จิตบอกให้หยุดหายใจค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ซึ้งธรรม, 8 เมษายน 2014.

  1. ซึ้งธรรม

    ซึ้งธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +62
    สวัสดีค่ะ ผู้รู้ช่วยบอกหน่อยค่ะ เป็นอันตรายหรือปฏิบัติผิดทางไหมค่ะ เพราะฝึกทำเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์สอนค่ะ หนูฝึกดูจิตมาประมาณ2เดือนแล้วค่ะ แรกๆก็เห็นจิตฟุ้งซ่านมากช่วงหลังๆจิตเริ่มสงบ ไม่ไหลออกไปตามอารมณ์ข้างนอก แต่เริ่มเห็นจิต เฉยๆบ้าง สุขบ้าง บางครั้งรู้สึกหดหู่เป็นทุกข์เบื่อโลกมากๆเลยค่ะ มันเป็นของมันเองควบคุมอารมณ์นี้ไม่ได้ ได้แต่ตามดูเฉยๆรู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเราเหมือนเราไม่มีตัวตนเลยค่ะ บางครั้งก็นอนดูจิตไปเรื่อยๆแล้วเหมือนว่าตัวเองจะเคลิ้มๆไปแต่ยังมีสติรู้สึกตัวค่ะ อยู่ดีๆจิตก็พูดว่า ลองหยุดหายใจตายดูหน่อยสิ แล้วหนูก็หยุดหายใจตามไปด้วยบังคับร่างกายไม่ได้เลยค่ะ ตอนนั้นขยับร่างกายไม่ได้ด้วยค่ะ รู้สึกเริ่มกลัวก็เลยพยายามฝืนจนหายใจได้ ตอนนั้นรู้สึกอึดอัดและรีบสูดลมหายใจเข้าปอดค่ะ ถ้าปล่อยไปนานกว่านี้คิดว่าตัวเองต้องตายจริงแน่ๆเลยค่ะ เกิดจากอะไรค่ะ หนูทำผิดทางไหมค่ะ ถ้าเกิดเป็นอีกจะทำอย่างไรดีค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ถ้าจะ ยกวิหารธรรม เป็น อานาปานสติ มารู้ลมหายใจ ก็ต้อง ฝึกหัดก่อน

    ต้องเริ่มจาก "ตั้งกายตรง ดำรงค์สติมั่น ............. "

    ม่ายช่ายไปเริ่มเอา " เอนกายขนาน ดำลงสติมืด ............. "

    ฝึกนั่ง ทำด้วย สติ สัมปชัญญะก่อน ................ จนพอ เห็นวิธี นมสิการธรรม

    แล้วหากจะนอนฝึก ก็ต้อง ฝึก ท่านอนที่พร้อมจะลุกก่อน ที่เรียกว่า สีหไสยยาส
    เอา สัมปชัญญะ ให้เด่นดวงก่อน

    พอเข้าใจวิธี การนมสิการ ทีมี สติ พร้อมด้วย สัมปชัญญะ ถึงค่อย ปฏิบัติ
    ด้วยการนอน

    .................

    จริงๆ ไม่ต้องไปนอนหลอก เอาตอนนั่ง ยืน เดิน ก็ได้

    สังเกตเลย เวลา ยืน เดิน นั่ง เนี่ยะ อาการเคลิ้มๆ เนี่ยะ ก็มีเหมือนกัน

    อาการเคลิ้ม เป็น สภาวะธรรม อีกอย่างหนึ่ง ที่ยกขึ้นดู ได้เหมือนการ เห็นจิตฝุ้งซ่าน

    อาการถอยๆ มึนๆ ซึมๆ หนักๆ แน่นๆ แข็งๆ เป็น สภาวะธรรม อีกอย่างหนึ่ง
    เอามา ยกขึ้นเป็นสิ่งถูกรู้ถูกดูได้

    มีในทุกอริยาบท ไม่ใช่แค่มาตอน นอน

    หากดูเก่งๆ ตอนที่เรา ขยันสุดๆ งานกำลังเข้ามือ กำลังจะประสบความสำเร็จ
    เอาแล้ว อาการท้อ ถอย หนักๆ แน่นๆ แข็งๆ มืดๆ มันจะเริ่มมา ครอบงำจิต

    หากยกขึ้นดูเป็น ก็จะมี แนวต้านในการไม่ให้จิตไปข้างฝุ้งซ่าน และ ไม่ให้
    จิตไหลไปข้าง ถอยจม

    ปฏิบัติไปบ่อยๆ จะค่อยๆเห็น อนุสัย ที่เรียกว่า ติดนอน

    หากเรายึดถือตัวเราว่าเป็นคน เป็นสัตว์ สังเกตเลย เราจะ ดำริตามทันทีว่า ต้องมีการนอน

    ดังนั้น

    สิ่งที่กระซิบบอกว่า " หยุดหายใจสิ " ก็คือ จิตที่ติดนอนนั่นแหละ มันยากนอนยาวๆ

    ทำไมเป็นแบบนั้น

    เพราะไป วางจิตไม่ชอบการตื่น

    ไปสำคัญว่า การตื่นขึ้นมา ต้องเจอโน้น เจอนี่ ต้องผิดหวัง ต้องมารู้ว่าคนๆนั้นเขา
    ไม่รัก อายุป่านนี้แล้วหาใครไม่ได้ มันก็ไม่อยากตื่นขึ้นมา

    เนี่ยะ อนุสัย ที่ทำให้เรา ติด จม ในสังสารวัฏ

    ถ้า ยกขึ้นดู แล้ว สู้ ด้วย อุบายง่ายๆ เริ่มด้วย " ตั้งกายตรง ดำรงค์สติมั่น ...."

    แล้วเราจะค่อยๆ เห็น หนทางการภาวนา ที่สว่าง ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน ไม่แส่ส่าย
    แม้นว่าโลกจะทุกข์อยู่อย่างนั้นก็ตาม

    ยกตัวอย่าง

    ลมหายใจ ...ลมหายใจเนี่ยะ เกิด และ ดับ สลับอยู่แล้ว ไม่ต้องไป ตั้งใจดับ
    ลมหายใจ ลมหายใจมันก็ดับอยู่แล้ว ดับสลับไป สลับมา ระหว่าง ลมหายใจ
    เข้าดับ ลมหายใจออกดับ .....

