จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    ขออนุโมทนากับความดีของลุงมหา ในการนำเรื่องราวของมูลนิธิพระใหญ่ชัยภูมิ และคำสอน คำบอกเล่าของอาจารย์ทิพากรมาเล่าให้ฟัง

    เราขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ทำให้ได้ทราบเรื่องราวเหล่านั้น

    อาจารย์ทิพากร เป็น บุคคลที่ข้าพเจ้า เคารพ รัก และแสดงความน้อบน้อมเป็นอย่างยิ่ง
     
  2. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    แต่มีข้อสังเกตุอยู่อย่างหนึ่ง ในเนื้อหาที่ผู้มีอธิบายไว้ ใน "มหากุศลมี 8 ประการ" ตามเนื้อหาข้างบน #14817

    เกี่ยวกับเรื่องฌาน คงจะมุ่งหมาย ดังพุทธภาษิต คาถาธรรมบท (ฌานโลกุตระ)

    "นตฺถิ ฌานํ อปฺญฺญสฺส
    ปญฺญา นตฺถิ อฌายโต
    ยมหิ ฌานญฺจ ปญฺญา จ
    ส เว นิพฺพานสนฺติเก.

    ฌาน ย่อมไม่มีแก่ บุคคลผู้ไม่มีปัญญา,
    ปัญญา ย่อมไม่มีแก่ ผู้ไม่มีฌาน,
    ฌานและปัญญา ย่อมมีในบุคคลใด,
    บุคคลนั้นแล ตั้งอยู่แล้วในที่ใกล้พระนิพพาน."


    หากเพราะ นักบวช พราหมณ์ ฤาษี ชฏิล บางท่านในสมัยพุทธกาล
    ที่แสงสว่างแห่งธรรมแท้ ยังไม่สามารถส่องถึงได้ เช่น ท่านอสิตดาบส ท่านอาฬารดาบส ท่านอุทกดาบส เป็นต้น

    ท่านเหล่านั้น มีการเจริญฌานอยู่เป็นนิจ แต่มิได้มุ่งหมายปรารถนาพระนิพพาน
    หากเพราะยังคงทิฏฐิเดิม ที่ไม่ได้ถ่ายถอน ขาดการสดับสัจธรรม ชี้ทาง จากพระบรมศาสดา

    ซึ่งหมายถึงการขาด ใน ญาณสัมปยุต คือ ฌาน ปัญญา ในโลกุตตระ

    จึงมีคำถามว่า ผู้ขาดปัญญา (สัมมาทิฏฐิ) เหตุใดจึงได้ฌาน จึงเป็นที่มา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2013
  3. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดีและยินดีต้อนรับเสมอค่ะ ไม่ว่าท่านจะเป็นขาประจำ หรือว่า ขาจร ขอเชิญเข้ามาพักจิตพักใจกันได้ตามสบายเลยค่ะ:cool::cool:
     
  4. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดีคุณลุงมหาอีกครั้งค่ะ...แหม๋..ที่แท้คุณลุงจะมาบอกบุญสร้างพระให้กับพวกเรานี้เอง...พวกเรายินดีร่วมบุญค่ะ..ถ้าไม่รังเกียจคุณลุงฝากเลขที่บัญชีร่วมบุญได้เลยน่ะค่ะ...

    คุณลุงมหาเหนื่อยนักก็พักบ้างน่ะค่ะ..อย่าแบกมันไว้เลยก้อนหินหน่ะ...วางลงเมื่อไรก็เดินตัวปลิวเลยเมื่อนั้น...ทำบุญใหญ่อย่าเครียดนาา...ต้องทำจิตใจให้ผ่องใสเข้าไว้...และอยู่กับปัจจุบันให้มากๆ ค่ะ...เพราะอะไรๆ มันก็ไม่เที่ยง...ไม่รู้ว่าจะรอดูไหวรึเปล่า...เพราะหนูอาจตายไปก่อนปี พศ.2561 ก็ได้เด้อ..ไผ๋จิไปฮู้ว์...black_pigblack_pigblack_pig

    โมทนาสาธุค่ะ
     
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...ยิ่งความยึดติด

    ...ถือมั่นรุนแรงเท่าใด...

    -ผลก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น...

    ...ความทุกข์ก็ทวีคุณมากขึ้นเท่านั้น...

    ...พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค น้อมกราบหลวงพ่อเจ้าค่ะ
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนของท่านพ่อฤาษีเจ้าค่ะ และ

    ขออนุโมทนากับคุณปาราเมศ ที่ท่านได้นำพระธรรมคำสอนขององค์ท่านมา

    ให้ได้สกิจใจผู้อ่าน ให้ได้เตือนตนเองให้ได้ถึงความหลุดพ้น...ลูกขอน้อมรับ

    พระธรรมคำสั่งสอนทุกๆวันตลอดไปจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ...

    ...น้อมกราบท่านพ่อฤาษีด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ.....
     
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...สาธุอนุโมทนาค่ะคุณภูทยาน โอวาสธรรมของท่านที่กล่าวมานั้น

    ...เป็นธรรมคำสอนที่ถูกต้องทุกถ้อยคำค่ะ ขอนำมาเพื่อปฏิบัติให้ได้ถึงการปฏิ

    บัติที่จะได้ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจคือ ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงนิพพานค่ะสาธุ สาธุ สาธู.
     
