ทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศ(The Return of Ancient Astronauts )

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย หนุมาน, 27 เมษายน 2005.

  1. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=5 width="82%" align=center border=2><TBODY><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG] [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ตอนที่ 1 สุเมเรียน (ต่อ)[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]สัญลักษณ์แทนตัวพระเจ้าของชาวสุเมเรียนนั้นก็ประหลาดเอาการเช่นกัน เพราะทุกองค์มักมีดวงดาวเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ สิ่งที่ทำให้นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีฉงนฉงายก็คือ ดวงดาวที่หมายถึงสัญลักษณ์ของพระเจ้าเหล่านั้นแทบทุกดวงมีวงกลมขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างล้อมรอบ ราวกับดาวบริวารกำลังโคจรรอบดาวแม่ นั่นหมายถงึจักรวาลที่พระเจ้าของพวกเขาปกครองหรืออาศัยอยู่หรือเปล่า อันนี้น่าคิดนะครับ[/font]

    [​IMG] [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]พระเจ้าจากอวกาศ[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]พระเจ้าองค์สำคัญๆของชาวสุเมเรียนได้แก่ เอนกิ(Enki) เทพแห่งน้ำ, กิ(Ki) เทพแห่งผืนแผ่นดิน, เอนลิล(Enlil) เทพแห่งห้วงอวกาศ หรือบรรพเทพ อัน(An) ผู้ปกครองสรวงสวรรค์เป็นต้น ชาวสุเมเรียนศัรทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า และเชื่อกันว่าพระเจ้าของพวกเขาเสด็จลงมาจากท้องฟ้าที่แสนไกล ท้องฟ้าที่หมายถึงท้องฟ้าเบื้องบนนะครับ หาได้หมายถึงสวรรค์แต่ประการใดไม่ [/font]

    [​IMG]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]อยู่กับนายโซนิคมานานขนาดนี้ คงไม่ต้องฉายซ้ำหรอกนะครับ ว่าพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเสด็จมาจากไหน อย่างไร และทำอะไรกับโลกมนุษย์ใบนี้บ้าง สำหรับแฟนใหม่แล้ว ผมอยากจะแนะนำคำๆนึงซึ่งผมจะเอ่ยถึงเสมอๆเวลาอ้างถึงพระเจ้าของชาวสุเมเรียน นั่นคือคำว่า Anunnaki (อ่านว่า AN.UNNA.KI) แปลให้ตรงตัวคือ who from heaven to Earth came ซึ่งในบางครั้งชาวสุเมเรียนบรรยายถึงพระเจ้าเหล่านี้ด้วยอักษรภาพ โดยคำสำคัญที่เป็นส่วนประกอบเสมอคือคำว่า GIR เช่น DIN.GIR และ KA.GIR โดยไอ้เจ้าตัว GIR เป็นอักษรภาพที่มีรูปพรรณสันฐานคล้ายจรวดในปัจจุบันมากครับ โดยรวมแล้วความหมายของ GIR เมื่อประกอบเข้ากับคำอื่นๆแล้วก็อาจแปลความได้ว่า The Righteous one of the blazing rockets ไปเลย วู๊... เท่ห์ไม่ใช่เล่น น่าเสียดายที่สมัยนั้นนักโบราณคดีของเราไม่รู้จักจรวด หรือต่อให้รู้จักเค้าก็อาจคิดว่าเหลวไหลที่คนโบราณจะไปรู้จักหรือจินตนาการถึงจรวดไปได้ ความหมายของคำพวกนี้เมื่อถ่ายทอดออกมาในวงการโบราณคดี จึงเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งดูแล้วเป็นเทพนิยายไปนู่นเลย[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เรื่องการผิดเพี้ยนของศัพท์เมื่อแปลจากตำนานโบราณนั้นหาใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดเลย บางครั้งคำที่พวกเราคุ้นเคยกันดี ก็มาจากการแปลที่ผิดความหมาย หรือการตีความอย่างไม่รู้ของผู้แปล เช่นคำว่า Nefilim ในไบเบิล ซึ่งภาคภาษาไทยใช้คำว่ายักษ์ นั้น เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับ Anunnaki ของชาวสุเมเรียน และคำว่าเอโลฮิมอันเป็นพระเจ้าของชาวฮีบรูว์โบราณ ปัจจุบัน พวกเรารู้จักความหมายของศัพท์พวกนี้ในคำว่า Giants ไปซะฉิบ อย่างว่าแหละนะ ภาษามันดิ้นได้นี่นายจ๋า... [/font]

    [​IMG]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]มาดูความเชื่อของชาวสุมเรียนที่น่าฉงนกันอีกสักตัวอย่างนะครับ เป้นความเชื่อที่สวนกระแสชาติอื่นเมืองอื่นเค้าน่าดูเลย กล่าวคือพวกเขาเชื่อมั่นในความเป็นเอกภาพของมนุษยชาติครับ ตำนานของชาวสุเมเรียนมีว่า กาลครั้งหนึ่งมนุษย์เคยอยู่ร่วมกันเป็นชาติเดียว พูดจาภาษาเดียว สรรเสริญเทพองค์เดียวกันทั้งโลก (คล้ายกับเรื่องของหอคอยคนบาป - - บาเบล ในคัมภีร์ไบเบิลไหมครับ?) เป็นสังคมที่ปลอดภัย สงบสุข คล้ายยุคพระศรีอาริย์ในคติพุทธ ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ บ้านอื่นเมืองอื่นเค้าเชื่อกันว่า ยุคดังกล่าวจะมาถึงหลังวันสิ้นโลกบ้าง วันหมดกัลป์บ้าง แต่ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีวันจะมาถึงหรอกครับในอนาคตน่ะ เพราะในอดีตมันเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ภายหลังจบสงครามแห่งทวยเทพแล้วยุคที่ว่าจะไม่มีวันบังเกิดขึ้นอีกเลย ก็คงจริงของเค้านะครับ เพราะอาณาจักรสุเมเรียนก็ล่มสลายไปแล้ว ต่อให้ยุคนั้นมาถึงจริง ชาวสุเมเรียนก็ไม่มีวันได้เห็นหรอก[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ขอยกบทกวีของชนชาติซูเมอร์ที่อ้างอิงถึงยุคแห่งเอกภาพมาสักบทเถอะครับ อ่านกันเล่นๆแล้วอย่าหมั่นไส้ผมล่ะ รายละเอียดนั้นก็มีอยู่ว่า[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]Once upon a time...[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]there was no snake, there was no scorpion,[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]there was no hyena, there was no lion,[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]there was no wild dog, no wolf,[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]there was no fear, no terror,[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]Man had no rival,[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]Once upon a time...[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]the whole universe, the people in unison,[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]to Enlil is one tongue gave praise.[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เป็นไงล่ะครับ ราวกับว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วบนโลกใบนี้ ก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่พวกเรารู้จักจะอุบัติขึ้น สังคมมนุษย์ถูกปกครองโดยพระเจ้าผู้เสด็จลงมาจากห้วงอวกาศด้วยยานสีเพลิง นอกจากหลักฐานอันเป็นแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียนแล้ว แถบนั้น ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีอีกหลายชิ้น ที่ช่วยสนับสนุนทฤษฎี Ancient Astronauts ของเราเป็นอย่างดีเลยครับ โดยไอ้เจ้าหลักฐานดังกล่าวนั้นได้แก่[/font]

    • [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ภาพวาดรูปก้นหอย อายุ 5 พันปีที่ จีฮอย ทีปิ[/font]
    • [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]หินเหล็กไฟโบราณ อายุ 4 หมื่นปีที่ การี โคเบห์ และอายุ 2 หมื่นกว่าปีที่ บาราไดเสตียน[/font]
    • [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]รูปภาพหลุมศพและเครื่องใช้ทำด้วยหิน อายุ หมื่นสามพันปี ที่ทีปิ อาฮิบ[/font]
    • [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]โครงกระดูกผู้ใหญ่และเด็กซึ่งถูกพบที่ถ้ำชานเดียร์ ทั้งหมดนี้มีอายุประมาณ 450,000 BC ตรวจสอบอายุด้วยคาร์บอน 14 (ซึ่งคลาดเคลื่อนได้ง่ายมากนะจ๊ะ จะบอกให้)[/font]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นอกจากหลักฐานดังกล่าวแล้ว ยังพบภาพของคนที่มีเครื่องประดับรูปดาวอยู่บนศีรษะ บางรูปเป็นคนยืนอยู่บนรูปกลมที่มีปีก และแน่นอนครับ รูปที่ขาดไม่ได้คือวงกลมเล็กๆที่มี่วงกลมเล็กกว่าโคจรล้อมรอบเป็นชั้นๆอย่างมีระเบียบ ซึ่งหากเด็กๆของเราได้เห็นเข้าล่ะก็ พวกเขาจะบอกได้ทันที่ว่า นั่นคือรูปของดาวฤกษ์และดาวบริวาร หรือยิ่งกว่านั้นก็เป็นรูปโครงสร้างอะตอมไปนู่นเลยครับ[/font]