    การที่จะไปสร้าง สภาวะดับลมหายใจ จึงเป็นเรื่อง ทิฏฐิ อนุสัย มันหลอกเอา

    ลมหายใจดับ เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำเพิ่ม ตามดูลมหายใจ
    ดับไปได้เลย ทุกขณะ

    ดูเก่งๆ จะเห็นได้ แสนหมื่นครั้ง ไม่ใช่เห็นแค่ ครั้งสองครั้ง
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    การฝึกดูจิต ให้ดูในลักษณะที่เราเป็นผู้สังเกตการณ์การทำงานของมัน
    ไม่ใช่ดูในลักษณะผู้ทำตามคำสั่งงานของมัน

    ดังนั้นในการแก้การปฏิบัติของคุณนี่ ให้กลับมาหาฐานของกายก่อนนะครับ มันไม่มีการหลอกลวง ไม่มีการปรุงแต่ง มันเป็นของมันยังไงก็อย่างนั้น ทื่อๆ ซื่อๆ ของมัน ไม่มีอุปาทานเข้ามาเกี่ยวข้อง

    วิธีทำคือ ทำความรู้สึกตัว ด้วยความรู้สึกของร่างกายเนื้อ จะใช้แบบไหนก็ได้ตามสะดวก จะเป็นการรู้ลมหายใจ ที่ปลายจมูก หรือ ลมสามฐาน หรือ ท้องพองยุบ หรือ จะทำความรู้สึกทั่วๆ ทั้งตัวพร้อมๆ กันก็ได้ (ผมแนะนำแบบสุดท้ายนะครับ จะเหมาะกับการปฏิบัติในชีวิตประจำวันปกติ พร้อมทำการงานไปด้วยได้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2014
  4. ซึ้งธรรม

    ซึ้งธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +62
    ขอบพระคุณและอนุโมทนาด้วยค่ะ เด๋วหนูจะเอาคำแนะนำไปพิจารณาและนำไปปฏิบัตินะค่ะ หนูอาจจะกังวลเรื่องนอนและอาจจะเป็นกิเลสด้วยค่ะ เพราะตั้งแต่ตามดูจิตมารู้สึกว่านอนหลับแต่ละครั้งเหมือนไม่ได้นอนเลย เหมือนรู้สึกตัวตลอดเลย แต่ตื่นมาแล้วสบายเหมือนได้นอนค่ะ อันนี้หนูก็ยังงงๆ บางครั้งนอนแล้วก็รู้ว่าฝันก็ควบคุมตัวเองในฝันได้ด้วยค่ะ แต่หนูยังไม่ได้อยากตายนะก็เลยมาถามเพราะกลัวตายค่ะ อยากมีชีวิตอยู่ปฏิบัติธรรมค่ะ
     
  5. ซึ้งธรรม

    ซึ้งธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +62
    ขอบพระคุณและอนุโมทนาด้วยค่ะ คุณอินทรบุตรสำหรับคำแนะนำตอนนั้นคงจะส่งจิตออกนอกและไม่มีสติเพราะกึ่งหลับกึ่งตื่นด้วยค่ะ เหมือนนอนหลับแต่ไม่ได้หลับ เมื่อก่อนไม่ว่าจะนั่ง ยืน นอน เดินหนูก็ใช้วิธีกำหนดที่ท้องแบบยุบหนอพองหนอตลอดค่ะ แต่หลังๆจิตมันสงบไม่คิดส่งออกแล้ว หนูก็เลยปล่อยไปไม่กำหนดต่อค่ะและก็รู้สึกตัวเบาสบายมากเลยค่ะ เวลาเดินเหมือนจะลอยหรือปลิวเลยค่ะ ไม่รู้ปฏิบัติถูกไหมค่ะ
     
  6. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เวลาปุถุชนนอน มันเป็นการส่งจิตเข้าไปจับกับนิวรณ์ความง่วงจนเต็มที่ มันก็เลยตัดหลับไป หากสติตื่นพร้อมตลอดเวลา ร่างกายหลับ แต่จิตไม่ได้หลับไปด้วย

    เมื่อใด ที่สติพร้อมสมบูรณ์แล้ว สิ่งที่ถูกรู้ ก็อยู่ส่วนของมัน และเป็นส่วนที่ไม่ใช่ตัวเรา มันเกิดขึ้นของมันเองแบบนั้น มันทำงานของมันเองแบบนั้น และ มันดับไปเองของมันแบบนั้น ในเมื่อสิ่งที่มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นสิ่งอื่น เราก็ไม่ได้ทุกข์ไปกับมัน เพราะมันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา

    แต่เมื่อใดที่เราเป็นทุกข์ นั่นแปลว่า จิตส่งออกนอก ไปรับความทุกข์มาเป็นตัวเราแล้ว สิ่งที่ถูกรู้ และสิ่งที่เข้าไปรู้ มันรวมตัวกันเป็นอันเดียวกันแล้ว เมื่อตัวเราเอง ไปรับเอาความไม่เที่ยง เข้ามาถือไว้ว่าเป็นตัวเอง มันจึงเป็นความทุกข์
    และ นิสัยเก่า หรือ อนุสัย ของเรา จากการเกิดเป็นสัตว์โลกมานับชาติไม่ถ้วน จิตมันจะมีความเคยชิน ในการส่งเข้าไปรวมกับสภาวะต่างๆ พวกนี้ นี่คือส่วนของนิสัยเก่า

    การที่มันรู้สึก เบา สบาย นั่นก็เป็นเพียงสภาวะหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้นแล้ว เราก็ต้องมีสติ รู้ให้ได้ตลอดเวลา ถึงการมีอยู่ของมัน ตัวสภาวะเบาสบายอันนั้น ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของการเดินทางของเรา

    การฝึกให้มีสติอยู่กับกาย รู้ตัวทั่วพร้อม โดยทำความรู้สึกทั้งตัว หลวมๆ สบายๆ โดยไม่ต้องไปนิยามให้ความสำคัญอะไร แค่รู้สึกถึงมัน เป็นการสร้างฐานของสติ และ สมาธิ ไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เรามีหลักเอาไว้ยึด เวลาต้องสู้กับอนุสัย หรือ นิสัยเก่าของเราเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2014
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    คุณ ซึ้งธรรม ครับ.ยังไงรบกวนลองอ่านดูก่อนนะครับเด่วจะไปกันใหญ่..
    .คำว่าจิตที่คุณบอกว่ามันสั่งตอนนี้นะครับ..มันคือความคิดที่เกิดจากจิตครับ
    คนละตัวกับจิต ณ ครับ.อย่างเช่น เราจะเรียนวิชา ความรู้เพื่อใช้ในการทำงานอะไรนั่นหละครับ.
    กรณีของคุณยังไม่ใช่เป็นตัวจิตที่เป็นตัวสั่งครับ..
    กิริยาที่เกิดของคุณตอนนี้ เรียกว่า ตัวจิตมันปรุงร่วม กับ ความคิดที่เกิดจากจิต ครับ


