บรรลุธรรมแล้วเป็นเช่นไร?!?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย DR-NOTH, 20 มกราคม 2013.

  1. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ขอตอบ ท่านนายกสิณ ดิฉันก็ไม่เก่งเรื่องวิชาอาคม หรือ การทรงฌาณด้วยกสิณเท่าท่านคะ แต่คิดว่การปฏิบัติที่ท่านนายกสิณพูดถึงน่าจะหมายถึง วิธีปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่ง อภิญญา ใช่ไหมคะ? อยากจะบอกว่า ตามแนวทางพุทธศาสนาแล้ว การปฏิบัติไม่ว่าจะ กสิณ หรือ นั่ง บริกรรม พุทธ โธ หรือ วิธีใดก็ตามแต่.... ทำให้เกิดอภิญญา แต่นั้นก็เป็นแค่ผลพลอยได้ของ การบรรลุธรรม มี พระอรหันต์ประเภทที่บรรลุธรรม แต่ ไม่ สามารถแสดงฤทธิ์ก็มี ฤทธิ์ไม่ใช่ความจำเป็น ของการปฏิบัติ แต่เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นจุดขายของการปฏิบัติไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพราะอยากบรรลุธรรม รู้จักทำอาสวกิเลสให้สิ้นไป คือ สิ่งสำคัญสูงสุดของการบรรลุธรรม ไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อแสดงฤทธิ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2013
  2. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    มองธรรมคนละมุม ที่แท้เป็นเช่นนี้

    ขออนุญาตครับ

    เมื่อวานเจอเพื่อนเก่า ที่ไม่ได้เจอกันมา ประมาณ 17 ปี
    ท่านผู้นี้เป็นผู้ที่มีแรงบันดาลใจให้ผมศึกษาเรื่อง โหราศาสตร์อย่างจริงจัง
    แต่ที่ท่านไม่รู้แน่ๆคือ ตัวตนที่แท้จริงของผม

    ท่านพูดเรื่อง อาหารการกิน สมุนไพร ธรรม อนาคต การทำมาหากิน

    เมื่อพูดเรื่องธรรม ท่านก็ยกพระสูตร สำคัญ ขึ้นมาสาธยาย
    พร้อมบอกเล่าแนวความคิด และ สำนักของท่าน

    ผลที่ได้จากการพูดคุย แค่นั่งร่วมโต๊ะทานข้าวเย็น เพียงประมาณ 20 นาที ที่ร้านอาหาร ข้างถนน ผมถึงได้ทราบว่า

    ที่แท้ ครูบาอาจารย์บางสำนัก ทำให้ ชาวพุทธเชื่อว่า
    การรู้ธรรม การเห็นธรรม การเข้าใจธรรม ทั้งหลายนั้น


    "สามารถ รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม ได้ด้วย การอ่าน การฟัง การคิด"

    เมื่อชาวพุทธกลุ่มใหญ่มากๆ มีความเชื่อเช่นนี้
    จึงเกิดการ พบ ปะ พูด คุย ออกกระทู้ ถาม-ตอบ กันไปมา
    โดยไม่ได้เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่า

    ธรรมที่ตนเข้าใจว่า ตนเห็น ตนรู้ ตนเข้าใจ นั้น


    "เป็นธรรมขั้นหยาบๆ ที่พระอริยะเจ้า ท่านถือว่า เป็นธรรมกระดาษ ธรรมสัญญาความจำ"

    เพราะธรรมจริงๆที่ต้องรู้ลงที่จิต ที่ต้องรู้ด้วยการปฏิบัตินั้น

    "ต้องผ่านการฝึกสติ ฝึกสมาธิ จนเต็มเปี่ยมก่อน"
    "ต้องผ่านการรู้ตัวทุกอิริยาบทก่อน"
    "และการรู้ การเห็น จริงนั้น ต้องเห็น ขณะจิตเป็นสมาธิ และเดินฌาน ก่อนหน้านั้นก่อน"


    ถ้าท่านอยากรู้ว่า ท่านรู้ ท่านเห็น ธรรมจริงๆ หรือไม่
    ก็ลองพิจารนา ข้อเขียนข้างบนดู

