หลวงพ่อฤาษีลิงดำอยากรู้ฤทธิ์ผี

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย กลิ่นลำดวน, 15 ตุลาคม 2013.

  1. กลิ่นลำดวน

    กลิ่นลำดวน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ที่วัดบางนมโคนี่มี กุฎิอยู่หลังหนึ่งผีดุมาก กุฎิ หลวงพ่อปานหน้าศาลา คือข้างล่างเป็นศาลาหน้ามุข แล้วข้างบนเป็นกุฎิคู่ ท่านทำเป็นสถานที่เรียนนักธรรม กุฎิคู่นี้มีพระขึ้นไปอยู่ ๒ รุ่น รุ่นละ ๒ องค์ อยู่กันถึงวันที่ ๔ ก็เสด็จลงมาหมด รุ่นแรกขึ้นไปกลับมาไม่บอกใคร ถามว่าไม่อยู่ทำไม มันเงียบดี บอกไม่ชอบอยู่เฉยๆ เขาพูดเฉยๆ รุ่นที่ ๒ ขึ้นไป ๓ วันลงมา แล้วต่อจากนั้นไปไม่มีใครขึ้น ฉันก็อยากไปอยู่บ้างซิ มันเงียบดี ก็ลองลองดู ก็มีผู้ใหญ่เขาบอกให้ฟังนะว่าที่ตรงนี้ผีมันดุมาก หฃลวงพ่อปานท่านเคยปลูกโรงเรียนตรงนี้ผีมันดุ แต่เวลานี้ท่านรื้อไปแล้ว เอาสร้างเป็นศาลาหน้ามุข ฉันเลยไปขออนุญาติหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานบอกว่าอย่าไปเลยคุณ ที่ตรงนั้น มันไม่ค่อยดี ผีมันดุ ฉันเลยบอกว่าตรงที่ผีดุนี่ผมชอบ เพราะอยากดูซิผีมันมีฤทธิ์แค่ใหน ฮึ่ ดูซิลูกหลาน ฉันมันเหมือนกับชาวบ้านชาวเมืองเขาที่ใหน หลวงพ่อปานท่านมองหน้าแล้วท่านก็ยิ้มๆ เอ้าอยากรู้ฤทธิ์รู้เดชผีก็ขึ้นไป อนุญาต แต่อย่าลืมนะ ถ้ามีเรื่องร้ายอะไรขึ้นมา ตอนกลางคืนอย่ามาพบฉัน แกจะมาพบฉันได้ต่อเมื่อมันสว่างแล้ว เอาละซีก็เป็นอันว่าตกลง ทีนี้เวลาจะไปก็เตรียมหวายตีผีไปด้วย เอาไว้สู้กันให้เต็มที่มีตะเกียงโคมลูกหนึ่ง ห่มสบง จีวร ผ้าสังฆาฎิ ครบถ้วนขึ้นไปบนนั้นเวลาหนึ่งทุ่ม แล้วไปนอนอ่านหนังสืออยู่ มันเป็นกุฎิสองหลัง อยู่คู่กัน ห่างกันประมาณ สองวาเมื่อขณะอ่านหนังสืออยู่ปรากฏว่ามีเสียงคุยกัน เป็นเสียงผู้ชายเสียงใหญ่ๆคุยกันที่กุฎิหลังหนึ่งซึ้งฉันไม่ได้อยู่ เสียงเพรียกไปหมด กะเสียงคนประมาณ ห้าหกสิบคนฉันก็คิดว่าพวกทำเขื่อนหน้าวัดบางนมโคหรือพวกเจ๊กมาคุยกัน ฉันฟังไม่รู้เรื่อง จะว่าเป็นภาษาเจ๊ก็ไม่ใช่ ภาษาไทยกฟังไม่รู้เรื่อง สงสัยว่าไอ้พวกนี้ นี่มันยังไง เรานอนอยู่ตรงนี้นี่นา มันน่าจะเกรงใจเราบ้าง แต่ที่ใหนได้ พอคว้าไฟฉายไปส่องดู ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย เรียกว่าคนม่มี ผีก็ไม่เห็นเงียบ กุฎิเขาก็ใส่กุญแจไว้นี่ หน้าต่างทุกบานเปิดไม่ออกเพราะติดกลอน ต้องไปใขกุญแจ ใขกุญแจดูก็ไม่มีอะไรเลย นึกว่านี่ น่ากลัวจะเป็นผี ก็เลยคิดว่าช่างมัน อยากจะดูนักว่าผีมันเป็นยังไง ทีนี้พอถึงตอนดึกฉันก็นอน หลังตีหนึ่งครึ่งฉันตื่นเป็นปกติ ตี๑ครึ่งตื่นมาแล้ว ล้างหน้า ล้างตา ทำวัตรสวดมนต์ พอตี๒พอดีฉันก็เข้าเจริญกรรมฐาน ไปเลิกเอาตอนตี๔ ออกเดินจงกรม หรือไม่อย่างนั้นทบทวนความรู้จากพระปริยัติ คือจากหนังสือก็ว่ากันตามเรื่องตามแบบฉบับของพระ
    แล้วตั้งแต่ ตี ๒ ถึงตี๔นะ ต้องเข้าฌานเต็มระดับ เอากันเมที่จะมีฌานเท่ไหร่ มีวิปัสนนาเท่าไหร่ ว่ากันเตมอัตราศึก แล้วเวลาถึงตี๔ คลายออกแล้วก็ทรงไว้แต่อุปจารสมาธิบ้าง ทรงไว้แค่ปฐมฌานบ้างเพื่อสำหรับเวลาเช้าจะได้บิณฑบาต จะเข้าในเกณฑ์ที่เรียกว่าโปรดสัตว์ ไม่ใช่พระไปให้สัตว์โปรด เป็นอย่างงี้หนา คืนนี้พอดีถึงตี๑ครึ่งฉันตื่นขึ้นมาไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว เสียงข้างนอกโดดกันโครมครามๆ กุฎิหลังนั้นมชานข้างนอกรอบตัว แล้วก็เป็นเวลาเดือนหงาย ฉันเปิดออกดู เห็นคนบอกไม่ถูกเลย เยอะแยะไปหมด โดดกันพื้นนะเป็นคอนกรีต มันโดดสะท้านเลยตึงๆ มองดูแล้วทุกคนไม่มีหัว ดือนหงายจัดฉันมองเห็นชัด ดูทุกคนแหละมี่หัวซักคน ฉันก็ยืนมองดูคิดในใจว่า เอะไอ้พวกนี้ไม่มีหัวมันโดดได้ยังไง นี่แปลกใจตัวเองนะว่า ธรรมดาคนเถ้าไม่มีหัวถ้าไม่มีหัวละก็ลุกไม่ขึ้น ไอ้นี่ตั้งแต่คอถึงหัวขึ้นไปนี้มันไม่มี แต่เห็นมันกระโดดกันโหยงเหยง ฉันเลยปล่อยมัน ดูมันอยู่ประเดี๋ยวกลัวจะเสียเวลากรรมฐาน ฉันก็ล้างหน้า ล้างหน้าเสร็จก็มาทำวัตรสวดมนต์ มันก็กระโดดของมันอย่างนั้น พอถึงเวลาตีสองฉันก็เจริญพระกรรฐาน ตอนนี้วิ่งเข้ามาโดดในกุฎิ แตว่าเข้าไปไม่ถึงตัวฉันนะ มันอยู่ห่างซักวา ตามที่หลวงพ่อปานสั่งว่า ผีนะเข้าใกล้ตัวคนที่เจริญพระกรรมฐานเกินกว่า ๑ วาไม่ได้ ต้องอยู่หางไปประมาณ ๑ วา ฉันก็รู้ว่าห่าง ๑ วานะฉันเอื้อมไม่ถึง มันทำอะไร ฉันไม่ได้หรอก ฉันก็นั่งทำพระกรรมฐานปกติ ต่อมาเมื่อถึงเวลา ตี๔ ฉันก็เลิก เลิกลืมตาขึ้นมา มันก็หนีออกไปโดดข้างนอก ฉันก็ปล่อยมันแล้วทรงสมาธิอยู่แค่อุปจารสมาธิ ตอนนี้หยิบตำราขึ้นมาดู ตำราพระปริยัติ เรื่องของพระไตรปิฎกหยิบขึ้นมาอ่านแล้วรู้สึกเพลีย