    .ตัวจิตจริงๆโดดๆแล้ว..มันจะซื้อบื้อครับ.คิดอะไรไม่เป็นครับ..เราถึงต้องมาเดินปัญญา
    เพื่อให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงเพื่อให้เกิดปัญญาทางธรรมไงครับ..และตัวสติที่
    คุณเข้าใจ ณ เวลานี้ก็ยังเป็นสติที่เราเรียกว่า สติทางโลกๆอยู่ครับ..
    .
    ไม่ใช่ตัวสติทางธรรมที่สร้างจากการเจริญสติไม่ว่าวิธีใดๆก็ตามที่ตนถนัดขอให้มี
    ฐานอยู่กาย..ลักษณะของตัวสติทางธรรมนี้.จะเป็นตัวที่จะคอยควบคุมพฤติกรรมของ
    จิตเรา.เพื่อให้เค้าละ เค้าคลายตัวจิตออกจากความคิดที่เกิดจากจิต..คลายออกจาก
    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมครับ...ถ้าคลายได้แล้วจิตจะเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า
    เป็นกลางได้.คือไม่มีอารมย์ใดๆ หรือความคิดใดๆเข้ามาปรุ่งร่วม.
    แล้วเราค่อยมาเดินปัญญา.ด้วยการตามดูจิตโดยใช้สติทางธรรมนั่นหละครับ.
    ไอ้พวกอาการเบื่อโลก หดหู่บ้าง เฉยบ้าง พวกนี้มันก็คืออาการที่ตัวจิตมันเข้าไปปรุง
    ร่วมกับความคิดที่เกิดจากจิตและขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมซึ่งฝ่ายนามธรรม
    และยังเป็นอารมย์อยู่ครับ..

    ส่วนการที่เราตามดูอารมย์ที่เราเข้าใจ.ยังไม่ใช่ในเรื่องการตามตามดูเพื่อให้เกิดปัญญาทางธรรมนะครับ..
    มันเป็นอาการของกำลังสติทางธรรมของเรามันยังอ่อน.
    และเป็นการไปสร้างกำลังให้อารมย์และความคิดตรงนั้นอย่างที่เราไม่รู้ตัวครับ
    ..เลยเป็นผลให้เรารู้สึก ว่า หดหู่ เบื่อโลก อะไรนั่นหละครับ...
    การดูจิตเราต้องเข้าใจสภาวะที่จิตเป็นกลางคือไม่มีอารมย์และความคิด
    เข้ามาปรุงร่วม..และเราต้องเข้าใจกิริยาต่างๆของจิต เข้าใจอาการของความคิดที่เกิดจากจิต
    อาการของความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมจริงๆ.เราถึงมองตรงนี้ออก
    การดูจิตนะครับ.อยู่คนเดียวก็สนุกครับ.
    อยู่หลายคนก็สนุกครับ...ที่เบื่อ ที่มีอารมย์ต่างๆไม่ว่า หดหู่ เฉยๆ เบื่อโลกเพราะอารมย์มันเข้าไปร่วมกับจิตแต่ว่าเราตามไม่ทันมันครับ
    .พวกนี้มันจะเร็วครับ..เป็นเรื่องปกติที่เราจะไม่เข้าใจมันครับ...
    ตอนนี้เจริญสติให้ได้ต่อเนื่องก่อนครับ..มันจะคิดต้องไม่ให้มันคิดครับ
    คอยควบคุม คอยดับมันครับ..ให้รู้ก่อนในเบื้องต้นครับแยกง่ายๆสองส่วน
    ก็พอว่า กุศล หรือ อกุศล ครับ.ให้ดับไปเรื่อยๆครับ.ถ้ามันใกล้ทันตั้งแต่
    ที่ความคิดที่เกิดจากจิตมันจะขึ้นมา.เราจะเข้าใจกิริยาความคิดตัวนี้ครับ.
    ความคิดที่เกิดจากจิตคือ เราสามารถบอกให้มันคิดดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้..
    แล้วจะมีความคิดอีกตัวที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมอีกตัวจะโผล่มาให้เห็น
    คือ.ไม่เลือกเวลา บังคับเรื่องไม่ได้ เปลี่ยนแปลงเรื่องไม่ได้.มักจะเป็นอดีต
    .ตรงนี้ถ้าสังเกตุทันได้ก่อนมันจะมารวมกับจิตเด่วมันจะดีดตัวออกได้และเรา
    จะเห็นอะไรที่ละเอียดไปกว่านี้ครับ....

    อาการที่ขยับตัวไม่ได้นั่นก็ไม่แปลก เป็นกิริยาที่จิตมีสภาวะสร้างความเป็นทิพย์ปลอมๆเล็กน้อยเพื่อหลอกเรา
    และอยู่ในระดับที่ขาดการควบคุมระบบประสาท..แต่ในสภาวะนี้ก็ยังมีความคิด
    ที่เกิดจากตัวจิตสามารถแทรกขึ้นมาได้ครับ..มันยังเนียนและ
    สามารถหลอกเราได้ถ้าเราเผลอไปสร้างกำลังให้มันอย่างไม่รู้ตัว
    แต่เราเข้าใจว่าเราตามดูมันนั้นหละครับ..
    .ถ้าเราเข้าสภาวะนี้จริงๆแบบที่คุณเป็นถ้าแบบมีกำลังสติทางธรรมพอ
    นะครับ.หลังจากออกมาสู่สภาวะปกติแล้วมันจะเฉยๆ
    และหายใจปกติธรรมดานี่หละครับ

    ปล.ประมาณนี้ก่อนนะครับ..เอาว่าฝึกเจริญสติให้มันต่อเนื่องให้ได้ก่อนครับ..
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    สวัสดีค่ะ ผู้รู้ช่วยบอกหน่อยค่ะ เป็นอันตรายหรือปฏิบัติผิดทางไหมค่ะ เพราะฝึกทำเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์สอนค่ะ

    หนูฝึกดูจิตมาประมาณ2เดือนแล้วค่ะ แรกๆก็เห็นจิตฟุ้งซ่านมากช่วงหลังๆจิตเริ่มสงบ ไม่ไหลออกไปตามอารมณ์ข้างนอก

    +++ จะฝึกอย่างไร หรือ ใช้ภาษาในการอธิบายอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าใช้ภาษาตรงนี้ได้อย่างถูกต้อง "จิตเริ่มสงบ ไม่ไหลออกไปตามอารมณ์ข้างนอก" ถือว่า การปฏิบัตินั้นส่งผลลัพธ์ได้ "ถูกต้อง"

    แต่เริ่มเห็นจิต เฉยๆบ้าง สุขบ้าง บางครั้งรู้สึกหดหู่เป็นทุกข์เบื่อโลกมากๆเลยค่ะ มันเป็นของมันเองควบคุมอารมณ์นี้ไม่ได้

    +++ ให้สังเกตุให้ดีว่า "เป็นจิตเสพอารมณ์" หรือ "เป็นเราเสพอารมณ์" ในยามที่ "เสพอารมณ์" นั้น "เป็นมันเสพ หรือ เป็นเราเสพ"

