ขอเรียนถามเรื่องกรรมฐานค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มณีดิน, 8 เมษายน 2014.

  1. มณีดิน

    มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +537
    ปรกติจะเจริญสมาธิกรรมฐานเป็นประจำอยู่ค่ะ แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้ชำนาญแต่ประการใด จากสิ่งที่ประสบมาในวันนี้ ก็งงเหมือนกันเพราะไม่เคยเป็นค่ะ คือ วันนี้ได้ไปกราบพระสรีระ ร่างของเกจิอาจารย์ท่านหนึ่ง คือ หลวงพ่อหยอด ที่อัมพวา สมุทรสงคราม เมื่อกล่าวคาถาเสร็จก็หลับตาแล้วภาวนา พุธโธ อธิษฐานขอบารมีท่านเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ เพียงครู่เดียว น่าจะไม่ถึงเสี้ยวนาที ก็เกิดอาการตัวลอยขึ้นจากเหนือพื้นที่นั่ง เป็นพักหนึ่ง ดิฉันจึงรีบกราบท่าน แล้วละจากสมาธิ อาการเช่นนี้เรียกว่าอะไรหรือคะ ขอกราบเรียนถามท่านผู้รู้ด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 เมษายน 2014
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ปิติ อาการของ สมาธิ ครับ แค่อาการ ปิติ เฉยๆ ครับ ไม่ต้องไป สงสัยอะไรหรอกนะครับ

    บางคนก็ลอย บางคนก็ไม่ลอย

    ปรกติในวงกรรมฐาน

    แต่แปลก สำหรับคนที่เคยเป็นครั้งแรกครับ

    แค่นั้นละครับ ไม่ต้องไปสงสัยอะไรหรอก

    หาอ่านตาม google ได้ครับ มีหลาย


    ถ้ากลัวจะลอยสูงเกิน ก็หาเชือกผูกไว้ครับ เดี่ยวสูงเกิน ตกใจหลุดจากสมาธิตกกระแทกพึ้นนะ ^^.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2014
  3. มณีดิน

    มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +537
    อาการปิติเคยเป็นอยู่ค่ะ แต่เกิดหลังจากเข้าสมาธิสักพัก แต่ครั้งนี้ยังไม่ได้ทรงสมาธิในระดับใดเลย กระโดดไปปิติได้เลยหรือคะ จึงแปลกใจค่ะ
     
  4. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    สังฆานุสติ เทวานุสติ จิตสงบรวมเป็นฌาณ อ่านเรื่องอนุสสติ10
    บางทีทำบุญ ทำความดี ทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ดีก็ปิติเกิดครับ
    อ่านเรื่องของคุณผมก็ปิติไปด้วยครับทั้งที่ผมเองก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อท่านเกจิ
    อนุโมทนาครับ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ฟังหูไว้หูนะครับ.,.ปกติคนที่สามารถมีอาการอย่างที่บอก
    จะเป็นคนที่สามารถเข้าถึงรับรู้เรื่องของพลังงานภายนอกได้ครับ
    สัมผัสได้แบบเป็นรูปธรรมด้วยครับ.เหมือนๆพวกทางทิเบต
    ที่ว่าสามารถยกให้ตัวเองลอยจากพื้นได้นั่นหละครับ..
    เพียงแต่ว่าพวกนั้นขาดเรื่องของการถ่ายเทพลังงาน
    คือมีแต่เน้นเรื่องการรับเข้าแต่ไม่รู้จักการเอาออก
    พวกนั้นน้อยคนจะอายุเกิน ๔๕ ปีครับ.
    แต่กรณีคุณเนื่องจากในอดีตเคยทำได้มากก่อน
    แล้วกระแสพลังงานเราไปเชื่อมกับท่านเป็นปกติ
    แต่เราอาจยังไม่เคยสังเกตุตรงนี้ครับ.
    พอกระแสพลังงานตรงนี้เชื่อมกับท่านแล้ว
    ท่านก็ส่งกระแสกลับมา.ในขณะที่อารมย์
    จิตเดิมที่มันเก็บไว้ในจิตจากอดีตชาติจังหวะ
    มันไปคุ้นกับพลังงานที่ท่านส่งกลับมา.
    พร้อมกับกรรมฐานที่คุณฝึกมามันสะสมเกื้อหนุน
    กันพอดีในจังหวะหลังจากอฐิษฐานจิต
    สององค์ประกอบนี้มันจังหวะพอดีกัน
    โดยไม่ได้ตั้งใจ..ผลที่ออกมาตัวเรา
    เลยลอยได้ครับ.