    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE cellSpacing=4 cellPadding=4 width="80%" align=center border=2><TBODY><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG] [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ตอนที่ 1 สุเมเรียน (ต่อ)[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เห็นหลักฐานแล้วกลุ้มครับ เนื่องจากทุกอย่างบ่งบอกกับเราว่าเมื่อประมาณ 4-5 หมื่นปีก่อนในแถบเมโสโปเตเมียนั้น เป้นเพียงแค่ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ถ้ำยุคหินเท่านั้นเอง แล้วจู่ๆชาวสุเมเรียนกลับมาตั้งถิ่นฐานสร้างอารยธรรมขึ้นที่นั่น พร้อมวิทยาการ วัมฯธรรม และความรู้ทางดาราศาสตร์เสียเสร็จสรรพ ไม่มีพัฒนาการ มีไม่มีคำอธิบาย ไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากร่องรอยของความรุ่งเรืองในอดีต ทิ้งให้คนยุคใหม่อย่างพวกเราฉงนเล่นซะอย่างนั้นว่า ใครกันหนอคือต้นตอของความเจริญทางอารยธรรมเหล่านี้[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ถ้าท่านอยู่กับเว็บไซต์นี้มานานพอ ก็อาจจะได้คำตอบอยู่ในใจแล้วนะครับว่า ในอดีตอันนานนมนั้น มีนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งซึ่ง(อาจจะบังเอิญหรือจงใจ)ลงมายังโลกมนุษย์ ได้พบกับคนป่าเถื่อนยุคหินบนโลก พวกเขาถ่ายทอดความรู้ อารยธรรม และความเป็นอยู่แบบสังคมเมืองให้ รวมไปจนกระทั่งถึงการดัดแปลงบางอย่างเกี่ยวกับพันธุกรรมของคนพื้นเมืองเพื่อให้มีคุณสมบัติพอที่จะอยู่อย่างศิวิไลซ์ได้ [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]รูปภาพพระเจ้าของชาวสุเมเรียนที่เราเห็นกันในหลายๆที่นั้น มีลักษณะร่วมที่คล้ายคลึงกันอยู่อย่างคือ สวมแว่นแบบช่างเชื่อมแก๊ส ศีรษะมนเป็นโดม ริมฝีปากบาง จมูกโด่งเป็นสัน ทำไมพระเจ้าของพวกเขาจึงมีลักษณะแบบนั้นครับ? หรือว่านั่นคือรูปร่างที่แท้จริงของพระเจ้า ที่พวกเขาเคยได้พบเห็นมากับตา ในยุคสมัยที่มนุษย์อยู่ร่วมกับพระเจ้าบนโลกใบนี้เมื่อนานแสนนานมาแล้ว... [/font]

    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE cellSpacing=4 cellPadding=4 width="82%" align=center border=1><TBODY><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] ตอนที่ 2 Bible and other Myth[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ในการศึกษาคัมภีร์โบราณ เช่น ไบเบิล มหาภารตะ หรือมหากาพย์กิลกาเมชนั้น น่าแปลกที่ว่า มุมในการศึกษาของนักวิชาการส่วนใหญ่มุ่งไปทางวรรณคดีหรือไม่ก็ทางศาสนาเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็อย่างว่าล่ะครับ สาขาในเชิงมนุษยชาติส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้เอง การตีความงานเขียนโบราณเหล่านี้จึงเริ่มพลิกโฉมไป กลายเป็นเชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น ถึงกระนั้น คนส่วนใหญ่ก็ยังมองแนวคิดเหล่านี้ว่าเพี้ยน หรือเป็นเรื่องของพวกไม่มีอะไรจะทำอยู่ดีแหละครับ ย้อนความกันนิดนึง ว่าคัมภีร์ไบเบิลนั้นเดิมเป็นภาษาฮีบรูว์หรือว่ายิวโบราณ ซึ่งภายหลังได้ถูกถ่ายทอดเป็นเวอร์ชั่นภาษาต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อโลกในยุคหลังนี่ก็เห็นจะเป็นภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสโบราณล่ะครับ ในยุคสมัยที่ศาสนจักรเป็นใหญ่ในยุโรป ในยุคที่ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลเหนือสิ่งอื่นใด และในยุคที่คนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าโลกแบนกันอยู่ คัมภีร์นี้ถือเป็นสรณะแห่งการยึดเหนี่ยวที่ผู้ใดต้องมิบังอาจมาสงสัย หรือ มีข้อโต้เถียงต่อข้อความในคัมภีร์ซึ่งถือเป็นพระวจนะที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากพระเจ้า[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG]หลายต่อหลายตอนในไบเบิลเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยโบราณ เมือง ภูเขา แม่น้ำที่กล่าวถึง รวมทั้งเหตุการณ์สำคัญๆที่อุบัติขึ้นในประวัติศาสตร์โลก เช่น สงคราม การอพยพ ถูกต้องตรงตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่หลายเหตุการณ์ที่แทรกอยู่ในนั้นกลับมีเรื่องแปลกประหลาดน่าสนใจปะปนอยู่ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าจากอวกาศอันไกลโพ้น[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ผมขอชี้ตรงนี้นิดนึงว่า ถ้าข้อความในไบเบิลเป็นส่วนหนึ่งของการจารึกประวัติศาสตร์ (เพราะมีหลายเหตุการ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ) เหตุการณ์แปลกประหลาดที่นักวิชาการมองเป็นอภินิหารหรือความเชื่อทางศาสนานั้น มันก็น่าจะมีมูลความจริงอยู่บ้างถูกต้องไหมครับ? น่าเสียดายที่ว่า นับแต่ยุคกลางเป็นต้นมา ไม่มีใครกล้าสงสัยหรือโต้แย้งข้อความในคัมภีร์เล่มนี้ซึ่งถือกันว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใครค้านก็หัวหลุดอย่างเดียว นักวิทยาศาสตร์ที่เสนอทฤษฎีซึ่งแย้งกับไบเบิลถูกจับไปทำเสต็กก็แยะ ดังนั้นความหวั่นเกรงในจุดนี้ แต่ความกลัวในการโดนรุมประนามจากมหาชน จึงฝังรากหยั่งลึกจนไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาสงกาคัมภีร์ไบเบิลอีก ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ นักการศาสนาหลายคนก็ยังงงและอัดอั้นต่อพระเจ้าที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ พระเจ้าที่แท้จริงทำไมต้องใช้ปีกและยานพาหนะในการเดินทาง ทำไมพระเจ้าไม่ยินยอมให้มนุษย์เห็นพระพักตร์ของพระองค์ ทำไม ทำไม และทำไม...[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นักศานวิทยาผู้มีศัทรธาแก่กล้ามักให้เหตุผลว่า พระเจ้าทรงมีพระปรีชาญาณและทรงมีเหตุผลในการเหล่านี้ เกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆจะเข้าใจได้ พูดง่ายๆคือ พระองค์มีเหตุผลของพระองค์ที่พวกเอ็งไม่เข้าใจ อะไรประมาณนี้แหละครับ คงเข้าทำนองทางศาสนาพุทธในเรื่องของคำถามที่พระพุทธองค์ไม่ทรงตอบ เนื่องจากทราบไปก็ใช่จะทำให้หลุดพ้นสู่นิพพานขึ้นขึ้นมาได้ รู้ไปก็เท่านั้น [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ผมไม่เคยยืนยันว่าทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศเป็นสิ่งที่ถูกต้องนะครับ [​IMG] แต่ถ้าเอาทฤษฎีนี้มาอธิบายเรื่องราวดังกล่าว เราก็พอจะมองเห็นความเป็นไปได้อันเลือนรางของคำตอบเหล่านี้ ถูกต้องไหมครับ ลองมาพิศดูสักหน่อยเป็นไรว่า การขุดค้นลงไปในคัมภีร์ทางศาสนาของคนโบราณ ให้อะไรกับพวกเราบ้าง เมื่อถามถึงเรื่องราวของพระเจ้าจากอวกาศ[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]สมมุติว่า วันหนึ่งอารยธรรมของโลกเราพินาศลงด้วยสงครามนิวเคลียร์ระหว่างซีกโลกตะวันตกและประเทศกลุ่มอาหรับ แล้วต่อมาอีก 5 หรือ 6 พันปี เมื่อมนุษย์เจริญขึ้นมาอีกครั้ง คณะสำรวจทางโบราณคดีขุดค้นพบชิ้นส่วนของเทพีเสรีภาพเข้า คิดไหมครับว่าคำอธิบายของคณะสำรวจชุดนั้นจะว่าอย่างไร พวกเขาคงกล่าวว่ารูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นของเทพีแห่งไฟ (ดูจากคบเพลิง) หรือไม่ก็เป็นธิดาแห่งดวงอาทิตย์ (หล่อนมีริ้วทองที่ศรีษะ) หรือไม่ก็เทพีอะไรซักอย่างซึ่งเป็นตัวแทนของศัทรธาและศาสนา ใครมันจะไปนึกว่า รูปปั้นนี้คือตัวแทนทางศิลปะ เป็นสัญลักษณ์แห่งแรงบันดาลใจในเชิงศิลป์ เทียบกับนักโบราณคดีในสมัยนี้ ที่พอขุดเจออะไรพิลึกๆ พ่อก็โยนให้ศาสนาและพระเจ้าของคนโบราณเอาไว้ก่อน[/font]