  8. tossapon15

    tossapon15 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +417
    55555 ครูเกษจิตใจผ่องใสมีอารมณ์ขันได้ตลอดจริงๆ 5555
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    “เอ็งเห็นดอกไม้ที่ร่วงไหม?”

    “มีทั้งดอกอ่อนที่ยังไม่ตูม ดอกที่ตูมแล้วยังไม่บาน ดอกที่บานแล้วยังไม่โรย ดอกที่โรยแล้วยังไม่เหี่ยว ดอกที่เหี่ยวแล้วยังไม่แห้ง ดอกที่ แห้งแล้วเป็นที่สุดก็มี นี่มันร่วงลงมาจากต้นไม้เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่สภาวะของมันไม่เท่านั้น”

    “ชีวิตร่างกายของคนก็เหมือนกัน บางรายตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ บางรายคลอดออกมาแล้วตาย บางรายตายตั้งแต่ยังเป็นเด็ก บางรายตายตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว บางรายตายตอนวัยกลางคน บางรายตายเมื่อแก่ อย่างข้านี่ตายเมื่อแก่ก็ไม่ต่างกับดอกไม้ที่แห้งคาต้น แล้วร่วงหล่นลงมา สภาวะความจริงมันเป็นอย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในโลกมีอนัตตาเป็นที่สุด อย่างร่างกายก็คือตายไปในที่สุด”

    “แล้วเอ็งเห็นดอกไม้ร่วงหล่นอยู่นี่ เอ็งมีความเศร้าโศกบ้างหรือไม่”

    (ก็ตอบว่า ไม่)

    “นั่นซิ มันร่วงมันหล่นมากมายเกลื่อนกลาดอย่างนี้ มันก็เป็นปกติของมัน ร่างกายก็เหมือนกัน มันร่วงมันหล่นก็เป็นปกติของมัน จะมัวเศร้าโศกเสียใจอยู่ทำไม ภาวะปกติมันเป็นอยู่อย่างนี้ มันเป็นธรรมดา ก็จงอย่าไปฝืนมัน ไม่มีใครหรอกที่เกิดมาแล้วไม่ตาย”​

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร
     
  10. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ลูกขอน้อมจิตก้มกราบแทบเท้า หลวงปู่บุดดา ถาวโร ด้วยเศียรเกล้า เจ้าค่ะ ...ที่หลวงปู่ เมตตามาสอนธรรมข้อนี้ ในจิตลูกเมื่อสักครู่นี้เอง...พอเข้าเยี่ยมบ้านนี้ ก็มาเจอหลวงปู่มาโปรดซ้ำอีกที...ท่าน สอนให้ลูกมองอะไรๆ ให้ตรงตามความเป็นจริง ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบ ทรงตรัสสอน ...ให้ลูกมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ตามธรรมดาของมันเป็นอย่างไร ให้มองด้วยปัญญา อย่ามองด้วย อวิชชาที่ครอบงำปิดบังจิต ...ท่านเมตตามาสอนจิตลูกที่โง่เง่าเต่าตุน ที่จิตถูกปิดบังสนิทด้วยอวิชชา เมื่อสติพร่อง จิตลูกก็เสร็จ เจ้ากิเลสทุกที ...นิวรณ์ครอบงำ ทำปัญญาลูกถอยหลังเข้าคลองไปหลายวันเลยค่ะ หลวงปู่ ...

    กราบแทบเท้าหลวงปู่ ที่เคารพรักเหนือเศียรเกล้า กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ สาธุ


    กราบขอบพระคุณ ท่านภูทยานฌาน ที่นิมนต์หลวงปู่ มาโปรดข้าพเจ้า สอนซ้ำอีกทีจากที่ท่านมาสอนในจิตโมทนาสาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2013
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับคุณ@สุรินทร์ด้วยครับ ที่มาช่วยเติมเต็มให้กันและกัน
    แหม๊ นึกว่าลืมพวกเราไปเสียแล้ว คิดถึงกันอยู่นะ
    ผมอยากให้คุณนำธรรมะ โดยเฉพาะปริยัติ มาให้พวกเราในที่นี่อ่านด้วย
    เพราะมีประโยชน์มาก เช่นเดียวกัน
    เปรียเสมือนต้นไม้ จะมุ่งเอาแต่แก่นอย่างเดียวก็ไม่ได้
    เพราะต้นไม้ ถ้าไร้ซึ่งเปลือกกระพี้ ย่อมไม่เป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์แบบแน่