    +++ ตรงนี้สำคัญมาก "ไม่ต้องให้คำอธิบายใด ๆ ในขณะที่อาการเสพอารมณ์ปรากฏ" ปล่อยให้อาการเสพอารมณ์ "มีอยู่อย่างนั้น" สังเกตุอย่างเดียวว่า "เป็นเรา หรือ เป็นมัน" เท่านั้นพอ "สังเกตุอย่างเดียว ห้ามคิด" แล้ว "ปรากฏการณ์จะแสดงตัวออกมาให้เห็นเอง"

    ได้แต่ตามดูเฉยๆรู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเราเหมือนเราไม่มีตัวตนเลยค่ะ

    +++ อาการตรงนี้ "ถูกต้อง" ในขณะนั้น ๆ คือ ความหมาย หรือ อาการที่ส่อออกมาว่า "เราเป็นมัน หรือ มันเป็นเรา" ในขณะนั้น ๆ "ไม่ปรากฏ"

    บางครั้งก็นอนดูจิตไปเรื่อยๆแล้วเหมือนว่าตัวเองจะเคลิ้มๆไปแต่ยังมีสติรู้สึกตัวค่ะ

    +++ ผู้ที่ฝึก "สติ" มาถึงระดับนี้ "สามารถรู้ได้ ในขณะเคลิ้ม" และ หากเคลิ้มได้ดี ๆ จะสามารถ "ลุกออกมา แล้วหันกลับไปดูร่างตนเองได้" ตรงนี้ถือเป็นเรื่อง "ปกติ"

    อยู่ดีๆจิตก็พูดว่า ลองหยุดหายใจตายดูหน่อยสิ แล้วหนูก็หยุดหายใจตามไปด้วยบังคับร่างกายไม่ได้เลยค่ะ ตอนนั้นขยับร่างกายไม่ได้ด้วยค่ะ

    +++ หากคำพูดนี้ "ลองหยุดหายใจตายดูหน่อยสิ" เกิดกับผู้ที่เคยฝึก "อยู่-ย้าย" มาเป็นอย่างดีแล้ว จะเกิดปรากฏการณ์ที่ทำให้ "สามารถฝ่าด่านทางกรรมฐาน ด่านสำคัญได้เลย"

    +++ ด่านหลัก ๆ ของมหาสติปัฏฐาน 4 คือ ด่านของ กาย เวทนา จิต ธรรมารมณ์ และคำว่า "กาย" ในชั้น กรรมฐาน คือ "จิตใช้อะไรเป็นเครื่องอยู่ เครื่องอยู่นั้น เรียกว่า กาย"

    +++ คำพูดจากจิตข้างบนนั้น "หากผู้ฝึกมาทาง อาณาปานสติ" ก็จะทิ้ง ฐานกาย เข้าสู่ ฐานเวทนา หรือผู้ที่เคยฝึก "ยุบ-พอง หนอ" ก็จะทิ้ง ฐานเวทนา เข้าสู่ ฐานจิต ได้เหมือนกัน

    +++ ผู้ที่เคยฝึก "ความรู้สึกทั่วทั้งตัว" มาก่อน ในเวลา "กำหนดเข้าฐาน ความรู้สึก" ลมหายใจจะ "หยุดชั่วขณะ" ในขณะนั้น จิตจะวางกาย แล้ว "ย้ายมาอยู่" กับเวทนา ส่วน "กายจะตายหรือไม่" ย่อมไม่มีความหมายในขณะนั้น แต่ที่แน่ ๆ คือ อาการที่เรียกว่า "เราอยู่อย่างนั้น ก็อยู่ได้" จะเกิดขึ้นมาเอง (อาการย้ายฐาน)

    รู้สึกเริ่มกลัวก็เลยพยายามฝืนจนหายใจได้ ตอนนั้นรู้สึกอึดอัดและรีบสูดลมหายใจเข้าปอดค่ะ ถ้าปล่อยไปนานกว่านี้คิดว่าตัวเองต้องตายจริงแน่ๆเลยค่ะ

    +++ ความกลัว คือ อุปสรรค แต่ที่แน่ ๆ คือ "ยังไม่พร้อม" ควรฝึก "อยู่กับความรู้สึกตัว ให้เป็น" หลังจาก "อยู่" ได้แล้ว ก็จะรู้ได้ว่า "เราไม่ได้เป็น ลมหายใจ" และ "ความรู้สึกตัว ไม่ได้ต้องการ ลมหายใจ" และจะเข้าใจได้เองว่า "มีแต่กายเนื้อเท่านั้น ที่ต้องการลมหายใจ" กายอื่น เช่น กายเวทนา กายจิต กายธรรมารมณ์ ไม่ได้ใช้ ลมหายใจ เป็นอุปกรณ์สำหรับสืบต่อชีวิต

    เกิดจากอะไรค่ะ หนูทำผิดทางไหมค่ะ ถ้าเกิดเป็นอีกจะทำอย่างไรดีค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

    +++ เกิดจาก "สัญญาเก่า (ความจำ ในชั้นที่ลึกมาก)" ไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่ "ยังไม่พร้อม" เท่านั้น

    +++ หากรู้ตัวว่า "พร้อม" เมื่อไร ก็ทำการ "ย้ายฐาน" ได้เองเลย ตามที่จิตบอก ตอนนี้ถือว่า "มันบอกมาก่อนแล้ว ล่วงหน้า" อาจเร็วไปนิดหน่อย แต่ไม่น่าจะนานมาก แต่ "ปรากฏการณ์นั้น จะเป็นด่านกรรมฐาน ที่จะได้ฝ่า" ในเร็ว ๆ นี้ นั่นเอง
     
  9. Malaiteva

    Malaiteva เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +192
    .รู้สึกกลัวตายเป็นกิเลส(โมหะ)
    .ตั้งสติรู้เท่าทันไว้ เรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ธัมมารมณ์) พูดให้เข้าใจง่าย กิเลส ตัณหา เป็นที่ตั้งแห่งสติ
    .ถ้ารู้ไม่ทันมันจะหลอกเราอยู่เรื่อยนะ
     
  10. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ตอบดีๆกันทุกท่านเลยครับน่าจะได้ไอเดีย

    บางทีเรานิ่งๆว่างๆได้ยินแปลกๆ คำด่า สั่งโดดตึก สั่งกินของดิบ สั่งตาย สั่งหยุดหายใจ อะไรแปลกๆ บางทีก็สั่งเราทำบุญ อะไรก็ตามแต่