อ่านไปซักครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกว่าเพลีย ตามธรรมดามันไม่เพลีย คืนนั้นรู้สึกว่าเพลีย อ่านไปซักครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกว่าเพลียก็เลยวางหนังสือ วางหนังสือแล้วอากาศมันชักหนาวๆเลยเอาผ้ามาห่ม พอวางหนังสือชักผ้าห่ม ตอนนี้สมาธิมันคลายนิดหน่อย พอห่มผ้าถึงหน้าอก ก็ปรากฎว่าเจ้าผีตนหนึ่งมันโดดเข้ามาพร้อมกับผ้า คร่อมอกพอดี เจ้านี่มหัวผมรุงรังหน้าเสี้ยม มีผ้าห้อยคอผืนหนึ่ง ผ้าอีกผืนหนึ่งมันลอยชาย ผอมๆ เกร็งๆ ผิวดำ มันโดดเข้ามาแล้วมันทำท่าจะบีบคอฉัน ฉันดิ้นมันก็ไม่หลุด เลยนึกในใจว่า ไม่ได้ไอ้นี่ เดี๋ยวต้องตีด้วยหวาย พอมันบีบคอฉัน ฉันก็เอื้อมมือขวาจะหยิบหวาย มัน ก็เอาแขนขวาของมันมากดแขนซ้ายฉันไว้ ฉันก็เอาแขนซ้ายขยับหยิบหวายมันกเอาแขนขวามากดแขนซ้ายฉันไว้ เป็นอันว่ามันก็บีบคอฉันไม่ได้ ฉันก็ทำอะไรมันไม่ได้
    มันก็นั่งคร่อมฉันไว้เฉยๆ ฉันก็ว่าคาถาขับผี กี่บท กี่บท มันก็ไม่กลัว มีบทหนึ่งว่าไปแล้วก็เป่ามัน มันก็ว่ากูไม่กลัว ก็มานึกได้อีกบทหนึ่ง หมอขับผีชั้นดีท่านให้ไว้ ก็ว่าคาถาบทนั้นไป แล้วเป่ามัน มันก็บอกว่าบทนี้กูไม่กลัว บทนี้มึงได้ครึ่งเดียวนี้หว่า คาถามันมีอีกครึ่งหนึ่ง มันก็เลยว่าต่อให้ฟังอีกครึ่งหนึ่ง กลายป็นอาจารย์ขับผี ก็มานึกในใจว่าเอ ไอ้เจ้าผีนี่อะไร อะไร มันก็ไม่กลัว เห็นจะหมดท่าแล้วซิ มันก็ไม่ลงชักอึดอัด มันจะบีบคอก็บีบไม่ได้ ฉันจะต้าได้ตีผีไม่อยู่หรอก ผีเปิดเพราะหลวงพ่อปาน ท่านให้ไว้ ก็มานึก นี่หลวงพ่อปาน ท่านเคยบอกว่าในโลกทั้งสามโลก คือ เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี มนุษย์โลกก็ดี ไม่มีใครมีใครมีความดีเพระพุทธเจ้า ก็เลยนึกว่าพวกนี้ต้องอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าเล่นงานเสียแล้ว ก็เลยอาราธาบารมีพระพุทธเจ้า แล้วภาวนว่า พุทโธ พอฉันว่าพุทโธ ได้หนึ่งคำ ฉันเป่าพรวด มันกระเด็นวี๊ดแล้วก็วิ่งหนีไป ตอนนี้ฉันดีใจ เลยนึกในใจว่า พ่อเจ้าปรคุณเอ๋ย เรื่องคาถาขับผีนะ คราวหลัวใครอย่ามาสอนเลย ไม่ขอเรียนต่อไปอีกแล้ว ไม่ขอเรียน ขอใช้แต่ พุทโธนี่บทเดียวพอแล้ว แหม่พ่อเจ้าครูทั้งหลาย คุยเสียหนัก เสียหนาว่าคาถาเก่ง เอาเข้าจริงผีไม่กลัว
