เปิดศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งใหม่ "อาศรมท้ายทุ่ง" เป็นครอบครัวชาวนา รับทีละ 1 ท่านครับ

ขอให้ท่านที่เคยไปฝึกช่วยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานที่ครับ
ส่วนท่านที่ไม่เคยไป แสดงความคิดเห็นมุมอื่นๆ ได้ครับ

 

สอนมีเหตุผล เป็นกันเอง
ไม่มีเรื่องอิทธิฤทธิ์ของขลัง
แต่คลายเครียดได้จริง หายทุกข์ได้ระดับหนึ่ง
และเพิ่มสติปัญญาได้มากครับ

 

สถานที่เป็นกันเอง บ้านชาวนาไม่หรูหรา ถ้าเคยนอนเต้นน่าจะอาศัยอยู่ได้
เป็นกันเองแบบเพื่อนเยี่ยมเพื่อนค่ะ อยู่ไม่เกินลำปาง ใกล้ๆ พิษณุโลกค่ะ
มาจากทางเหนือก็ไม่ไกล ทางกรุงเทพฯ ก็พอไหวค่ะ

 

อยากเห็นรูปค่ะ

 

ไม่สวยงาม แต่สงบพอควร ไม่ใช่ที่เที่ยว ความสำคัญอยู่ที่คนที่ถ่ายทอดวิชชาให้ มีหลายคน เป็นกลุ่มสหายธรรม สามรถเลือกได้จากคนที่เคยไปแล้วครับ (รวมผมด้วย) ที่นี่สอนสองทาง

1. สู่นิพพาน
2. สู่พุทธภูมิ


ส่วนปัจเจกภูมิ ไม่ยุ่ง ไม่สอน (ที่นั่นมีปัจเจกภูมิอยู่หนึ่ง พึงระวัง)

 

ขอให้ตั้งใจจริง ไม่ตั้งใจปฏิบัติอย่าไปให้เสียเวลา
มีวิชชาทุกแบบ รูปฌาน อรูปฌาน ลมปราณ 7 จักระ ตันตระ โยคะ ครบ
ทดลองเอง พิสูจน์เอง รู้ได้เอง เป็นปัจจัตตัง

 

โคตรภูญาณ คือ คนหันหลังให้ทางโลก แต่อาจยังไม่ตรงต่อนิพพาน
จึงยังไม่ได้บรรลุโสดาบัน จะบรรลุเองไมได้ ต้องให้ผู้รู้ธรรมช่วย

ที่นี่ช่วยได้ครับ

 

ที่นี่อยู่ใกล้วัด ไม่รับเงินทำบุญเพราะไม่ใช่วัด ไม่ใช่สถานปฏิบัติธรรม
หากต้องการทำบุญให้ทำที่วัดครับ แต่เปิดให้ญาติธรรม เข้ามาสนทนาธรรม และฝึกได้
เลี้ยงดูเหมือนญาติหรือเพื่อนคนหนึ่ง ไม่ใช่โรงแรม เป็นแค่บ้านเพื่อนเท่านั้น

สหายธรรมมีมากมาย ท่านที่เคยไปแล้วและแสดงความคิดเห็นคือสหายธรรม
ที่สามารถนัดหมายมาแลกเปลี่ยนวิชชาความรู้กันได้ครับ

 

สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์เคยจำพรรษาที่บ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
และอาศัยบ้านฆราวาสในการจำวัด ยังไม่มีวัดอาศัยมาก่อน ก็ไม่ผิดอะไร


ที่นี่ก็ทำอย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี แต่รวมสหายธรรมดีๆ ไว้ด้วยกัน
ไม่เน้นคนมาก แต่เน้นสำเร็จจริง ได้มรรคได้ผล (เท่าที่ได้สัมผัส)
พอดีได้พบคุณ "คนขายธูป" และได้แลกเปลี่ยนวิชชาความรู้ทางธรรมกัน
แต่คนขายธูปถูกแบนมาโพสไม่ได้ เลยแจ้งไว้ที่นี้แทนว่า ท่านที่ต้องการ
ฝึกจิตแบบคุณคนขายธูปก็พบได้ที่นี่ครับ (แต่ต้องนัดก่อนนะครับ)

