1. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    ===> หลุมดำ สัตว์ร้ายในอวกาศ <===

    [​IMG]

    ความเวิ้งว่างเปล่าเหนือหัวคนเราขึ้นไปนั้น เป็นเอกภพมหามหึมาอันมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเหลือสติปัญญาที่จะหยั่งคะเนได้ สถานที่อันไร้อาณาเขตนี้นั้นก็ประกอบด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ที่คุมกันหลวมๆ เป็นจักรวาลและจักรวาลน้อยใหญ่ก็มีอยู่เหลือคณานับ เคลื่อนคล้อยในเอกภพอันไร้ขอบเขตด้วยจำนวนอันไร้ปริมาณ

    ธรรมชาติมิได้สร้างความเรียบร้อยสวยงามให้ปรากฏขึ้นอย่างเดียว แต่ธรรมชาตินี่แหละที่ก็ได้สร้างความเหี้ยมเกรียม ความหายนะให้เกิดควบคู่กันไปด้วย ใครจะคิดได้
    ว่า อันดวงดาวทั้งปวงที่เห็นดารดาษบนท้องฟ้านั้น คืออาหารอันโอชะของเจ้าสัตว์ร้ายพวกหนึ่งที่คอยจ้องเขมือบดาวเหล่านี้ให้สูญหายไป ตราบใดก็ตามที่ดาวน้อยใหญ่ทั้งหลายเผลอเรอหลงเข้าไปในแวดวงที่มัน
     
  2. bunlert

    bunlert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +820
    อนุโมทนา สาธุ....

    บทความน่าติดตามอย่างยิ่ง
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,674
    ค่าพลัง:
    +51,948
    ตัวกระทำ...ไม่ตาย
    ผลการกระทำ....ไม่สูญสลาย...มีผลตอบแทน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  4. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    ขอขอบคุณสาระดีดีครับ

    หลุมดำตัวจริง อิอิ...คงไม่ได้โพสท์ผิดห้องนะ
     
  5. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    -*- มีนิทานเกี่ยวกลับหลุมดำมาฝากให้ลองอ่านกันเล่นๆ นะคะ สนุกดี

    จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ
    ตอนที่ ๑

    ท่านสุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกนี้ เป็น วันที่ ๑๔ มกราคม ๑๔๓๓ ที่บอกวันเดือนปี ไว้ก็เพราะว่า จะได้ทราบว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้ มันเป็นเรื่องของความสับสนของสมอง แต่ก็เป็นเรื่องความจริงใจของบุคคลพวกหนึ่ง ที่เยกว่า ท่านคณะจิตวิทยา สำหรับคณะจิตวิทยานี้ ใช้จิตเป็นกำลังงาน ทำงานด้วยกำลังของจิต จิตมีสภาพรวด เร็ว และไปได้ทุกแห่ง แม่แต่ในที่ปิดบังลี้ลับ ก็สามารถจะไปได้ เรื่องนี้ไม่ขออธิบาย ขืนอธิบายก็เฟ้อ รวมความว่า วันนี้จะคุยกันเรื่องดาวหลุมดำ

    คำว่า ดาวหลุมดำ ความเป็นมาก็เป็นอย่างนี้ ผู้พูดหรือผู้เขียนเองก็ไม่ทราบมาก่อน เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๓ เดิน ทางเข้าไปกรุงเทพฯไปแวะที่บ้าน ท่าน พล.อ.อ. อาทร โรจนวิภาต อดีตรองเสนาธิการทหารแห่งกองบัญชาการทหารสูงสุด ในตอนหนึ่งท่านคุยให้ฟังว่า เวลานี้ฝรั่งเขากำลังสนใจ เรื่องถุงดำ คำว่าถุงดำ ก็หมายความว่าเป็นดวงดาวดวงหนึ่งในอากาศ มีสภาพเป็นถุง บรรดาดาวทั้งหลาย เข้าไปดูใกล้ มันก็ดูดเข้าไป ก็หายเข้าไปเลย เมื่อท่านพูดอย่างนี้ ความรู้สึกเวลานั้นก็มีความรู้สึกว่า ผิวของดวงดาวดวงนี้ ด้านหน้ากร้านมาก แล้วก็มีความร้อนพอสมควร ไม่ใช่มีความร้อนอย่างแสงอาทิตย์คือเรียกว่าร้อน ถ้าหากว่าสัตว์ที่มีชีวิต สามารถทนความร้อนนั้นได้ ถ้าจะเปรียบเทียบกันจริง ๆ ความร้อนด้านหน้าของดวงดาวดวงนี้ ถ้าจะเทียบกับตะวันออกกลางนิดหน่อย ร้อนกว่าไม่เกิน ๑๐ องศาเซนติเกรด เทียบกับตะวันออกกลางนะ เอาเฉพาะอย่างยิ่ง อียิปต์ ก็แล้วกัน จะร้อนกว่าอียิปต์ไม่เกิน ๑๐ องศาเซนติเกรด ก็เรียกว่าพอทนกันได้