    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=5 width="82%" align=center border=2><TBODY><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] ตอนที่ 2 Bible and other Myth(ต่อ)[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]หน้าที่แล้วผมได้พูดถึงอะไรบางอย่าง ที่ดูแล้วผิดวิสัยในตัวของพระคัมภีร์ไบเบิลใช่ไหมครับ สิ่งผิดวิสัยดังกล่าวนี้มีอยู่มากมายหลายจุด ขอยกตัวอย่างซักสองสามเรื่องก็แล้วกัน[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]พระเจ้าทรงดำริ จงสร้างมนุษย์จากรูปของเรา ให้เหมือนเรา[/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] : เยเนซิส 1,26[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ต้นฉบับภาษาฮีบรูว์ใช้คำว่า เอโลฮิม ซึ่งเป็นคำพหูพจน์ เมื่อแปลออกมาแล้วต้องใช้คำว่า the gods ถูกไหมครับ? ทำไมพระเจ้าต้องใช้คำพหูพจน์ ในเมื่อความเชื่อทางศาสนายืนยันอยู่ชัดแจ้งแล้วว่า พระเจ้าผู้ทรงเอกานุภาพนั้นมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น มันดูขัดๆกันไหมล่ะครับ?[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เมื่อถึงกาลนั้น มนุษย์เริ่มแพร่พันธุ์ของตน เขาให้กำเนิดลูกสาว และเมื่อบุตรของพระเจ้า เห็นลูกสาวของมนุษย์ที่มีความงามก็เลือกไปเป็นภรรยาของตน : เยเนซิส 6,1-2[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ใครคือบุตรของพระเจ้าครับ? ในเมื่อพระเจ้าของอิสราเอลไม่เคยมีบุตร ...[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ส่วนเยเนซิส 19, 1-18 ได้กล่าวถึงความพินาศของโซดอมและโกมอร์ราไว้ว่า [​IMG]ทูตสวรรค์สององค์ได้มายังเมืองโซดอมในตอนเย็น ขณะนั้นลอตกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองพอดี การพบกันของทูตสวรรค์กับครอบครัวของลอต ความพินาศของโซดอมและโกมอร์รานั้น ท่านคงอ่านกันมามากแล้วจากแหล่งอื่นๆ ดังนั้นผมไม่ต้องฉายซ้ำนะครับ สรุปแต่เพียงว่า ความพินาศของเมืองเหล่านี้ การตายของภรรยาของลอตซึ่งกลายเป็นเสาเกลือ กลับมาพ้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ระเบิดปรมาณูอย่างเหลือเชื่อ คำถามก็คือ ถ้าพระเจ้าคิดจะทำลายโซดอมจริง ทำไมทูตสวรรค์จะต้องรีบร้อนพาลอตและครอบครัวหนีไป พระเจ้าเลื่อนเวลาทำลายไม่ได้หรือ หรือว่า... เวลาที่เมืองจะถูกทำลายได้ตั้งเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ? ระเบิดอาจกำลังนับเวลาถอยหลังอยู่ หรือไม่ก็ขีปนาวุธถูกยิงออกมาแล้ว ดังนั้นลอตจึงต้องรีบหนีออกจากเมืองให้ทัน และขึ้นไปหลบซ่อนอยู่บนภูเขา อันเป็นเกราะป้องกันรังสีที่แผ่ออกมาจากอาวุธของพระเจ้า ก็ไม่รู้จะคิดมากไปหรือเปล่าน่ะนะครับ -_-"[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]มองอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าในไบเบิล ไม่ได้แตกต่างอะไรจากปุถุชนเลยในแง่ของอารมณ์และความคิด เว้นเสียแต่พระเจ้าทรงมีอภินิหาร(ซึ่งเราไม่อาจแน่ใจว่า นั่นคือสิ่งเหนือธรรมชาติหรืออำนาจของวิทยาศาสตร์)มากกว่าเท่านั้นเอง เหตุการณ์ต่างๆในไบเบิลบอกกับเราว่า พระเจ้าผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล ทรงสร้างมนุษย์และพึงพอใจ ต่อมาพระองค์ก็ทำลายมนุษย์ ถ้าพระเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสรรพสิ่ง ทำไมพระเจ้าไม่สร้างมนุษย์ให้ดีเลิศเสียตั้งแต่แรก และทำไมพระเจ้าจึงลำเอียงเข้าข้างมนุษย์เพียงบางคนหรือบางกลุ่ม เช่น ชาวอิสราเอล หรือแม้แต่ลอตกับครอบครับของเขา [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ผมเคยเล่าเรื่องของเอเซเกลไปแล้วใช่ไหมครับ เอาเป็นว่าขอทบทวนรายละเอียดอีกทีก็ได้ เผื่อบางท่านลืมๆไปแล้ว เอเซเกลเป็นนักบวชผู้เล่ารายละเอียดของการลงสู่โลกมนุษย์ของพระผู้เป็นเจ้าครับ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การเสด็จของพระเจ้าช่างละม้ายคล้ายกับการร่อนลงของยานอวกาศเสียจริงๆ เพราะมาพร้อมกับเสียงก้องกัมปนาทและหมอกควัน ตามที่กล่าวถึงในบันทึกของเอเซเกล ดังนี้ครับ[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]"ขณะนี้ผ่านไปในปีที่สิบสาม เดือนสี่ วันที่ห้าของเดือน เมื่อข้าฯอยู่เชลยริมแม่น้ำซีบาร์ ทันใดนั้นสวรรค์ก็เปิดกว้างออก ข้าฯดู... ข้าฯประจักษ์ พายุอันหมุนเคลื่อนมาจากทางเหนือ เมฆสีดำกลุ่มใหญ่และไฟลุกเอง ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้มีแสงสว่างคล้ายอำพัน มีเงาซึ่งคล้ายกับมนุษย์สี่ร่างโผล่มา แต่ละคนมีสี่หน้าและสี่ปีก เท้าของพวกเขาแข็งแรงคล้ายกับวัว ร่างของพวกเขาเป็นเงาสะท้อนคล้ายสีทองที่ขัดจนเงาเป็นมัน"[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]อ่านแล้วก็ปวดหมองตึ้บ ทำไมพระเจ้าหรือทูตของพระองค์ถึงมีรูปร่างพึลึกแบบนี้ล่ะครับ? แล้วทำไมทรงร่อนลงมาจากทิศเหนือยังกะยานอวกาศ ส่งรังสีและประกายแสง แถมมีลมหอบกระชากเล่นเอาฝุ่นทรายปลิวคลุ้งซะอย่างนั้น ลักษณะรายละเอียดทำให้ชวนนึกถึงการกล่าวถึงพระเจ้าทรงวิมานะของทางอินเดียโบราณ ที่สำคัญคือ ทำไมพระองค์ไม่เสด็จมาเฉยๆ ทำไมต้องมีเสียงและควันด้วย?[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]"ขณะที่ข้าฯมองเห็นสิ่งนั้น มันมีล้อสัมผัสพื้นดิน ลักษณะของล้อคล้ายสีเขียวมรกต ทั้งสี่มีสิ่งที่เหมือนกันคือลักษณะของล้อ และการทำงาน เหมือนมีล้ออยู่กลางเมื่อเคลื่อนที่ไปก็ไปทั้งสี่ด้าน ตอนเลี้ยวไม่เหมือนกับตอนเคลื่อนที่ มีวงซึ่งอยู่สูงและน่ากลัว วงนั้นมีตาอยู่เต็มไปหมดทั้งสี่ด้าน เมื่อสิ่งนั้นไป ล้อก็ไปด้วย เมื่อสิ่งนั้นลอยตัวขึ้น ล้อก็ลอยตัวขึ้นด้วย" [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ครับ นักลึกลับศาสตร์ทั้งหลายแหล่ ก็เลยพลอยสันนิษฐานไปว่า เอเซเกลคงเห็นยานอวกาศชนิดหนึ่ง ซึ่งวิ่งไปวิ่งมาพื้นทรายหรือดินที่มีเลนได้ ลักษณะของล้อเป็นแบบใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ยานลำนี้คงใช้หลักการเดียวกับยานโฮเวอร์คราฟบวกเครื่องเจ็ตแบบแฮริเออร์ เป็นที่แน่นอนทีเดียวครับ เมื่อเอเซเกลเห็นยานชนิดนี้เข้าครั้งแรก สิ่งที่เขานึกถึง ถ้าไม่ใช่สัตว์ประหลาดก็คงเป็นพระเจ้านี่แหละ[/font]