    พอจะหลับตัวหนึ่ง ตัวอ้วนๆดำๆ มันกระโดดเข้ามาทางหัวนอ มาถึงเอามือคว้าคอฉันปับเข้าให้ มันจะบีบอีก ฉันเหลียวไปจะเป่า มันกระโดดไปเลย ตรงที่มันคว้าคอได้นี่ยุ่ง เจ็บไปหมดทั้งตัวเลย มันเจ็บจริงๆมันไปแล้ว ก็ยังเจ็บ ฉันนอนคอยเวลาพอแสงทองขึ้น เวลาที่พระจะออกุฎิบิณฑบาตร ฉันก็เดินกะซ่องกะแซ่งไปหาหลวงพ่อปาน เรียกว่าเดินกะซ่องกะแซ่งไม่ใช่เดินกะปรี้กะเปร่า มันไม่ไหว เจ็บจริงๆเจ็บทั้งตัว ตามธรรมดาหลวพ่อปานท่านให้ อาจารย์เจมเปิดประตูเวลาโมงเช้า แต่วันนั้พอใกล้จะหกโมงเช้า หลวงพ่อปานสั่งให้อาจารย์เจิมเปิดประตูกุฎิ อาจารย์เจิมก็บอกว่าท่านขอรับ มันยังไม่ถึง ๖ โมงแต่ใกล้จะ๖โมง หลวงพ่อปานก็บอกว่า เปิดเถอะ เดี๋ยวไอ้ตัวดีมันมา
    เมื่อคืนนี้มันขอเข้าไปนอนในกุฎิคู่ที่หน้าศาลา ผี่ล่อมันตลอดครึ่งคืนเลย เรียกว่าตลอดทั้งคืนเลยก็ว่าได้ ผี่ล่อมัตั้วแต่หัวค่ำยันสว่าง นี่ถูกผีบีบคอแล้ว แต่ว่าทำอะไรมันไม่ได้ ไอ้นี่มันแกร่งจริงๆ ประเดี๋ยวมันก็มาหรอก อาจารย์เจิมบอกว่าพอหลวงพ่อปานพูดจบ ฉันก็โผล่พอดี
    พอโผล่เข้าไปเห็นท่านมานั่งคุยอยู่หน้ากุฎิ พอเข้าไปกราบท่าน ถามว่ายังใงละ พ่อตัวดี พอทนไหวใหม บอกไวครับ ท่านว่าทนยังใง บอก อื้อฮือ บอกเมื่อคืนผีมันเล่นงานผมเสียแย่ ตอนใหนไม่สำคัญ ตอนหลังนี่ซิครับมันโดดมาข้าหลังคว้าคอปวดไปหมด เอ้าก้มหัวมา ก็เลยก้มหัวไปหาท่าน ท่านเป่าทีเดียวเหมือนยกไปทิ้งเลย หายเป็นปลิดทิ้ง ท่านก็ถามนี่จะไปอีกไหม
    บอกไปขอรับ อ้าวถ้าหากว่ามันเอาอีกนะ ฉันรู้ว่ามันจะเอาอีก ตอบว่าเอาเป็นเอากันครับ อีคราวนี้ผมไม่เผลอ ตั้งท่าสู้กันให้ได้ มันต้องแพ้กันปข้างหนึ่งขอรับ แต่ผมไม่แพ้ ถ้าผมแพ้ ผมจะไปเป็นผี รบกับมันอีก
    อือฟังนะลูกหลาน อารมณ์อย่างนี่เป็นอารมณ์ของกิเลส ไม่ใช่ของดี แต่ตัวที่มีจิตจะสู้นี่ดีเหมือนกัน มันควรจะสู้กับกิเลส นี่แบกิเลสไปสู้กับกิเลส เสียนี่ แต่หลวงพ่อปานท่านก็ไม่ว่า บอกว่าเอ้าในเมื่อแกไม่เข็ด แกอยากจะสู้กับมันก็เอา แต่อย่าลืมนะ อย่าลืม ต่อนี้ไป สติสัมปชัญญะ การทรงสมาธิ ทรงไว้เป็นปกติ มันจะทำอะไรแกไม่ได้ นี่มันทำอะไรแกได้ตอนที่แกเผลอ แกชักผ้าห่มขึ้นไปปิดอกแก แกนึกถึงแต่ผ้าห่มกับความหนาว แกลืมนึกถึงพระพุทธเจ้า ตอนที่มันจับแก แกคิดว่าแกจะหลับเฉยๆ แกไม่ได้คุมอารมณ์สมาธิ ถ้าแกคุมไว้แล้ว มันทำอะไรไม่ได้