    ต่อมาเมื่อเดินทางไปถึงที่ซอยสายลม บ้านท่านพล.อ.ท.ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ ผู้พูดเองก็ป่วย รอรับการให้น้ำเกลือจากแพทย์ เวลานั้นก็มีแพทย์ คือมี หมอมนตรี นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ค่อยได้แล้วนะ อ้อ.. หมอมนตรี อมรพิเชษฐ์กูล นี่ พรนุช คืนคงดี เขาจดไว้ให้ มีหมอมนตรี มาคอยก่อน และต่อมาก็มีหมอแสงโสม คือ พญ.แสงโสม ปิรยะวราภรณ์ มา ต่อมาก็มี นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์ ผู้สามี ของพญ. แสงโสม มา คือแสงโสมนี่ผู้พูดไม่ค่อยถนัด มักจะเรียกว่า อิ๋งๆ เป็นอันว่า หมอที่รักษาตัวอยู่จริง ๆ ก็คือ นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์ พญ. แสงโสม ปิรยะวราภรณ์ ภรรยา และนพ.ชนะ สิริยานนท์ สำหรับหมอจรูญกับแสงโสมนี่ เป็นหมอประจำ ให้ยาเป็นปกติ หมอชนะนี่เรียกว่า หมอญี่ปุ่น ไปเรียนญี่ปุ่นมา ตอนหลังไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น นี่เป็น

    หมอ คอ จมูก หู ลูกตาด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ กับท่าน นภ. วัฒนะ หิตะดิลก สองคนนี้เป็นลูกศิษย์อาจารย์กัน หมายความว่า เป็นหมอที่ศิริราชเหมือนกัน แต่ฝ่ายคอ จมูก หู สำหรับ นพ.มนตรีนี่ เดิมประจำอยู่ที่ปากคลองสาน คงจะทราบว่าเป็นหมอชนิดไหน แต่เวลานี่มาอยู่

    ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา รวมความว่า ถ้าใครคิดว่าผู้พูดหรือผู้เขียนจะบ้าก็ไม่เป็นไร เพราะมีหมอบ้าประจำอยู่แล้ว หมอรักษาบ้านะไม่ใช่หมอบ้านะ แล้วก็ พญ.พงศ์ภารดี (ปุ๊) เจาฑะเกษตริน คนนี้ตามปกติเป็นหมอนวด แต่ไม่ใช่นวดด้วยมือ เขาเป็นแพทย์ เป็นหมอดมยาเหมือนกัน เช่นเดียวกับหมอแสงโสม แต่ว่าใช้เข็มนวด คือเข็มจิ้ม เป็นหมอฝังเข็ม อาตมาเลยใช้สมญาว่า หมอนวด เพราะว่าปวดเมื่อยที่ไหน ถ้าหมอคนนี้มาปักเข็มให้ เป็นหายทันที ใช้เวลาไม่เกิน ๒๐ นาที แล้วก็มี พ.ต.นพพร กับพญ.เตือนใจ กลั่นสุภา นครสวรรค์ นี่เป็นกองทหารนครสวรรค์อีก ๒ คน ประจำ แล้วก็มีหมอโอ๋ คำว่า หมอโอ๋ นี่ อาตมาเรียก หมอโอ๋ แต่ชื่อจริง อ. บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์ เป็นคนขับรถให้ และก็เป็นหมอยาไทย

    ทีนี้ในเมื่อไปพลหมอมนตรีกับหมอทุกคนแล้ว ก็เป็นอันว่าสำหรับหมอหมอนี่คนขนยามามากที่สุดก็คือหมอวัฒนะ แต่อาตมาชอบเรียกว่า ญี่ปุ่น ก็เป็นอันว่ายาอะไรขาดก็ตาม หมอวัฒนะก็ขนมา หมอคนอื่นก็เอามาให้ แต่หมอวัฒนะขนมากหน่อย เมื่อพบหมอมนตรี ก็คุยกันถึงเรื่องเจ้าถุงดำในอากาศ หมอมนตรีก็อธิบายตามลักษณะที่ว่ามา ที่ท่านพล.อ.อาทรพูดมาเหมือนกัน

    หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจ ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๓ ฟันมาเป็นหนองที่รากฟัน หมอเตือนใจรักษามานาน ทำมาเกือบ ๑๐ เที่ยว เขาค่อย ๆ ขูด ค่อย ๆ ดูดเอาหนอง ค่อย ๆ แคะเอาหนองออก ความจริงผู้พูดอยากจะให้เขาถอนทิ้งไป เพราะของไม่ดีไม่อยากได้ แต่หมอบอกว่า เสียดายฟัน ถ้าเกินวิสัยจริง ๆ จึงจะถอนทิ้ง นี่เป็นลีลาของหมอ เพราะปกติเป็นอย่างนั้น หมอต้องรักษาของเดิมไว้ให้ได้ แต่เจ้าของของไม่อยากจะเก็บไว้ เราะมันปวด หมอเตือนใจทำให้เกือบ ๑๐ เที่ยว เธอนั่งรถหมอโอ๋มา และทุกสิ่งทุกอย่าง หมอก็ออกทั้งหมด โอ๋ออกเองทั้งหมด ผู้พูด หรือผู้บันทึก หรือผู้เขียนไม่ได้ออกสตางค์เลย

    ก็เป็นอันว่า สำหรับแพทย์ฟันก็มีหมอจำนูน อีกคนหนึ่ง หมอจำนูนนี่ก็สำคัญมาก ช่วยเหลือมาในกาลก่อน เวลานี้ยังเป็นปกติ และยกขบวนมาช่วยบรรดาฟันเด็ก และฟันคนแก่คนหนุ่ม คนสาวก็ตาม ยกมาครั้งหนึ่งก็ฟรีทุกอย่าง ฟรีเหมือนกัน นอกจากฟรี หมอที่มาสงเคราะห์คณะผู้พูดมากนี่ คนฟุ้งนี่นะ โดยมากเขาไม่รักษาเฉย ๆ เขาให้สตางค์ด้วยก็เลยเอา หมอประเภทนี้ชอบและก็ชอบมาก ความจริงหมอที่ช่วยเหลือนั้นมีมาก ตั้งแต่เริ่มต้น พล.อ.ต. นพ.โกศล มณีจักร แล้วก็ต่อมา พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน ท่านก็การรักษาเรื่อยมาก หลายระยะ มามากด้วยกันหลายคน เยอะ
    ก็รวมความว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พูดมากไปแล้ว หมดเวลาไปตั้ง ๑๐ นาที เมือวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๓ ขณะที่หมอเตือนใจกำลังขูดฟันอยู่ ดูดเอาหนอง ขณะที่เขาขูดฟันอยู่เขาดูดหนอง ก็มีความรู้สึกว่า ขึ้นชื่อว่าความตาย มันเป้นของหาไม่ยาก ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง บางคนก็ตามด้วยเหตุที่ไม่ควรจะตาย แตะนิดต้องหน่อยก็ตาย ถึงวาระมันมา เวลานี้การทำฟันดูดหนองมันปวด มันเสียว ดีไม่ดีระบบประสาทอาจจะตัดชีวิตของเราก็ได้ ก็คิดขึ้นมาในใจว่า ขึ้นชื่อว่าชีวิตมันต้องตาย จะตายเวลานี้ก็ตายจะตายเวลาอื่นก็ตาย ทำท่าเก่งไปอย่างนั้นเอง ความจริงแล้ว กลัวตาย แต่ในเมื่อคิดว่า เวลานี้ถ้ามันจะตาย เราก็ไปก่อน ร่างกายตายทีหลังเราจะไปก่อน

    ก็รวบรวมกำลังใจจับ อานาปานุสสติ กับอุปสมานุสสติกรรมฐาน คำว่าอุปสมานุสสติ นั้นหมายถึง นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ จะไปนิพพาน ได้หรือไม่ได้ เราก็ไป อย่างคนอยากไปนิพพาน ในเมื่อเราเป็นคนอยาก เมื่ออยากหนัก ๆ เข้า มันก็ต้องถึงเอง ไม่ละความอยาก ใครเขาจะบอกว่า ความอยากเป็นกิเลส ก็เป็นเรื่องของเขา กิเลสของเขา เป็นธรรมะของเรา เราอยากไปนิพพาน แต่บรรดานักเทศน์ ท่านเทศน์บอกว่า การอยากไปนิพพาน ถือว่าเป็นธรรมฉันทะ คือมีความพอใจในธรรม ไม่ใช่กิเลส คนฟังแล้วก็ถึงกันเอง ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง

    นี่คนพูด คนเขียน พูดตามความพอใจของตนเอง ไปรอคนอื่นไม่ได้ รอคนอื่นมันไม่ได้พูดไม่ได้เขียน