    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE cellSpacing=4 cellPadding=4 width="82%" align=center border=2><TBODY><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] ตอนที่ 2 Bible and other Myth(ต่อ)[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]"บุตรของมนุษย์ จงยืนอยู่ที่นั่น และเราจะพูดกับเจ้า" เมื่อเอเซเกลได้ยินเสียง เขาก็รีบหมอบทรุดลง และก้มหน้าจนหน้าผากจรดพื้นด้วยความกลัว[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]"และข้าฯก็ได้ยินเสียงพึมพัมจากด้านหลัง กล่าวสรรเสริญพระองค์ ข้าฯได้ยินเสียงปีกของสัตว์นั้น เสียงล้อและเสียงดีงกึกก้อง" [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เอเซเกลบรรยายการขึ้นและลงของยานอย่างละเอียด พระเจ้าได้บอกแก่เขาว่าเขาจะต้องเป็นผู้จัดระเบียบและกฏหมายของประเทศนี้ พระเจ้าได้พาเอเซเกลขึ้นไปบนยานถึงสามครั้งในเวลาต่อๆมา พระเจ้าบอกกับเขาว่า เขาอยู่ท่ามกลางคนที่ดื้อรั้น ผู้มีตาแต่ไม่สามารถมองเห็น มีหูแต่ไม่สามารถสำเหนียกความจริง ซึ่งเอเซเกลจะต้องทำหน้าที่อบรมสั่งสอนพวกนี้ ให้คำแนะนำ ตรากฏระเบียบเพื่อสร้างอารยธรรมขึ้นมา ซึ่งทุกคนก็ทราบกันดีในภายหลังแล้วว่า เอเซเกลปฏิบัติตามโองการของพระเจ้าได้อย่างเยี่ยมยอดไม่มีบกพร่อง[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]...ปัญหาอยู่ที่ว่า ใครกันครับที่เป็นคนพูดกับเอเซเกล เขาเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหนมาจากที่ใด? เขาต้องไม่ใช่พระเจ้าแน่ๆ เพราะถ้าพระเจ้าทรงมหิทธานุภาพจริงตามคำกล่าวอ้าง ทำไมพระองค์ต้องใช้ยานพาหนะในการเดินทาง ทำไมพระองค์ต้องยืมมือมนุษย์ธรรมดาอย่างเอเซเกลเพื่อปฏิบัติหน้าที่บางประการด้วย มาถึงตรงนี้ทำให้ผมนึกขึ้นได้แหละครับว่า นอกจากเรื่องของเอเซเกลแล้ว ยังมีประดิษฐกรรมอันน่าทึ่งในไบเบิลอีกชิ้นที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึง แล้วก็มีน้องๆหลายคนถามไถ่กันมา นั่นก็คือหีบไม้ศักดิ์สิทธิ์ (Ark of the covernant) [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG][/font]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]จากเอ็กโซดัส 25,40 โมเสสกล่าวถึงคำบัญชาของพระเจ้าที่ให้สร้างหีบไม่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งใช้ใส่พระคัมภีร์ พระเจ้าทรงให้รายละเอียดในการสร้างทุกตอน รวมไปถึงชนิดของไม้และโลหะที่ใช้ประกอบ อัตราส่วนการผสมต่างๆ พระเจ้าทรงย้ำกับโมเสสจนน่าสังเกตเรื่องของอัตราส่วน ว่ามิอาจผิดพลาดไปจากที่สั่ง ไม่เช่นนั้นงานจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]"และจงดูว่าเจ้าได้ทำตามแบบที่สั่ง ซึ่งเราให้เจ้าดูบนภูเขา"[/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] : เอ็กโซดัส 24,40[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นอกจากนั้นนะครับ พระเจ้ายังมีคำสั่งมิให้ใครเข้าใกล้หีบนั้นเด็ดขาด แต่ก็ยังมีคนฝ่าฝืนและเกิดอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตาย เช่นในตอนที่เดวิดเป็นคนดูแลหีบอาร์ค และบรรทุกเอาไว้บนเกวียนโดยมีคนขับชื่ออุซซาห์ ไม่รู้พี่แกขับอีท่าไหนครับ เกวียนที่ใช้บรรทุกเกิดโคลงเคลงเจียนจะล้ม อุซซาห์เข้าไปประคองหีบ และสิ้นชีพทันทีเมื่อสัมผัสกับหีบดังกล่าว[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]...ลักษณะอาการเหมือนถูกไฟช็อตตายเสียอย่างนั้นแหละครับ[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]จากบทบาทและหน้าที่ของ Ark of the covernant ในพระคัมภีร์ ชวนให้หลายคนสะกิดใจสงสัยว่าหีบดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางไฟฟ้า ซึ่งสามารถให้กำเนิดกระแสไฟหลายร้อยโวลต์ มีส่วนที่เป็นตัวเก็บประจุ และบางส่วนที่เป็นแม่เหล็กและลำโพง มันอาจเป็นเครื่องมือที่ทำให้โมเสสสามารถติดต่อกับยานอวกาศของพระเจ้าได้ พระคัมภีร์กล่าวถึงหีบไม้ศักดิ์วิทธิ์ไว้ว่า ล้อมรอบด้วยประกายไฟ โมเสสใช้เครื่องส่งนี้ติดต่อกับพระเจ้าเมื่อต้องการความช่วยเหลือ และมีบางครั้งในวันที่มีฝนฟ้าคะนอง หรือหมอกลงจัด โมเสสกลับไม่สามารถใช้เครื่องมือวิเศษชิ้นนี้ติดต่อกับพระเจ้าได้ ยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนเครื่องมือสื่อสารปัจจุบันว่าไหมครับ ที่วันดีคืนดีก็ส่งสัญญาณกันไม่ได้ เนื่องจากอยู่ในจุดอับคลื่นหรือทัศนวิสัยไม่ดี เป็นต้น[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ในมหากาพย์กิลกาเมชซึ่งผมจะกล่าวถึงในบทหน้าก็มีข้อความคล้ายๆกันครับ ส่วนตำนานของเทียฮัวนาโคแห่งอเมริกากลาง ก็ได้กล่าวถึงการสมสู่ระหว่างมนุษย์กับผู้มาจากฟากฟ้าในทำนองเดียวกับไบเบิลเด๊ะ โดยที่สวรรค์ได้ส่งมหามารดาลงมายังพื้นโลกเพื่อชาวโลกจะได้มีเชื้อสายที่ดี ซึ่งนับว่าตรงกันกับเรื่องในไบเบิลอย่างน่าประหลาดมาก [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG][/font]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ภาพเครื่องบินปีกสามเหลี่ยมที่เทียฮัวนาโค ดินแดนต้นกำเนิดแห่งตำนานมหามารดา[/font]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]มีหลักฐานชิ้นเล็กๆที่สนับสนุนทฤษฎีนักบินอวกาศยุคโบราณของเราอีกชิ้นหนึ่ง อ้อ... หลายชิ้นอยู่พอควรครับ แต่เป็นชิ้นเล็กๆซึ่งก็คือเหรียญบูชา เป็นที่น่าสังเกตว่า เครื่องบูชาพระเจ้าของคนโบราณนั้น มักจะมีเหรียญทองคำทำด้วยโลหะปะปนอยู่ด้วยเสมอๆ มีผู้พบเตาหลอมโลหะขนาดยักษ์ที่อีเซียน เกเบอร์ ซึ่งเป็นเตาที่ออกแบบได้ทันสมัยผิดยุคมากครับ เพราะมีระบบช่องลม ปล่องไฟ และช่องเปิดอเนกประสงค์ครบครัน ที่ก้นเตามีเศษของ copper sulphate หรือจุนสีตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก อายุของเตาประมาณได้ห้าพันกว่าปี คนโบราณมีความรู้สูงส่งขนาดนี้หรือครับ? เป็นไปได้ไหมว่า นี่คือมรดกตกทอดซึ่งคนโบราณได้รับมาจากเหล่าบุตรของพระเจ้า [/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]และใครจะรู้เล่าครับว่า ต่อไปมนุษย์อวกาศของเรา เมื่อมีโอกาสแลนดิ้งลงยังดาวเคราะห์อื่นๆนอกระบบสุริยะ พวกเขาจะไม่กลายเป็นบุตรแห่งพระเจ้าของชนพื้นเมืองบนดาวเหล่านั้นไป... [/font]
    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=5 width="82%" align=center border=2><TBODY><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] ตอนที่ 3 มหากาพย์กิลกาเมช[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เอ่ยถึงกิลกาเมชแล้ว ทุกคนคงซึมซาบกันดีนะครับว่า เป็นมหากาพย์ที่มีความสำคัญยิ่งยวดในหลายๆด้าน ผมไม่ขอเอ่ยถึงมหากาพย์เรื่องนี้ในแง่มุมอื่นนะครับ เพราะหาอ่านที่ไหนก็ได้ เอาเป็นว่า เราจะพูดเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวพันกับหัวข้อของเรา นั่นก็คือ ความเกี่ยวเนื่องระหว่างมหากาพย์นี้กับนักบินอวกาศยุคโบราณ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นพระเจ้าในสมัยนั้น [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่เขาคูยุนต์ยิค ได้พบจารึกดินเหนียวจำนวน 12 แผ่น ซึ่งจารึกมหากาพย์กิลกาเมชเอาไว้เป็นภาษาอัคเคเดียนโบราณ คาดว่าจารึกเหล่านี้มาจากห้องสมุดของพระเจ้าอัสเซอร์บานิปาลอันเป็นกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย แต่จารึกขึ้นในสมัยของพระเจ้าฮัมมูราบี เป็นฉบับที่คัดลอกมาจากฉบับออริจินอลอีกทีนึงครับ มหากาพย์เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจากยุคสมัยของชาวสุเมเรียน กลุ่มชนลึกลับผู้อ้างตัวเป็นทายาทของพระเจ้าจากอวกาศ ผู้รู้จักการคำนวณเลขสิบห้าหลักและมีความรู้ด้านดาราศาสตร์อย่างน่าพิศวง เรื่องราวโดยย่อของมหากาพย์กิลกาเมชมีดังนี้ครับ[/font]