    บอกตามตรงว่า ผมเองก็ไม่ชอบปฎิวัติ เอ๊ย ปริยัติ
    จึงไม่เน้นปริยัติ แต่จะเน้นปฎิบัติ ซะมากกว่า
    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติธรรมใหม่ ควรปฎิบัติให้มาก ปฎิบัติให้มากในที่นี้หมายถึง
    ตามดูจิต ตามรู้จิต ด้วยใจเป็นกลาง คนที่จะเจริญในกรรมฐาน หรือเจริญในธรรมได้
    จะต้องปฎิบัติให้มากๆ มิใช่ อ่านมาก เพราะที่เรากำลังอ่านกันอยู่นั้น เป็นปัญญาของผู้อื่น
    มิใช่ เป็นปัญญาของตนเอง ปัญญาของตนจะเกิดขึ้นได้เรื่อยๆไปตามมรรคผลตนนั้น
    ส่วนใหญ่จะมาจากปัญญาที่ได้จากการภาวนา (ภาวนามยปัญญา)
    ปัญญาตรงนี้ ที่จะช่วยนำจิตของตนไปรู้ในธรรม พิจารณาธรรม หรือวิปัสสนา นั่นเอง
    พระพุทธเจ้าทรงโปรดให้พวกเราทำกันตรงนี้ให้มากๆ เพราะตรงนี้จะทำให้ผู้ไม่เดินหลงทาง
    ถ้าผู้ปฎิบัติวางกำลังใจไม่ถูก หรือยังเป็นมิจฉาทิฎฐิ เมื่อความคิดเห็นผิดอยู่ก่อนแล้ว
    อย่างอื่นก้ไม่ต้องพูดถึง ผิดหมด ยิ่งข้างนอกก้พาลจะผิดไปหมดเลย
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีกำลังใจถึงอยากที่จะปฎิบัติธรรมแล้ว ขอให้ทุกท่านตั้งใจทำจริงๆจังๆ
    สิ่งที่จะต้องมีและระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ นั่นก็คือ สติ โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติใหม่

    หรือผู้ปฎิบัติเก่าไๆ ที่ตราบใดยังวางขันธ์๕ (รูป๑นาม๔)นี้ ยังไม่ได้ คำว่า สติ จำเป็นที่สุด
    แต่เมื่อไหร่ เราสามารถทมำสติ สมาธิ ปัญญา รวมเป็นหนึ่งได้แล้ว
    ผมจะไม่ขอกล่าวธรรมลึกไปกว่านี้ เพราะบอกไปก็ไม่ประโยชน์อันใด
    ถ้าท่านทำถึงตรงนี้ได้แล้ว ท่านก็จะรู้เอง เห็นเอง
    เพราะการปฎิบัติะรรมนั้น เป็นเรื่องปัจจัตตัง
    เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติเก่าๆ จำเป็นจะต้องคอยหมั่นทบทวนการปฎิบัติของตน บ่อยๆ
    อิทธิบาท๔ พรหมวิหาร๔ สังโยชน์๑๐ บารมี๓๐(ไม่ใช่ทำแค่๑๐นะ) กรรมบท๑๐
    เป็นต้น เมื่อพรหมวิหารมีในจิตแล้ว ต่อไปฯ คำสุดท้ายจะต้องมี ต้องเกิดกับจิตผู้นั้น
    นั่นก็คือ อุเบกขา โดยเฉพาะ สังขารุเบกขาญาณ คือวางใจเป็นกลางต่อร่างกายของตนก่อน
    มิใช่ ฝึกวางคนอื่น สิ่งอื่นๆก่อน อันนั้นผิดทาง เมื่อจิตวางขันธ์ตนเองได้เด็ดขาดแล้ว
    สิ่งอื่นๆนั้น ที่ไม่เกี่ยวกับขันธ์ตนนั้น ก็จะปล่อยวางได้ง่ายขึ้นฯ

    สรุปแล้ว
    ธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ อันได้แก่ ปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธ
    ขาดธรรมตัวใดตัวหนึ่ง ไม่ได้เลย เพราะจะทำให้ล้ม
    เพราะทั้ง๓ธรรมนี้ เปรียบเสมือน ขาหยั่งหรือไม้สามขา
    ถ้าขาดไม้หรือขาหยั่ง อย่างใด อย่างหนึ่งแล้ว ก็พังเท่านั้นเอง