    ขณะที่รวบรวมกำลังใจ เวลานั้นจิตก็ตกวูบ เข้าสู่อารมณ์สงัด จิตมีอารมณ์เยือกเย็น เห็นท่านผู้มีคุณมากมาย แพรวพราว เป็นระยับก็ปรากฏล้อมอยู่ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอกยังไม่ตาม คุณ ยังไม่ตาย ก็บอกท่านว่า จะตายหรือไม่ตายก็ไม่ทราบขอไปที่อยู่ก่อน ท่านก็บอก ตามใจ เรื่องของคนขี้ขลาด ขัดคอไม่ได้ อยากไปก็เชิญไปเถิด ก็เป็นอันว่า ท่านจะเชิญหรือไม่เชิญ ผู้พูดก็ไปแล้วนึกแว๊บเดียว แวะไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ ประเดี๋ยวเดียว กาบท่านบอกว่าเดี๋ยว ขอไปบ้านพักหนึ่ง หมอกำลังทำฟัน แม่ท่านก็บอกว่า ทำไมขลาดแบบนี้ล่ะ ก็เลยบอกท่านว่า คนที่อยากไปนิพพานเป็นคนขี้ขลาดหรือท่านก็เลยบอกว่า ไอ้เรื่องปากแข็งเถียงเก่ง เป็นเรื่องของคุณ ไป ๆๆ ไปไหนก็ได้

    ไปเถิด ไปได้ ถ้าอยู่ที่นี่เดี๋ยวก็ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา หมอเขาทำเสร็จไม่ได้ไปนิพพาน แล้วท่านพ่อก็ถาม จะไปนิพพานหรือ ก็บอก เปล่า ใจมันอยากไปนิพพานแต่ว่าจริง ๆ มันจะไปได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทราบก็ช่างหัวมัน แล้วท่านถามว่าจะไปไหน ก็บอกกับท่าน บอกว่าจะไปบ้าน ถ้าเจอะบ้านเขาสร้างไว้ที่ไหน จะไปที่นั่น ท่านก็ยิ้ม ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปด้วย ชวนแม่เขาด้วยซิ ก็เลยยกมือไหว้แม่ท่าน แม่ท่านบอกว่า เอ้า ถ้าอย่างนั้น แม่ก็ไปด้วย ในเมื่อไปถึง ก็มีบ้านอยู่ ๓ หลัง แพรวพราวเป็นระยับ มีกำแพง แก้วผสมทอง ไม่อธิบายละ มันสวยก็แล้วกัน เข้าไปนั่ง ก็คิดในใจ ก็บอกท่านพ่อท่านแม่ บอกว่า เวลานี้ฉันอยากนั่งคนเดียว ให้อารมณ์มีความสงัด คำว่า สงัดไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้คิดอะไรเลย มันคิดเฉพาะนิพพานอย่างเดียว ตัดทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติไม่คิด อย่างนี้เรียกว่า สงัด สงัดจากกิเลส เฉพาะอารมณ์เวลานี้

    ท่านก็บอกว่า ถ้าเป็นความประสงค์ของคุณ คุณนั่งตรงนี้ บ้านหลังนี้นะ พ่อท่านบอกว่า พ่อก็จะไปนั่งที่โน่น ที่แทนแก้วของสระ ท่านก็เรียกแม่ บอกมาด้วยกันเถิดแล้วปล่อยเขา ลูกชายคนนี้นิสัยเป็นอย่างไรแม่เลี้ยงมาก็ย่อมรู้อยู่แล้ว ท่านแม่ก็เลยบอกว่า แค่นี้แหละ เด็กก็แค่นั้นแหละ หนุ่มก็แค่นั้นแหละ แก่ก็แค่นั้นแหละ ลีลาไม่ต่างจากเดิม นั่งตามสบายนะจ๊ะ แม่จะไปละ แล้วแม่ท่านก็ไป พอแม่ไปประเดี๋ยวเดียว สักอึดใจ ไม่ถึงดี คนแก่ไป สองแก่ พ่อก็แก่ แม่ก็แก่ ความจริง แก่ตามลักษณะที่เราเรียกกันนะ แต่ที่จริงท่านไม่แก่
    ทีนี้มากลุ่มสาว ๆ มาหนักกว่านั้น กว่า ๑๐ คน แต่งตัวแพรวกพราวเป็นระยับมาถึง ต้องไม่รีรอ ไม่ต้องขออนุญาต ย่องเข้ามาเลย ถึงปั๊บ นั่งบนที่นั่ง ก็เลยบอกว่านี้เป็นผู้หญิง บ้านนี้ไม่รับผู้หญิงนะจ๊ะ เธอที่เป็นหัวหน้าก็บอกว่า ถ้าไม่รับผู้หญิงก็ไม่เป็นไร พวกฉันไม่ใช่ผู้หญิง ก็ถามว่าเธอเป็นกะเทยหรือ เธอก็ตอบว่า ฉันไม่ใช่กะเทย ถามว่า เป็นบัณเฑาะก์หรือ ได้บัณเฑาะก์มันมีสองเพศ ทั้งเพศผู้หญิง และเพศผู้ชาย เธอก็บอกว่าไม่ใช่ ก็ถามว่าเป็นผู้ชายหรือ เธอก็บอกว่าว่าไม่ใช่ ถามว่าเป็นอะไร เธอตอบว่า คนพวกฉัน ทั้งหมดที่มา ไม่มีอะไรเป็นเพศ ไม่มีทั้งผู้หญิง ไม่มีทั้งผู้ชาย ไม่มีทั้งกะเทย ไม่มีทั้งบัณเฑาะก์ ไม่มีทั้งหมด ก็เลยถามเธอว่า ถ้าเธอไม่เป็นกะเทย อย่างนี้เขาเรียกกะทุยใช่ไหม