    [​IMG]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]แผ่นแรก[/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]กล่าวถึงวีรบุรุษกิลกาเมชสร้างกำแพงเมืองรอบอูรุค และพระเจ้าผู้ประทับในวังที่มีองครักษ์ศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบ กิลกาเมชเป็นวีรบุรุษเลือดผสมครับ เขามีเชื้อสายของพระเจ้าอยู่สองในสามและที่เหลือเป็นสายเลือดของมนุษย์ (ชวนให้นึกถึง Valkyrie Profiles ที่ว่าด้วยโอดินซึ่งมีสายเลือดครึ่งมนุษย์-ครึ่งเอลฟ์ และเลเนธผู้ย้ายวิญญาณเข้าในร่างของโฮมันคิวลัสยังไงพิกลนะครับ) นอกจากนั้นก็กล่าวถึงความงาม พละกำลังและความสามารถต่างๆของเขา เรื่องราวในแผ่นแรกเต็มไปด้วยการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]แผ่นที่สอง[/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] กล่าวถึงเอ็นกิดู ผู้ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระแม่แห่งสวรรค์ อารุรู ในมหากาพย์นี้บรรยายเรื่องราวของเอ็นกิดูไว้อย่างละเอียด ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยขน นุ่งผ้าเตี่ยวหนังสัตว์ กินหญ้าและดื่มน้ำบ่อเดียวกับวัวควาย เมื่อกิลกาเมชผู้ครอบครองเมืองอูรุคได้ทราบเรื่องราวของเอ็นกิดู เขาได้ส่งหญิงงามนางหนึ่งเพื่อล่อให้เอ็นกิดูแยกตัวออกจากวัวควาย และก็ได้ผลดังคาด (อืม... อุบายหญิงงามนี่ได้ผลทุกยุคทุกสมัยเลยนะครับ) เอ็นกิดูหลงรักหญิงงามครึ่งมนุษย์ครึ่งพระเจ้านางนั้นมาก หากมองข้าม theme แนวอีโรติคอย่างที่เว็บมาสเตอร์อย่างผมชอบไป จะเห็นได้เลยครับว่า ตำนานโบราณเน้นเรื่องการผสมข้ามสายพันธุ์เป็นพิเศษ นี่เป็นนัยแสดงให้เห็นอย่างหนึ่งไหมครับว่า การผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างครึ่งพระเจ้าและครึ่งสัตว์ เป็นเรื่องที่พิเศษมากในสมัยนั้น[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]แผ่นที่สาม[/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] กล่าวถึงกลุ่มหมอกควันจากระยะไกล เสียงสวรรค์คำรณ แผ่นดินไหว และเรื่องราวของสุริยเทพกับกิลกาเมช มีรายละเอียดน่าสนใจมากๆในตอนที่สุริยเทพตรงเข้ามาจับเอ็นกิดูด้วยปีกและกรงเล็บอันทรงพลังมหาศาล รายละเอียดกล่าวถึงเอ็นกิดูผู้รู้สึกแทบทนทานไม่ได้ เมื่อสุริยเทพผู้มีน้ำหนักราวกับตะกั่วโถมทับลงบนร่างของเขา ที่ว่าน่าสนใจก็ตรงคำเปรียบเปรยนี่แหละครับ คนโบราณเค้ามีความรู้ในวิชากลศาสตร์ดีจริงๆ เพราะขณะที่วัตถุมีความเร็วสูงเมื่อต้องการหยุดจำต้องใช้แรงมหาศาล การเปรียบเปรยเรื่องของเอ็นกิดู ทำให้มองภาพนี้ชัดเจนขึ้น และเป็นที่พิศวงของคนยุคใหม่อย่างเราๆท่านๆครับ[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ข้ามไปแผ่นที่ห้าครับ เป็นการเล่าถึงการเดินทางเข้าพบพระเจ้าของกิลกาเมชกับเอ็นกิดู เขาเดินทางมาถึงตำหนักของเทวีเออร์นินิส ลูกธนูและอาวุธที่เขายิงใส่ยามกระเด็นกลับออกมา โดยที่ยามผู้อารักษ์ตำหนักมิได้ระคายเคืองแม้แต่น้อย ทันใดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]"จงกลับไป ไม่มีผู้ใดที่สามารถขึ้นเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งที่มีชีวิต ผู้ได้ยลพระพักตร์ของพระเจ้าจะต้องตาย"[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ผู้เห็นโฉมหน้าของพระเจ้าต้องตายงั้นรึ... ทำไมถึงได้บังเอิญไปตรงกับข้อความในไบเบิล ซึ่งเป็นตอนหนึ่งในเอ็กโซดัสที่กล่าวว่า "เจ้าไม่อาจเห็นหน้าเรา ไม่มีใครเห็นเราแล้วจะยังมีชีวิตอยู่" ล่ะครับ? บังเอิญ จงใจ เจตนา หรือว่าอะไรกันแน่?[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]แผ่นที่เจ็ด นี่เด็ดสุดครับ เพราะกล่าวถึงประจักษ์พยานที่ได้ท่องไปในห้วงอวกาศ เป็นตอนคลาสสิคที่สาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศชอบยกมากล่าวอ้าง นั่นคือเอ็นกิดู ผู้บินอยู่สี่ชั่วโมงในกรงเล็บของอินทรีโลหะ และต่อไปนี้คือเรื่องราวของเขาครับ [/font]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ชามข้าวโอ้ตของเอ็นกิดูครับ หึ หึ หึ..[/font]
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=5 width="82%" align=center border=2><TBODY><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]พระองค์ตรัสกับข้าว่า [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]มองแผ่นดินเหมือนอะไร มองทะเลรู้สึกอย่างไร [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]แผ่นดินเหมือนภูเขา และทะเลเหมือนทะเลสาบ[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]อีกสี่ชั่วโมงต่อมา พระองค์ตรัสกับข้าอีก[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]มองแผ่นดินเหมือนอะไร มองทะเลรู้สึกอย่างไร[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]โลกเหมือนสวน และทะเลเหมือนร่องน้ำ[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เมื่อบินขึ้นไปอีกสี่ชั่วโมงต่อมา พระองค์ตรัสกับข้าอีก[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]มองแผ่นดินเหมือนอะไร มองทะเลรู้สึกอย่างไร [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]แผ่นดินเหมือนข้าวโอ้ตต้มกับนม และทะเลเหมือนน้ำข้าว[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]... คุณพระคุณเจ้า จากข้อความข้างต้น มีจุดน่าสนใจอยู่ที่จินตนาการของผู้รจนามหากาพย์ ช่างใกล้เคียกับความเป็นจริงเอามากๆเลยครับ ท่อนสุดท้ายที่ว่า แผ่นดินเหมือนข้าวโอ้ตต้มกับนม และทะเลเหมือนน้ำข้าว แสดงถึงความรู้เกี่ยวกับสัณฐานของโลกว่าเป็นทรงกลมเหมือนเรามองชามข้าวต้มจากเบื้องบน และการมองโลกจากชั้นบรรยากาศก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆเสียด้วยสิครับ[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]จารึกแผ่นอื่นๆผมขอข้ามไปนะครับ คัดมาเล่าเฉพาะจุดที่น่าสนใจจริงๆ ถ้าสนใจหา d/l มาอ่านกันได้ บนเน็ตมีเยอะแยะเลยที่แปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ยาวมาก กำลังอ่านสนุก แล้วท่านจะได้พบบางตอนที่น่าสนใจ เช่น ประตูที่พูดได้ลักษณะเหมือนประตูในฐานทัพใต้ดินที่มีอินเตอร์คอม อ้อ ใน แผ่นที่แปด เอ็นกิดูผู้เห็นโลกจากชั้นบรรยากาศตายลงเพราะโรคลึกลับ กิลกาเมชถามพระเจ้าว่า เขาอาจตายเพราะสูดอากาศเป็นพิษบนสวรรค์ไปหรือไม่? ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าที่ไหนคือสวรรค์ หากว่าหมายถึงสถานีอวกาศหรือดาวเคราะห์บริวารสักดวงแล้ว ด้วยบรรยากาศที่มีอัตราส่วนของธาตุที่แตกต่างจากโลกเรา เป็นไปได้ว่าเอ็นกิดูอาจตายเพราะร่างกายปรับสภาพไม่ทันก็เป็นได้[/font]