    ถ้าเป็นปิติเรื่องการลอยมันจะลอยไปใน
    แนวขนานกับพื้นและนานครับบางทีก็เป็น
    หลักนาทีเลยครับ..
    เข้าใจกิริยาจิตคุ้นเคย
    แบบนี้มันมีค่อนข้างน้อยคนจะเกิดครับ
    บางทีมันอาจจะดูเวอร์ๆและหาคนเข้า
    ใจในสิ่งที่คุณพูดได้ครับ..

    ปล.วันหลังเวลาสวดมนต์หรือฝึกกรรมฐาน
    อะไรลองลืมตาดูตามร่างกายตัวเองนะครับ
    ว่าเหมือนๆมีแผ่นใสๆหรือควันวิ่งออกจากตัว
    เราหรือเปล่าครับ หรือเรามองพระพุทธแล้ว
    ตรงหน้าอกมีแผ่นใสๆวิ่งออกไปหรือเจอรูป
    ระดับเทพพรหมแล้วมีอาการตึงๆตรงกลาง
    กระโหลกมาสมองส่วนหน้าที่ตรงลง
    มาที่ลูกนัยต์ตาหรือเปล่านะครับ..
    เป็นหลักสังเกตุครับ
     
  6. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    นั่นเป็นเพราะท่านอาศัยกำลังของ หลวงพ่อหยอด จึงเข้าถึงห้องของปีติ
    ความอิ่มใจ

    อย่างสักพักผมเข้าไปตอบกระทู้
    เกิดเห็นภาพตนหมุนอยู่รอบตัวผมเอง
    ความรู้สึกจิตไปหมดแล้วจิตก็หยั้งรู้ว่าอะไรควรบอก
    อะไรไม่ควรบอก

    http://palungjit.org/threads/ห้องอภ...-พวกท่านทั้งหลาย-เข้ามาทำอะไรกันในนี้.527815/
     
  7. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    จากการอ่านทำให้ทราบได้ว่าเข้าใจสภาวะอารมณ์กรรมฐานได้ดีเลยนะครับ

    เอาเป็นว่าเรื่องปิติคุณพอเข้าใจดีแล้ว ดูๆแล้วไม่แน่นะครับ คุณอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระท่านก็ได้...
     
  8. มณีดิน

    มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +537
    ขอบพระคุณคุณnopphakan ที่เข้าใจและอธิบายได้อย่างชัดแจ้งค่ะ ดิฉันเองก็ไม่กล้าคิดขนาดว่าตนเองมีสัญญาเก่าติดตามมาขนาดนั้นค่ะ แต่จากที่คุณอธิบายละเอียดจนเข้าใจ ครั้งหน้าดิฉันคงต้องไปกราบท่านอีกสักครั้ง แต่ไม่ได้เป็นการทดสอบนะคะ คือจะได้ต่อกรรมฐาน เพราะแปลกใจปรกติกว่าจะปรับอารมร์ญาณให้เข้าในระดับนี้ได้ต้องใช้เวลานานพอสมควร ลืมบอกว่าวันนี้ก่อนจะภาวนา พุทโธ ดิฉันก็พิจารณากายขันธ์ของท่านว่าทำไมไม่เน่าเปื่อย ผิวท่านยังเหมือนคนนอนหลับ พอพิจารณาแล้วจึงค่อยหลับตาค่ะ มีภาพท่านในโลงแก้วมาให้ชมด้วยค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. มณีดิน

    มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +537
    แล้วจะผิดกฏอะไรหรือคะท่าน ถ้าจะบอกกล่าวเพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้ไม่รู้ ตรงกันข้ามเป็นกุศลจิตฝ่ายดีด้วยซ้ำไปค่ะ กราบโมทนาสาธุ บอกเถิดท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 เมษายน 2014
  10. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ถ้าเราบอกเราเป็นองค์พระอรหันต์ผู้ไกลจากข้าศึกคือกิเลสแล้วจะมีทั้งผู้ ขึ้นสวรรค์ กับ ตกนรก
    นรกจะกินจิตของเค้า ถ้าเค้าเห็นผิดไป