    เธอหันมายิ้มถาม กะทุย เป็นอย่างไร ก็เปรียบเทียบให้ฟัง บอก เหมือนกับควายควายเขามันกางออก เขาเรียกเจ้ากาง ถ้าเขาลอมเข้ามา เขาเรียกว่า ลอม ถ้าหลุบลงข้างล่าง เขาใช้อะไรไม่ได้ เขาเรียก ทุย พวกเธอก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรจะใช้เลย เรื่องเพศ ก็เรียกเป็นพวกกะทุยก็แล้วกัน เธอก็ตอบว่าช่างเป็นไร เรียกอย่างไรก็ช่าง ร่างของฉันไม่เปลี่ยนก็จบ

    เมื่อขณะนั่งคุยกันประเดี๋ยวหนึ่ง เธอก็ถามว่า เห็นพรหมโลกไหม มองลงต่ำ ก็มองลงดูตามเธอ เห็นพรหมโลก เธอถามต่อไปว่า เห็นสวรรค์ไหม ก็มองลงต่ำลงไป ก็เห็นสวรรค์ หลังจากนั้นเธอถามว่า เห็นจักรวาลต่าง ๆ ไหม ที่เรียกกันว่า จักรวาลมนุษย์ มีมนุษย์อยู่ แต่มีอยู่ไม่ทุกจุด มองลงมาเกลื่อนกลาดไปหมด เหมือนกับผลส้มลอยเกลื่อนกลาดไปหมด เหมือนกับผลส้มลอยเกลื่อนในอากาศ ถ้านับ ก็คงจะนับได้ แต่ไม่กล้านับ ไม่มีเวลาจะนับ มันมากเหลือเกิน ลอยห่างกันไปบ้าง ใกล้กันบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอก็ชี้ให้ดูว่า จุดเล็ก ๆ จุดโน้นไกลสุดลงไป มันเป็นจุดที่คุณมีชีวิตอยู่ที่นั่น นั่นหมอกำลังทำร่างกายคุณอยู่ กำลังแคะฟัน กำลังดูดหนอง คุณเห็นไหม ก็ตอบกับเธอบอกว่า เห็น บอกไกลมาก แล้วกลุ่มที่ลอยมาใกล้ ๆ อย่างโลกพระจันทร์ก็ดี โลกพระอังคารก็ดี โลกพระศุกร์ โลกพฤหัสก็ตาม มีนอยู่ใกล้ ๆ กลุ่มนั้น แต่เหนือขึ้นมา อีกมากมาย สูงสุด มีโลกเกลื่อนกลาด ที่เรียกกันว่า ดวงดาว มันเกลื่อนกลาดไปหมด มันสูงกว่านั้นมาก แต่สิ่งที่จะทำให้คุณดูวันนี้ จะให้ดูดวงดาวสักดวงหนึ่ง มันไม่ใช่ดาว มันเป็นโลก