    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE cellSpacing=4 cellPadding=4 width="82%" align=center border=2><TBODY><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>[font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] ตอนที่ 4 มหาภารตะ[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ยิ่งศึกษาลึกลงไปในตำนานของชนชาติต่างๆแล้ว หลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีนักบินอวกาศยุคโบราณยิ่งเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ นิยายปรำปราของชาวเอสกิโมแห่งดินแดนหิมะกล่าวว่า พวกเขาเมื่อก่อนไม่ได้ตั้งรกรากอยู่แถบนี้ หากแต่เดินทางขึ้นเหนือมาครั้งแรกโดยพระเจ้าเป็นผู้พามา เดินทางบนวิหคโลหะที่มีปีกเป็นทองเหลือง ตำนานของชาวอินเดียนแดงแห่งทวีปอเมริกาเล่าว่า วิหคสายฟ้า(Thunder Bird) เป็นผู้สนวิธีการใช้ไฟและปลูกพืชให้กับพวกเขา ส่วนชนชาวมายานั้นเล่าครับ พวกกล่าวถึงพระเจ้าผู้หยั่งรู้ทุกสิ่ง มีความรู้ครอบคลุมห้วงจักรวาล หลักฐานก็คือ พวกเขารู้จักเข็มทิศและสันฐานของโลกซึ่งเป็นทรงกลม!![/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เรื่องเหล่านี้เป็นความบังเอิญหรือครับ? สมควรมองข้ามหรือครับ?[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ทราบกันดีอยู่แล้วว่าชาวมายาเป็นชนโบราณที่ฉลาด มีอารยธรรมสูงแต่มีความลึกลับที่แม้ปัจจุบันเรายังไม่สามารถคลี่คลายให้กระจ่าง วัฒนธรรมของชาวมายามีความขัดแย้งในตัวค่อนข้างมาก เป็นต้นว่า เมื่อเราพิศดูปฏิทินของพวกเขา จะเห็นว่าชาวมายามีความรู้ทางดาราศาสตร์ดีอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขารู้ว่าปีหนึ่งของดาวศุกร์เท่ากับ 584 วัน และคำนวณระยะเวลาหนึ่งปีของโลกได้เท่ากับ 365.2420 วัน (ตัวเลขปัจจุบัน 365.2422)[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ปีดาวศุกร์เท่ากับ 584 วัน หารด้วย 73 ได้ 8[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ปีของโลกเท่ากับ 365 วัน หารด้วย 73 ได้ 5[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ปีของดวงจันทร์เท่ากับ 260 วัน[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ซึ่งการคำนวณปีในที่นี้คิดจากการโคจรรอบโลกโดยใช้โลกเป็นศูนย์กลาง และปีที่พวกเราใช้กันในปัจจุบันนั้น ชาวมายาเรียกว่าปีของดวงอาทิตย์ ไม่ได้คำนวณแบบลอยๆด้วยครับ ชาวมายามีความสามารถในการถอดตัวเลขที่น่าทึ่งมากทีเดียว[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ดวงจันทร์ 20 x 13 x 2 x 73 = 37,960[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ดวงอาทิตย์ 8 x 13 x5 x 73 = 37,960[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ดาวศุกร์ 5 x 13 x 8 x 73 = 37,960[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เนื่องจากจำนวนปีทั้งสามเป็นชนิดของตัวประกอบของ 37,960 ซึ่งชาวมายาถือว่า พระเจ้าจะเสด็จกลับลงมาเยือนโลก...[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ส่วนชาวอินคา ลูกหลานของสุริยเทพนั้นเล่าครับ พวกเขาเชื่อว่าดวงดาวทั้งหลายในห้วงจักรวาลนั้นมีผู้คนอาศัยอยู่ และพระเจ้าของพวกเขาเสด็จมาจากกลุ่มดาวลูกไก่ ซึ่งตรงกับความเชื่อของ ชาวสุเมเรียน อัสซีเรียน บาบิโลเนียน หรือแม้กระทั่งชาวอียิปต์โบราณ ซึ่งล้วนบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าของพวกเขาเสด็จลงมาจากดาวดวงอื่น สร้างอารยธรรมของพวกเขา และเดินทางกลับห้วงฟ้าอันยาวไกลด้วยเรือไฟที่มีอาวุธน่ากลัว พร้อมคำสัญญาที่ว่า สักวันพระเจ้าจะกลับมาพร้อมนำเอาความอมตะกลับมาให้[/font]