    อะไรที่เราต้องทำ - สติตั้งมั่น เห็นความคิดมีเกิดขึ้น มีอนิจจังไม่เที่ยง

    ระงับอกุศลกรรมทั้งปวงไว้ให้ได้ ไม่ต้องอยากให้ความคิดนั้นดับ ไม่ต้องอยากให้ความคิดนั้นคงอยู่ ดูสภาวะของความคิดนั้น

    จะทำได้บริบูรณ์ก็ต้องฝึกสมาธิ มีสติตั้งมั่น
     
  11. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    พระธรรมเกิด แต่ท่านเอาไม่ได้ น่าเสียดาย
    ทำเอาใหม่ ไม่มีใครตายจริงหรอกคับ
    มีแต่ตายหลอก ๆ ลมหายใจเป็นอุปสรรค จึงต้องละ ก็คือหยุดหายใจ
    จากนั้น ร่างกายจะปรับเปลี่ยนการหายใจทางผิวหนัง
    ลมหายใจจึงเป็นข้าศึกอุปสรรคของการเดินฌาน ฌานคือความตั้งใจมั่นได้เล็กน้อย จนถึงตั้งมั่นได้นาน ก็คล้ายนั่งหลับหรือนั่งเหม่อใจลอยไม่รับรู้อะไรแต่ความจริง เกิดภูมิรู้ที่หนือกว่า สัมผัสที่ห้า ฌานนั้นจัดเป็นการพักหลับในสมาธิ
    การหลับแบบนี้ พักนิดเดียวก็พอ พอออกจากการพักหลับในสมาธิ
    หูตา สว่าง รู้สึกได้ว่า นอนอิ่มเต็มตา
     
  12. ซึ้งธรรม

    ซึ้งธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +62
    อนุโมทนาบุญและขอบพระคุณทุกท่านมากเลยค่ะที่ช่วยแนะนำ ได้ความรู้ไปสอบอารมณ์เยอะเลยค่ะ หนูขอถามหน่อยค่ะ ยังไงช่วยชี้แนะผิดถูกด้วยนะค่ะ หนูอธิบายไม่ค่อยถูกนะค่ะ เอาแบบที่หนูเข้าใจนะค่ะ ตอนที่จิตมันไม่ปรุงแต่งหรือคิดแล้ว อารมณ์กลางๆเฉยๆแล้วหนูรู้สึกเหมือนจิตมันดึงออกไปจับอารมณ์ข้างนอกเข้ามาปรุงแต่งค่ะ แล้วหนูก็จะดึงกลับมาไว้ที่ฐานกลางๆอกค่ะ บางทีก็ใช้วิธีพิจารณาธรรมอย่างเช่นเวทนา ความตายความไม่เที่ยง เพราะปีนี้คุ้นเคยกับเวทนาบ่อยมากค่ะ ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเล็กๆ เกือบทุกส่วนของร่างกายแถมยังป่วยบ่อยๆด้วยโรคประจำตัวอีก จนรู้สึกจิตสงบไม่ส่งออกและรู้อยู่ภายในกาย เวลาดูแบบนี้ร่างกายจะเกิดอาการร้อนข้างในศรีษะและตามตัวบ่อยมากเลย ทำแบบนี้ได้ไหมค่ะเป็นการบังคับจิตมั๊ย แต่รู้สึกว่าอารมณ์จะสบายๆ นะคะ ไม่รู้ว่าอาการร้อนจะผิดปกติไหม บางครั้งหนูลองปล่อยอารมณ์ไปดูหนังเศร้า จิตเกิดอาการเศร้าหดหู่นานมากเลยค่ะ หนูแค่ดูตามนะค่ะ แต่ไม่ได้ปล่อยให้ตัวรู้เศร้าด้วยค่ะ สามารถบังคับตัวดูได้นะค่ะ เห็นแบบนี้รู้สึกเหมือนไม่มีเรา รู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นใครเลย มันเป็นตัวของมันเองค่ะ ยิ่งมาเห็นตอนมันพูดเองด้วยแล้ว ถ้าผิดทางก็ช่วยชี้แจงหนูด้วยค่ะกลัวหลงหรือคิดไปเองจนกู่ไม่กลับค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    อนุโมทนาบุญและขอบพระคุณทุกท่านมากเลยค่ะที่ช่วยแนะนำ ได้ความรู้ไปสอบอารมณ์เยอะเลยค่ะ หนูขอถามหน่อยค่ะ ยังไงช่วยชี้แนะผิดถูกด้วยนะค่ะ หนูอธิบายไม่ค่อยถูกนะค่ะ เอาแบบที่หนูเข้าใจนะค่ะ

    ตอนที่จิตมันไม่ปรุงแต่งหรือคิดแล้ว อารมณ์กลางๆเฉยๆแล้วหนูรู้สึกเหมือนจิตมันดึงออกไปจับอารมณ์ข้างนอกเข้ามาปรุงแต่งค่ะ

    +++ ถือว่าไปได้ไม่เลวเลย ให้สังเกตุให้ดีว่า "อารมณ์ข้างนอก ที่จิตมันออกไปจับ" นั้น มีลักษณะที่เรียกว่า "ผุดขึ้นมา" (ในระดับนี้ ยังน่าจะเป็น จากไหนไม่รู้)(ถ้าผ่านระดับนี้ไป ก็จะรู้ได้ว่า มาจากไหน) ใช่หรือไม่

    +++ แม้ว่าจะไม่ทันในระดับ "ส่งออก" ก็ตาม แต่ยังทันในระดับ "นำเข้า" มาแล้วเกิดเป็น จินตนาการ ภาษาตรง นี้เรียกว่า "ยึด - อุปาทาน - มาปรุงแต่ง" ดังนั้น ธรรมารมณ์ ที่ผุดขึ้น (เป้าล่อ) ตัวนั้นเป็น อุปาทาน สภาวะของมันเป็น ธรรมารมณ์ ที่มาจากข้างนอก ถือได้ว่า สติอยู่ในระดับ วิปัสสนาญาณทัศนะ ได้แล้ว

    แล้วหนูก็จะดึงกลับมาไว้ที่ฐานกลางๆอกค่ะ

    +++ ภาษาตรงนี้น่าจะเป็น ปล่อยหรือวาง อุปาทาน (เป้าล่อ) แล้วกลับเข้าฐาน

    บางทีก็ใช้วิธีพิจารณาธรรมอย่างเช่นเวทนา ความตายความไม่เที่ยง

    +++ ตรงนี้น่าจะยก ตัวอย่าง ข้ามจุดไปหน่อย เพราะความตายไม่เที่ยง ที่พิจารณานั้น เป็นลักษณะที่ ตัดหรือลบ เวทนาทั้งกาย ออกไปหรือไม่