    ตอนนี้ฉันจำได้ ฉันกลับไปอยู่ไหม้ฉันก็ตั้งท่าแบบนั้น แล้วตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาครบ ๙๐ วัน เรียกว่า ๙๐ คืนไอ้ผีนั้นมันเล่นงานฉันทุกคืน มันแสดงบทบาทต่างๆ พอใกล้จะครบ ๙๐ ใกล้จะออกพรรษา มันว่ากระทั้ง กลางวัน กลางวงกลางวันมันอยากหลอกมันก็หลอก ฉันก็นอนดูตามสบาย ฉันก็มีอาวุธ ๒ อัน อ หวายอันหนึ่ง แล้วก็ไม้คมแฝกอันหนึ่ง เอาไว้ตีกะผี คิดว่าหวายตีมันไม่เจ็บจะนวดด้วยคมแฝก แต่ว่ามันก็เล่น แต่ว่ามันก็เดินใกล้ๆบ้างเดินเล่นโก้ๆ บ้าง ตามเรื่อง ตามราวของมน มันจะทำยังใงห้อนโหนโยนตัวมันก็ทำตามเรื่อง พอครบ สามเดือน มันก็หายไป ตอนนี้มาถามหลวงพ่อปานว่าผีอะไร มันถึงดุนัก ท่านบอกไม่ใช่ผีหรอก พวกนี้เป็นพวกยักษ์ พวกกุมภัณฑ์บ้าง เป็นพวกท้าวเวสสุวรรณกับท้าววิรุณหกบ้าง ทั้งสองพวกนี้มีอำนาจมาก แล้วก็ชอบลองคน ก็คุณมันไม่กลัวนี่เขาก็ลอง คุณเป็นพวกเดียวกับฉัน แล้วคืนนี่คุณฟังเสียงนะ มันจะมาเรียกคุณว่าเพื่อน เป็นความจริง คืนนั้นกลับไปใหม่ มันไม่หลอกแล้วเลิก การแสดงต่างๆ มันไม่หลอก มันเงียบๆ วันนั้นฉันตื่นตี๔ มันสบาย ไม่ใช่ตี๒ ได้ยินคนสองคน คุยกันหน้ากุฎิคุยกันเสียงดังคล้ายภาษาไทยแต่ฟังไม่รู้เรื่อง เสียงใหญ่คนหนึ่ง บอกว่าเฮ้ย ใกล้สว่างแล้วโว้ย กูไปละ คนหนึ่งบอกอือ กูก็จะไปเหมือนกันวะ แต่พระเพือนกูเขายังใงไม่รู้ เขาเคยตื่นตี๒ แต่วันนี้ทำไมนอนตื่นสายก็ไม่รู้ เดี๋ยวปลุกเขาก่อน เขาเคาะประตูดังๆแล้วบอก ท่านตื่นเฮอะ นี่มันตี๔แล้ว ไม่ใช่ตี๒ ฉันสงสัยคว้าไฟฉายโดดลงทางหน้าต่างสกัด เพราะทางที่จะลงมันต้องผ่านหน้าต่างเป็นเชิงคอนกรีต มันเป็นชานตลอด เอไฟฉายไปกราดดู เสียงหัวเราะดัง ฮ่าๆๆ ร้องบอกว่าเอาไฟไปฉายดูผีมันจะเห็นรึเท่านั้นฉันเลยกลับ ทีนี่ตอนเช้าฉันมาหาหลวงพ่อปาน ท่านบอกว่านั้นไม่ใช่ใครหรอก พวกยักษ์เขามาคุมคุณ เพื่อนเก่าๆนั้นแหละ
    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เวลาฉันจะนอนฉันก็สั่งเวลาฉันจะตื่นเวลาใหน ฉันมีธุระอะไรฉันก็สั่งเขา เขาปลุกเขาบอกได้ตามเวลาเป๋ง นี่เป็นเรื่องของผี หลวงพ่อปานท่านรู้เพราะเป็นอำนาจทิพจักษุญาน นี่เล่าให้ฟัง เล่าให้เห็นว่าท่านใช้ อำนาจทิพยจักษุญาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2013
  2. love_relax