 

เจ้าของบ้านอยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก คนลูกเป็นคนแลกเปลี่ยนความรู้ทางธรรม
คนแม่ปฏิบัติได้มรรค ได้ผลในระดับหนึ่ง และยังทำตัวเป็นชาวนาเหมือนเดิม


ท่านอิกคิวซัง อยู่วัดก็ยังทำนา ปลูกผัก ผ่าฟืน หุงต้มได้
ที่นี่ เจ้าของจะทำสวนผักและผลไม้ ฯลฯ ไป สนทนาธรรมไป
ไม่มีพิธีรีตอง เหมือนเพื่อนไปเจอเพื่อนเพื่อนปรับทุกข์ หาทางพ้นทุกข์


อยากรู้จักเซนแท้ๆ ก็ต้องพิสูจน์ดูเอง

 

อิทัปปัจจยตา ๙


เหตุเกิดเหตุดับคือเหตุเดียวกัน
ไม่มีเหตุอื่นทำให้มันดับ
เพราะมันทรงสภาพ "ตั้งอยู่" ไว้ไม่ได้ ตามหลักอนิจจังไม่มีอะไรเที่ยงแท้
ดังนั้น "มันจึงดับเพราะมันเอง" ไม่ใช่เพราะเหตุอื่น


เมื่อเราถูกคนฟาดหัวแตก เพราะเราเองนั่นแหละ ก่อเหตุต้นกรรมไว้
จึงต้องมารับผลกรรมโดนฟาดหัวแตก แม้เขาคนนี้ไม่ฟาดหัวเราแตก
เราก็หนีเหตุต้นผลกรรมไม่พ้น จะต้องหัวแตกด้วยปัจจัยอื่น

เหตุสภาวะ ๓ คือ

1. เหตุกำลังเกิดขึ้น
2. เหตุกำลังตั้งอยู่
3. เหตุกำลังดับไป


และระหว่างการเกิดขึ้น, ตั้งอยู่ และดับไปนั้น จะมี "ปัจจัย" เข้ามาร่วมปรุงแต่ง
หากหลงคิดว่าปัจจัยภายนอกที่เข้ามาปรุงแต่งนั้นเป็นสาเหตุแล้วก็เท่ากับหลง
กล "อภิสังขารมาร" คือ หลงไปโทษปัจจัยปรุงแต่งภายนอก


ปัจจัยสภาวะ ๓ คือ

1. ปัจจัยขณะกำลังเกิดขึ้น
2. ปัจจัยขณะกำลังตั้งอยู่
3. ปัจจัยขณะกำลังดับไป


ปัจจัยมีได้เป็นล้านๆ อย่างเหลือคณานับ แม้ไม่ถูกปัจจัยหนึ่งปรุงแต่ง
จัดการปัจจัยนั้นได้ก็ตาม แต่เนื่องจากสภาวะธรรมเป็น "อนัตตา" จึง
ไม่สามารถควบคุมได้แบบสมบูรณ์แบบ 100% จึงมีการรั่วไหลกระทบถึง
กันตามหลัก "ทุกขัง" ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนแปลงตามหลัก "อนิจจัง"อยู่ดี


เหตุใกล้สภาวะ ๓ คือ

1. เหตุใกล้ก่อนเกิด
2. เหตุใกล้ขณะตั้งอยู่
3. เหตุใกล้ก่อนดับไป

บุคคลผู้ฝึกสติ มีกำลังญาณกว้างไกล จะไวเท่าทันทุกสถานการณ์ที่จะเกิดจะดับ
จึงพร้อมรับทุกสถานการณ์ เขาเหล่านั้นจะฝึกสติให้ว่องไว ฝึกสมาธิให้มีกำลัง
ญาณมาก จึงรับรู้ "เหตุใกล้" ก่อนที่เหตุจะ เกิดขึ้น, ตั้งอยู่ และดับไป ได้