    แต่นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า เขาเรียกถุง มันเป็นถุงดำ ลอยอยู่เกือบจะเป็นผิวอากาศ เกือบเป็นผิวจักรวาลน่ะ สูงสุด มันดวงใหญ่มาก เธอก็เปรียบเทียบให้ฟังว่าโลกมนุษย์ มีสภาพเหมือนกับผลส้ม ไอ้เจ้าโลกถุงดำนี่ก็มีสภาพเหมือนกับพ้อมใหญ่ๆ พ้อมใส่ข้าว ฉะนั้น ความใหญ่ของมัน ถ้าจะเอาโลกมนุษย์เข้ามาลอยภายในท้องของมัน ประมาณสักพันดวง ยังไม่ถึงไหนหรอก มันใหญ่โตมาก ก็ถามเธอว่า นั่นมันเป็นเรื่องของอนิจจังใช่ไหม เธอตอบว่าใช่ ก็ถามว่า ให้ฉันดูทำไม เธอบอกเวลานี้นักวิทยาศาสตร์เขาสนใจเจ้าถุงดำนี้ เขาเรียกถุงดำ แต่ความจริงมันไม่ใช่ถุงธรรมดา มันเป็นโลก คล้ายกับส้มฝานกลางทิ้งไป ส่วยหนึ่งทิ้งไป อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้ มีสภาพเหมือนกระทะคว่ำลงกลางมันโบ๋ขึ้น เป็นช่องใหญ่มาก ด้านหน้ามันแกร่ง ด้านข้างบนนี้เป็นพื้นพิภพของคนอยู่มีมหาสมุทร มีประเทศชาติ มีทุกอย่างอย่างโลกเขามีกัน แต่ชาวโลกนี้รู้สึกว่าแปลกกว่ามนุษยโลกที่เรามีชีวิตอยู่

    เพราะมนุษยโลก ศีล๕ ไม่ค่อยครบ หาคนครบศีล ๕ ยาก

    แต่โลกนี้เป็น.โลกของกรรมบถ ๑๐ เขารักษากรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วน

    พอเธอพูดจบเท่านี้ปรากฏว่า พระท่านมา พระนี้เป็นพระใหญ่มาก มีความเคารพนับถือท่านมาก ท่านก็ถามว่า อยากจะไปชมโลกนี้ไหม ก็กราบเรียนกับท่านบอกว่าอยากชม เพราะว่าน้องสาวเพิ่งพูดให้ฟังเดี๋ยวนี้เอง ความจริงไม่รู้มาก่อน ท่านก็บอกว่า เธอเวลานี้ไม่มีความสนใจอะไรแล้วใช่ไหม สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี อะไรก็ตามเงียบหมด หยุดหมด ไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนมันอยากทุกอย่าง อยากรู้นั่น อยากรู้นี่ ไปโลกนั้น ไปโลกนี้ ไปโลกโน้น เวลานี้เงียบสงัด ถ้าไม่จวนตัวแล้ว จนใจจริง ๆ ก็ไม่ไป ไม่อยากรู้ใช่ไหม ก็ตอบท่านว่า ใช่

    ก็กราบเรียนท่านบอกว่า มันไม่เกิดประโยชน์ รู้ไปก็แค่นั้น มันก็แก่ทุกวัน ร่างกายก็เต็มไปด้วยทุกขเวทนา ท่านบอกว่า ก่อนที่มันจะตาย รู้เสียหน่อยซิ จักรวาลทั้งหมด น่าจะรู้ ก็เลยบอกท่านว่า ไม่เอาแล้ว ขอถวายบังคมลา เรื่องรู้แบบนี้ เอาเฉพาะจุด ถ้าท่านเห็นว่าควร ก็อาจะรู้ ท่านบอกว่าโลกนี้ คน แล้วก็ยังมีอีกหลายโลก อยู่ระดับเดียวกัน ควรจะรู้อย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นโลกทั้ง ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่รู้อะไรเลย ความจริงเขาเข้าใจว่าเป็นถุงดำ และกลืนดวงดาวต่าง ๆ แม้แต่แสงสีเข้าไปก็มองไม่เห็น อันนั้นความจริงมันไม่ได้กลืน สภาวะจริง ๆ ของมัน เดี๋ยวไปดูกันแล้วกัน

    เมื่อท่านพูดจบ ท่านก็ลุกขึ้น ทุกคนก็ลุกขึ้นพร้อมกัน ท่านพ่อ ท่านแม่ก็มาด้วย พอท่านก้าวนำหน้า ทุกคนก็ก้าวตาม ก้าวเดียวก็ถึง พอถึงที่แล้วก็ไปยืนอยู่หลังโลก ขอบ ๆ เกือบริม หมายความว่าห่างจากปากช่อง ปากทางเข้าข้างล่างจริง ๆ ไม่เกิน ๑ โยชน์ ก็พยายามเดินไปเดินมามันขรุขระ ทุกอย่าง ขรุขระเป็นโขด โขดสูง ๆ โขดต่ำ ๆ พื้นพิภพ เหมือนกับดินไหม้ สภาพเหมือนกับดินไหม้ แต่มันเข็งจัด ดูแล้วมันแข็ง เหมือนกับดิน ผสมเหล็ก พอเดินไปได้หน่อยหนึ่ง พระท่านก็บอกว่า คุณ ถ้าคุณขืนอย่างนี้นะ อย่าลืมว่าโลกนี้มันโตกว่าโลกมนุษย์หลายพันเท่า ถ้าคุณเดินอย่างนี้ กี่ชีวิตของคุณมันก็เดินไม่จบ เราเดินแบบที่เราเดินมาแล้วก็แล้วกัน ก็ถามท่านว่า