    แต่ขอให้ปฎิบัติมาก แต่ก็จำเป็นจะต้องดูปริยัติเทียบไปด้วย ว่าเราปฎิบัติถูกต้องไหม
    ตรงตามคำสอนของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนสิ่งใด ก็ให้ปฎิบัติทันที
    แต่ถ้าสิ่งใด พระพุทธองค์ มิได้ตรัสสอน ผู้ปฎิบัติก็อย่าทำ อย่าไปสงสัย
    เพราะมันจะเสียเวลามรรคผลของตน ดูปริยัติ ดูเพื่อเอาไปเทียบกับสิ่งที่ตนกำลังปฎิบัติ
    มิใช่ นำไปขัดขวางในขณะที่จิตกำลังเดินมรรค อันนี้เป็นเรื่องละเอียด ต้องคอยปรึกษาผู้รู้
    หรือครูบาอาจารย์ของตน เพราะถ้าทำสมาธิลึกมากๆ คือเลยอุปจารสมาธิเป็นต้นไป
    โดยเฉพาะ ในเขตฌานด้วยแล้ว อันตราย ถ้าไม่มีครูช่วยสอบจิตให้
    แต่ไม่ต้องกลัว ไม่มีผู้ใดทำกรรมฐานตายหรอก นอกจากแก่ตาย
    แต่ถ้าตายในกรรมฐานจริงๆ จะไปกลัวทำไม ท่านก็จะไปเกิดในแดนพรหม
    แต่เกรงว่าเพี้ยนซะก่อนบรรลุธรรม เพราะจิตหลงนิมิต ติดสุขจากฌาน ซะมากกว่า
    ถ้าเราปฎิบัติได้แล้ว คำว่า ปฎิเวธ(ผล)จึงตามมาเอง ส่วนคำว่าปริยัติ หรือธรรมะ
    เดี๋ยวจะมาโผล่มันให้เห็น ให้รู้ภายในจิตเอง ไม่ต้องกลัว มาเป็นหน้ากระดาษ A4
    แต่มาสื่อเป็นภาษาจิตนะ สติเราก็แปลให้เป็นภาษาสมมุติใหห้ทันก็แล้วกัน
    ส่วนใหญ่จะตามไม่ทัน ใหม่ๆผมเป็นบ่อย คือไปติดธรรมะที่โผล่ในจิต ตามจด ตามจำไม่ทัน
    มาภายหลังพระในจิตก็ค่อยมาบอกเล่าให้เราหายข้องใจไปเอง
    ท่านบอกว่า เมื่อธรรมอันใดที่ผุดขึ้นมาในจิต(ใหม่ๆนะ)
    ก็ขอให้เรานึกถึงตอนเด็กๆที่ไปขุดบ่อน้ำทรายเล่นกัน
    เวลาขุดใหม่ๆน้ำที่ไหลออกมามักไม่ใส ยังตักมาดื่มกินได้ เพราะยังมีผง ตะกอน น้ำยังขุ่น
    แค่ให้เราค่อยๆตักน้ำที่ยังขุ่นอยู่นั้นออกทิ้งไปเสีย แล้วน้ำที่จะซึมออกมาภายหลังนี้ก็จะใส
    เปรียบเมือนธรรมที่ผุดออกมาจากจิตตนก็เช่นเดียวกัน ใจเย็น อย่าเพิ่งร้อนวิชา
    พระเมตตาแนะบอกเอาปัญญากรองใน สติกรองนอกเสียก่อน หมายถึง
    ธรรมอันใดที่คิดดีแล้ว ที่กำลังผุดมานั้น เป็นธรรมซึ่งประโยชน์กับผู้อื่นก็ให้นำไป
    เสมือนน้ำที่ซึมจากบ่อทราย เรายังดื่มไม่ได้เลย แล้วฉันใดเล่า
    และจะนำไปให้ผู้อื่น ดื่มกินอย่างนั้นหรือ มันไม่ได้ ใช่ไหม

    ธรรมที่ผุดขึ้นในจิตนั้น มิใช่ นำไปสอนเฉพาะผู้อื่นเพียงอย่างเดียว
    แต่ธรรมในจิต จะสอนผ่านจิตละเอียดในกายหยาบของตนเองอีกทีนึง
    (เพิ่งจะหาที่ลงได้)
    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤศจิกายน 2013
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คนเรานี่หน๋อ
    ใจของคนเรานี่หน๋อ
    ตกได้ตกดี จิตก้ไม่เที่ยงหน๋อ มีแค่สติตามดุรู้จิตด้วยใจเป็นกลางไปหน๋อ อย่าได้วิ่งตามมันหน๋อ
    เดี๋ยวจะเสีย มรรคผล นิพพานก็ไม่ต้องพูดถึงเลย
    เพราะนิพพาน เขาไม่เอาควายไป
    (ขอยืมสำนวนคุณจุ๋มเยอรมันหน่อยนะ)

    เกิดมาทำไม ตายไปทำไม
    ถ้าไม่เกิดก็คงไม่มีคำว่า ตาย
    แต่ถ้าเกิดกันมาแล้ว ก็ให้ทำใจยอมรับกับกฎธรรมดา หรือกฎแห่งกรรมของตนไป
    จู่ๆจะมายอมรับกับสิ่งที่พูด สิ่งสมมุติกันง่ายๆไม่ได้ มีทางเดียวต้องทำภาวนา
    คนที่อยากจะออกจากทุกข์ แม้นกระทั่งอยากจะไปพระนิพพาน
    เราก็ต้องนำจิตมาเดินตามมรรคมีองค์๘ เท่านั้น
    ส่วนบุญกับบาปคนละส่วนกัน อย่าได้นำมารวมกัน
    ส่วนการทำบุญ ทำทาน คือบุญภายนอก ก็ยังคงติดตามเรา(จิตหรือวิญญาณ)ยังภพภูมิที่ดีแน่
    อย่างมากก็เทวภูมิ ถ้าอยากเป็นพรหมก็ทรงสมถะ สมาธิหรือฌานเป็นวสีหรือทำให้ชิน
    แต่ถ้าผู้ใดมีกำลังใจ อยากจะไปพระนิพพาน แต่ต้องเป็นนิพพานบนดินก่อน
    คือมุ่งปฎิบัติละหรือตัดขันธ์๕ ตนเองให้ เด็ดขาด
    จากเมื่อก่อนที่เคยมีความเห็นผิด คือเห็นกายใจเป็นเรา เป็นของเรา
    แต่ตอนนี้ ต้องไม่ใช่แล้วนะ