    แล้วก็พิจารนาว่า
    "ธรรมที่ท่านรู้ ธรรมที่ท่านเห็น นั้น เป็นธรรมจริงๆ หรือเป็นธรรมกระดาษ ธรรมสัญญาความจำ"

    และท่านที่บอกเล่า และท่านที่ตอบ กระทู้กันอยู่นี่
    แม้ท่านพยายามจะปกปิด ก็อย่าได้คิดว่ามีผู้ไม่รู้

    สรุป ที่แท้ก็เป็นพระเจ้า พระสงฆ์เอง ที่เที่ยวสอนชาวพุทธว่า


    "ธรรมที่รู้ด้วย การ อ่าน การฟัง การคิด ของคนไม่มีฌาน ก็เป็นธรรมเหมือนกัน"

    เมื่อพระท่านสอนอย่างนี้ ผู้คนก็เชื่ออย่างนี้
    พระพุทธองค์ถึงได้แสดงธรรมเพียงเล็กน้อย
    ส่วนที่เหลือ ก็ยกให้เป็นพื้นฐานของแต่ละท่านมารองรับ มาขยายธรรมกันเอาเอง

    มันจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานแสนนาน จนกว่าจะมีผู้มีปัญญาจริงๆ จึงจะเข้าใจได้

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญร่วมกับทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2013
  3. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    สรุป ที่แท้ก็เป็นพระเจ้า พระสงฆ์เอง ที่เที่ยวสอนชาวพุทธว่า[/COLOR]

    "ธรรมที่รู้ด้วย การ อ่าน การฟัง การคิด ของคนไม่มีฌาน ก็เป็นธรรมเหมือนกัน"

    เมื่อพระท่านสอนอย่างนี้ ผู้คนก็เชื่ออย่างนี้
    พระพุทธองค์ถึงได้แสดงธรรมเพียงเล็กน้อย

    กระผมไปอ่าน
    ปารมีปันจั้น

    พุทธองค์ท่านไปเอามาตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยได้มาพันหนึ่ง
    แล้วที่แสดงใบไม้ในกำมือ
    มำอย่างไรถึงแสดงได้
    ต้องมีหุ่น
    หากยืนเดินนอนนนั่ง
    ก็คืออย่างนั้น

    สิ่งที่เหลืออจินไตย

    หรือไม่อย่างไร

    แล้วธรรมทั้งหมดใครนำมาได้บ้าง
    ใครได้ไปเท่าไร
    หรือใครรู้ทางไปแล้วไม่ไปบ้าง
    หรือใครไปมาแล้วไม่ไปอีก

    ทำไมพระพุทธองค์สิ้นพระชนม์ฌานสี่
    ท่านไปมาที่สุดหรือยัง
     
  4. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ปริศนาธรรม ฝากให้ คุณ มะหน่อ คิดเป็นการบ้าน
    เหนือฟ้ายังมีดวงดาว เหนือเหตุและผลยังมีสิ่งใด....​
     
  5. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    สังโยชน์ 10 อย่าง เครื่องวัดระดับ *ตบะธรรม*
    1. สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่า ร่างกายนี้เป็นของเรา มีความยึดมั่น ถือมั่น ในระดับหนึ่ง
    (ความยึดมั่นในตัวตนแห่งชีวิตกายสังขารที่วิญญาณจิตสถิตอาศัยอยู่นี้)


    2. วิจิกิจฉา - มีความสงสัย ใน พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรมต่างๆ และพระอริยสงฆ์ (รวมถึงความลังเลสงสัยในศานาลัทธินิกายต่างๆอย่างนี้เป็นต้น)

    3. สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่น ศีล พรต โดยไม่ใช่ สักว่าทำตามๆ กันไปอย่าง งมงาย
    มีความเห็นผิด ว่าจะบริสุทธิ์ หลุดพ้น ได้เพียงด้วยศีล และ วัตรปฏิบัิติเท่านั้น เป็นต้น
    หรือ นำศีล และ พรตไปใช้ เพื่อเหตุผลอื่นอันไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส
    เช่น การถือศีล เพื่อเอาไว้ข่มคนอื่น เพื่ออวดตัว การถือศีล เพราะอยากได้ลาภสักการะ เป็นต้น
    ซึ่งรวมถึง การหมด ความเชื่อถือ ในพิธีกรรมที่งมงายต่างๆ ด้วย
    (ความงมงายในศิลพระวินัยข้อวัตรปฏิบัติต่างๆโดยขาดเหตุผล และไม่ทราบจุดหมายอันแท้จริง)