    love_relax สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +18
    อนุโมธนาครับ
     
  3. ooi2211

    ooi2211 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +2,987
    อ่านเรื่องของหลวงพ่อไปแล้ว เอาของลูกศิษย์หลวงพ่อมาให้อ่านด้วยครับ โหดมันฮาไม่แพ้กัน
    พระอาจารย์เล็ก สุธัมมปัญโญ วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี



    ๕๑. ซ้อมมวยกับผี...!

    ขึ้นชื่อว่า “ผี” ไอ้ที่ไม่น่ากลัว เห็นจะมีแต่ผีเสื้อเท่านั้น แต่ก็ไม่แน่นัก ถ้าไปเจอผีเสื้อโลกล้านปี อย่างในเรื่อง “พระอภัยมณี” แต่ละตัวปีกเท่าเสื่อลำแพน แถมกินคนซะด้วย แบบนี้ก็ตัวใครตัวมัน วิ่งกันตูดแป้นไปตาม ๆ กัน...!

    ตอนเด็ก ๆ ละก็ชอบนัก ใครเล่าเรื่องผีเป็นหูผึ่ง นั่งเบียดกันเป็นกระจุก กลัวก็กลัว อยากฟังก็อยาก พอถึงตอนแม่นาคพระโขนง เอื้อมมือยาวเหยียด หยิบไม้ทะเลาะครกที่ใต้ถุน ต่างคนต่างขยับหนีร่องกระดาน กลัวผีมันจะล้วงตูด...! ปวดฉี่ก็ทนเอา จะออกไปก็กลัวผี จด ๆ จ้อง ๆ อยู่กันทั้งกลุ่มแค่หัวบันได ผู้ใหญ่แกล้งร้อง “เอิ๊บ...” ขึ้นทีเดียว ปล่อยซ่ารดกางเกงกันตรงนั้นเอง กลางคืนนอนคลุมโปงเหงื่อท่วมตัว จะเปิดก็ไม่กล้าเดี๋ยวผีมันจะเห็น เวรกรรมแท้ ๆ ...!

    อาตมาชะตาต้องกับผี ถูกหลอกมาแต่เล็ก นอนกับน้องชาย (น้องแสงชัย) อยู่สองคนแท้ ๆ ตื่นขึ้นกลางดึกกลายเป็นห้าคน แต่ละคนพระหน่อหุ่นชวนสยองทั้งนั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเรากลัว มันก็เสือกมาซะทุกคืนไอ้ผีไม่มีมารยาท...!

    ไปเก็บฝรั่งมากินกัน ก็มีนายบึ้กหุ่นแรมโบ้ตัวดำเป็นเหนี่ยง แต่ดันนุ่งแดงใส่แดง แถมผ้าโพกหัวสีแดง นั่งแกว่งเท้ายิ้มฟันขาวอยู่บนต้นฝรั่ง ผลคือวิ่งกันตีนพลิก สาปส่งฝรั่งต้นนั้นไปเลย...!

    ไล่ทุบไอ้ผีหัวกะโหลก ที่ดันมารู้จักเราตอนไหนก็ไม่รู้ เรียกชื่อถูกซะด้วย ทุบไปทุบมา จะล่อกบาลพี่ชายเข้าให้ หรือโดนผีนางไม้ตามบีบคอ แทบจะตกลงมาคอหักตายที่ชายแดนตาพระยา แถมเหยียบอยู่บนกบาลผีตั้งสามศพ โดยไม่รู้เรื่องสักนิดว่ายืนอยู่บนหลุมของมัน ช่างซื่อบริสุทธิ์อะไรเช่นนั้น...!

    โดนเจ้าของเสียงประหลาดไม่มีตัวตน ล้อมกรอบเอาที่หมู่บ้านทับเซียม รอดมาได้เพราะจะซัดมันด้วยเอ็ม. ๑๖ ผีมันก็กลัวคนบ้าเหมือนกันนี่หว่า...นั่นโดนสมัยฆราวาส พอบวชมายิ่งเจอหนักเข้าไปอีก มันหลอกถนัดขึ้นว่าอย่างนั้นเถอะ...

    รายแรกคือแม่ของยายแจ๋ว นังผีขี้โกงหลอกต้มกันกลางงานศพตัวเอง ถัดมาก็ป้ากุหลาบ อุทิศส่วนกุศลให้ตอนที่เผาแก กลางคืนแกตามไปขอบคุณซะแทบหัวโกร๋น ไปสวดศพที่วัดแก่นเหล็ก อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ญาติ ๆ เมากันเละ... หลวงพ่อพระครูวิชาญไชยคุณ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ไม่รู้จะเทศน์ให้ใครฟัง มันเมากันทั้งศาลา เลยคุยกับผีหน้าตาเฉย ไอ้ผีก็ยืนตัวขาวโพลน พนมมือฟังเทศน์งานศพตัวเอง ต้องอย่างนี้มันถึงจะแน่...!