    การอธิษฐาน ของท่านอยู่ในเขตเนื้อนาบุญของพระสงฆ์
    ก็เป็น ที่พึ่งที่ถูกหลักของการอธิษฐานบารมี
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ประเด็นนี้ก็ฟังหูไว้หูอีกนะครับ..สังขารท่านพันธ์มิตรที่ดูแลรักษานะครับ
    มีฝ่ายความดีสูงครับ ฝ่ายป้องกันสิ่งไม่ดีกำลังสูง ฝ่ายรักษาก็กำลังสูง
    ฝ่ายสัมผัสพิเศษก็กำลังสูง และที่พิเศษอีกอย่างคือเรื่องเกี่ยวกับความ
    เห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็กำลังสูงครับ..ขาดแต่ฝ่ายที่เน้นเรื่องอิทธิฤิทธิ์นะครับ
    ที่ไม่เน้น..ที่พูดมาให้ฟังก็คือกำลังมองคนที่ถ่ายรูป ยิ่งฝ่ายสุดท้ายเนี่ย
    ถึงขั้นยิ้มให้ด้วยครับ..
    ปล.ลองตีความจากข้อความที่เขียนดูนะครับ
     
  12. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ยึดติดผูกพันธ์ติดใจอยู่กับสิ่งใด จิตมักวกวนติดอยู่กับสิ่งนั้น ปล่อยวางเครื่องพันธนาการที่ผูกพันธ์จิตท่านได้ อิสระแท้ เบาสบายกายใจ...
     
  13. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ปิติครับ ไม่แปลกอะไร
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:
     
  15. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    กระโดดข้ามได้หมดครับ
    ผู้ที่ชำนาญแล้ว จะเข้าอรูปฌาน ก็ทำได้ในเสี้ยววินาที
     
  16. มณีดิน

    มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +537
    กราบขอบคุณในมิตรไมตรของทุกท่านที่เข้ามาตอบคำถามให้ค่ะ ยอมรับว่ายังอ่อนด้วยในการปฏิบัติ จากคำแนะนำของญาติธรรม ต่อนี้ไปคงต้องเร่งพัฒนาให้มากกว่านี้ค่ะ
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ความไวของสมาธิจิต :

    พระสารีบุตร หายใจหนึ่งรอบ เข้าออกนิโรธนเป็น แสนโกฏ ขณะ

    มีวันหนึ่ง ยักษ์เว้ยเฮ้ย ยักษ์เก่งฤทธิ์เพ่งจุดฌาณกลางคิ้ว ขมวดเกร็ง
    มาเชียว มาเห็น พระสารีบุตร ก็หมั่นไส้ ใครๆเขาว่า เข้าสมาธิเก่ง

    ยักษ์มันเห็นว่า ไม่เห็นจะมีอะไร ก็เห็นหัวโล้นๆ ปรกติ ก็เลยเอากระบอง
    เตรียมปะเคน พอจะโดน ลงไปซะเอง กรรมซัดซะเละเลย มีกะลาปะยังไม่ทัน

    เพราะพระสารีบุตรเข้าออกสมาธิ สัญญาเวทยิตนิโรธนตลอดเวลา

    ดับภพ คือ นิพพาน

    ดับภพ คือ นิพพาน

    ดับภพ คือ นิพพาน
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ก็ไม่อยากจะขัดคออะไรหรอกนะครับ..
    เห็นหลายๆท่านเข้ามาแนะนำด้วยเจตนาดี..
    แต่ละคนก็มีประสบการณ์แตกต่างกันไป.ที่จะเขียน
    ต่อไปนี้ให้ลองอ่านดูพิจารณาดูนะครับ.เป็นหนึ่งความเห็นนะครับ


    เอาเรื่องอรูปฌานก่อนคนไม่ฝึกสมาธิอะไรเลยก็ทำได้ครับ.
    หรือฝึกนั่งสมาธิเล็กๆน้อยโดยเฉพาะฝึกทางสมถะหรืออาปาฯ.
    และมักจะเป็นกันได้ปกติคือคล้ายหลุดๆไปอยู่
    ในอวกาศมืดๆมีแต่ดวงดาวอะไรนั่นหละครับ.
    .เป็นสภาวะที่เหล่าบรรดาที่พระฤาษีหลายๆท่านหลงผิด
    เข้าใจคิดว่าเป็นสภาวะนิพพานหรือคนฝึก
    สมาธิใหม่ๆจะคิดไปว่าตนเองนั่งสมาธิได้เก่ง หรือเป็นสภาวะพิเศษอะไรนั่นหละครับ.