    4. กามราคะ - มีความติดใจ ในกามคุณทั้งหลาย(รูปสมมุติแห่งชายและหญิง)

    5. ปฏิฆะ -หรือโทษะ มีความกระทบ กระทั่ง ในใจ ต่ออารมณ์ที่ไม่ยินดี

    6. รูปราคะ - มีความติดใจรูปธรรม ในวัตถุอันสวยงาม และ ยังติดใจอยู่ในรูปฌานอันปราณีต

    7. อรูปราคะ - มีความติดใจใน อรูปฌาน หรือ ความพอใจ ในนามธรรม ทั้งหลาย

    8. มานะ - คือตัวอัตตา มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน หรือ คุณสมบัติ ของตน

    9. อุทธัจจะ - มีความฟุ้งซ่านของจิตไปตามกระแสธรรมทั้งหลายอย่างไม่หยุดนิ่ง

    10. อวิชชา - มีความไม่รอบรู้เข้าถึงมรรคอย่างแท้จริง

    *พระโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ข้อต้นได้คือ หมดสักกายทิฏฐิ ,วิจิกิจฉา และ สีลัพพตปรามาส

    *พระสกทาคามี ทำสังโยชน์ ข้อ 4 และ 5 คือ กามราคะ และ ปฏิฆะ ให้เบาบางลงด้วย


    *พระอนาคามี ละสังโยชน์ 5 ข้อต้น ได้หมด ไม่ติดใน กามคุณ และ ความโกรธ ขุ่นเคืองใจ อีกแล้ว ละได้ขาดแล้ว

    *พระอรหันต์ ละสังโยชน์ ทั้ง 10 ข้อ ได้เด็ดขาด โดยสิ้นเชิง
    โมทนาธรรมครับ....
    (อินทรปัญญาสกุล พรหมธรรมสัจกุล)

    <<< พรหมธรรมอริย >>>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  6. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    บางส่วนมันไม่ตรงกับที่พระพุทธองค์สอนนะ
     
  7. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ธรรม การขัดเกลากิเลส ตัณหา กามารมณ์

    ขออนุญาตครับ

    มีญาติธรรมท่านหนึ่งมาพบผมแล้วถามเรื่องธรรมต่างๆมากมาย
    แต่ครั้นพอผมตอบออกไป ท่านก็หน้านิ่วคิ้วขมวด แสดงว่าท่านยังไม่เข้าใจ

    ที่ท่านไม่เข้าใจนั้น ผมก็เลยสรุปให้ฟังว่า

    "เมื่อเราปฏิบัติสมาธิภาวนาไปนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราได้มาคือ ความอดทน"
    "ความอดทน ที่เกิดจากการ นั่งปฏิบัติสมาธิภาวนา วันแล้ว วันเล่า โดยไม่สนใจวัน เดือน ปี ที่ผ่านไป"
    "เมื่อปฏิบัติไปๆ เราก็จะได้ ความเย็นกาย ความเย็นใจ สะสมไปเรื่อยๆ"
    "เมื่อมีความเย็นกาย ความเย็นใจ สะสมไปมากพอ ความอดทน ก็จะมากตามไปด้วย"
    "สิ่งสำคัญที่สุดของผู้ปฏิบัติ ก็คือการปล่อยวาง"
    "เพราะเมื่อ จิตสะสมความเย็นกาย ความเย็นใจ มากขึ้นๆ"
    "จิตก็จะมีความอดทนมากขึ้นๆตามไปด้วย"
    "เมื่อมีความอดทนมากขึ้นๆ จิตก็จะอยู่กับ ความเย็นกาย ความเย็นใจได้มากขึ้นๆ"
    "เมื่อจิตมีความเย็นกาย มีความเย็นใจ มีความอดทนมากขึ้นๆ"
    "จิตก็จะรู้จัก การปล่อยวาง อารมณ์ที่มากระทบ ได้มากขึ้นตามไปด้วย"