    ไปธุดงค์ ปักกลดในป่าช้ากะเหรี่ยง ตกค่ำมันมาซะหกตัว ยังดวงดีมีเทวดาช่วย ไม่งั้นม้วยไปแล้ว แถมผีเด็กมากระโดดน้ำหลอกอีก ด้วยความโมโหที่ถูกหลอก เลยไม่อุทิศส่วนกุศลให้ ไอ้ผีแสดงฟรีไป ไม่ได้ค่าแสดงซักเก๊...!

    ออกไปทางด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ก็ถูกผีหลอก มันมาขย่มโครม ๆ หลังคาแทบถล่มทลาย นอนดูมันขย่มไปเรื่อย เหนื่อยเข้ามันก็หยุดไปเอง ไม่แน่จริงนี่หว่า...ฯลฯ พวกนี้เป็นผีนอกวัด ถึงจะหลอกก็ไม่น่ากลัว ผีในวัดซิดุบรรลัยเลย...! พระในวัดโดนกันบ่อย พวกมาช่วยเข้าเวรด้วย มีรายหนึ่งไปท้าพี่แกเข้า แกมาเขย่าป้อมยามไหวทั้งหลัง ต้องหนีไปนั่งที่โบสถ์จนสว่างคาตา อีกรายถูกถีบร่อนจากชั้นบน ออกหัวออกก้อยมาตามบันไดสบายไปซิ...!

    พระอาคันตุกะเป็นสังฆาธิการทั้งสิ้น มาดูงานแล้วกลางคืนเขาเจริญกรรมฐาน พระคุณท่านก็คุยไม่เลิก โดนเคาะประตูเตือนก็ไม่รู้ตัว พี่ท่านเลยเขย่าตึกเล่นมันซะเลย รุ่งเช้ามีหน้ามาถามว่า “วัดนี้ผีดุหรือ...?

    อาตมานอนภาวนากรรมฐานที่ป้อมตะวันออก พวกมากัน ๔ – ๕ ตัว หิ้วหัวคนท้ายคน จับเราเปลี่ยนท่านอนใหม่ ยกเท้าขวาถีบมันจับเท้าขวาไว้ ถีบซ้ายมันจับซ้าย ชกขวามันจับขวา ชกซ้ายมันจับซ้าย จะทำอย่างไรดี...? อธิษฐานเตโชธาตุเผามัน มันก็หลบได้ ว่าคาถาเป่ามันยังมองเห็น เบี่ยงตัวหลบนิดเดียว แถมเยาะเย้ยซะด้วยว่า “ไม่ถูก” แหม...เจ็บใจ จะขยับทำอะไรมันรู้ก่อนซะทั้งนั้น ทั้งผีผู้หญิงผีผู้ชาย ช่วยกันนั่งทับจากอกถึงเท้าเลย... “บอกว่ากลัวซิ แล้วจะปล่อย...” ไม่มีทาง เอ็งจะแน่ซักแค่ไหนวะ...? สะบัดหลุด โผนเข้าชกเจ้าตัวข้างหน้าสุดแรงเกิด... “โครม” ไม่ใช่เสียงหมัดกระทบผี หากแต่เป็นเสียงอาตมาล้มตะครุบกบโครม สนั่นป้อมสะเทือนเลย...!

    ไอ้ตัวข้างหลังนะซิ มันเตะตัดด้วยท่าเถรกวาดลาน ลุกขึ้นได้ก็ตามแก้คืน ทั้งชกทั้งเตะ ศิลปมวยไทย ที่เรียนมาจากครูเขตร์ ศรียาภัย งัดมันขึ้นมาใช้ แม่ไม้พันลำที่ไม่ค่อยได้เห็นก็ได้เห็น...! หมัด เท้า เข่า ศอก ถองกันอุตลุด ไอ้พวกนี้นกรู้ มันสู้ไม่ไหวก็ถอยไปล้อมอยู่ห่าง ๆ คอยเราเผลอ ถ้าเผลอมันอัดทันที แบบนี้ก็แย่ซิ...อาตมาเป็นคนนี่หว่า พอเหนื่อยก็เสร็จมัน...!