    [​IMG]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]โอเคครับ สำหรับผู้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆบางท่านอาจมองว่านี่เป็นเพียงจินตนาการน่ะนะครับ แต่จินตนาการส่วนหนึ่งนั้น น่าจะมาจากสิ่งที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวันใช่หรือไม่ ถ้าท่านลองจินตนาการถึงอะไรซักอย่าง ก็แน่นอนว่า ท่านคงอดดึงสิ่งที่คุ้นเคยเข้ามาพัวพันไม่ได้ ตัวอย่างเช่น มหาภารตยุทธ หรือ มหากาพย์มหาภารตะอันเป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่มากของอินเดียโบราณ เก่ากว่าไบเบิลเสียอีก ได้บรรยายถึงสิ่งแปลกประหลาดและไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดจากจินตนาการของมนุษย์เพียวๆ เป็นต้นว่า อาวุธที่ทำให้ทั้งประเทศแห้งแล้งไปถึง 12 ปี และยังสามารถฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กที่อยู่ในท้องแม่...[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ในรามายณะหรือรามเกียรติ์มีตอนที่กล่าวถึงวิมานะ อันเป็นยานที่บินได้ สามารถบินไปในห้วงอวกาศด้วยปรอทและลมขับดัน (เครื่องแบบไอพ่น?) วิมานะบินได้เป็นระยะทางไกลๆ สามารถเคลื่อนไปข้างหน้า ข้างบนและข้างล่างได้ ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะของยานอวกาศประเภทหนึ่ง ด้านล่างนี้เป็นบทความตัดตอนมาจากหนังสือรามายณะที่แปลโดย เอ็น ดัตต์ ครับ[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]"ครั้นพระรามมีบัญชา วิมานะก็เคลื่อนขึ้นไปบนยอดเขาพร้อมเสียงกัมปนาทประหนึ่งฟ้าถล่มดินทะลาย"[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]แปลกใจจังครับ ว่าทำไม๊ทำไมรถศึกสมัยโบรารชอบเคลื่อนที่ด้วยเสียงดังกันจัง นี่เป็นอีกตอนในมหาภารตะครับ กล่าวถึงรถศึกของภีมะ[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]"ภีมะเหาะขึ้นฟ้าด้วยวิมานะอันมีแสงแรงกล้าประหนึ่งดวงอาทิตย์ และมีเสียงดังราวท้องฟ้าขณะบังเกิดฝนฟ้าคะนอง"[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]จินตนาการเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความคิดก็จริงครับ แต่มันก็ควรมีจุดเริ่มต้นหรือแบบอย่าง แล้วสมัยมหาภารตะนั้น เอาแบบอย่างของจรวดที่มีแสงและเสียงมาจากไหน แล้วทำไมเป็นจินตนาการที่ตรงตามหลักวิชาการสมัยใหม่ได้ขนาดนี้ ไม่สงสัยกันบ้างหรือครับ?[/font]

    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE cellSpacing=4 cellPadding=4 width="82%" align=center border=2><TBODY><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>[font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] ตอนที่ 4 มหาภารตะ(ต่อ)[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เรื่องของวิมานะ, วฤกษี, อังคหัสฤ์, คัมภีร์วิมานิกะศาสตรา หรือ โทรณะปารวะ ผมและน้องโอเคยเล่าไปแล้วใน อากาศยานแห่งภารตะยุค และ Vimana Revisited สนใจใคร่ทราบก็คลิกอ่านรายละเอียดกันเองนะครับ หรือถ้าต้องการอ่านเรื่องของมหาภารตะยุทธฉบับอ่านสนุก ลองซื้อต่วย'ตูนพิเศษมาอ่านกันเล่นๆ รู้สึกสองสามเดือนนี้มีคอลัมน์ที่ว่าด้วยมหาภารตะยุทธโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับมือใหม่ครับ ส่วนที่จะเอามาเล่าซ้ำก็คือ สภาค้นคว้าทางภาษาสันสกฤตที่ไมซอร์ ประเทศอินเดีย ได้แปลข้อความในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้เป็นภาษาสันสกฤตที่กล่าวถึง[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] ความลับในการสร้างวิมานะให้แข็งแกร่ง ไม่ไหม้ไฟ และไม่ให้โดนทำลายโดยง่ายจากข้าศึก [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] กรรมวิธีขับเคลื่อนวิมานะ การหยุดกลางอากาศ การชะลอความเร็ว [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] วิธีการทำให้วิมานะ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายศัตรู [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] การดักฟังคำสนทนาและเสียงอื่นๆในวิมานะฝ่ายตรงข้าม [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] การตรวจจับและอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของวิมานะฝ่ายศัตรู [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] กรรมวิธีทำให้ผู้ขับวิมานะของศัตรูหมดสติหรือสับสน [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] การทำลายวิมานะข้าศึกด้วยวิธีต่างๆ [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]โดยตำราโบราณเล่มนี้มีทั้งหมด 31 บท อธิบายเรื่องราวและการสร้างยานบินชนิดนี้อย่างละเอียด รวมทั้งกล่าวถึงโลหะที่ใช้ในการสร้างทั้ง 16 ชนิด เป็นโลหะที่เรารู้จักกันเพียงสามชนิด ที่เหลือยังไม่รู้จักหรือแปลกันไม่ได้ครับ[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG]นอกจากนั้นวิมานะในมหาภารตะยังถูกแบ่งออกเป็นประเภทที่บินได้กับบินไม่ได้ ในตอนต้นของมหากาพย์กล่าวถึงนางพรหมจารีย์กุนตี ซึ่งได้เสียกับพระอาทิตย์และให้กำเนิดบุตรชายที่เปล่งรัศมีได้เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ นางกุนตีกลัวจึงนำเด็กไปใส่ตะกร้าหน้าเซเว่น.. เอ๊ย..ลอยตามแม่น้ำไป อธิรตาอันเป็นคหบดีแห่งเมืองสุตามาพบเข้าจึงนำมาชุบเลี้ยง[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]จะว่าไปก็คล้ายกับประวัติของศาสดาพยากรณ์โมเสสนะครับ นอกจากนี้มหากาพย์เรื่องนี้ยังมีครึ่งเทพ-ครึ่งมนุษย์อันเกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ทำนองเดียวกับมหากาพย์กิลกาเมชเต็มไปหมด เช่น อรชุน ผู้ต้องเดินทางไปไกลแสนไกลเพื่อพบกับพระเจ้าและขอให้พระเจ้าประทานอาวุธในการทำศึกให้ ระหว่างการเดินทางอรชุนพบกับพระเจ้ามากหน้าหลายตา นอกจากนั้นอินทราเทพยังพาเขาท่องเที่ยวบนท้องฟ้า ในทำนองเดียวกับการเดินทางของเอ็นกิดูในมหากาพย์กิลกาเมชอีกด้วย [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นอกจากนั้นยังมีข้อความอีกหลายตอนที่กล่าวถึงสงครามที่รบกันด้วยเทคโนโลยีใกล้เคียงกับปัจจุบัน เช่นอาวุธที่คอยติดตามฆ่าผู้ที่มีโลหะติดอยู่กับตัว เป็นอาวุธที่ทำให้ผมร่วงและเล็บหลุด มันจะปนเปื้อนจนสิ่งมีชีวิตทุกอย่างซีดขาว อ่อนกำลัง อืมห์... ลักษณะเหมือนคนถูกกัมมันตภาพรังสีเลยว่าไหมครับ[/font]

    [​IMG]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ในมหาภารตะบทที่แปดยังกล่าวถึงการทิ้งระเบิดลงจากวิมานะขนาดใหญ่ โดยกุรคาทำการบอมบ์เมืองของข้าศึก มีวิมานะที่บรรทุกอาวุธ มีวิมานะคุ้มครอง ลักษระเหมือนเครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินขับไล่คอยคุ้มครอง มหากาพย์กล่าวถึงเหตุการณ์นี้อย่างน่ากลัวว่า อาวุธนั้นก่อให้เกิดควันสีขาวที่ร้อนจัด มีแสงสว่างกว่าดวงอาทิตย์นับพันเท่า จนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเศษขี้เถ้าในพริบตา เมื่อกุรคานำวิมานะลงเคลียร์พื้นที่ วิมานะของเขาร้อนจัดจนมีสีคล้ายแร่พลวง...[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]"ราวกับว่าธาตุทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา ดวงอาทิตย์ลอยคว้างท่ามกลางแสงแห่งความร้อนของอาวุธนั้น โลกทั้งโลกราวกับตกอยู่ในกองเพลิง ช้างศึกร้องแปร๋แปร๋นลำตัวลุกเป็นไฟ วิ่งไปมาเพื่อให้พ้นจากความร้อนนั้น น้ำทะเลเดือดพล่าน ทหารฝ่ายข้าศึก ผู้คน สัตว์ต่างๆล้มตายกันเกลื่อนกลาด ซากศพกองพะเนินจนแยกเค้าร่างเดิมไม่ออก เราไม่เคยเห็นอาวุธเช่นนี้มาก่อน กระทั่งได้ยินยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน"[/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] : โทรณะปารวะ[/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ฉบับพิมพ์ปี 1889 [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]อ้อ... สำหรับผู้สนใจวิมานิกกะศาสตรานะครับ ลองๆอ่านรายละเอียดดูได้ที่นี่ แต่อาจจะปวดหมองหน่อยกับคำอ่านภาษาแขก เพราะพอเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้ว บางทีเราอ่านไปคนละอย่างเลยก็มี ฮึ ฮึ..[/font]