    ที่กล่าวมานี้ ทั้งหมด ทั้งมวล ก็อยู่ที่กำลังใจ(บุญบารมีแห่งตน) เท่านั้น
    สำหรับผู้ที่อยากจะสร้างบารมี ที่มากกว่าคำว่าบุญกุศลนั้น จำเป็นต้องมีกำลังใจมากพอ
    ถ้าไม่อย่างนั้น ทำไม่ได้ เช่น เป็นครูสอนธรรม วิปัสสนากรรมฐาน เป็น
    ตรงนี้ผู้ที่จะมาทำหน้าที่แทนพระพุทธองค์ หรือหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ
    หรือครูบาอาจารย์ของพวกเรา จึงมิใช่เรื่องง่าย
    แต่ถ้าผู้ที่จะคิดมาอย่างว่ามานี้ ถ้าจิตเรายังหน่อมแน้มอย่างนี้ บอกได้คำเดียวว่า
    ไปไม่รอดแน่ เฉพาะลำพังตนคนเดียวก็ยังเอาตัวไม่รอดเลย
    ไม่พยายามเจริญสติ สมาธิ ปัญญา ให้เป็นอธิสติ อธิสมาธิ อธิปัญญาแล้ว
    หรือมีสติสมาธิปัญญา ไม่เข้ม ว่ากันอย่างนั้นเห่อ ไม่มีทางแน่
    แต่ถ้าพวกเรา โดยเฉพาะจิตบุญ สายพี่ภูนี้ ถ้าไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้
    ข้าพเจ้า ก็คงลาไปทำหน้าที่อื่น ลาไปเพื่อดูกาย ดูใจ ทำฌานหรือฌานให้แจ่มกว่านี้
    เพราะตัวข้าพเจ้านี้ ได้มอบกายถวายชีวิตของตนชาตินี้ ให้กับพระตถาคตไว้หมดแล้ว
    แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้ทำในสิ่งที่ปรารถนา แต่มิได้ไปยึดติดกับสิ่งใดๆ
    แม้นกระทั่งขันธ์๕ หรือร่างกายของตนก็ยังไม่เอา ไม่ปรารถนา
    แล้วจะไปเอาหรือปรารถนาสิ่งใดอีกหรือ
    และถือซะว่า ตนเองนั้น ไม่มีบุญ บารมี วาสนากระทำในสิ่งที่ปรารถนา
    หรือตามที่ตนเองได้ตั้งสัจจะอธิษฐานก่อนหน้าไว้แล้ว

    ถ้าถามผมว่า..เหนื่อยไหม ท้อไหม ตอยได้เลยว่า ไม่เหนื่อย ไม่ท้อ
    เพราะมันเลยสองคำนี้ไปแล้ว
    ยิ่งกำลังใจหรอ ไม่ต้องถาม บอกได้คำเดียวว่า ไม่ใช่ กำลังใจของคนธรรมดาก็แล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤศจิกายน 2013
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บ่วงหงส์ - ฉัตรสิริยากร - YouTube

    สิ่งที่เธอเห็นสิ่งที่ฉันเป็นอาจจะไม่ดีสั­กเท่าไรคงเป็นเพราะฉันเองไม่ได้เกิดมาเพื่­อใคร
    ใจที่สับสนคนที่ปวดร้าวผ่านคืนเหน็บหนาวกี­่ครั้งครา จะล้มจะล้าหวั่นไหวเหว่ว้าก็เพียงลำพัง

    * อยากมีใครซักคนในวันที่ฟ้าไม่เป็นใจที่จะเ­ดินตากฝนฝ่าพายุไปเข้าใจซึ่งกันและกัน

    ** เหนื่อยและท้อเหลือเกิน รู้ไหมหมดแรงจะสู้ต่อไปอีกแล้ว พายุยิ่งแรงหัวใจยิ่งแผ่ว
    หากเธอจะมารักกันเพียงสงสารว่าฉันไม่เหลือ­ใครเอากลับคืนไปฉันไม่ต้องการ

    ช่วงขั้นรายการ อย่าคิดมาก บอกไปแล้วไง๊..ใจของฉันเป็นพระ
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089

    การปฎิบัติธรรมนี่
    เราต้องเอาอารมณ์ในทุกขณะจิต หรืออารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดเฉพาะในปัจจุบันเท่านั้น
    จึงจะถูกต้อง
    ไม่ใช่ เอาธรรมที่ไหนมาพิจารณา แม้นกระทั่งลมหายใจที่แล้ว ก็ไม่ต้องนำพิจารณา
    ถ้าผู้ปฎิบัติทำได้อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ดู ในอนาคตกาลอันใกล้
    คือผู้ที่ออกมาจากจิตปัญญา คือกูรูแล้ว