    เพราะปีนี้คุ้นเคยกับเวทนาบ่อยมากค่ะ ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเล็กๆ เกือบทุกส่วนของร่างกายแถมยังป่วยบ่อยๆด้วยโรคประจำตัวอีก จนรู้สึกจิตสงบไม่ส่งออกและรู้อยู่ภายในกาย เวลาดูแบบนี้ร่างกายจะเกิดอาการร้อนข้างในศรีษะและตามตัวบ่อยมากเลย

    +++ เวลาที่ดูนั้น "ดูที่ไหน ย่อมรู้สึกที่นั่น" แล้วย้อนกลับมาปรับที่ "อาการดู" แบบสบาย ๆ จุดที่ "ถูกดู" จะถูกปรับความรู้สึกตามไปด้วย จะเอาแบบ ร้อนนิด เย็นหน่อย ก็ค่อย ๆ ปรับที่ตัวดูเอานะ

    ทำแบบนี้ได้ไหมค่ะเป็นการบังคับจิตมั๊ย แต่รู้สึกว่าอารมณ์จะสบายๆ นะคะ ไม่รู้ว่าอาการร้อนจะผิดปกติไหม บางครั้งหนูลองปล่อยอารมณ์ไปดูหนังเศร้า จิตเกิดอาการเศร้าหดหู่นานมากเลยค่ะ

    หนูแค่ดูตามนะค่ะ แต่ไม่ได้ปล่อยให้ตัวรู้เศร้าด้วยค่ะ สามารถบังคับตัวดูได้นะค่ะ

    +++ เห็นตั้งแต่โพสท์แรกแล้วว่า ต้องอยู่แถว ๆ นี้แน่ "รู้ตัวดู" ตอนนี้ให้รู้ไว้ว่า "ตัวดูนั่นแหละ คือ ผู้รู้ ที่ยังถูกรู้ได้" ดังนั้น มันจึง "ถูกบังคับได้"

    +++ ให้รู้ "ตัวดู" ให้ชำนาญ แล้วจะเห็นเองว่า "ตัวดู นั่นแหละคือ ผู้ส่งออก ออกไปที่ไหน ก็รู้ที่นั่น" ตัวนี้แหละคือตัว "ผู้รู้มากยากนาน"

    +++ "รู้แจ้งในตัวดู" ก็จะรู้ได้ว่า ยามใดที่มัน "ส่งออกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วนำอารมณ์ที่ได้มานั้น มาเสพเสวยอารมณ์" ยามนั้น "ตัวดู อยู่ใน ภูมิของ กามาวจร" (กาเม-สุ-มิจฉา-จาร) เรียกว่า ท่องเที่ยวไปใน กามาวจร ก็ได้ และ ยามใดที่ "ตัวดูไม่ส่งออก แต่เสพเสวยอารมณ์ด้วยตัวมันเอง" หากตอนนั้น "ตัวดูอยู่ในร่าง และยังรับรู้ร่างอยู่" ยามนั้น "ตัวดู อยู่ใน ภูมิของ รูปาวจร" และการเสวยอารมณ์อยู่ด้วยตนนั้น "ตัวดูเอง คือ ตัวฌานสมาบัติ ในรูปฌานด้วยตัวมันเอง" แต่หากยามใดที่มัน "ทิ้งหรือไม่รับรู้ร่าง ยามนั้นเป็น อรูปาวจร เป็น อรูปฌานด้วยตัวมันเอง"

    เห็นแบบนี้รู้สึกเหมือนไม่มีเรา รู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นใครเลย มันเป็นตัวของมันเองค่ะ ยิ่งมาเห็นตอนมันพูดเองด้วยแล้ว

    +++ กรณีนี้ เกิดได้ในขณะที่ "ตัวดู ถูกรู้" เท่านั้น และความหมายในเรื่อง "ตัวกู ของกู" จะไม่สามารถปรากฏได้

    ถ้าผิดทางก็ช่วยชี้แจงหนูด้วยค่ะกลัวหลงหรือคิดไปเองจนกู่ไม่กลับค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

    +++ มาได้ถูกทางแล้ว และมาได้ไกลมากซะด้วย โดยลำพังตนเอง

    +++ ดังนั้นคำพูดจากจิตที่ว่า "ลองหยุดหายใจตายดูหน่อยสิ" จึงเป็นคำพูดที่บอกเตือนได้อย่างถูกต้อง (บารมีธรรมจากอดีต ชี้ อนาคตังสญาณ) คือ "ฝึกตายให้เป็น ในขณะที่ยังอยู่ในโลกมนุษย์นี้แหละ" วิธีฝึกง่าย ๆ (สำหรับคุณ) คือ "ทำตัวดู ให้ถูกรู้" แล้วปล่อยให้มัน "ดับไปเอง" แล้วจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่า "ไม่ต้องมี ความเป็นตัวเรา ก็อยู่ได้" แม้แต่ "ตัวเรา ตายไปแล้ว ก็ยังอยู่ได้" เช่นกัน

    +++ ทำตรงนี้ให้ได้เสียก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ รู้ "กระบวนการเกิดขึ้นของตัวเรา หรือ ตัวดู" ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสิ้นสงสัยใน ตัวเราหรือตัวดู นี้ในชาตินี้ จากนั้นก็จะรู้ได้ว่า "ไม่มีกิจใดเหนือกว่ากิจนี้ อีกแล้ว" สามารถศึกษาเปรียบเทียบกับบุคคลที่ฝึกมาในแนวเดียวกันนี้ได้ในหมวด "อภิญญา XP" กระทู้ "ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย" ก็จะพบได้ว่า "ยังมีบุคคล ที่เดินทางผ่านตรงนี้มาแล้ว" นะครับ
     
  14. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ตอนที่จิตมันไม่ปรุงแต่งหรือคิดแล้ว อารมณ์กลางๆเฉยๆแล้วหนูรู้สึกเหมือนจิตมันดึงออกไปจับอารมณ์ข้างนอกเข้ามาปรุงแต่งค่ะ


    ดิ้นรน กวัดแกว่ง ฝึกยาก ใฝ่ไปตามอารมณ์ใคร่ ไม่แน่นอน นี้คือลักษณะอาการอย่างกว้าง ๆ ของจิตที่จะเป็นไป หมั่นฝึกสติรู้ตามความเป็นจริง รู้ทันบ่อย ๆ เอาก็พอ

    แล้วหนูก็จะดึงกลับมาไว้ที่ฐานกลางๆอกค่ะ

    ใหม่ ๆ พอรู้ทันก็ดึงกลับ คือดึงกลับมาอยู่กับตัว อยู่กับความรู้สึกตัว
    นานไปพอเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้ว พอรู้ทัน มีสติ สติมันก็อยู่กับตัวอยู่แล้ว ไม่ได้ดึงดันอะไร แค่มีสติรู้ตามความเป็นจริง เห็นรอบมากขึ้น พิจารณารอบคอบมากขึ้นก็เท่านั้นเอง