    จะไปที่ไหน

    ท่านบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปดูกันเสียก่อนเลย เรื่องจริงๆ เราเลี้ยงไปที่อื่นก่อน วันนี้ขอตัดเข้าไปหาเลย ไปหาจุดนี้ ซึ่งเป็นจุดเดิม จุดจริง ๆ แล้วก็เป็นจุดที่พูดได้เต็มปากเต็มคอ แล้วต่อไปก็ไม่เรื่องใหม่ ไม่ค่อยจริง เป็นนิทาน ตอนนี้เป็นตอนที่เล่าให้ฟังธรรมดา ๆ ไม่ใช่นิทาน เป็นอารมณ์เคลิ้มดี ก็ดีไม่ดีก็บ้าไปเลย แต่ไม่กลัวบ้าหรอก เพราะมีหมอมนตรีรักษา หมอโรงพยาลบาลบ้ามีรักษาอยู่ เขาอยู่ตั้ง ๒ โรงพยาบาล เขาเก่ง เมื่อปราบโรงพยาบาลปากคลองสานมาได้แล้ว ก็มาปราบที่ศรีธัญญา ก็ยังจะปราบคนวัดท่าซุงอีกคนหนึ่ง คือคนพูด ไม่เป็นไรไม่ต้องกลัวบ้า ก็เดินอีกก้าวเดียวก็ไปถึงปากโลก มันมีสภาพเหมือนกระทะคว่ำ หรือมีสภาพเหมือนผลส้ม หรือผลส้มโอถูกตัดกลาง ตัดเอาส่วนหัวทิ้งไป ส่วนของหางไว้ หรือส่วนของหางทิ้งไป เหลือส่วนหัวก็ได้ มันคว่ำแบบนั้น ข้างในโบ๋ แต่อย่านึกว่า ความกลวงผิวมันจะบางนะ ผิวมันเป็นแผ่นดินหนาเป็นโยชน์ พระอธิบายให้ฟัง

    ท่านบอกว่าเข้าไปดูไหม ท่านบอกที่เขาเรียกว่า หลุมดำ เพราะว่าสีมันดำ ความไหม้ของดินนี่มันดำจริง ๆ สภาพดำเป็นดินไหม้ และแข็งจัด ก็มองไปดูรอบ ๆ มองไปทางซ้าย เวลานั้น หันหน้าไปทาวทิศตจะวันตก มองไปดูทางซ้าย พระท่านก็ชี้บอกว่า โน่นอีกโลกหนึ่ง เลยไป
    อีกโลกหนึ่ง แต่ทั้ง ๒ โลกนี้ เขามีสภาพเต็มไม่ใช่ครึ่งโลก หรือโบ๋กลางเหมือนโลกนี้แต่ว่า เราจะไปกันทีหลัง วันนี้คุยกันเรื่องโลกนี้ก่อน