    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE cellSpacing=4 cellPadding=4 width="82%" align=center border=2><TBODY><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>[font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] บทส่งท้าย [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เมื่อเฮลิคอปเตอร์ของทหารร่อนลง ณ หมู่บ้านในอาฟริกา ชาวพื้นเมืองพากันตกตะลึงเนื่องจากไม่เคยเห็นมาก่อน เสียงเครื่องยนตร์ นักบินที่แต่งตัวเต็มยศและถือปืนกลเข้าเคลียร์พื้นที่ ทำให้ชาวป่าเหล่านั้นคิดว่านักบินและผู้ติดตามมาจากสรวงสวรรค์ และต่อมาเฮลิคอปเตอร์ได้บินหายขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขากลับมาเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง ว่าพบกับนกเหล็กของพระเจ้าที่มีเสียงคำราณปานฟ้าถล่ม และพระเจ้าผิวขาวผู้ถืออาวุธไฟ หลังจากผ่านการบอกเล่าปากต่อปาก ขนาดของนกเหล็กก็ใหญ่และพิศดารขึ้นทุกที พระเจ้าก็ดูพิลึกพิลั่นขึ้นทุกที แต่ความจริงที่ยังคงอยู่ก็คือ มีเฮลิคอปเตอร์ร่อนลงจอดพร้อมกับทหารที่ถือปืนกล[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]สักวันที่อารยธรรมของมนุษย์เกิดพังพินาศลง อาจจะด้วยสงคราม ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือจะด้วยอะไรก็ตามที เมื่อกาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป มนุษย์ที่เหลือจากภัยพิบัติเริ่มก่ออารยธรรมชึ้นมาใหม่ จนกระทั่งเจริญก้าวหน้าพอที่จะศึกษาประวัติศาสตร์ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า กาลเวลาได้ทำลายหลักฐานที่เคยมีอยู่จนเป็นฝุ่นผงเสียนานแล้ว[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]แต่มนุษย์ในยุคใหม่ก็อาจศึกษาอารยธรรมยุคของพวกเราด้วยการศึกษาวัฒนธรรมและประเพณี ตำนาน หรือหนังสือเก่าๆหลังภัยพิบัติครั้งใหญ่นั้น นักโบราณคดีจะสรุปว่า มนุษย์ในสมัยศตวรรษที่ 20 ไม่รู้จักใช้เหล็ก เพราะพวกเขาไม่พบเหล็กในสภาพที่เป็นโลหะไม่ว่าจะขุดลงไปซักเพียงไหน หากมีการพบกับดักรถถังในบริเวณชายแดนรัสเซียที่ทำด้วยคอนกรีต มีการพบแนวกำแพงเบอร์ลิน พวกเขาจะอธิบายว่าเป้นเส้นทางคมนาคมที่มนุษย์โบราณสร้างขึ้น ถ้าพวกเขาพบเทปหรือแผ่น CD เขาจะอธิบายไม่ได้เลยว่ามันคืออะไรและมีไว้ทำไม มนุษย์ในอนาคตจะพบกับปัญหาทำนองนี้มากมาย หนังสือเก่าๆที่กล่าวถึงนครใหญ่และตึกระฟ้ากลายเป็นเรื่องเหลวไหล นักสำรวจบางชุดอาจขุดพบทางรถไฟใต้ดิน และพวกเขาจะอธิบายว่ามันคือระบบระบายน้ำอันน่าพิศวงของคนโบราณ อาจจะมีนิยายปรำปราที่กล่าวถึงคนบินข้ามทวีปด้วยนกยักษ์ และการสู้รบด้วยด้วยเรือไฟที่สามารถวิ่งบนฟ้า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียตำนาน ไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้ เพราะคนโบราณต้องไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้อย่างเด็ดขาด[/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]...เทียบกับยุคปัจจุบันแล้วเป็นไงครับ?[/font]

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#666666>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]"แม้ว่าพระเจ้าจะอธิบายให้ชนพื้นเมืองฟังว่า โลกนี้ไม่มีพระเจ้า พวกเขาเป็นเพียงนักท่องอวกาสจากดาวดวงอื่น บรรพบุรุษของเราก็คงไม่เชื่อ ดังนั้น พระเจ้าจึงต้องทำตัวเป็นพระเจ้าตลอดมา..."[/font]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ด้วยจิตคารวะ [/font]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]Sonic / 15 ม.ค. 2546[/font]
    </TD></TR><TR borderColor=#cccccc bgColor=gray><TD bgColor=#cccccc>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,228
    ค่าพลัง:
    +10,593
    ว้าว เวปนี้ยังอยู่เหรอเมื่อปลายปีก่อนเวป thai.net ปิดปรับปรุงแล้วเวปนี้ก็หายไปเลยนึกว่าย้ายไปอยู่ที่อื่นหรือว่าไม่ทำเวปแล้วที่แท้ก็ยังอยู่ เจ๋งๆๆๆๆๆ เวปนี้เนื้อหาแน่นมาก
     
  11. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,482
    สุดยอดครับ
     
  12. เจ้าโก้

    เจ้าโก้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,223
    ค่าพลัง:
    +939
    ก็ไม่รู้ว่าพี่จะก็อปมาให้เมื่อยตุ้มทำไมอ้ะ เอาลิงค์มาลงให้เลยก็ได้นี่ครับ เว็บนี้อ้ะ
    http://members.thai.net/myth/main.htm
    ผมก็รอพี่เจ้าของเว็บเค้าอับเดทเรื่องอยู่เนี่ยครับ พี่เค้าไม่ได้อับมาเป็นเดือนแล้ว
    อ่านได้สนุกดี ความรู้ก็มี แต่ต้องแยกแยะ
    อ้อ แล้วอย่าลืมกาลมะสูตรนะครับ
     
  13. phuang

    phuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,033
    ค่าพลัง:
    +10,040
    ก็อปมาใส่น่ะดีแล้วค่ะ :cool:
    ข้อมูลจะได้อยู่ในเว็ปนี้ด้วยเวลามาหาอ่านก็ง่าย
    แล้วเผื่อบางคนเปิดลิ้งค์นั้นไม่ได้ไงคะ เจ้าโก้
    พี่หนุมานน่ะทำถูกแล้วค่ะ

    เราคนนึงล่ะที่เปิดลิ้งค์ที่โก้ให้ไว้ไม่ได้555
     
  14. เจ้าโก้

    เจ้าโก้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,223
    ค่าพลัง:
    +939
    แหง่ะ แต่ผมเปิดได้น๊า อยู่ในแฟ้บโวหริดเลยด้วย งื่ม
     
  15. greatsa101

    greatsa101 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    เรื่องแบบนี้มันเป็นดาบสองคนนะครับ
    ถ้าคุณพูดถูกจะมีสิ่งที่เรียกได้ว่า สงครามอย่าแน่นอน
    เพราะทุกคนก็อย่ากได้ดินแดนของคนอื่น
    โลกจะต้องลุกเป็นไฟทะเลจะเป็นสีเลือด

    แต่ถ้าเรื่องที่คุณพูดมาเป็นเรื่องโกหก
    คุยจะได้รับตั้วไปไม่หลับ โลก-นรก อย่างแน่นอน
    ครับเพราะเรื่องที่คุณพูดอยู่มันคือความเป็นความตายของโลกเลยนะครับ
    ถ้าคุณพูดว่าสิ่งที่เกิดในอดีตเหมือของปัจุบันก็แสงแดงว่ามีเครื่องย้อนเวลา
    อย่าแน่นอนครับและเมื่อนั้นโลกจะสับสนเพราะคนก็จะกลับไปเปลี่ยนอดีต
    กันทั้งนั้น
    ปล.จากผู้ที่หวังดี
     
  16. boombb

    boombb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +127
    ขอสรุปหน่อยขี้เกรียจอ่านเยอะจัง อิอิ
     
  17. karain

    karain เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    640
    ค่าพลัง:
    +707
    นายแน่มากครับ วันนี้ยังอ่านไม่จบไว้วันหลังจะมาต่อ
     
  18. jinnivan

    jinnivan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +250
    เรื่องนี้คล้ายดาวินชี่โค๊ดมาก มีที่มาที่ไปสนับสนุน มีเหตุมีปัจจัย ถ้าเอาเรื่องนี้มาคิดรวมกับวิทยาการใหม่ๆๆที่โลกเจอ มันน่าเป็นไปได้มากทีเดียว
     
  19. aonlin

    aonlin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2006
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +1,608
    สุดยอด ^^
     
  20. userx

    userx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2007
    โพสต์:
    636
    ค่าพลัง:
    +1,062
    [​IMG]
    คุ้นๆ เหมือนเคยอ่านจากเว็บไหนสักเว็บ แล้วที่มีเอาแอปเปิ้ล แมคอินทอช ไปผูกกับเรื่องอาดัมกับอีฟด้วยใช่ไหม
     

แชร์หน้านี้

Loading...