    และมักจะเข้าใจผิดว่าตนเองเก่งสมาธิทั้งๆที่ไม่มีสัมผัสอะไรพิเศษ
    หรือรับรู้ทางนามธรรมระดับสูงขึ้นหรือดูสภาวะกำลังจิตไม่ออก
    ตลอดไม่เข้าใจเรื่องนามธรรมในส่วนของเรื่องการสัมผัสพลังงาน
    แต่ก็จะยังเข้าใจว่าตนเก่งสมาธิ.ตลอดจนปัญญาทางธรรมและสติทางธรรม
    ในการเข้าใจส่วนนามธรรมก็ยังไม่ทะลุทะลวง.
    ตรงนี้ยังเข้าใจคาดเคลื่อนอยู่เยอะให้ลองพิจารณาดูให้ดีๆด้วยครับ....


    พิจารณาดูนะครับ.ถ้าคนที่จะชำนาญการเข้าอรูปฌานได้เลยตามหลักแล้วคือ
    ไต่ระดับมาจากการสร้างรูปก่อนแล้วจึงเพิกรูป.เพื่อไปยังอรูปฌาน..
    ซึ่งมันมีขั้นมีตอนของมันอยู่ต้องอาศัยการสะสมกำลังสมาธิพอสมควร
    เพื่อรักษาระยะเวลาในโหมดนั้นให้นานที่สุดและอาศัยกำลังสติทางธรรม
    ในระดับที่มากพอที่จะสามารถควบคุมจิตตนเองให้อยู่นิ่งๆได้เพื่อเป้าหมาย
    ในการยกสภาวะนี้ให้เข้าสู่การวิปัสสนาให้ได้.ถือว่าคนที่ทำอย่างนี้ได้ตามหลัก
    เป็นบุคคลที่ฝึกมาดีทีเดียว..ใครทำตามขั้นตอนอย่างนี้ไม่ต้องห่วงไปห่วง
    อะไรแล้วครับ..ที่น่าห่วงก็คือไปหลงกิเลสที่คิดว่ามันเป็นสภาวะนิพพานเป็น
    สภาวะพิเศษที่ทำให้ไม่ทุกข์แล้วไปซ้อมเข้าบ่อยๆพอตายไปก็เลยซวยไปเลย
    หากไปติดในช่วงสภาวะนี้.และสังเกตุง่ายๆมักจะไม่ค่อยสนใจเรื่อง
    การเดินปัญญาจะเน้นไปสนใจแต่เรื่องฤิทธิ์หรือเรื่องความ
    สามารถพิเศษมากกว่าการลด ละ กิเลสในใจตนเองครับ...


    ส่วนตัวเราลองถามตัวเองดูนะครับ.ถ้าคิดว่าเราชำนาญอรูปฌานจริงๆ
    .ถ้าทำได้อย่างนั้นนะ..ตอนนี้กำลังจิตของเรามันจะเข็มแข็งพอตัวแล้วครับ
    ความสามารถหรือเครื่องรู้ต่างๆมันก็จะมาตั้งแต่ตอนที่เราฝึกสร้างรูปแล้วครับ.
    สร้างรูปได้คล่องแล้ว เรื่องกะสง กสิณ เรื่องการเรียกพลังงานแต่ละกองขึ้นมามันกล้วยปิ๊งแล้วครับ.
    .เรื่องการสร้างกำลังจิตเพื่อบรรจุในวัตถุ.รวมถึงพลังงานที่บรรจุมัน
    ก็มากพอแล้ว เรื่องกำลังจิตในการป้องกันการรบกวนจากภายนอก
    .รวมถึงเรื่องกระทบกระทั้งต่างๆ.หรือการตัดอารมย์ต่างๆ การยอมรับ
    ตามความเป็นจริงอยู่ในระดับที่ใช้ได้แล้วครับ.เพราะว่าอารมย์จิตจะมีระดับความ
    คงตัวพอสมควร.เหลือแต่ต้องคอยชำระกิเลสที่ยังเหลืออยู่ซึ่งก็แล้วแต่บุคคล
    .และรวมทั้งสัมผัสกับทางฝ่ายนามธรรมต่างๆของเราก็ดีตามมาด้วย
    ซึ่งมันจะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับคนที่สร้างรูปได้.และไม่แปลกอะไร