    บางทีก็ใช้วิธีพิจารณาธรรมอย่างเช่นเวทนา ความตายความไม่เที่ยง เพราะปีนี้คุ้นเคยกับเวทนาบ่อยมากค่ะ ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเล็กๆ เกือบทุกส่วนของร่างกายแถมยังป่วยบ่อยๆด้วยโรคประจำตัวอีก จนรู้สึกจิตสงบไม่ส่งออกและรู้อยู่ภายในกาย เวลาดูแบบนี้ร่างกายจะเกิดอาการร้อนข้างในศรีษะและตามตัวบ่อยมากเลย ทำแบบนี้ได้ไหมค่ะเป็นการบังคับจิตมั๊ย แต่รู้สึกว่าอารมณ์จะสบายๆ นะคะ ไม่รู้ว่าอาการร้อนจะผิดปกติไหม บางครั้งหนูลองปล่อยอารมณ์ไปดูหนังเศร้า จิตเกิดอาการเศร้าหดหู่นานมากเลยค่ะ

    เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ทำอย่างไหนก็ได้อย่างนั้น กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น กินเปรี้ยวกินบูดก็มีสิทธิท้องเสียท้องร่วง เป็นธรรมดา มันเป็นเรื่องของการกระทำทั้งนั้น อยู่อย่างไรให้เป็นสัมมาฯ มีสติเข้าใจ และไม่หลงทุกข์ ตรงนั้นแหละให้หมั่นสมาทานศึกษาไป


    หนูแค่ดูตามนะค่ะ แต่ไม่ได้ปล่อยให้ตัวรู้เศร้าด้วยค่ะ สามารถบังคับตัวดูได้นะค่ะ เห็นแบบนี้รู้สึกเหมือนไม่มีเรา รู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นใครเลย มันเป็นตัวของมันเองค่ะ ยิ่งมาเห็นตอนมันพูดเองด้วยแล้ว ถ้าผิดทางก็ช่วยชี้แจงหนูด้วยค่ะกลัวหลงหรือคิดไปเองจนกู่ไม่กลับค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

    มีแต่ผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น เมื่อใดอยากรู้จักผู้รู้ เฝ้ามองเฝ้าสังเกตผู้รู้ ผู้รู้อันนั้นก็คือสิ่งที่ถูกรู้ต่อไป รู้ซ้อนรู้ ๆ ๆ สังขารไม่สิ้น อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารฯ สติแก่กล้า ปัญญาเห็นรอบ ความจริงไม่ถูกสังขารหลอกบดบังคราวใด ก็จะเห็นตามความเป็นจริงได้ในคราวนั้น ค่อย ๆ ฝึกสติรู้ตามความเป็นจริงไป จะรู้จักผู้รู้อย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อ อนิจจังทุกขังอนัตตาเกิดขึ้นกับผู้รู้นี่เอง หามีตัวตนไม่ มีแต่เหตุกับปัจจัยประกอบกันขึ้นมา ความไม่รู้ทำให้หวั่นไหวไหลตาม ยินดียินร้าย หลงติดตาข่ายมารเสียอยู่ร่ำไป
     
  15. comxeoo

    comxeoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +214

    อย่างที่หลายท่าน แนะนำไป ให้มาอยู่ที่ฐานกาย เป็นเครื่องอยู่ของจิตก่อน
    เมื่อมีสติรู้สถึงอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งแล้ว แค่นั้นพอ แล้วเราจิตไปเกาะที่กาย สติที่แท้จริงมีเพียงแว่บเดียวนะครับ เกินกว่านั้นจิตไปเกาะที่ขันธ์อื่นแล้ว เป็นการปรุงแต่งต่อไป พอเราฝึกใหม่ๆ ก็เอาสติมาเกาะที่กายก่อน จะเข้าไปดูจิตเลย จะทำให้จิตไปผูกกับอารมณได้ง่าย


    ข้อนี้ลองสังเกตุดูครับ ตอนดูจิต
    >>เมื่อความเศร้าเกิดขึ้นในจิต
    >>เกิดสติมารู้ถึงอาการเศร้า (ตรงนี้คือ สติ เพียงแว่บเดียวเท่านั้น ถัดไปจากขณะจิตนี้ไม่ใช่)
    >>สิ่งที่จะทำกัน ก็คือ เอาจิตไป "ดูอารมณ์ว่ามันเศร้า" ขณะนั้นมันจะเกิด (ตัณหาขึ้นในจิต)คือ ความอยากจะดูอารมณ์ต่อไป บางครั้งเกิด "เวทนา" ขณะกำลังดูอยู่ เกิดความพอใจในการดูอารมณ์ สืบต่อไป เกิดความเพลินในอารมณ์ (นันทิ) สังเกตุว่าบางครั้งยิ่งดูยิ่งมันส์ ซึ่งความเพลินในอารณ์นี้ไม่ต่างจากการ การดูหนังดูละคร มันจะสร้างความเพลิน แบบที่เราไม่รู้ตัว บางครั้งไปสร้างอุปาทาน สร้างความเป็นตัวตนยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอาหารของวิญญาณ ฝึกใหม่ๆ ก็เอาแบบง่ายๆก่อนครับ ไม่เสี่ยงด้วย มีสติรู้ รู้และก็ละ มาอยู่ที่กาย พระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญ ไว้มาก ผู้ที่จะรู้ว่าจิตตนเอง มีราคะ โทสะ โมหะ หรือไม่ คือคนที่ต้องละจากอาการนั้นก่อน พอจิตเกิดราคะ แล้วละราคะไป จึงจะรู้ว่า เมื่อกี้คือ จิตที่มีราคะเข้าประกอบ จิตมันจะได้มีที่เทียบ ระหว่าง "มี" กับ "ไม่มี"ได้ชัดเจน เหมือนปลาที่ว่ายน้ำ มันไม่รู้ตัวว่าว่ายอยู่ในน้ำ ปฏิบัติอย่างนี้จน สติเกิดได้ดีแล้ว เห็นการทำงานของขันธ์5 แล้ว จะมาดูจิต มาเจริญจิตตานุปัสนา ก็ยังไม่สายครับ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง จุดหมายไปทางเดียวกันหมด


    ดูหนังแบบคนปกติ จิตจะไหลไปกับเนื้อเรื่องในหนัง จิตจะไปตั้งที่ สัญญาบ้าง สังขารปรุงแต่งไปบ้าง จนเกิดเป็นเวทนา ชอบ ไม่ชอบ วงจรปฏิจฯหมุนครบพอดี ไปสร้างอุปทาน อวิชชาที่ตัวหัวหน้ายิ่งแข็งแรง
    แล้วเกิดอะไรขึ้นในจิตเราขณะดูหนังบ้าง...