    ดังนั้น ท่านที่ถาม-ตอบกระทู้กันอยู่นี่ ท่านต้องสำรวมระวังกันให้มาก
    เพราะการตอบกระทู้ก็ดี การถามกระทู้ก็ดี จะเป็นตัวบอกว่า
    ท่านปฏิบัติไปได้แค่ไหน ท่านมีภูมิรู้ ภูมิธรรมอยู่เท่าไร
    อันไหนท่านรู้จากการปฏิบัติ อันไหนท่านรู้จากการอ่าน การฟังมา

    ผู้คนส่วนมากมักไม่เข้าใจว่า กิเลส ตัณหา การสมสู่กามารมณ์ นั้นมันต้อง ลด ละ เลิก ตอนไหน

    ผมก็เลยต้องอธิบายบอกเล่าบ่อยๆว่า

    "แม้พระพุทธองค์ ในพระชาติสุดท้ายก่อนการออกบวช พระองค์ก็ทรงมี ภรรยา มีบุตร มีพระสนมกำนัลมากมาย"
    "คุณคิดว่าพระองค์มีพระสนมกำนัลมากมายนั้น พระองค์จะเอาไว้นั่งดูเฉยๆหรือ"
    "เหตุที่พระองค์ต้องมีภรรยา มีบุตรนั้น ก็เพราะพระองค์ ต้องการให้ท่านเหล่านั้น รับกุศลผลบุญร่วมกับพระองค์"
    "เหตุที่พระองค์ท่าน เคยมีพระสนมกำนัลมากมายนั้น ก็เพื่อจะได้สอนชาวพุทธว่า กิเลส ตัณหา กามารมณ์ นั้น มันต้อง ลด มันต้อง ละ มันต้อง เลิก ตอนไหน"

    ไม่ใช่ว่า พอเข้าวัด ถือศีล ฟังธรรม หรือแม้แต่ปฏิบัติไปเพียงเล็กน้อย
    ก็พาลจะ ลด ละ เลิก กิเลส ตัณหา กามารมณ์ กันซะแล้ว
    เดี๋ยวได้บ้านแตกสาแหรกขาดกันพอดี

    ก็ขอให้ดูพระพุทธองค์เป็นตัวอย่าง
    ที่พระองค์ท่าน ที่มีพระสนมกำนัลมากมาย มีภรรยาที่เพิ่งคลอดมาใหม่ๆ
    พระองค์ค่อยมาลด มาละ มาเลิก เอาตอนที่ออกบวชนั่นล่ะ

    แล้วฆราวาสอย่างเราๆท่านๆ จะมาลด มาละ มาเลิก เอาตอนที่ มีภรรยา มีสามี
    มีครอบมีครัว นั้นสมควรหรือไม่

    เมื่อท่านปฏิบัติไปๆ สะสมความเย็นกาย สะสมความเย็นใจไป สะสมความอด ความทนไป

    ท่านก็จะรู้ได้เองว่า ท่านจะลด ท่านจะละ ท่านจะเลิกได้ ตอนไหน

    เพราะเมื่อท่านปฏิบัติไปๆ การที่ท่านทำกิจของฆราวาส ของภรรยา ของสามี
    มันก็ไม่ได้เสียหาย ไม่ได้เสียแต้ม แต่อย่างไร

    ท่านต้องรู้จักพินิจพิจารนาเอาเองว่า
    ท่านปฏิบัติมาได้ถึงไหน ท่านสมควร ลดละเลิก กิเลส ตัณหา กามารมณ์ เมื่อไร อย่างไร

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญร่วมกับญาติธรรมทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  8. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    พิจารณา
     
  9. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ว่าจะเล่นหรือจะละ
     
  10. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    พอวิเกิด
    หรือวิตกไป
    ก็พิ
    พิไหน
    พิจิตร
    ไปเจอเข้

    หรือพิษไหน
    พิษนุโลกไปเจอกำแพง
     
  11. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    คำสอนครูบาอาจารย์สายธรรมยุติ