เขาจึงปรับตัวเร็วกว่าผู้อื่น


ยกตัวอย่างเช่น

เมื่อโปรยสารทำฝนเทียม สารนั้น คือ "ปัจจัย" ไม่ใช่เหตุให้ฝนตก
จากนั้น ฝนเริ่มตั้งเค้าจะตก กบจึงร้อง "กบ" ก็ไม่ได้เป็นสาเหตุให้ฝนตก
แต่กบร้อง เป็น "เหตุใกล้" ที่เกิดก่อนฝนตก
ถ้ารู้เท่าทันเหตุใกล้ก็จะเตรียมการณ์ได้ทันก่อนฝนตก
ส่วนเหตุที่ "ฝนตก" ก็เพราะ "สภาพฝนไม่ตกได้ดับลงไป" นั่นเอง

 

สำหรับ "เหตุใกล้" นี้ ทางวิชาการสมัยปัจจุบันใช้
"สมมุติบัญญัติ" ว่า "ดัชนีชี้วัด" หรือ "Index" นั่นเอง

 

เซนไร้อักษร มีอักษรไม่ใช่เซน
เพราะไร้อักษร จึงไร้ขอบเขต
อักษรเป็นทางผ่านไปสู่เซน
เซนเหนืออักษรคำบรรยาย

(ชาไม่รู้ คือ หนึ่งในนั้นผู้เยี่ยมเยือน)

 

แล้วไปอย่างไร ติดต่ออย่างไรครับท่าน

 

PM มาคุยส่วนตัว โดยเฉพาะเรื่องความทุกข์ใจ
ผมจะเสนอแนวทางออกให้คลายความเครียดนั้นไปปฏิบัติก่อน
เมื่อถึงจุดที่สมควรมาเจอกัน และพร้อมทั้งคู่ จึงจะบอกว่าที่ใด


ขอไม่บอกสถานที่ตั้งในที่สาธารณะครับ

 

ปุจฉาวิสัชนาของชาวอาศรมท้ายทุ่ง

1.พระมหาโพธิสัตว์กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างกันเช่นไร

ตอบ พระมหาโพธิสัตว์ไม่ปรารถนาว่าตนจะได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ แต่ปรารถนาจะช่วยสรรพสัตว์
ตลอดไป ดังนั้น พระมหาโพธิสัตว์บางองค์ไม่ได้ตรัสรู้เอง ไม่มีสัพพัญญูญาณ แต่โปรดสัตวืได้ด้วยการ
เกิดใหม่และบรรลุธรรมได้หลายครั้ง ส่วนพระพุทธเจ้านั้นต้องมีการตรัสรู้เองโดยชอบได้สัพพัญญูญาณ
แล้วยังต่างจากพระปัจเจกพุทธเจ้าอีกข้อ คือ ต้องบรรลุธรรมขั้นยูไล คือ ธรรมที่สามารถหมุนธรรมจักร
สร้างศาสนาได้อีกด้วย ดังนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้ได้สัพพัญญูญาณก็จริง แต่สร้างศาสนาไม่ได้
เพราะขาดธรรมระดับยูไล

2.พระยูไล กับ พระสัมาสัมพุทธเจ้าต่างกันเช่นไร

ตอบ ยูไลเป็นระดับขั้นการบรรลุธรรม เมื่อบุคคลบรรลุอรหันต์แล้ว ยังไม่ได้สัพพัญญาณก็มี บุคคลหากบำเพ็ญเพียรต่อไปอีกจะบรรลุธรรมสูงขึ้นไประดับที่สามารถสร้างหรือขับเคลื่อนธรรมจักรได้ เรียกว่ายูไล ดังนั้น คำแปลที่ว่า "ยูไล" แปลว่าพระพุทธเจ้า จึงเป็นความเข้าใจผิด เช่นพระยูไลฮุดสังกัจจายน์ หมายถึง
พระยูไลองค์นี้สำเร็จธรรมสามารถเคลื่อนธรรมจักรได้ แต่ไม่ได้ตรัสรู้เอง ไม่มีสัพพัญญูญาณ จึงไม่ใช่พระ
พุทธเจ้า

3.สุขาวดีกับสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นคนละสถาณที่ใช่หรือไม่

ตอบ สวรรค์ทั้งหกชั้นนั้น ถามว่า"พรหมโลก" อยู่ชั้นไหน?
หากพรหมโลกยังไม่ได้อยู่ในระบบสวรรค์ทั้งหกชั้นแล้ว
ถามว่าจะมีดินแดนหรือภพอื่นอีกหรือไม่ที่นอกจากพรหมโลก
ซึ่งไม่ใช่ทั้งนรกและสวรรค์?