    -พอตากระทบรูป (ตอนดูหนัง) สัญญาเข้ามาแปรค่า
    -เกิดเป็น เวทนา ชอบไม่ชอบ
    -จิตเกิดตัณหา ความอยากที่จะดูต่อไป (สังเกตุดูได้ว่าพอดูแล้วไม่อยากจะลุกไปไหน)
    -ขณะดูอยู่จิตไปสร้าง อุปาทาน เป็นตัวตนขึ้น (คิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง พระเอกเป็นอย่างนี้ นางเอกเป็นอย่างนี้ เรียกกันว่าอินไปกับหนัง) จิตไปสร้างอุปาทานเรียบร้อย จิตเกิดภพ
    -เกิดภพเมื่อไหร่ ความเกิด ก็หมุนไปสู่ ความเสื่อม และความดับของอารมณ์
    -จิตที่เข้าไปเกิดตัณหาอุปาทานเมื่อไหร่ มันก็เพลินในอารมณ์
    -พอเพลินจิตวนอยู่อย่างนี้ เพลินไปกับทุกสิ่ง สังเกตุดูให้ดี "สุขที่เกิดในจิตก็เพลิน" หรือ " แม้แต่ทุกข์ ก็ยังเพลินเลย"


    เมื่อไหร่คนธรรมดาที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม จิตมันค่อยหมุนไปสร้างภพ มันสร้างการเกิดต่อไปไม่รู้จบ แต่ถ้าปฏิบัติธรรมเพื่อ จะตัดภพตัดชาติ ก็ตัดตรงนี้ ไม่ให้วงจรหมุนอีก พอหัดละอารมณ์ไปเรื่อยจะเห็นเองว่า วงจรปฏิจฯ มันถูกตัดไป ไม่ไปเสริมให้อวิชชาอีก.. ถ้าปฏิบัติไปเห็นวงจรปฏิจฯ จะเห็นเหมือนพระพุทธเจ้า ว่าการขึ้นของ "ภพ" มันน่ารังเกียจเหมือน มูตร คูจ.. ภพเกิดเมื่อไหร่ ก็เตรียมทุกข์ได้เลย ถ้าจขกท.เห็นจะไม่อยากเกิดอีก จะเห็นโทษภัยของกามทั้งหลาย


    งั้นก็ลองดูหนังไปด้วยปฏิบัติธรรมไปด้วยดูครับ
    อย่างแรกก็ดูอย่างคนปกติ
    อย่างที่สอง ก็ดูอย่าง นักดูจิต มีสติรู้ แล้วดูอารมณ์
    อย่างที่สาม ดูอย่าง มีสติรู้ แล้วละอารมณ์ มาอยู่ที่กาย
    ดูอย่างที่สองและสามอาจจะไม่สนุก แต่ไม่สนุกน่ะดีแล้วสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม พอไม่สนุก จิตก็ไม่ยินดีในกามทั้งหลาย แล้วไปเอาความสุขที่เหนือกว่านั้นดีกว่า.. แค่นี้ครับ นอกประเด็นไปซะเยอะ
     
  16. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ดีแล้วที่รอดมาได้ กลั้นหายใจ ก็ขาดอากาศตายสิ แต่ใครกลั้นใจตายได้ก็โคตรเก่งล่ะ
    เสียงจากจิตอย่าไปตาม ให้มีสติอยู่ กำกับด้วยเหตุและผล เมื่อทำสมาธิจิตมักฟุ้งซ่าน คิดในสิ่งที่แปลก หลอกหลอนจิตสำนึกของเรา อยากฝึกสมาธิ ฝึกเจริญสติ ต้องไม่ตาม ไม่เชื่อ ไม่ฟังเสียงจากจิต เพราะมันก็แค่ความฟุ้งซ่าน หาสาระและความจริลมิได่้
     
  17. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494

    เป็นยังไง รู้สึกไง คิดยังไง พึงกำหนดรู้ยังงั้นๆ ตามที่เป็น ตามรู้สึก ตามที่คิด ตรงๆตามสภาวะของสังขาร
     
  18. Jan2014

    Jan2014 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +143
    ถ้ามันจะหาย มันหายของมันไปเอง ไม่ต้องมีใครหรืออะไรไปบอกมันหรอก
     
  19. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ลองอ่าน สติปัฏฐาน 4

    เรื่อง จิต เจตสิก

    อาจมีประโยชน์ครับ

    ดู รู้ พิจารณา วาง
     
  20. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    สิ่งที่คุณเล่ามา สำหรับผู้รู้ ไม่เรียกว่า ดูจิต ขอรับ แต่เป็นเพียงคุณรู้จิต คือรับรู้ ความคิดอารมณ์ความรู้สึกของตัวคุณเองเท่านั้น ถ้าจะกล่าวตามหลักของ ฌาน(ชาน)แล้ว ก็เป็นเพียง เกิด วิตก วิจารณ์ บางครั้ง เกิด ปีติ สุข บางครั้ง เกิด อุเบกชา บางครั้งเกิด เอกัคคตา บางครั้งมีวิตกวิจารณ์ แล้วเกิดความเศร้าหมองคือ เกิด อาสวะหรือกิเลสขึ้นภายในจิตใจร่างกายของคุณ

    ทึ่คุณกล่าวว่า จิตพูดว่า "ลองหยุดหายใจตายดูหน่อยฯลฯ" ก็เป็นเพียง วิตก วิจารณ์ เพ้อเจ้อ ฟู้งซ่าน ซึ่งในขณะนั้นคุณอาจจะอยู่ในภาวะเคลิบเคล้ม หรือตกอยู่ระบบการทำงานของจิตคือ ภวังคจิต จะเรียกว่า เกือบจะหลับแต่ไม่หลับ แล้วหายใจไม่เพียงพอต่อการทำงานของร่างกาย จึงทำให้เกิดอาการอย่างนั้น เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทั่วไปขอรับ ต่างก็เกิดอาการอย่างที่คุณเล่ามาเรื่องการหายใจ ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะ สมองใช้ออกซิเจนมากในการคิดในการเพ้อเจ้อฟุ้งซ่าน จึงทำให้สมองทำงานปกติ จึงเกิดอาการต่อเนื่องไปถึงระบบการหายใจ ซึ่งประกอบไปด้วยการทำงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจด้วย เป็นเรื่องธรรมดาขอรับ

    อนึ่ง ถ้าคุณจะปฏิบัติสมาธิ หรืออื่นใด ก็ควรเล่าเรียนศึกษาให้ดีพอสมควรเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจจะได้ไม่มีข้อผิดพลาดกังขา หนังสือ ตำรา ตามเวบฯต่างๆ มีเยอะแยะขอรับ หาอ่าน เล่าเรียนศึกษา ถ้ามีศรัทธา ขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...