    ขออนุญาตครับ

    เห็นบางท่านประกาศตนว่าเป็นศิษย์สายธรรมยุติ
    ถึงกับอ้างคำสอนของครูบาอาจารย์อยู่บ่อยๆ

    แต่บางท่านก็เที่ยวไปถาม ท่านโน้น ท่านนี้ เพียงเพื่อที่ท่านอ้างว่า หาความรู้

    แต่บางท่านก็เที่ยวไป โต้แย้ง ท่านโน้น ท่านนี้ เพียงเพื่อ จะให้เขายอมรับว่า เขานั้นแค่ปฏิบัติธรรมเพียงผิวเผิน
    เพราะความรู้ที่มีนั้น เป็นแค่ ธรรมกระดาษ ธรรมสัญญาความจำ ธรรมหนอนตำรา

    ถ้าท่านเป็นศิษย์ธรรมยุติจริง สมควรพิจารนา คำสอนของครูบาอาจารย์
    ให้รู้ ให้เข้าใจ อย่าให้ครูบาอาจารย์ต้องมามัวหมองไปกับท่าน

    องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนว่า


    "๑.เรียนรู้อะไรมาลืมให้หมด"
    "๒.อยากรู้อะไรให้ปฏิบัติเอา"
    "๓.กิเลสอยู่ที่ใจ ไม่ต้องไปตามหาที่ไหน"


    องค์หลวงปู่มหาบัว ญานสัมปันโน ท่านสอนว่า

    "ไปว่าเขาเราดีพอหรือยัง?"
    "ถ้าเราดีพอแล้ว ไปว่าเขาทำไม?"

    "ผมไม่เคยสอนวิชา หมากัดกันให้ใคร"


    สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าท่านจะตอบปัญหาได้ละเอียดลึกซึ้งปานใด
    มันก็ไร้ความหมาย

    "ถ้าท่านไม่สามารถบอก ลำดับ ขั้นตอน วิธีการปฏิบัติ อย่างละเอียด เรียบง่าย ออกมาได้"

    สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าท่านจะบอก จะเล่า จะเอ่ยอ้าง ว่าท่านมีบุญบารมีสูงส่งสักปานใด มันก็ไร้ความหมาย

    "ถ้าท่านไม่สามารถนำพาผู้คน สร้างกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่ได้"

    สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าท่านจะบอก จะเล่า จะเอ่ยอ้าง ว่าท่านมีบุญบารมีสูงส่งสักปานใด มันก็ไร้ความหมาย

    "ถ้าท่านไม่มีฤทธิ์ ไม่มีเดช พอที่จะช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติ ให้พบกับความร่มเย็น เป็นสุขอย่างแท้จริงได้"

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญร่วมกับญาติธรรมผู้มีจิตเป็นบุญเป็นกุศลทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
  12. อยู่ร่ำไป™

    อยู่ร่ำไป™ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +42
    ไม่รู้ว่าลุงมหา ส่องไปที่ใคร แต่นั่นไม่สำคัญ ยกไว้ให้เป็นเรื่องของลุงเอง

    แต่จะบอกว่า แล้วถ้าอย่างนี้ล่ะครับ ลุงมหา

    เจ้ากาบังตัวนี้ ไม่ได้เป็นศิษย์ใดๆ

    ไม่รู้และไม่สามารถบอก ลำดับ ขั้นตอน วิธีการปฏิบัติ อย่างละเอียด เรียบง่าย ออกมาได้

    ไม่สามารถที่จะบอก จะเล่า จะเอ่ยอ้าง ว่ามีบุญบารมีสูงส่ง

    ไม่สามารถนำพาผู้คน สร้างกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่ได้

    ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีเดช พอที่จะช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติ ให้พบกับความร่มเย็น เป็นสุขอย่างแท้จริงได้

    แต่เจ้ากาบังตัวนี้ สามารถช่วยชีวิตน้อยๆ ของเด็ก 2 คนได้

    แต่ความที่ไม่เรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่ ได้เสียสละจมูกและกรามบน