    โดยเฉพาะ ผู้ปฎิบัติ ที่จะละนามอันละเอียดของตนเองนี้ให้ได้
    จะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจจิตใจของตนเป็นอย่างดี
    ต้องอยู่เหนืออารมณ์จิตตนให้จงได้
    ถ้าไม่ได้ นั่นแสดงว่า ยังสอบไม่ผ่าน เพราะไม่สามารถอยู่เหนืออารมณ์จิตตนได้
    เท่ากับเรายังสอบไม่ผ่านเจตสิก ธรรมารมณ์ หรือสังขารขันธ์ของตนเอง

    แต่ถ้าผู้ที่ไม่ได้ปฎิบัติธรรมนั้น คงไม่ต้องพูดถึงกันแร๊ะ เห็นตามอารมณ์เจตสิกกัน
    เป็นว่าเล่น และคนเหล่านั้นยังเป็นทุกข์กันอยู่มาก โดยมิต้องไปสงสัยแต่อย่างใด
    เพราะยังไปตาม ยังยึดติดกันมาก คือยึดอารมณ์จิตตนเป็นตัวเป้นตน
    ตราบใด เรายังเอาทั้งความรู้สึกที่เป็นสุขหรือทุกข์ ยังยินดีไม่ยินดี พอใจหรือไม่พอใจกันอยู่
    บอกได้เลยว่า ผู้นั้น ไม่มีทางพ้นทุกข์

    เพราะฉะนั้น คำว่า พระนิพพาน จึงไกลเฉพาะผู้ที่อยู่ตรงนี้ น่าจะเป็นจริง ตามนั้น
    แต่ผู้ปฎิบัติที่เข้าทางตรง(นิพพาน) ย่อมไม่เลี้ยว ไม่อ้อม ไม่แวะ ไม่หลงชมสิ่งที่อยู่ข้างทาง
    หารู้ไม่ ถ้ารู้กันดังนี้ ก็จะไม่มีผู้หลง ผู้แวะใดๆทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่กำลังอยู่เบื้องนั้น
    สวยงามกว่า ดีกว่า เป็นต้น
    กำลังใจอย่าให้ตก โดยเฉพาะ ผู้ปฎิบัติ โดยเฉพาะ ผู้ที่ปรารถนาพระนิพพาน
    จึงมิใช่ของที่จะมาทำกันเล่นๆแล้วจะได้ เอาให้มันจริงๆ แยกจิตออกมาจากขันธ์ก่อน
    แล้วท่านจะได้อารมณ์ใหม่ๆ เข้าไปแทน สำหรับกำลังใจตรงนี้ เคยบอกไปแล้ว
    ไม่ใช่ กำลังใจของคนธรรมดาเลย

    ปล.คำว่า ละ นามละเอียด(นามทั้ง๔ คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นั้น
    ในที่นี้หมายถึง ให้ผู้ปฎิบัติอยู่เหนืออารมณ์ต่างๆเหล่านี้
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ถ้าถามผมว่า..เหนื่อยไหม ท้อไหม ตอบได้เลยว่า ไม่เหนื่อย ไม่ท้อ
    เพราะมันเลยสองคำนี้ไปแล้ว

    ยิ่งกำลังใจหรอ ไม่ต้องถาม บอกได้คำเดียวว่า ไม่ใช่ กำลังใจของคนธรรมดาก็แล้วกัน


    สาธุค่ะ ขออนุโมทนา กับครูพี่ภูด้วยค่ะ เพราะคําตอบ ว่าเมื่อยไหม? จิตมันตอบไปแล้วไม่เมื่อย ที่เมื่อยนั้นแค่กายเท่านั้น เพราะคํานี้ ผู้เขียนก็เพิ่งเจอมาสดๆร้อนๆ เพราะไปทํางานมา ร่างกายมันเหนื่อย เมื่อย แต่จิตนี่ชิ มันยิ่งแกร่งมาก เพราะเห็นว่า เราต้องผ่านด้านนี้ให้ได้ งานก้หนักแถมต้องยืนตลอดทั้งแปดชั่วโมง แล้วจิตก็ถามขึ้นมาว่าแน่ไหม?เหมือนเขาทดสอบ... แล้วจิตก็ตอบแน่ชินี้ กายทุกข์เพราะมีขันธ์ และต้องรับผิดชอบ แต่จิตก็ไม่ยึดในกาย แค่ดูมันไปจิตอยู่กับหลวงพ่อฤาษี ท่านเหมือนรู้มาให้กําลังใจ และเราก็รู้ว่านี้เราทําไปเพื่อหน้าที่ และดูกายมันไป มันคนละส่วน ความลําบากความทุกข์มันไม่เข้ามาถึงจิต... ก็เลยเข้ามาเสริมธรรมะของท่าน อ.ภู ที่จิตท่านบอกว่าว่ามันเหนือคําสองคํานี้ไปแล้ว... เพราะตอนนี้เราก็เป็นแบบนั้นแล้ว...จึงขออนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    โดยเฉพาะ ​

    ผู้ที่จะมาทำหน้าที่แทนพระตถาคต หรือครูบาอาจารย์ฯ

    ขอให้เช็คกำลังใจตนเป็นหลัก เรามีมากไหม
    ผู้ที่จะมาทำหน้าที่กันตรงนี้ เรื่องทางโลกนั้น ไม่ต้องมาพูดถึงกันแล้ว
    แต่ถ้ายังไม่เอาทางโลกครึ่งนึง ธรรมครึ่งนึง อันนั้น ไม่ใช่แน่ๆ
    เพราะกำลังใจปรารถนาทางนี้ทางเดียว ทางอื่น ไม่มี
    เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าเอง ไม่มีจิตตรงนั้น มีเพียงกายหยาบเท่านั้นที่จะไปทางโลก

    มีลมอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพื่อสิ่งเหล่านี้ ...พระตถาคต...เท่านั้น

    บางคนอยากทำ แต่ไม่ได้ทำ เป็นเพราะอะไร ไม่ใช่ แค่บุญเต็มอย่างเดียว
    แต่ถ้าบุคคลนั้น มีทั้งบุญบารมีตนเต็มแล้ว เดี๋ยวทางโลกๆ ก็จะเข้ามาหาเอง
    เช่น เงินทอง เมื่อใด เราอยู่เหนือสิ่งสมมุติทั้งปวงได้แล้ว มันยิ่งจะเข้ามาหา
    มันจะตรงกันข้ามกับจิตมนุษย์ทั่วๆไป นั่นหมายถึง ถ้ามนุษย์อยากได้สิ่งใด ยิ่งไม่ได้ตามนั้น
    เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่กิเลส พระอรหันต์ที่ทำอาสวะกิเลสสิ้นไปแล้ว
    เวลาปรารถนาสิ่งใด มักจะเป็นจริงตามนั้น เพราะจิตท่านสะอาด บริสุทธิ์จริงๆ
    คำพูดก็เลยศักดิ์สิทธิ์ตาม แสดงว่าจิตที่นิ่งมาก จิตอนัตตา เท่านั้น
    มักจะพูดอะไรก็จะเป็นไปตามนั้น เพราะจิตที่นิ่งมาก+ตลอดเวลานั้น
    เป็นจิตที่มีพลัง มีกำลังใจมากเป็นพิเศษ นั่นเอง คำว่าบุญไม่ต้องพูดถึง เต็มแน่
    จิตไม่เคลื่อนไปจากคำว่าบุญกุศลเป็นแน่ นี่ไงเล่าถึงชื่อว่า บุญจากกรรมฐาน
    จึงเป็นบุญใหญ่หลวงยิ่งนัก บุญภายนอกหรือบุญจากทานจะมาสู้บุญภายใน
    น่าจะเป็นจริงตามนั้น ทุกประการ
    เพราะเวลาทำบุญ ทำทานนั้น จิตจดจ่อแค่บุญตรงนั้น
    แต่ถ้าเลิกทำตรงนั้นแล้ว ที่เหลือก็ลองถามใจตนดูสิว่า
    จิตเราไปตั้งอยู่กับสิ่งใดมาก
    ทางธรรมหรือทางโลกมาก บญหรือบาป กุศลหรืออกุศล เป็นต้น
    เราก็จะได้คำตอบทันที โดยไม่ต้องไปถามใครๆ​

     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับจิตคุณเพ็ญUK ด้วยครับ

    สำหรับผู้ที่เผลอสติ จิตตก สอบไม่ผ่าน ถือเป็นเรื่องธรรมดา
    เมื่อให้อภัยคนอื่นได้ก็ย่อมให้อภัยตนเองด้วย
    สอบผ่านสิ ไม่ธรรมดาแน่
    ทำไปๆ เน้นจิตสบายก่อน อย่าเร่งจิต

    ถ้าเร่งจิตแปลว่าขืนจิต เท่ากับฝืนธรรมชาติ ผิดทาง แร๊ะ

    ปล.ขอทำความเข้าใจกับพวกเราหน่อย

    ทุกถ้อยคำของผมนั้น จิตไม่เคยจะไปตำหนิผู้ใดเลย แม้นสักนิดเดียว
    มีแต่เมตตาล้วนๆ และโปรดเข้าใจด้วยว่า ไม่ได้และไม่เคยคิดว่าจะมาสอนสั่งผู้ใดด้วย
    แต่ขอให้เข้าใจกันตรงนี้เลยนะว่า...เรามาสนทนาธรรมกัน แลกเปลี่ยนทัศนคติกัน
    ผมก็มีความปรารถนาดีถ่ายเดียว ประสงค์อื่นหรือคิดร้ายใคร ย่อมไม่มีในจิตของผมแน่
    ผมมั่นใจ กล่าวด้วยสัจจริง

    แต่สิ่งที่ผมปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ
    นำพาจิตวิญญาณผู้คนพ้นทุกข์ เท่านั้น อย่างอื่น ไม่มี
     
  18. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    เก่งนัก แน่นัก ก็ลองหาเอาเองก็แล้วกันว่า ที่สอนอยู่หลังม่าน ของท่านนะเป็นใคร?