    ..
    อรูปฌานแบบพรวดพราดมันเป็น.สภาวะที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยครับ
    มีแต่หลอกตัวจิตว่าเป็นอะไรที่ไม่ทุกข์..ไม่อะไร มันจะทุกข์ได้ไงหละครับ
    ก็จิตมันซื่อบื่อซะขนาดนั้น..แถมออกแนวไม่เกิดปัญญาทางธรรมอะไรเลย.
    .เพราะไม่มีกำลังสติทางธรรมเพียงพอกำลังสมาธิก็ไม่เพียงพอ.
    ทำให้ยกเรื่องขึ้นเพื่อพิจารณาในส่วนการลดกิเลสอะไรไม่ได้เลยนั่นเอง


    จึงค้นพบว่า.เมื่อตัวเองออกมาสู่สภาวะปกติ.กลับพบว่าตนเองไม่ได้พัฒนา
    ลด ละกิเลสที่มีอยู่ในใจตนเองได้เลย.จิตตัวเองก็ไม่ได้มีกำลังจิตเพิ่มขึ้น
    กำลังสติก็ไม่มากพอ..มีแต่สภาวะแค่รู้ทันแต่ปัญญาทางธรรมยังไม่พอใน
    การตัดเป็นเหตุให้หงุดหงิด อารมย์ไม่ดี เบื่อโลกนั่นหละครับ
    เพราะกิเลิสมันก็ยังอยู่ครบนั่นเองไงครับ.
    ประเด็นนี้ควรพิจารณาเปรียบเทียบพิจารณาแนวทางการปฏิบัติ
    และพฤติกรรมของจิตตนตลอดจนเครื่องรู้ที่เกิดกับจิตตนให้ดีๆครับก่อนจะถูก
    สภาวะอรูปฌานไร้สาระมันหลอกเอา.


    ส่วนอาการปิติในรูปแบบของการลอย(ย้ำว่าการลอยนะครับ)
    ถ้าลอยในความหมายคือ มันจะต้องพ้นพื้นและพ้นร่างกายไปครับ.
    อย่างแยกกายออกมามันพ้นกาย มันเดินได้ แต่ยังไม่พ้นพื้น
    ก็ถือว่ายังไม่ลอยครับ.หรือจิตยังอยู่ในกายก็ยังไม่ถือว่าลอยครับ
    เพราะยังไม่พ้นกายและพ้นพื้นครับ..


    .ปกติจะลอยในแนวขนานพื้นถ้าเราอยู่ท่านอน
    หรือว่าเราอยู่ท่านั่งมันก็จะลอยออกทางศรีษะ
    .และไม่จำเป็นต้องเคยฝึกสมาธิอะไรมาก็เป็นได้.
    หรือเป็นได้ในช่วงที่กำลังฝึกสมาธิซึ่งผู้ปฏิบัติบางคน
    อาจจะเคยเจอสภาวะนี้มา..แต่ลักษณะที่จะบอกได้ชัดเจนว่าเป็นปิติ
    ในลักษณะของการลอย.ก็คือมันจะต้องลอยออกจากร่างกายเรา
    ไปครับชื่อมันก็บอกอยู่แล้วลอยนะครับ.ที่แยกๆออกชั่วคราวยังไม่พ้น
    ร่างกายเราจึงถือว่ายังไม่ใช่การลอยครับ.
    พูดง่ายๆว่าลอยขึ้นในต่ำแหน่งที่ออกไปทางศีรษะ.
    และสังเกตุดูได้ว่าอาการนี้มันจะเกิดในช่วงที่สภาวะที่จิต
    มีความเป็นทิพย์หรือสภาวะตามตำราว่าอุปจารสมาธิซึ่งเป็นในระดับที่
    .จิตเป็นทิพย์แต่ขาดการควบคุมร่างกายตนเอง.
    ไม่ใช่ระดับสภาวะเป็นทิพย์เล็กๆน้อยที่จิตยังอยู่ในร่างกาย.
    เหมือนสภาวะที่ใช้ตรวจสอบพุทธคุณในวัตถุนะครับ.