    ถูกจับขึงพืดกดกับพื้น แล้วพวกมันยื่นหน้ามาหัวเราะเยาะ... เออ...ทีเอ็งข้าไม่ว่าทีข้าเอ็งอย่าโวยแล้วกัน วันพระมีเดือนหนึ่งตั้งสี่ครั้ง ต้องมีทีข้าบ้างละวะ...! คิดอาฆาตเอาไว้ในใจ ขณะถูกกดจนกระดิกกระเดี้ยไม่ไหว...

    พอสงบสติอารมณ์ได้บ้างก็พิจารณาดู เจ้าพวกนี้ถ้าหลับตาหรือลืมตา แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ จะเห็นเป็นเงาหนา ดูออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ถ้าตั้งใจดูจะมองไม่เห็น เหมือนกับมองผ่านกระจกใส ๆ อย่างนั้นแหละ...!

    ดูมือที่มันกดเราไว้ ก็เป็นรูปมือดี ๆ นี่เอง แต่ถ้าเพ่งดูจะเห็นแต่ร่างกายเรา แต่ความรู้สึกชัดเจนว่ามันกดเราซะแน่นปั๋งเลย ดูตัวของมันก็เหมือนกัน ถ้าไม่ตั้งใจก็ชัด ถ้าตั้งใจดูก็มองทะลุ เห็นข้างฝาเห็นโต๊ะ – เก้าอี้แทน...

    ก็ตัวเป็นเงา ๆ ทำไมมันชกเราก็เจ็บ เราเตะมันก็ถูก กระชากมือซ้ายหลุดออกมาได้ ควานไปถูกเอวผีผู้หญิง เลยคว้าซะเต็มมือ ยายนี่บ้าจี้ หัวเราะคิก ๆ น้ำหูน้ำตาไหล เนื้อมันก็นิ่ม ๆ เหมือนคนทั่วไปไม่มีผิด...! รวบรวมเรี่ยวแรงสะบัดโครม หลุดออกมาได้ เจ้าพวกนั้นรีบเผ่นออกนอกรัศมีมือเท้าทันที อาตมากำหนดสมาธิ ขีดเป็นแนวป้องกันตัว เป็นวงกลมรัศมีสักวาหนึ่ง กำหนดสติระมัดระวังตัวตลอดเวลา...

    ใครว่าผีหลอกกลางคืนอย่าไปเชื่อเชียว นี่กลางวันเที่ยง ๆ มันก็เอา...ตั้งแต่นั้นมา ก็เลยมีคู่มือชั้นดีมาช่วยซ้อมมวยให้ ใคร ๆ เขาโดนแค่พักเดียว พอนึกถึงนิพพานได้เขาก็เลิกซ้อม อาตมาโดนเป็นปี ๆ นึกถึงนิพพานไม่ได้ซักที...!

    ต่อมาน้องแสงชัยบวช ตอนแรกจะเอาตั้งเดือนหนึ่ง พอครบเจ็ดวัดรีบขอสึกบอกว่า “ไม่ไหวครับ...มันเล่นไม่ให้หลับไม่ให้นอนเลย ขืนอยู่ต่อไปผมคงบ้าแน่ ๆ...” นั่นไง...นึกว่าเราจะโชคดีคนเดียว มีเพื่อนจนได้ซิน่า...!

    “หลวงพ่อ” บอกว่า พวกผีที่มาหลอกนั้น ส่วนมากคือเพื่อนเก่าของเราทั้งสิ้น เขามาทดสอบกำลังใจ ถ้าใครกลัวมากเขาก็จะไม่มาแกล้งอีก หรือกลัวแล้วใจเกาะความดี คือนึกถึงพระหรือคำภาวนาได้ เขาก็เลิกแกล้งเช่นกัน...

    แต่ “เพื่อนเรา” ทำไมโหดร้ายนัก...? ทั้งกลางวันกลางคืนสองพรรษาหลอกไม่เลิก ถ้าไม่ย้ายหนีซะก่อน คงจับไข้หัวโกร๋น ไม่ต้องโกนกันเลยละมั้ง...?

    ๑๓ เมษายน ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  4. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,882
    ชอบเรื่องของคุณ ooi2211

    แต่ตอนเราจับผีได้นี่ เราสติแตกละนะ คือไม่คิดว่าจะจับได้จริงๆ
    ผีตายทั้งกลมด้วย เฮี้ยนมาก เค้ามาขอส่วนบุญเลยลองจับ
    เหมือนจับมือคนนี่ล่ะ แต่มือยืดได้ยาวออกไปเรื่อยๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...