ่ออยู่ตลอดไปซึ่งหลวงพ่อก็รับคำนิมนต์และสามารถอยู่จนสิ้นอายุของท่าน



    ต้องกราบขออภัยทางวัดถ้ำขวัญเมืองด้วยครับที่นำมาโพสท์ ในเวบพลังจิตแห่งนี้ เนื่องด้วยเกรงว่าจะมีสมาชิกที่ไม่เห็นด้วย ปรามาสหลวงปู่สรวง อยากให้รับทราบกันทั่วไปครับว่า รูปฌาณ ๔ กรรมฐาน ๕ มีอยู่จริงไม่ได้มั่ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2007
  19. สิงห์แดง

    สิงห์แดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +153
    แหมพอ 4 ทีไร จิตกับกายมันรู้กันไปหมดรับ-ส่งกันเป็นอย่างดี ไอ้อาการชา พอเหยียดแข้งขาได้แล้วหดมาคู้เหมือนเดิมมันก็ทันกัน
     
  20. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ทางไปนิพพานมีหลายทาง ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...