    ท่านก็บอกว่า โลกนี้ตรงกลางมันโบ๋ มันมีความร้อนพอสมควร เข้าไปดูไหม ก็เลยบอกกับท่านว่า ขอเข้าไปดู ทั้งหมดก็เข้าไปพร้อมกัน พอเข้าไปภายในโลกนั้นตกใจ มันเวิ้งว้างเหมือนกับฟ้า เฉพาะถ้าตาเนื้อธรรมดา ไม่มีโอกาสจะเห็นขอบฟ้าเลย อันนี้เยกว่า เป็นตาลม ลมก็หยาบไป เป็นตาอากาศ อากาศก็หยาบไป เป็นตาละเอียด สามารถจะมองอะไรถึงไหนก็ได้ จักรวาลนี้จักรวาลไหน จากนรกถึงนิพพานก็สามารถจะมองได้ เพราะเวลาที่พูดนั้น เป็นเวลาเป็นผี เพราะภาพ นั้น เป็นภาพของผี ไม่ใช่คน ทิ้งคนไว้ข้างล่าง ที่ขึ้นไปข้างบนแล้วก็มองลงมาก็ไม่พบอะไร เข้าไปภายใน เข้าไปภายใน อากาศก็ดี ท่านบอกสภาพดีมาก มีอาการดึงดูดของแผ่นดินเหมือนกับโลกธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรผิด จะเรียกว่าสุญญากาศไม่ได้ ยังมีอากาศอยู่
    แล้วภายในนั้นมีอะไร ทราบไหม ในนั้น ปรากฏว่า ดวงดาวต่างๆ เท่าที่มองเห็นที่มองไม่เห็นก็ไม่ทราบ มันมีอยู่เกิน ๓๐๐ ดวง ไอ้เจ้าดวงดาวนั้น มันก็คล้าย ๆ กับผลมะนาวเล็ก ๆ อยู่ในพ้อมใหญ่ ๆ นั่นเอง มันก็ลอยอยู่ในนั้น ดวงดาวบางดวงก็มีแสงสว่างจ้า ทำให้ในพ้อมของโลกดำ หรือถุงดำนี่ เรียกว่า โลกดำ ดีกว่า ในท้องของโลกดำมันก็สว่าง บางจุดก็สว่างจ้า เหมือนกับแสงไฟฟ้าที่สว่าง บางจุดที่ไกลออกไปก็เป็นแสงสว่างสลัว ๆ ก็รวมความว่า ทั้งท้องของดวงดาวดวงนี้ ภายในสว่างจริง ๆ ไม่ใช่มืด แต่ที่ฝรั่งบอกว่ามืด เพราะมันสุดสายตาของฝรั่ง สุดสายตาของกล้อง ระยะของกล้อง คือกล้องไม่สามารถจะมองเข้าไปข้างในได้ ถ้าเปรียบเทียบ เหมือนกับถ้ำ ถ้ำใหญ่ๆ ของภูเขาลูกใดลูกหนึ่ง ที่อยู่ข้างหน้าเรา ถ้าเรายืนอยู่ไกลจากภูเขาลูกนั้นประมาณสัก ๑๐ กิโลเมตร เราจะมองเห็นปากถ้ำ รู้สึกว่ามันมืดภายใน เราไม่เห็นแสงสว่าง ถ้าเข้าไปใกล้ ถึงถ้ำนั้น จะทราบว่าภายในถ้ำนั้นมีแสงสว่าง

    ทีนี้พระท่านก็อธิบายให้ฟัง บอกว่าเท่าที่ฝรั่งมีความเข้าใจ มีความรู้สึก หรือเชื่อมั่นว่า ดวงดาวต่าง ๆ ที่เข้ามาในท้องของโลกนี้ในถุง ความจริงไม่ใช่ถุง มันท้องแบบโลก เข้ามาในท้องนี้ของโลกนี้ มันกลืนหายไปหมด แล้วแสงต่าง ๆ ก็กลืนหายหมด มองไม่เห็น แต่ความจริงมันไม่ได้กลืน เจ้าดวงดาวต่าง ๆ ที่เข้ามา มันมีโอกาสออก ไม่ใช่เข้าแล้วอยู่เลย เพราะว่าดวงดาวต่าง ๆ หรือโลกก็ตาม มันไม่มีกำลังขับเคลื่อนของมันเอง มันลอยไปตรมกำลังของอากาศ ที่ดันมันเข้าไปก็ถามว่าถ้าดวงดาวนี้ไม่ดูดเขา เขาจะเข้ามาอย่างไร ท่านก็บอกว่า ก็ดู เหมือนแม่น้ำที่มีน้ำไหลเชี่ยว แต่ว่ามีถ้ำจระเข้ลึกเข้ามาข้างในเป็นกิโล และเป็นถ้ำใหญ่มากอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง

    ด้านนั้นจะมีน้ำวน เพราะน้ำที่ไหลมาจะไหลเข้าไปในถ้ำก่อน แล้วก็วนออกมา ด้านหน้าถ้ำจะเป็น
    น้ำวน เมื่อเป็นน้ำวนแล้ว หญ้าต่าง ๆ ก็จะไม่ไหลไปไหน จะวนอยู่ด้านหน้าถ้ำบ้าง จะผลุบเข้าไป
    ในถ้ำบ้าง ส่วนที่ไหลเข้าไปในถ้ำแล้ว จะไหลออกมาในภายหลังมันก็ใช้เวลาหน่อย

    เอาล่ะบรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน จะว่าไปอีกนิดก็ไม่ไหวแล้ว เหลือเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี


    อ่านตอนต่อไปและฉบับเต็มได้ที่
    http://www.palungjit.org/smati/books/jurai/blackhole.htm
     
  6. kazuma

    kazuma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +34
    หลุมดำ อาจจะเป็นจุดจบของจักรวาลก็ได้นะ ซึ่งตอนนี้มันก็เข้าไกล้โลกเรามาทุกที แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เรามาทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่านะคับ ^___^ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดหละนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...