    เหลือเพียงครึ่งหน้า เป็นฮีโร่ของเด็กชาวฟิลิปปินส์ และข่าวนั้นก็ดังมาถึงไทย

    โดยหากไม่ลงมาที่อุเบกขาเสียก่อน ในเรื่องของกรรมต่อกัน

    ลุงมหา เห็นเป็นเช่นไร กับสุขนัก ตัวนี้



    ดังทั่วโลก!กาบังหมาฮีโร่ช่วยเด็ก คมชัดลึก : ไลฟ์สไตล์ : ข่าวทั่วไป



    Kabang

    <IMG src='https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/431410_349047608510389_547777151_n.jpg' width=450>

    <IMG src='http://i1079.photobucket.com/albums/w511/navic09/NEWS/Kabang_Dog4.jpg' width=450>

    <IMG src='http://assets.nydailynews.com/polopoly_fs/1.1182331.1350094094!/img/httpImage/image.jpg_gen/derivatives/landscape_635/kabang13n-1-web.jpg' width=450>

    <IMG src='http://1.bp.blogspot.com/-BA1Dd3b1HQ8/UD6EPn0xJbI/AAAAAAAAB6c/lM5lE_cwlyo/s1600/Kabang+7.jpg' width=450>

    <IMG src='http://media.heavy.com/media/2012/10/kabang-300-edit1.jpg' width=250>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2013
  13. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    ขออนุญาติเล่าสู่กันฟังครับ

    เรื่องเล่าจากวัดป่าแห่งหนึ่ง

    ขณะที่ครูอาจารย์ กับ ศิษย์กำลังทำงานคู่กันอยู่

    อยู่ๆศิษย์ก็โดนเลื่อยตีหลัง อาจด้วยความสงสัย

    และงงว่าตัวท่านเองทำอะไรผิด

    <ถาม.. หลวงปู่ครับ...เอาเลื่อยตีหลังผมทำไม.

    >ตอบ....ไม่มีเหตุผล.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2013
  14. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    เห็นมีผู้สนใจ ในกระทู้นี้พอควร บ้างก็เข้ามาอ่านหาสาระธรรมอย่างเดียว บ้างก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นต่างๆนานา
    แต่แท้ที่สุดก็มีจุดหมายอย่างเดียวกันคือแสวงหา กุญแจสู่สุขอันแท้จริง(นิพพานสมบัติ)
    ยังไงก็ขอบคุณทุกท่าน ที่ทำให้กระทู้นี้ดูมีอรรถรสยิ่งขึ้นน่ะครับ
    โมทนาๆ .... ​
     
  15. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    จิตที่ถึงแล้วซึ่งที่สุดแห่งธรรม ย่อมหลุดพ้นและอยู่เหนือทุกข์ทั้งหลาย อวิชชาต่างๆย่อมหลอกจิตไม่ได้อีกต่อไป เป้นผู้รู้เท่าทันสภาวะแห่งความเกิดดับปรุงแต่งของนามรูปทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นตัวด้วยสติอยู่เสมอ และเป็นผู้เบิกบานด้วยปัญญาญาณอันบริบูรณ์นิรันดร์
     
  16. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    เราทั้งหลายต่างมีจิตอัศจรรย์ เพราะจิตสามารถเสกสรรค์สิ่งต่างๆ ได้หลากหลาย
    และจิตนี้เองที่เป็นที่เกิดได้ทั้ง วิชชา และอวิชชา ทั้งหลาย.....
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ผมเข้ามาอ่านกระทู้นี้ช้าไป แต่เมื่อเข้ามาอ่านแล้วก็ขอช่วยแสดงความเห็นอย่างเป็นกลางว่า