อีกประการหนึ่ง ท้าวสันดุสิตปกครองสวรรค์ชั้นดุสิตใช่หรือไม่?
แต่สุขาวดี มีพระอมิตาภพุทะเจ้าเป็นผู้สร้างและปกครองดูแลทั้งหมด?

เรียกว่าจะเป็นภพหรือดินแดนเดียวกันอีกหรือ?

4.การตั้งความปราถนาเป็น"ยูไลนารายณ์" กับ การตั้งความปราถนาเป็น "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" เหมือนหรือต่างกันเช่นไร

ตอบ อุปมาเหมือนคนปรารถนาจะสร้างเมือง เป็นงานที่ยาวนาน จึงสร้างบ้านขึ้นก่อนเพื่อให้สามารถสร้างเมืองได้จนสำเร็จ ความปรารถนายูไลนารายจึงเป็นเฉพาะชาติเปรียบเหมือนสร้างบ้านเพื่อสร้างเมืองฉะนั้น ส่วนความปรารถนาพุทธภูมิเป็นเรื่องระยะยาวเปรียบเหมือนการสร้างเมืองฉะนั้น

5.มหาเทพเช่น องค์นารายณ์ ต่างกับเทพอื่นๆอย่างพระอินทร์และเทวราชผู้ปกครองสวรรค์ชั้นต่างๆเช่นไรและกุศลใดที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างมหาเทพกับเทพเหล่านั้น

ตอบ มหาเทพมีอิสระไม่ต้องมีภาระหน้าที่ปกครองสวรรค์โดยตรง แต่พระอินทร์
และท้าวผู้ปกครองสวรรค์ชั้นต่างๆ มีหน้าที่ปกครองสวรรค์ชั้นนั้นๆ โดยตรง

6.ภพ ภูมิของเหล่ามหาเทพคือสวรรค์ชั้นใด

ตอบ ไม่แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุคคลจะสัมผัส เช่น คนๆ หนึ่งนับถือองค์นารามาก เมื่อเทวดาประจำตัว
เขาปรากฏตัวช่วยเหลือตามคำสั่งของพระอินทร์ ก็สามารถปรากฏใน "รูปนาราย" ได้เช่นกัน
(หากได้รับอนุญาติแล้ว) ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนบนโลกเข้าใจสมมุติบนโลก ผ่านทางศาสนา แต่บน
สวรรค์นั้น เทพและมหาเทพมีความแตกต่างจากเทวรูปและรูปเคารพบนโลกมาก เมื่อต้องพบเจอ
เทพหรือมหาเทพ จำต้องอาศัย"รูป" ที่คนเคารพเป็นเครื่องสื่อ

7.มหาโพธิสัตว์ แตกต่างกับ พระโพธิสัตว์ เช่นไร ทั้งนิยตโพธิสัตว์ และ อนิยตโพธิสัตว์

ตอบ บารมีต่างกัน

อนิตยโพธิสัตว์ บารมีอ่อน อาจละทิ้งพุทธภูมิไปก่อน
นิตยโพธิสัตว์บารมีแข็งแกร่ง ไม่ทิ้งพุทธภูมิแน่แท้แล้ว
มหาโพธิสัตว์ โปรดสัตว์ตลอดไปไม่นิพพาน ไม่หวังเป็นพระพุทธเจ้า (ยกเว้นพระศรีอาร์ฯ)

8.มหาเทพนารายณ์ กับ ยูไลนารายณ์ ต่างกันเช่นไร

ตอบ มหาเทพนาราย ไม่ได้บรรลุธรรม ไม่บรรลุอรหันตธรรม ไม่บรรลุธรรมระดับยูไล จึงช่วยคนให้บรรลุไม่ได้ ช่วยหมุนธรรมจักรก็ไม่ได้ แต่ใช้อิทธิฤทธิ์ปราบมารเพื่อช่วยคนได้

http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2007/10/31/entry-16/comment#read