    บางคนก็ว่าอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น.เนื่องจากมักจะไม่รู้ตัวก่อน.
    ระดับนี้เนื่องจากขาดการควบคุมร่างกายได้
    จึงเป็นไปไม่ได้ว่าร่างกายเราจะยังขยับอยู่หรือเคลื่อนที่อยู่ ณ เวลานั้นครับ...
    นอกจากว่ามันจะอยู่นิ่งๆ บางคน
    จึงมีอาการที่เรียกว่าเต้น.คือ เหมือนใจไปแต่ว่าตัวไม่ไปนั่นหละครับ.
    หรือใจไปแล้วร่างกายหรือตัวตามไปทีหลัง..
    หมายความว่าเราต้องรู้ว่าเรากำลัง
    ทำอะไรอยู่ตอนนั้นแต่ก่อนหน้านั้นเราไม่รู้.
    แต่ร่างกายไม่ขยับตามมานะครับ.มันจะตามมาทีหลังๆจาก
    ที่เราฮึดหรือกระตุ้นตัวเอง.หรือสภาวะดึงให้มันกลับมารวมกับ
    ร่างกายนั่นหละครับ..

    ส่วนอาการปิติแบบลอยจะคล้ายๆว่ามีอะไรมาดึงให้มันออกไป.
    และมันมีระยะทางและเวลาที่นานพอสมควรในระดับที่เราจะรู้
    ได้ว่าตัวเองกำลังลอยอยู่
    .บางคนลอยไปได้เป็นนาทีในแนวราบท่านอนอยู่นะครับ..
    และมันจะลอยไปเรื่อยๆ บางคนก็คือลอยจนตัวเองไปติดกับเพดาน
    ท่าอยู่ในท่านั่ง.การจะผ่านได้คือปล่อยให้มันลอยไปให้สุดถึง
    จะข้ามสภาวะนี้ไปได้ครับ
    .อย่างนี้พอจะเรียกว่าเป็นปิติในลักษณะของการลอยได้ครับ.


    ส่วนอาการแบบเสี้ยววินาทีที่เกิดกับเจ้าของกระทู้.
    ไม่ใช่อาการรู้ก่อนและไม่ใช่การสัปงก และระยะเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที
    และจิตยังไม่ได้ลอยออกพ้นจากร่างกายไป.จึงมองว่าไม่น่าว่าจะเรียกปิติ..
    แต่จากกิริยาทางจิตของเจ้าของกระทู้จะเป็นลักษณะของบุคคล
    ที่สามารถสัมผัสพลังงานที่เป็นนามธรรมได้.แม้ว่าตอนนี้กำลังสติทางธรรม
    และกำลังสมาธิสะสมยังไม่มากพอที่จะต้านทานพลังงานส่วนนี้ได้.การไป
    สัมผัสกับพลังงานจากวัตถุบางอย่างจึงส่งผลต่อร่างกายของเจ้าของกระทู้


    .แต่อาการลักษณะที่ถามมาในกระทู้นี้เป็นอาการ
    ของคนที่สัมผัสกระแสพลังงานจากภายนอกหรืออาการคนที่จะ
    เชื่อมกระแสพลังงานภายนอกได้
    .แต่เหตุกำลังสมาธิสะสมและกำลังสติทางธรรมยังไม่เพียงพอ
    ในระดับที่จะควบคุมตัวจิตได้ซึ่งเป็นเรื่องปกติ.
    ยิ่งคนที่ไปเปิดจักระมาแต่กำลังสมาธิและสติ
    ไม่มากพอหรือคนที่อยากจะมีสัมผัสพิเศษแต่
    ไม่ฝึกสมาธิไม่ชอบการปฏิบัติจะเจอกันได้ทุกๆคน.

    และการเชื่อมโยงในระดับทางศีรษะปกติช่องทางหนึ่ง
    จะเป็นการเชื่อมโยงของระดับพรหมขึ้นไป
    (คือบางคนอาจเชื่อมได้ทั้งตัวหรืออย่างพระมีชื่อหลายๆท่าน)
    จึงมีอาการคล้ายๆจิตหรือตัวถูกดึงขึ้นทางด้านบน
    แต่ไม่ใช่ว่าจะดึงจิตออกไปพ้นกายได้แต่ว่าสามารถ
    เชื่อมต่อได้แต่กำลังจิตต้านไม่ไหวจึงเกิดอาการอย่างนั้น.
    ..ในทำนองเดียวกันถ้าเป็นการเชื่อมโยงของระดับ เทวดาหรือเทพมีฤิทธิ์
    .จะเป็นเหมือนกันแต่จะถูกดึงออกจากทางด้าน
    ข้างของตัวเอง.ถ้าเราตาดีหน่อยนะครับ.ยิ่งบุคคลที่ฝึกทางสาย
    หลวงตามีชื่อที่เน้นทางด้านบุญฤิทธิ์.ถ้าถึงระดับหนึ่งจะมองเห็น
    กระแสเชื่อมพวกนี้ได้ด้วยตาเปล่า.และจะเข้าใจที่เขียนผ่านมาได้ดีครับ
    ลองๆอ่านๆดูก่อนครับ.ไว้ซักวันจะเข้าใจที่เขียนได้ครับ..
    หรือบุคคลที่ไปฝึกจักระ..ฝึกการเชื่อมโยงพลังงานจะเข้าดี.
    และจะมองว่าพลังงานตรงนั้นแรงทำนองนี้..