    เราจะทราบหรือจะวัดว่าเขาผู้นั้นบรรลุธรรม ได้อย่างไร

    คำตอบ
    ข้อ1 คือก็เหมือนที่หลายๆท่านตอบมาคือเรามีเครื่องมือวัดหรือวิธีการวัด จากตำราก็หมายถึง การเทียบเคียงหรือวัดจาก สังโยชน์10ข้อ นั่นเอง แต่ปัญหาคือ
    1.1ท่านเข้าใจสังโยชน์ทั้ง10ข้ออย่างละเอียดทะลุมากน้อยแค่ไหน
    1.2ท่านมีวิธีการวัดอย่างเรา ว่าสิ่งที่ท่านกำลังวัดนั้น มันเกี่ยวด้วยสังโยชน์ข้อไหน แล้วถูกหรือไม่ตรงหรือไม่กับสังโยชน์ข้อนั้น และสังโยชน์ข้ออื่นๆละเราจะสามารถเข้าไปวัดให้ตรงให้ถูกได้อย่างไร
    1.3แล้วความถี่ที่ใช้ในการวัดสังโยชน์ข้อนั้นๆหรือแต่ละข้อนั้น มันต้องมากน้อยเท่าไหร่จึงจะน่าเชื่อถือหรือเชื่อมั่นได้
    1.4 เมื่อวัดได้แล้วถูกตรงแม่นยำแล้ว วิธีการสรุปผลละ เรามีวิธีการสรุปผลอย่างไร มีเกณฑ์อย่างไร และสุดท้ายแล้ว มีการทวนสอบผลที่สรุปหรือไม่อย่างไรว่า มันถูกต้องจริงไม่เป็นอื่น
    [เป็นการดูที่การปฏิบัติ อันหมายถึง การดูที่เหตุ]

    2 ตามความเห็นของผม ให้ตรวจดูผล จากการบรรลุธรรม [อันหมายถึงดูจากปฏิเวธ]
    ว่าถ้าท่านแสดงออกจากนี้ คิดอย่างนี้ กล่าวอย่างนี้ หรือแม้แต่การแสดงธรรมท่านเป็นอย่างนี้ ผลจากการบรรลุธรรมที่ปรากฏ ทางกาย วาจา และจิตท่านสูงหรือความสามารถในการรอบรู้และการลดละเลิกปล่อยวางสงบนิ่งว่างหรือไม่อย่างไร ตรงนี้จึงเป็นเครื่องมือวัดอีกประการหนึ่ง

    3 ตามความเข้าใจของกระผม การบรรลุธรรมเป็นเรื่องของ นามธรรม คือจิต ฝ่ายนาม ที่มีความขาวสะอาดในระดับต่างๆกัน มีที่สุดคือขาวบริสุทธิ์ นั้น การที่เราจะไปรู้แจ้งในจิตผู้อื่น สิ่งสำคัญคือจักต้องรู้แจ้งในจิตตน นำจิตตนให้รู้แจ้งได้ด้วยตนเองในแต่ละสภาวะ เมื่อจิตตนทำได้เอง รู้แจ้งได้เอง การรู้แจ้งจิตผู้อื่นก็เป็นเรื่อง่าย
    สรุปคือ หากเรายังไม่บรรลุธรรม แล้วเราจะไปตรวจสอบผู้อื่นว่าบรรลุธรรมหรือยัง จึงเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยและทำได้ยากและหากทำไปแล้ว ก็มีโอกาสผิดพลาดได้มากเพราะจิตเรายังไปไม่ถึง นั่นเอง เหมือนคุณครูที่เรียนจบมีประสพการณ์มากแล้วตรวจสอบการบรรลุปัญญาของลูกศิษย์ในชั้นเรียน ย่อมทำได้ง่ายดายและไม่ผิดพลาดนั่นเอง

    ท้ายที่สุดเรื่องจิต เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก บางครั้งสิ่งที่เห็น ได้ยิน สัมผัส มันอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณคิดหรือเข้าใจไปเองได้ บางครั้งมันก็เชื่ออะไรไม่ได้ทั้งนั้น จากสิ่งที่ปรากฏในขณะนั้น แต่หากจิตคุณเข้าถึงอย่างแท้จริง เจโตปริยญาณย่อมทำหน้าที่ของมันอย่างโดยเที่ยงธรรม ย่อมรู้แจ้งในวาระจิตของตนและผู้อื่นได้อย่างไม่มีผิดพลาดหรือเพี้ยนไปแน่นอนครับ

    เรื่องของจิตและเจตสิกต่อการบรรลุธรรมแต่ละลำดับขั้นนั้น จึงยังมีเรื่องราวอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่คุณอาจยังไม่รู้ไปไม่ถึงไม่เข้าใจ การจะเข้าไปรู้ว่าจิตนั้นๆบรรลุธรรมแท้จริงแล้วจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีวิธีการต่างๆมากมายก็ตามแต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรนั่นเองครับ