    ขออนุญาตครับ

    ผมเขียนในเว็บนี้ นานมาแล้ว ผมรู้อย่างชัดเจนแล้ว
    แต่ผมจะไม่ยกมาให้ดู แต่จะเตือนท่านทั้งหลายว่า

    ๑.ธรรมนั้นต้อง แจ้งกระจ่าง
    ๒.ธรรมนั้นต้อง สอดคล้องต้องกัน ไม่ขัดแย้งกันเอง
    ๓.ธรรมนั้นต้อง ชี้แจงได้ตลอด
    ๔.สถานที่ตรวจสอบธรรม ระดับล้างทั้งจิต นั้นอยู่ที่ไหนบ้าง
    ๕.ครูบาอาจารย์ ที่หลบอยู่หลังม่าน ที่ลึกที่สุดของท่านนั้นเป็นใครกัน

    เก่งนัก แน่นัก ก็หากันเอาเอง

    อ่านข้อเขียนของท่าน คงจะนึกว่าผมเป็นเด็กอมมือ

    อย่าได้นึกว่า มาร จะสอนธรรมไม่ได้

    อย่าได้นึกว่า พญามาร จะสอนธรรมไม่ได้

    เพราะท่านก็มี คิวจะเป็น พระพุทธเจ้า พระองค์ที่ ๓ นับต่อจาก องค์พระศรีอริยะเมตไตย์เหมือนกัน

    ผมนั้น รู้ถึงขั้นว่า พระพุทธศาสนา ในยุคที่พระพุทธเจ้า ที่เคยเป็นพญามาร นั้น เป็น อย่างไร

    ถ้าเก่งจริง แน่จริง ก็ให้แน่วแน่ ก็ให้เดินทางเดิมของท่านต่อไป

    เพราะถ้าทางเดินของท่านถูก ทำไมจึงชี้แจง ไม่ได้

    เพราะถ้าทางเดินของท่านถูก ทำไมจึงเปิดเผย ไม่ได้

    องค์หลวงปู่มั่น องค์หลวงปู่โลกเทพอุดร ทั้งสองท่าน ต่างสอนธรรม อย่างละเอียด อย่างชัดเจน อย่างเปิดเผย

    แม้กระทั่ง หลักสูตรที่ละเอียด หลักสูตรที่พิศดาร อย่างที่องค์หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต ท่านได้รับการอบรมสั่งสอนมา

    ท่านก็บอก ท่านก็เล่า ท่านก็อธิบาย ให้ฟังอย่างละเอียดทุกขั้นตอน

    ใครไปถามท่านก็บอกได้ ไม่มีปิดบัง ไม่มีดำน้ำ ให้งุนงงสงสัย

    เก่งนัก แน่นัก ก็พากันไปตามแนวทางของท่านต่อไปก็แล้วกัน

    ผมก็บอกแล้ว แค่ปี ๒๕๖๑ ก็จะรู้ว่าหมู่หรือจ่า

    เพราะ อินเดีย มันไกล มันไปไม่ได้ทุกๆคน

    แต่ พุทธสถานพระพุทธอลังการ(พระใหญ่ชัยภูมิ) ห่างจากกรุงเทพแค่ไม่ถึง ๔๐๐ กิโลเมตร

    แน่ใจนัก มั่นใจนัก ก็ให้มุ่งหน้าในแนวทางของท่านต่อไป

    ขออวยชัยให้พร ขอให้ท่านเอาตัวกันให้รอดในช่วงอายุขัยนี้

    ขออย่าให้ท่านยกพวงกันไปรวมตัวในยุคของพระพุุทธเจ้าพระองค์ที่๓(พญามาร)เลย

    ตัวใครตัวมันกันละทีนี้

    ลุงมหา
     
  19. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ^^

    จะเอาปริยัติอะไรจากข้าพเจ้าล่ะขอรับ ท่านภูทยานฌาน

    เพราะสิ่งที่ท่านพิมพ์มา ก็บัญญัติปริยัติลอยลมอยู่แล้ว ไม่ใช่หรือ

    ลืมไปหรือป่าว "พหุปการธรรม"

    หลวงปู่ดู่ท่านว่า "เอ็งคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเเก เเกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเเก"

    แต่สำหรับ "พหุปการธรรม" นั้น หากพวกท่านไม่คิดถึงธรรม มีหรือธรรมจะคิดถึงท่าน

    เพราะความละเอียดบริสุทธิ์ ของระดับผู้ถึงธรรมก็อยู่กับสิ่งนี้ล่ะ

    ไม่ลอยลมนะ เป็นการเปรียบเทียบ เลียบเคียง
     
  20. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +680
    ในโลกจักรวาลนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ทุกสิ่งทั้งปวง เกิดดับตามเหตุปัจจัย ไหลไป ผ่านมาและผ่านไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่

    ทุกดวงจิต ทุกชีวิต ทุกวิญญาณก็เป็นไปตามกฎของทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
    จงตั้งจิตอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่ถวายเป็นพุทธบูชา น้อมจิตภาวนาให้รู้แจ้งในรูปนามและสังขารอันไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนเราเขาอะไร

    รู้แจ้งด้วยปัญญาตามความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
    นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไร.(แล้วจะเอาอะไรกันอีก?)

    ความสุขอยู่ไม่ไกล ถ้าใจเรารู้จักปล่อยวาง
    พระนิพพานอยู่ไม่ไกล ถ้าใจเรามีสติ

    ขอกราบนมัสการคำสอน"ครูบาบุญชุ่ม"ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...