    แต่เหตุจริงๆถ้ากำลังสติและสมาธิเรามากพอเราจะสัมผัสได้
    .แต่ไม่มีผลต่อจิตของเรา.ถ้าไม่สร้างทั้ง ๒ อย่างนี้
    ให้เข็มแข็งพอ.อนาคตจะถูกควบคุมจากภายนอกได้
    และกลายเป็นร่างทรงแบบ
    ที่บังคับร่างกายตัวเองไม่ได้.สำหรับคนที่ไม่สนใจ
    มาสร้างความดี มาเจริญสติ มาฝึกสมาธิ.ด้วยตนเอง
    และเน้นแต่จะเอาทางด้านสัมผัสพิเศษที่ไม่ได้สร้าง
    จากจิตตนเองครับ...

    ปล.ประมาณนี้ครับ..
     
  19. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,641
    คำอธิบายของคุณนพ โดนใจค่ะ (คือเป็นคนชอบเพ้อเจ้อ ปฎิบัติน้อย ทั้งที่เวลาโครตเยอะเลย ).ชอบคิดอะไรเกินจริง 555 โชคดีที่ได้เข้ามาอ่าน จะทำไปลดละกิเลสตัวเองค่ะ

    ขอบคุณเจ้าของกระทู้ ที่ตั่งหัวข้อถาม
    ขอบคุณคุณนพ ที่ตีข้อความโดนใจ
     
  20. มณีดิน

    มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +537
    .แต่อาการลักษณะที่ถามมาในกระทู้นี้เป็นอาการ
    ของคนที่สัมผัสกระแสพลังงานจากภายนอกหรืออาการคนที่จะ
    เชื่อมกระแสพลังงานภายนอกได้
    .แต่เหตุกำลังสมาธิสะสมและกำลังสติทางธรรมยังไม่เพียงพอ
    ในระดับที่จะควบคุมตัวจิตได้ซึ่งเป็นเรื่องปกติ.

    ยิ่งคนที่ไปเปิดจักระมาแต่กำลังสมาธิและสติ
    ไม่มากพอหรือคนที่อยากจะมีสัมผัสพิเศษแต่
    ไม่ฝึกสมาธิไม่ชอบการปฏิบัติจะเจอกันได้ทุกๆคน.

    ขอบคุณคุณnop มากค่ะที่เมตตาเข้ามาตอบให้...อ่านถึงตรงนี้ใช่เลยค่ะ...ผิดตรงที่แต่ยังไม่เคยเปิดจักระมาค่ะ ได้แต่อาศัยการฝึกสมาธิ และสัญญาเก่าที่ติดตามมาแค่นั้นเองค่ะ แต่การมีสัมผัสพิเศษก็ทำให้นึกรักการฝึกสมาธิขึ้นมาอย่างหลงไหลเลยค่ะ ยิ่งฝึกยิ่งได้มากขึ้น จนบางครั้งมีสัญญานที่เชื่อมกับเทวดาได้ นอกเรื่องเลย...คืออย่างนี้ค่ะ มีครั้งหนึ่งในช่วงสมาธิ เกิดนึกสนุกขอพรเทวดาให้ทำอะไรก็ได้ให้สัมผัสได้ด้วยอายตนะทางใดทางหนึง ก็เกิดเป็นเสียงระฆัง (คือที่บ้านติดโมบายเสียงระฆังไว้ที่หน้าต่างค่ะ) เสียงดังเป็นจังหวัะเหมือนมีคนเคาะค่ะ นานสักพัก ดิฉันปิติปลื้มใจมาก ไม่ได้เกิดความกลัวนะคะ เป็นความรู้สึกที่น้ำตาไหลออกมาเอง เชื่อเลยว่า เทวดามีจริงค่ะ
    เล่าให้ฟังนะคะ...แต่อาจไม่มีใครเชื่อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...