    ท้ายที่สุดจึงขอแนะนำว่าให้เริ่มต้นด้วยการฝึกฝนตนเองอบรมจิตตนเองทำให้ได้ให้สำเร็จก่อน เมื่อทำได้สำเร็จแล้ว การจะไปวัดหรือรู้จิตผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถึงเวลานั้นก็คงไม่ได้อยากไปรู้อะไรอีกแล้ว
    อนึ่งเรื่องการไปกราบไหว้หรือหาครูอาจารย์ ขอให้มีสัมมาทิฏฐิที่ดีว่า เราศรัทธามีปัญญาประกอบ ย่อมเกิดผลดีต่อเรา ท่านจะเป็นพระอริยะบรรลุธรรมมากน้อยแค่ไหน อย่าไปวิตกกังวล ขอให้เรามีจิตใจที่ดีที่นอบน้อม อันเป็นไปเพื่อการเข้าไปสดับรับฟัง พระธรรม เพื่อปัญญาของตน เพื่อการปฏิบัติของตนให้งอกงามไพบูลย์ ยิ่งขึ้น ส่วนพระสงฆ์ท่านจะบรรลุธรรมแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เท่ากับการที่ตนได้รู้จักทำตนให้เป็นประโยชน์แก่ตนครับ หรือแม้บางครั้งเราไปเจอพระสงฆ์หรือฆารวาส อาจารย์บางท่าน ที่ท่านมีปัญญาไม่มากบรรลุธรรมไม่มาก เมื่อเทียบเคียงกับตนแล้วตนบรรลุธรรมสูงกว่า ก็ไม่ควรคิดว่าตนสูงกว่าหรือใครต่ำกว่า แต่ควรมองว่า อย่างพระสงฆ์ท่านถือศีล227ท่านก็ควรแก่การกราบไหว้นอบน้อมเคารพ หรือสำหรับฆารวาสด้วยกันก็ควรให้ความเคารพกัน เพราะแท้จริงแล้ว เราทุกคนเสมอเหมือนกันไม่มีใครต่ำหรือสูงกว่าใคร หากแต่ว่าต่างกันเพียง เรานั้นรู้ไม่เท่ากัน ลดละเลิกปล่อยวางได้ไม่เท่ากัน นั่นเองครับ สาธุ
     
  18. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    คนเรานั้นมักชินกับใช้ความคิดในการติดสินหรือหาคำตอบสิ่งต่างๆและสรุปจบตามความชอบใจของตน ซึ่งความคิดนั้นขันธ์5ที่เจือปนปรุงแต่งแปดเปื้อนซึ่งตัณหาอุปาทานกิเลสน้อยใหญ่ย่อมบยบังความจริงอันแท้จริงอยู่ อาทิเช่น กายและใจนี้คนเรามักยึดติดว่าเป็นของเรา ซึ่งหากใช้จิตที่พร้อมด้วยสติมองดูเป็นเพียง นามรูป นามธาตุที่มาประชุมกันอยู่ ไม่ใช่ตัวตนอัตตาเลย จิตเราไหลไปตามความนึกคิดและหลงอยู่ในกายที่เวียนว่ายตายเกิดมานานจึงสำคัญตนผิด
    การจะละจึงเริ่มจากหยาบไปละเอียด คือ ต้องเริ่มจากการละตัวสักกายะทิฐิ(สัญโยชน์ข้อแรก)คือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนรูปร่างของกายนี้ นั่นเอง....
     
  19. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    พระพุทธเจ้า เคยกล่าวไว้ว่า เราไม่ได้บรรลุธรรม อันใดเลย

    แล้ว เราๆท่านๆ บรรลุธรรม อันใด เหรอ :p
     
  20. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    เอลนิญโญ่โลกร้อนขนาดนี้ทุกข์ในขันธ์5มากมาย ถ้ารู้วิธีรีบรรลุดีกว่าครับความพลัดพรากสูญเสีย ทุกข์ทรมานใจขาดครับ เมื่อยังทุกข์ไม่มา เตรียมพร้อมไว้ มีเครื่องดับทุกข์ หากบรรลุได้ทุกข์ไม่เกิดย่อมดีที่สุดแล้วครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...